*วัตถุมงคล เริ่มหน้า66*พระกรุ,ลป.สรวง เทวดาเล่นดิน,ลพ.ฤาษี,ลพ.หวล และอื่นๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Pitiphat, 25 มีนาคม 2018.

  1. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รับทราบการจองครับ...ขอบคุณครับ
     
  2. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่908 พระสมเด็จอรหัง หลังยันต์จารมือ ตรายาง ( นวะกะ ) เนื้อผงพุทธคุณ วัดราชสิทธาราม วัดพลับ ปี16 หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก
    สมเด็จ อรหัง พุทธคุณด้านเมตตา ค้าขาย มีเสน่ห์ หลวงปู่โตีะ ปลุกเศก ออกวัด พลับ ปี 2516 โดยใช้ผงเก่าจำนวนมากมาบดผสม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธานพิธี หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก ส่วนใหญ่ด้านหลังจะมีหมึกแดงปั๊ม(บางองค์ก็ไม่ปั๊ม)

    วัตถุมงคลรุ่นนี้ได้รวบรวมโดยหลวงตาเหลือ วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับโดยผงส่วนใหญ่มาจากเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรีตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วนำผงแป้งดังกล่าวมาปั้นเป็นแท่งและลบผงให้เป็นผงวิเศษทั้ง 5 แล้วมาผสมเนื้อพระโดยมีพระมหาบรรจงเป็นผู้กดพิมพ์พระในช่วงปี 2514-16 เป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อกดพิมพ์แล้วเสร็จได้นำไปขอให้ หลวงปู่โต๊ะปลุกเสกตลอดไตรมาส แล้วจึงนำมาเตรียมบรรจุในฐานพระแต่ผู้จัดสร้างได้ลาสึกจากเพศบรรพชิตเสียก่อน พระที่สร้างจึงค้างอยู่ที่วัด โดยมีพระเถระรูปหนึ่งท่านเก็บรักษามาเกือบ 40 ปี พระรุ่นนี้หลวงปู่โต๊ะท่านได้นำไปแจกที่วัดถ้ำสิงห์โตทองจ.ราชบุรี และผงแป้งที่ได้มาจากเมืองอู่ทองก่อนมาลบเป็นผงวิเศษได้ให้หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆฯ ตรวจสอบ ซึ่งหลวงพ่อครื้นท่านบอกว่า มีพุทธคุณดีมาก นอกจากนี้พระรุ่นนี้ยังได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ของวัดพลับในปี 2516 โดยมีตราปั๊มรับรองจากวัดโดยตรง

    พระผงวัดราชสิทธาราม ( วัดพลับ ) ปี 2516 หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก พระวัดพลับองค์นี้จัดสร้างในปี16ครับ โดยใช้ผงเก่าจำนวนมากมาบดผสมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธานพิธี หลวงปู่โต๊ะปลุกเสกส่วนใหญ่ด้านหลังจะมีหมึกแดงปั๊ม(บางองค์ก็ไม่ปั๊ม)
    พระได้ถูกเก็บไว้หลายปีก่อนจะนำมาออกให้บูชาอีกครั้งในปี 2534เพื่อฉลองในงานอนุสรณ์ครบรอบ169ปี สังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)มวลสารดีพิธีใหญ่ น่าบูชามากครับ

    ปิดครับ

    30486.jpg 30487.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2019
  3. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่909 พระนางพญา หลวงปู่โต๊ะ พิมพ์อกนูน เนื้อดิน ปี2472 วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ
    นางพญาเนื้อดิน พ.ศ 2472 จัดเป็นพระยุคแรก ๆ ของหลวงปู่ซึ่งในสมัยก่อนหลวงปู่ได้ลบผงพุทธคุณไว้จำนวนหนึ่งและหลวงปู่ได้ นำผงพุทธคุณนี้ไปสร้าง 13 พิมพ์แรกของหลวงปู่ที่เหลือส่วนหนึ่งหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญได้นำไปสร้างพระผงของขวัญจนเป็นที่โด่งดัง และส่วนหนึ่งหลวงปู่ก็ได้นำมาสร้างพระนางพญา

    พระราชสังวราภิมณฑ์ หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ พระผู้ทรงบารมีธรรม ด้วยปฏิปทาและจริยาวัตรอันงดงาม ท่านมีคนเคารพนับถือมากทั้งผู้ที่ถือเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั่วประเทศตั้งแต่ พระประมุขของประเทศจนถึงชนชั้นสามัญชนคนธรรมดาทั่วไป ตลอดชีวิตของท่านได้ถือปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดไม่มีด่างพร้อยใดเลย ด้วยปฏิปทาและจริยาวัตรอันงดงามของหลวงปู่แทบจะไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่าหลวง ปู่ตั้งอยู่ในภูมิธรรมชั้นใด ทางด้านเวทมนต์และคาถาอาคมนั้นหลวงปู่ท่านเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมและจิตญานสูง มีคำบอกเล่าจากศิษย์ใกล้ชิดว่าเมื่อหลวงปู่ร่วมพิธีพุทธาภิเศกร่วมกับพระ เกจิอาจารย์ท่านอื่น เพียงแค่จับสายสิญจน์หลวงปู่ท่านก็จะรู้ได้ทันทีว่าพระเกจิท่านใดมีพลังจิต สูงเพียงใด หลังพิธีพุทธาเศกหลวงปู่ก็จะตามไปศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาอาคมเพิ่มเติมจาก พระเกจิท่านนั้น พระเครื่องของท่านนั้นเป็นที่นิยมเสาะหากันมากในหมู่ลูกศิษย์และประชาชนทั่ว ไป เนื่องด้วยปฏิปทาและจริยาวัตรอันงดงาม ของหลวงปู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งคือพุทธคุณที่เห็นเด่นชัดเห็นผลเร็วทันตา โดยเฉพาะทางด้านโชคลาภ ค้าขาย เมตตามหานิยม
    คุณshaj ปิดครับ

    IMG_25620513_163341.JPG IMG_25620513_163257.JPG 4625946-3.jpg get_auc3_img (4).jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2019
  4. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่910 ตะกรุดพญายันต์สาริกาคู่ ยุคต้น หลวงพ่อครูบาวัง วัดบ้านเด่น ขนาด 1.5 ซม.
    ตะกรุดสาริกาครูบาวัง พุทธคุณโดดเด่นด้านเมตามหานิยม ดึงดูเพศตรงข้าม เหมาะกับงานเจรา เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ดีมากๆครับ
    ทำมาหากินคล่องตัว เปรียบเสมือนม้าอาชานัยวิ่งไปข้างหน้า เจริญอุดมโภคทรัพย์ เมตตาค้าขาย เจริญก้าวหน้าใครก็ฉุดไม่อยู่ บางคนถูกหวย บางคนเจ้านายรัก ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

    ตะกรุดพญาสาลิกาคู่เมตตามหาเสน่ห์ หลวงพ่อครูบาวัง วัดบ้านเด่น ชนิดนี้สร้างน้อยมากครับน้อยกว่าจำปาสี่ต้นและเก้ากลุ่มอีก โดยส่วนมากท่านจะใส่ห้อยกับยันต์หนีบเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในสมัยนั้นหลวงพ่อชอบแจกให้กับเด็กหนุ่มและแม่ค้าที่มาทำธุระกับท่าน สมัยนี้หาให้เห็นได้ยากแล้วครับ ส่วนมากอยู่ในกระป๋องตังส์แม่ค้าในตลาดอำเภอเมืองตากหมดครับ ท่านว่าเป็นเมตตาในการพูดเจรจาค้าขายดีครับเหมือนต้องมนต์สะกด ทำให้คนเชื่อถือ ก็เปรียบว่า “คารมณ์เป็นต่อรูปหล่อเป็นลองครับ” มีอยู่คู่เดียวครับ
    คุณshaj ปิดครับ

    IMG_25620513_162931.JPG IMG_25620513_162846.JPG IMG_25620513_162814.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2019
  5. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,286
    ค่าพลัง:
    +6,448
    ขอจองครับ
     
  6. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,286
    ค่าพลัง:
    +6,448
    ขอจองครับ
     
  7. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รับทราบการจอง 909,910 ครับ
     
  8. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่911 พระผงสุพรรณ พิมพ์อกนูน หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ปี2512
    หลวงพ่อมุ่ย เป็นผู้ชอบศึกษาหาความรู้อยู่เสมอๆ จึงทำให้ท่านมีความชำนาญและเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนง อาจารย์ที่ท่านไปศึกษามานั้นมีมากมาย อาทิ หลวงปู่อ้น วัดดอนบุบผาราม พระเกจิอาจารย์ยุคเดียวกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท, พระอาจารย์กูน วัดบ้านทึง อ.สามชุก, หลวงพ่อปลั่ง วัดวิมลโภคาราม อ.สามชุก ฯลฯ

    หลวงพ่อมุ่ย เป็นพระสมถะ ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เสมอต้นเสมอปลาย มีความเมตตาแก่สัตว์โลกทั่วไปทุกหมู่เหล่า ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ตามที่ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานถวายชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช (จวน) วัดมกุฏกษัตริยาราม เสด็จมาเป็นประธานในการปลุกเสกพระเครื่องยุทธหัตถีที่พระวิสุทธิสารเถระ (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร เป็นผู้จัดสร้าง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้พบหลวงพ่อมุ่ย จึงตรัสถามท่านว่า “ทำไมจึงขลังนัก”

    หลวงพ่อมุ่ย ตอบว่า หากท่านจะขลังก็คงขลังที่ความดี เพราะตั้งแต่ท่านบวชมา ท่านไม่เคยทำชั่วเลย

    หลวงพ่อมุ่ย เป็นผู้มีวิชาอาคมสูง พระเครื่องที่ท่านปลุกเสกจึงมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในทุกด้าน จนเป็นที่ประจักษ์ของชาวบ้านในพุทธคุณต่างๆ

    ปิดครับ

    IMG_25620515_213931.JPG IMG_25620515_213903.JPG IMG_25620515_213826.JPG 4740440-440f8.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2019
  9. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่912 นางกวัก หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ขนาด 1.5*2 ซม.
    ***นะชาลีติ เรียกเงินเรียกทองโชคลาภ เมตตาค้าขายดี เงินทองไหลมาเทมา***
    หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ยุคหลังปี 2500 ที่มีชื่อเสียงด้านเมตตามหานิยม

    นามเดิม นายสงวน นามสกุล ร่มโพธิ์ชี ชาตะ เมื่อปี พ.ศ. 2460 พื้นเพเป็นชาวบ้าน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี

    เดิมสมัยเป็นฆราวาสวัยหนุ่ม ท่านมีนิสัยนักเลง เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่ยอมคน ไม่กลัวใคร ท่านยังรู้จักและสนิมสนมกับเสือในสมัยก่อน เช่น เสือมเหศวร เป็นต้น (ภายหลังจากที่ท่านบวช เสือมเหศวรยังได้ไปมาหาสู่ ช่วยสร้างวัดไผ่พันมือ ตลอดจนแม้ท่านมรณภาพก็ยังมาเป็นประธานในงานฌาปนกิจ)

    ราวปี 2470กว่าๆ ทางราชการเร่งปราบปรามบรรดาเสือและสมัครพรรคพวก หลวงพ่อสงวนเกรงว่าจะถูกทางราชการเพ่งเล็งว่าเป็นสมัครพรรคพวกบรรดาเสือ เมืองสุพรรณ จึงได้อุปสมบท ณ.พัทธสีมาวัดสังโฆษิตาราม อ.บางปลาม้า เมื่อราวปี พ.ศ.2480 โดยมีพระครูโฆสิตธรรมสาร หรือ หลวงพ่อครื้น อมโร เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลังจากอุปสมบทได้ศึกษาอักขระเลขยันต์คาถาอาคม การเขียนผง-ลบผงอิทธิเจ จากหลวงพ่อครื้น และศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วยจนสอบได้นักธรรมเอก

    ต่อมาย้ายไปจำพรรษาที่วัดองครักษ์ อ.บางปลาม้า ราว 4-5 พรรษา ชาวบ้านเลื่อมใสในปฎิปทาต้องการให้ท่านเป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านไม่ต้องการรับตำแหน่ง จึงปฏิเสธและย้ายมาอยู่วัดบ้างกร่าง อ.ศรีประจันต์ ในปี พ.ศ.2490 เป็นศิษย์พระเมธีธรรมสาร (ท่านเจ้าคุณไสว) ซึ่งท่านเจ้าคุณไสวรูปนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ชั้นแนวหน้าเมืองสุพรรณ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อาทิ พระพรหมคุณาภรณ์ (ท่านเจ้าคุณประยุต ประยุตโต ) , พระครูโสภณสิทธิการ (หลวงพ่อสันต์ ) วัดเสือ , หลวงพ่อน่วม วัดโพธิ์ศรีเจริญ , หลวงพ่อทวี (พระปลัดทวี) วัดบ้านกร่าง เป็นต้น ต่อมาหลวงพ่อสงวนท่านได้ลาสิกขาออกมาในช่วงราวปี 2498 ที่วัดบ้านกร่างนี่เอง

    ได้พบหญิงคนรัก มีครอบครัว บุตรและธิดา รวม 2 คน ชีวิตฆราวาสของท่านก็คงถือศีล นุ่งขาวห่มขาวมาตลอด และในช่วงปี พ.ศ.2500-2504 ท่านก็อาศัยอยู่ที่วัดห้วยสุวรรณวนาราม อ.ศรีประจันต์

    ต่อมาในปี พ.ศ.2505 ขณะอายุ 45 ปี ท่านก็ได้อุปสมบทอีกครั้ง ณ.พัทธสีมาวัดองครักษ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี โดยสันนิษฐานว่า พระครูอุดมโชติวัตร (หลวงพ่ออรรถ) วัดองครักษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วจำพรรษาที่วัดทุ่งแฝกประมาณ 7 พรรษา และที่วัดทุ่งแฝกนี้เองท่านเริ่มสร้างเครื่องราง เป็นลูกอมเนื้อผงแจกแก่ชาวบ้านครั้งแรกในราวปี 2510 ซึ่งส่วนใหญ่จะตกอยู่กับเด็กๆ เพราะแรกๆชาวบ้านไม่ค่อยชอบลูกอม ว่ากันว่า แรกๆชาวบ้านชอบพูดสนุกปากว่า “ลูกอมท่านยังกับลูกกระสุนยิงนก ไม่น่าแขวนน่าเอาไปยิงนกมากกว่า”หลังจากที่เด็กๆแขวนลูกอมของท่าน แต่ถูกหมากัดไม่เข้า จึงเริ่มมีชาวบ้านมาขอลูกอมท่าน

    ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2512 ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดไผ่พันมือ อ.ศรีประจันต์ ซึ่งขณะนั้นวัดไผ่พันมือเป็นป่าไผ่ มีต้นไม้ใหญ่มากมาย ต้องอาศัยชาวบ้านและพระเณรจากวัดองครักษ์ มาช่วยกันถากถางไม้ให้โล่งเตียน งูเหลือมก็มีมากมาย ขนาดที่ว่า งูชอบไปนอนขดในโบสถ์มหาอุตม์ที่วัด ซึ่งเป็นโบสถ์ที่สร้างในสมัยอยุธยา คราวละหลายๆตัว และโบสถ์นี้ในปัจจุบัน พระเณรในวัดก็ยังคงใช้โบสถ์หลังนี้มาโดยตลอด (ไม่มีการสร้างโบสถ์ใหม่)

    โบสถ์หลังนี้เป็นโบสถ์มหาอุด คือ มีทางเข้า-ออกเพียงทางเดียว ปัจจุบันหาดูได้ยากมาก

    แรกเริ่มที่ท่านมาจำวัดที่วัดไผ่พันมือ ท่านสร้างกระต๊อบหลังเล็กๆเพียงหลังเดียว อยู่ตามลำพัง ออกบิณฑบาตเช้าตรู่ด้วยเท้าเปล่าวันละ 5-6 กิโลเมตร วัดก็เป็นวัดร้าง ไม่มีพระเณรจำพรรษา แต่เพียงไม่กี่ปี ท่านก็สามารถสร้างวัดใหญ่มี กุฏิ ศาลาหลังใหญ่ได้อันเกิดจากศรัทธาชาวบ้านมีภิกษุสามเณรมาจำพรรษาที่วัดมาก ขึ้นท่านเป็นพระสมถะ น่ากราบไหว้ รวมตลอดจนเสียงร่ำลือจากประสบการณ์อภินิหารว่า ปลัดขิกและลูกอมท่านหมากัดไม่เข้า นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่อง เมตตามหานิยม ท่านเป็นพระที่ชอบดุบ่อยๆ แต่ชาวบ้านกลับไม่ถือสา แถมยังบอกว่า ถ้าท่านดุด่าว่าเมื่อไหร่เป็นได้โชคทุกครั้ง ท่านเป็นพระที่ไม่เคยเอ่ยปากขอ ไม่เคยเรี่ยไร แต่แปลกที่ท่านมีลาภสักการะไม่เคยขาด ศิษย์ทราบว่าสร้างอะไรก็จะบอกต่อๆกันไป ในช่วงที่ท่านเริ่มสร้างหวดมนต์ มีเงินเพียง 600 บาท( สร้างหอสวดมนต์ ช่วงปี 2522 – 2524) นายจวง คหบดี ในแถบทุ่งแฝก เคยปวารณาขอถวาย 50,000 บาท ช่วยสร้างหอสวดมนต์ แต่เริ่มสร้างก็ไม่นำเงินมาถวายสักทีจนสร้างเสร็จถึงได้นำเงินมาถวาย หลวงพ่อก็ไม่ยอมรับว่า สร้างเสร็จแล้วไม่เอาแล้ว ไม่ว่านายจวงจะพูดอย่างไร หลวงพ่อก็ไม่ยอมรับเพราะสร้างเสร็จแล้ว จนนายจวงไม่ทราบจะทำอย่างไรเพราะท่านไม่ยอมรับเงินจึงขอสร้างกุฏิถวายวัด หลวงพ่อก็บอกว่า “ตามใจจะสร้างก็ตามใจ” นายจวงจึงได้สร้างกุฏิวัดหลังเล็กๆถวายวัด

    หลวงพ่อสงวน ท่านเป็นผู้ที่อุทิศตนบุกเบิกสร้างวัดไผ่พันมือ โดยร่วมกับหลวงพ่อแกละ (สหธรรมิก) สร้างถาวรวัตถุภายในวัด หลวงพ่อแกละท่านชำนาญด้านดูดวง ส่วนหลวงพ่อสงวนชำนาญด้านรดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ปัจจัยที่ได้ท่านทั้งสองจะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในวัดทั้งสิ้น เรียกได้ว่า พระเณรในยุคนั้นไม่มีอดอยาก แม้ในคราวที่ฝนตกฟ้าร้องไม่อาจออกไปบิณฑบาต ก็มีข้าวปลาอาหารฉันไม่อด

    หลวงพ่อสงวนท่านเริ่มที่จะบูรณะวัดนี้โดยสร้างกุฏิไม้หลังเล็กๆขึ้นก่อน จากนั้นจึงสร้างศาลาหลังใหญ่ เมื่อราวปี 2526 ในการสร้างศาลาหลังใหญ่นี้ ได้มีการจัดสร้างเครื่องราง และพระเครื่องเนื้อผงเป็นจำนวนมากเพื่อแจกญาติโยมเป็นที่ระลึกในการร่วมทำ บุญสร้างศาลา ท่านสร้างพระเครื่องเนื้อผง โดยใช้มวลสารผงอิทธิเจที่ท่านปั้นและลบด้วยตัวเอง ตลอดจนดูแลการสร้างด้วยตัวเอง โดยให้พระเณรช่วยกันปั้นและกดพิมพ์พระ (มิใช่จ้างช่างไปทำตามโรงงานแบบที่แต่ละวัดทำในยุคหลังปี 2500) มีประสบการณ์อภินิหารมากมาย ทำให้มีลูกศิษย์นับถือท่านมากมายมาช่วยเหลือท่านสร้างวัดจนมีกุฏิ ศาลา หลังใหญ่

    พระเครื่องท่านสร้างจากผงอิทธิเจ ซึ่งท่านเขียนและลบผงด้วยตัวท่านเองตลอดชีวิต ศิษย์และกรรมการในสมัยนั้นต่างทราบดี ว่างจากรับแขก ท่านก็จะเขียนและลบผงทั้งคืน โดยนำมวลสารมาปั้นเป็นแท่ง เขียนแล้วลบเป็นผง จากนั้นก็นำมาเขียนแล้วลบเป็นผง ทำแบบนี้ซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งจนสำเร็จ จึงนำผงที่ได้มาผสมกับมวลสารอื่นๆอาทิ ว่าน ดินกรุ (ซึ่งบดละเอียด) เป็นต้น

    เรื่อง ผงอิทธิเจ ของท่านขึ้นชื่อมาก หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี เคยกล่าวว่าอาจารย์สงวน ทำผงเก่ง
    ในสมัยนั้นวัดพิกุลทอง มีงานพุทธาภิเษกพระเครื่องเมื่อใด หลวงพ่อแพจะส่งรถมารับหลวงพ่อสงวนอยู่เสมอๆ
    หลวงพ่อสงวนก็เคยกล่าวยกย่องให้ลูกๆหลานๆฟังเสมอว่า หลวงพ่อแพ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก ผ่านไปสิงห์บุรีให้ไปกราบท่านให้ได้นะ

    ปิดครับ

    IMG_25620515_214029.JPG IMG_25620515_214008.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2019
  10. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่913 พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์ ท่าเตียน พิมพ์เล็บมือ ปางมารวิชัย กรุงเทพ ปี ๒๔๘๕
    พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพ จัดสร้างราวปี ๒๔๘๕ เป็นพระดีที่มีประสบการณ์เชื่อถือได้เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งทหารไทยและทหารญี่ปุ่นเมื่อสมัยสงคราม เรื่อง"ทหารผี" ในสงครามเป็นที่กล่าวขาน ว่าทหารไทยโดนยิงล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่เพราะหนังเหนียว อาจารย์หนู เกจิชาวเขมรสร้างขึ้นในราวปี ๒๔๘๕ จากกระดูกผี ๗ ป่าช้า, ผงพระพุทธคุณ, ผงอิทธิเจและว่านอาถรรพ์ต่างๆ ท่านว่า นอกจากดีทางคงกระพันแล้ว ยังให้โชคในด้านการเสี่ยงการพนันขันต่ออีกด้วย เนื้อแกร่ง แห้ง เก่า มีมวลสาร ตัวจริงหายากมากมาย พุทธคุณ โชคลาภในการเสี่ยงดวง ป้องกันเหตุเภทภัย เมตตา ค้าขาย เสี่ยงโชคดีนักแล สุดยอดประสบการณ์ทหารผี สงครามอินโดจีน

    ตำนานอันลือลั่น " พระกระดูกผีวัดโพธิ์" โดนยิงล้มลง ยังลุกได้อีก จนฝรั่งเผ่นหนี ในสงครามอินโดจีน.. สามล้อนำมาห้อย ไม่มีผู้โดยสารทั้งวัน??

    ตำนานพระกระดูกผี วัดโพธิ์ ท่าเตียน

    พระกระดูกผีวัดโพธิ์ เกิดขึ้นสมัยสงครามอินโดจีน ตอนนั้นสมัย จอมพลป.พิบูลสงคราม เห็นว่าฝรั่งเศสอ่อนแอลง เพราะถูกเยอรมันบุกหนัก จอมพลป. จึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศส เรียกดินแดนที่ฝรั่งเศสยึดจากเราไป จึงเกิดกระแสตื่นตัวมาก บรรดาเกจิต่าง ล้วนออกวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายแก่ทหารไทย

    พระอาจารย์หนู เป็นชาวเขมร อยู่วัดโพธิ์ ท่าเตียน ก็ได้ร่วมสร้างพระขึ้นมา กรรมวิธีสร้างพระของท่าน นับว่าแปลกและไม่เหมือนใคร ท่านได้นำกระดูกคนที่ตายมาตำป่น ผสมกับผงอาถรรพ์ต่าง และว่านโพง(หรือว่านกระสือ) การทำกระดูกผีของท่าน นับว่าเป็นเจ้าแรกที่คนรู้จักอย่างกว้างขวาง

    พระกระดูกผี พระอาจารย์หนู มามีชื่อเสียงมาก ตอนที่ทหารไทยไปรบกับฝรั่งเศส ทำให้เกิดตำนาน คำว่าทหารผี เพราะทหารฝรั่งเศสเห็นชัดๆ ว่ายิงทหารไทยล้มกลิ้งล้ม
    หงาย สักพักลุกขึ้นเดินบุกเข้าใหม่ ทำเอาทหารฝรั่งเศสขวัญหนีดีฝ่อ ทิ้งค่ายแพ้ทหารไทยไปหลายที่

    หลังจากสงครามเลิก บางคนก็จะนำพระกระดูกผี ไปไว้ตามโคนโพธิ์ มีคนขี่สามล้อคนหนึ่ง ได้ไปนำพระกระดูกผีจากโคนโพธิ์มาติดตัว วันนั้นทั้งวันเขาหาลูกค้าไม่ได้เลย เห็นคนยืนอยู่โบกมือเรียก พอเข้าไปใกล้ ก็ไม่เรียก วันนั้นทั้งวันเป็นแบบนี้ตลอด พอตอนเย็น นั่งคุยกับพวกสามล้อด้วยกัน เพื่อนเลยพูดเย้าว่า แหมวันนี้เอ็งโชคดีจัง ข้าเจอเอ็งทุกครั้งมีคนนั่งตลอด ทำความงุนงงแก่เขามาก เพราะตั้งแต่เช้ายันเย็น เขายังไม่ได้รับผู้โดยสารสักคน เขามานั่งคิดดู ว่าทำไมเพื่อนจึงเห็นคนโดยสารเต็มรถตลอด ก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะพระกระดูกผี ทีเขานำมาติดตัวแน่นอน เขาจึงรีบเอาไปวางที่ต้นโพธิ์ เพราะขืนเอาไว้ใช้ อดตายแน่นอน

    ขอขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลข้อมูล ศิษย์สายวัดสะพานสูง

    ผงกระดูกผี เป็นพระเครื่องที่สร้างจากมวลสารไม่เหมือนพระเครื่องทั่วไป พระเครื่องชนิดนี้เขาใช้ผงและขี้เถ้าของกระดูกผีของคนที่ตายไปแล้วมาสร้าง ฉะนั้นพระผงกระดูกผีจึงย่อมมีอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างไปจากพระเครื่องธรรมดาทั่วๆไปแน่ พระผงกระดูกผีที่ขึ้นชื่อและมีผู้คนรู้จักมากก็ไม่มีที่ไหนดังเกินพระผงกระดูกผีของ วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเท ผู้สร้างคือ พระอาจารย์หนู พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวจ.สุรินทร์ เชื้อสายส่วย ท่านเป็นพระเกจิที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยศาสตร์ของเขมรมาก ปกติทุกวันท่านจะไม่ค่อยออกไปจากกุฎิพบปะพูดคุยกับพระสงฆ์รูปอื่นๆแต่ท่านชอบเก็บตัวเงียบอยู่ภายในกุฏิ เพื่อทบทวนวิชาและปฏิบัติพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แต่เพียงผู้เดียวตามลำพัง ภายในกุฏิของท่านจะเต็มไปด้วยโต๊ะบูชาและเครื่องเซ่นต่างๆตามพิธีกรรมของพวกเขมร บรรยากาศภายในกกุฏิของท่านดูเงียบสงบ วังเวงและดูน่ากลัว หากไม่มีความจำเป็นก็จะไม่มีใครอยากเข้าไปภายในกุฏิของท่าน แม้แต่เดินผ่านก็ไม่มีใครอยากเดินผ่านเข้าไปเพราะลือกันว่าพระอาจารย์หนูท่านเลี้ยงผีเอาไว้ แต่ก็มีชาวบ้านบ้างบางคนที่ว่าท่านมีวิชาดีจึงพากันไปขอให้ท่านทำวัตถุมงคลให้ มูลเหตุการสร้างพระผงกระดูกผีวัดโพธิ์ เนื่องจากเมื่อปีพศ.๒๔๘๔ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นบวกกับสงครามอินโดจีนโดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ไทยต้องเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ และทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหลายแห่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงได้ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดถล่มตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในประเทสไทยหลายจุดเพื่อเป็นการตัดกำลังฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะกรุงเทพสภาพทั่วไปของบ้านเมืองเต็มไปด้วยซากหักพังของการทิ้งระเบิด ประชาชนตกอยู่ในความหวาดกลัวและการสูญเสีย บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆจึงพากันสร้างวัตถุมงคลแจกจ่ายเพื่อเป็นการปลอบขวัญและเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารและประชาชนกันมาก พระเกจิบางท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคลแต่เมื่อสภาพบ้านเมืองเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีอะไรที่จะช่วยจึงต้องสร้างวัตถุมงคลออกแจกจ่ายเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พระอาจารย์หนูจากการที่ท่านเป็นพระที่ชอบเก็บตัวเงียบทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามลำพัง ไม่ชอบยุ่งสุงสิงกับใครแม้แต่พระสงฆ์ด้วยกัน แต่เมื่อเกิดภาวะสงครามขึ้น ท่านจึงได้คิดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายกับทหารและชาวบ้านเพื่อนำไปบูชาคุ้มครอง และนี่คือสาเหตุของการเกิด”พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์”ที่ขึ้นชื่อด้านอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์อย่างมากมาย เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้วแต่เรื่องราวปาฏิหารย์ของพระเครื่องตระผมลนี้ยังเป็นที่เล่าขานกันอยู่เสมอ เพราะการที่ท่านมีเชื้อสาย”ส่วย”วิชาอาคมของท่านจึงเป็นไปในทางเขมรหรือขอมโบราณ ซึ่งพิธีกรรมจะหนักไปในทางลัทธิของศาสนาพราหมณ์และขอมโบราณ ท่านจึงสร้างพระเครื่องที่ยึดเอาคติพิธีกรรมมาจากสายนี้ พระเครื่องของท่านแทนที่จะสร้างจากผงวิเศษหรือโลหะแบบพระทั่วไป ท่านกลับสร้างด้วยวัตถุอาถรรพ์จำพวกผงกระดูกผี โดยท่านได้เอาผงกระดูกผีที่เก็บรวบรวมมาได้ ๗ ป่าช้า นอกจากผงผี ๗ ป่าช้าแล้วยังมีมวลสารอีกชนิดที่คอยสร้างเรื่องราวด้านปาฏิหารย์อัศจรรย(รอ-หัน)ให้กับพระรุ่นนี้อย่างมากมายนั่นคือ”ว่านโพง” ว่านโพงนี้ชาวบ้านแถบคุณสาน(พิมพ์ตรงๆไม่ได้ครับเดี๋ยวไม่ผ่าน)เรียกกันว่า “ว่านกระสือ”หรือ”ว่านผีปอบ” ซึ่งขึ้นตามป่าทึบแถวภาคคุณสาน ดดยเฉพาะชายแดนที่ติดกับเขมรจะพบบ่อย ว่านนี้คนสมัยก่อนเชื่อกันว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่ ว่านชนิดนี้ชอบกินเลือดสดๆและเนื้อสัตว์ป่าเป็นอาหาร อาจารย์ไสยเวทย์ที่เป็นฆราวาสชอบนำว่านชนิดนี้มาเลี้ยงไว้เพื่อใช้ให้ทำงานต่างๆให้โดยเฉพาะการสั่งให้ไปทำร้ายคู่อริหรือฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่จะเลี้ยงว่านชนิดนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมแกกล้าเข้าขั้นทีเดียวจึงจะสามารถสะกดเหล่าดวงวิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในว่านให้อยู่ภายใต้คำสั่งได้ หากมิฉะนั้นดวงวิญญารณเหล่านั้นที่อยู่ในว่านโพงจะก็จะทำร้ายและกินผู้เลี้ยงเป็นอาหารแทน หากว่าไม่สามารถสะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ พระอาจารย์หนูท่านนำวัตถุอาถรรพ์เหล่านี้มาบดละเอียดคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมากดพิมพ์เป็นพระเครื่อง โดยก่อนนำมากดพิมพ์ท่านได้สะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นแล้วซึ่งทุกขั้นตอนตั้งแต่การผสม การบดการตำและการกดพิมพ์ ทานได้กระทำแต่เพียงผู้เดียวเพราะจะต้องบริกรรมคาถาตลอดเวลาที่กระทำ เมื่อได้พระจำนวนหนึ่งแล้วลพ.หนูท่านได้นำไปปลุกเสกภายในกุฏิตามลำพังอีกรอบ เมื่อแรกที่นำออกแจกจ่ายไม่ค่อยมีคนอยากมารับเพราะหวาดกลัวในมวลสาร จะมีก็เฉพาะลูกศิษย์เท่านั้นที่กล้าไปรับก็พวกเด็กวัดกับชาวบ้านในระแวกวัดโพธิ์ ที่มารับๆกันเพราะเห็นว่าได้ฟรี ผ่านไปไม่นานนักพระชนิดนี้ได้ก่อปาฏิหารย์ด้านคุ้มครองอย่างแปลกประหลาดด้านคุ้มครองอันตรายขึ้นมาหลายครั้งจากการทิ้งระเบิด ผู้ทราบข่าวจึงแห่กันมาที่วัดเพื่อมาขอพระและคราวนี้มาโดยไม่หวาดกลัวเหมือนคราวก่อน เมื่อพระกระดูกผีมีไม่เพียงพอ พระอาจารย์หนูท่านจึงได้สร้างขึ้นมาอีกครั้งโดยได้รวบรวมมวลสารขึ้นมาอีกรอบ โดยเมื่อพอกดพิมพ์เสร็จก็ปลุกเสกกันเลยแล้วแจกจ่ายแก่ชาวบ้านทั้งที่พระยังหมาดๆแห้งไม่สนิท(แจกด่วน) เรื่องอิทธิปาฏิหารย์พระเครื่องกระดูกผีมีให้เล่ากันตลอดและมีความแปลกประหลาดด้านคุ้มครองอย่างมากมาย
    บูชา 1150 บาท

    IMG_25620515_213740.JPG IMG_25620515_213718.JPG tnews_1499689402_5773.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2019
  11. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่914 นางกวัก วัดมฤคทายวัลย์ ๒๔๖๒ หลังเรียบ เนื้อดำผสมผงใบลาน หลวงปู่นาค วัดหัวหิน ขนาดประมาณ ๑.๒๐ x ๒.๐๐ ซม.
    วัดมฤคทายวัน มีชื่อมาจากป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งตามพุทธประวัติเป็นที่พำนักของพระปัญจวัคคีย์ หลังจากเสื่อมศรัทธาในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และเป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา "พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จนพระโกณฑัญญะหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ขออุปสมบท เป็นพระภิกษุองค์แรกของพระพุทธองค์ และครั้งแรกในพุทธกาลจ่ะ
    วัดมฤคทายวัน ตั้งอยู่ติดกับพระที่นั่งไกลกังวล ซึ่งสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน และเมื่อพระองค์เสด็จแปรพระราชฐานมายังพระที่นั่งไกลกังวล ก็มักทรงสดับพระธรรมเทศนาและสนทนาธรรมกับพระภิกษุผู้มีศีลาจารวัตรงดงาม รวมถึงหลวงปู่นาค ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมฤคทายวันในสมัยนั้น นอกจากท่านจะมีศีลาจารวัตรงดงามแล้ว ท่านยังเป็นพระเกจิที่เชี่ยวชาญในวิทยาอาคมเข้มขลังเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวจังหวัดเพชรบุรีและใกล้เคียง วัตถุมงคลของท่านมีมากมายซึ่งล้วนเป็นที่นิยมสะสมและปรากฏพุทธาคมประจักษ์เป็นที่เลื่องลือ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านไม่ยอมสร้างคือรูปเหมือนตัวท่านเอง ท่านให้เหตุผลว่า "ท่านไม่เก่ง จะไปสร้างรูปให้เขากราบไหว้ได้อย่างไร ต้องสร้างเป็นพระพุทธเจ้าจะเหมาะกว่า" เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่นาคที่นิยมเล่นหากันอยู่นั้นก็เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน
    วัตถุมงคลของหลวงปู่นาคที่เป็นที่นิยมสะสมกันมากที่สุดคือ "พระสมเด็จวัดมฤคทายวัน" สร้างในราวปีพ.ศ.2462 เป็นพระเนื้อผงทรงสี่เหลี่ยม คล้ายพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ปรกโพธิ์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เนื้อหามวลสารประกอบด้วยปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก และที่สำคัญคือ "ผงตรีนิสิงเห" อันเป็นผงวิเศษหลักในการสร้างพระสมเด็จมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) จนถึงท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีอานุภาพนานัปการ ทั้งเมตตามหานิยมแคล้วคลาด และคงกระพันชาตรี จากนั้นมาผสมรวมกับมวลสารมงคลอื่นๆ แล้วใช้น้ำมันตังอิ๊วกับน้ำมันลินสีดเป็นตัวประสาน เนื้อมวลสารที่เป็นปูนเปลือกหอยก็จะอมน้ำมันทำให้เนื้อขององค์พระแลดูชุ่มและนุ่ม ส่วนผงตรีนิสิงเหนั้นไม่อมน้ำมันจึงปรากฏเป็นผงสีเหลืองนวลแทรกอยู่ในเนื้อขององค์พระลักษณะเหมือนถั่วตัดสวยงามมาก โบราณจารย์บางท่านมักเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "พระผงน้ำมัน" ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นตระกูลของพระผงน้ำมันทีเดียว และนอกจากนี้ยังได้มีการเผาใบลานจากคัมภีร์โบราณเพื่อนำมาทำเนื้อพระ พระที่ได้มีสีดำที่เรียกว่าผงใบลานแต่มีจำนวนน้อย เรื่องเกี่ยวกับแม่พิมพ์เป็นช่างหลวงแกะพิมพ์พิมพ์ทรงจึงสวยงาม หลากหลาย มีทั้งด้านหลังประทับยันต์และไม่ประทับยันต์ พิธีพุทธาภิเษก ก็จัดอย่างใหญ่โตสมบูรณ์แบบทั้งพิธีหลวง พิธีพราหมณ์ รวมถึงพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นร่วมปลุกเสก และหลวงปู่นาคปลุกเสกด้วยตนเองอีกรอบหนึ่ง

    ปิดครับ

    IMG_25620515_213543.JPG IMG_25620515_213519.JPG U14724546358969461645306111.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2019
  12. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่915 พระนางพญาผสมสีผึ้งเขียว หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง (ด้านหน้ามีสีผึ้งเขียวติด)
    **พระชุดนี้ของดีราคาเบา ประวัติการสร้างชัดเจน ทาบทิม ทิมทาบ **เนื้อดินผสมสีผึ้งเขียวเข้มข้น พุทธคุณไม่ต้องบรรยาย เสน่ห์เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด อย่างเอกอุ**
    พระหลวงพ่อทวด ผสมสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2505
    โดยอาจารย์ปถม อาจสาคร เป็นผู้แนะนำ การตำ คลุกเค้าผงและกดพิมพ์พระ
    ลักษณะ เป็นพระเนื้อผงผสมสีผึ้งเขียว สีดำเข้ม มีทั้งแบบปิดทองคำเปลวด้านหน้าและไม่ปิดทอง พุทธคุณ อานุภาพสุดยอดด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้วคลาดและโชคลาภค้าขาย

    มวลสารส่วนผสมบางส่วน
    1.ผงวิเศษเก่าของหลวงพ่อทาบ
    2.สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ
    3.ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ของอาจารย์ปถม อาจสาคร
    4.ผงถ่านคัมภีร์ใบลานโบราณเก่าของหลวงพ่อทาบ
    5.ผงวิเศษของหลวงพ่อบุญมี วัดโพธิสัมพันธ์ อ.ศรีราชา ชลบุรี
    6.ผงดินมงคลของหลวงพ่อทาบ
    7.ผงโยคีฮาเล็บ วัดสารนาถ อ.แกลง
    ปลุกเสก2ครั้ง
    หลวงพ่อทาบปลุกเสกเดี่ยว 1 พรรษาเต็ม เมื่อใกล้งานผูกพัทธสีมาวัดกระบกขึ้นผึ้ง
    ปลุกเสกครั้งที่ 1 รายนามพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก ณ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    1.หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ รับนิมนต์เป็นประธานพิธี
    2.หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก
    3.หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง
    4.หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก
    พระเกจิอาจารย์ได้เข้าสมาธินั่งปรกปลุกเสกตั้งแต่ 18.00 น. ถึงประมาณ 02.00 น. ของวันใหม่
    โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ทิมอิสริโกรับนิมนต์มาปลุกเสกนอกวัดละหารไร่ และท่านได้นั่งปรกปลุกเสกรวดเดียว 8ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักฉันน้ำชา (ปกติจะลั่นฆ้องทุก 2ชั่วโมงเพื่อให้พระคุณเจ้าได้ถอนสมาธิพักผ่อนอิริยาบถและฉันน้ำชาประมาณ 30นาที)
    ปลุกเสกครั้งที่ 2
    หลวงพ่อทาบปลุกเสก 1 พรรษา ก่อนแจกให้ผู้ร่วมทำบุญงานผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดกระบกขึ้นผึ้ง

    บูชา 650 บาท

    IMG_25620515_213446.JPG IMG_25620515_213417.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2019
  13. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่916 พระผงกรรมฐานพิมพ์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.อยุธยา
    พระหลวงปู่ทวดของวัดสะแก อยุธยา ที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่ดู่ (พรหมปัญโญ) ซึ่งท่านเป็นศิษย์สายวัดพระญาติการาม หลวงปู่ดู่ท่านมีความเคารพนับถือหลวงปู่ทวดมาก และมักจะเรียกว่าอาจารย์เสมอๆ ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อท่านนั่งกัมมัฏฐาน เวลาติดขัดมีปัญหา หลวงปู่ทวดจะมาปรากฏในนิมิต ช่วยแนะนำท่านตลอด ดังนั้น พระเครื่องที่ท่านสร้างจึงเป็นพระหลวงปู่ทวดมากมายหลายรุ่น โดยปลุกเสกเดี่ยวทุกครั้ง การแบ่งแยกรุ่นบางพิมพ์คงทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากท่านสร้างไว้มากมายหลายรุ่นหลายวาระ หลายพิมพ์ จึงอาจจะแบ่งแยกเป็นประเภทได้ดังนี้ ประเภทพระบูชา ประเภทพระเครื่องเนื้อผง ประเภทเหรียญ และพระรูปเหมือนหลวงปู่ทวดลอยองค์ เป็นต้น พระเครื่องหลวงปู่ทวด ของหลวงปู่ดู่ที่รู้จักกันดี ก็คือเหรียญเปิดโลกสร้างในปี พ.ศ.2532 มีอยู่หลายเนื้อด้วยกัน ทั้งทองคำ เงิน ทองแดง เนื้อตะกั่ว สำหรับพระรุ่นนี้มีสนนราคาสูงมาตั้งแต่ใน ตอนที่พระออกใหม่ๆ แล้ว และในปัจจุบันก็มีราคาสูงมากเป็นที่ นิยม ส่วนในอีกรุ่นที่เป็นพระเนื้อผงกัมมัฏฐาน ซึ่งสร้างมานานแล้วที่ผมจะกล่าวถึง สนนราคายังไม่สูงมากนักครับ ซึ่งเป็นพระหลวงปู่ทวดของหลวงปู่ดู่ที่สร้างในระยะแรกๆ ซึ่งหลวงปู่ทำแจก จึงไม่ค่อยได้พิถีพิถันในเรื่องพิมพ์นัก เมื่อท่านเห็นลูกศิษย์ของท่านแขวนพระหลวงปู่ทวด และท่านเห็นว่าสวยดี ท่านก็จะขอมากดแม่พิมพ์ไว้ โดยไม่เจาะจงว่าเป็นรุ่นใดหรือวัดใด หลังจากนั้นท่านก็พิมพ์พระหลวงปู่ทวดด้วยเนื้อผงขาวเก็บไว้พิมพ์ละไม่มากนักในแต่ละครั้ง เวลาลูกศิษย์หรือผู้เคารพศรัทธาไปกราบขอขึ้นกัมมัฏฐานกับท่าน จะได้รับมอบพระเนื้อผงขาว 1 องค์ จึงมักเรียกพระเนื้อผงขาวทุกพิมพ์ว่า "พระผงกัมมัฏฐาน" สำหรับพระหลวงปู่ทวด ด้านหลังบางองค์จะปั๊มตรายางสีน้ำเงินเป็นรูปกงจักร ตรงกลางเป็นตัวอักษร พ. ซึ่งหมายถึง พรหมปัญโญ พระดังกล่าวนี้เป็นพระที่ค้นพบภายในกุฏิของหลวงปู่ดู่ ภายหลังที่ท่านได้มรณภาพแล้ว และกรรมการวัดได้รวบรวมปั๊มตรายางไว้ จากนั้นจึงนำออกมาให้เช่าไม่นานก็หมด พระเหล่านี้ทันยุคหลวงปู่ดู่อย่างแน่นอน บางองค์เป็นพระยุคแรกๆ ด้วยซ้ำไป พระเครื่องหลวงปู่ดู่ ทุกรุ่นทุกพิมพ์ เป็นพระที่มีพุทธคุณ สูงยิ่ง เนื่องจากท่านสนใจศึกษาทางด้านพุทธาคมจากหลายอาจารย์โดยเฉพาะหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ ทำให้ท่านมีความเข้มขลัง ต่อมาท่านเคร่งครัดทางด้านปฏิบัติวิปัสสนาและเชื่อกันว่าท่านสำเร็จธรรมชั้นสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่พระของท่านเกิดประสบการณ์กับผู้ใช้บูชามากมาย และมีค่านิยมสูงขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะพระที่สร้างในรูปลักษณ์ขององค์หลวงปู่ทวดครับ
    บูชา 950 บาท

    IMG_25620512_062826.JPG IMG_25620512_062801.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2019
  14. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่917 พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์ ท่าเตียน พิมพ์พระรอด กรุงเทพ ปี ๒๔๘๕
    พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพ จัดสร้างราวปี ๒๔๘๕ เป็นพระดีที่มีประสบการณ์เชื่อถือได้เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งทหารไทยและทหารญี่ปุ่นเมื่อสมัยสงคราม เรื่อง"ทหารผี" ในสงครามเป็นที่กล่าวขาน ว่าทหารไทยโดนยิงล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่เพราะหนังเหนียว อาจารย์หนู เกจิชาวเขมรสร้างขึ้นในราวปี ๒๔๘๕ จากกระดูกผี ๗ ป่าช้า, ผงพระพุทธคุณ, ผงอิทธิเจและว่านอาถรรพ์ต่างๆ ท่านว่า นอกจากดีทางคงกระพันแล้ว ยังให้โชคในด้านการเสี่ยงการพนันขันต่ออีกด้วย เนื้อแกร่ง แห้ง เก่า มีมวลสาร ตัวจริงหายากมากมาย พุทธคุณ โชคลาภในการเสี่ยงดวง ป้องกันเหตุเภทภัย เมตตา ค้าขาย เสี่ยงโชคดีนักแล สุดยอดประสบการณ์ทหารผี สงครามอินโดจีน

    ตำนานอันลือลั่น " พระกระดูกผีวัดโพธิ์" โดนยิงล้มลง ยังลุกได้อีก จนฝรั่งเผ่นหนี ในสงครามอินโดจีน.. สามล้อนำมาห้อย ไม่มีผู้โดยสารทั้งวัน??

    ตำนานพระกระดูกผี วัดโพธิ์ ท่าเตียน

    พระกระดูกผีวัดโพธิ์ เกิดขึ้นสมัยสงครามอินโดจีน ตอนนั้นสมัย จอมพลป.พิบูลสงคราม เห็นว่าฝรั่งเศสอ่อนแอลง เพราะถูกเยอรมันบุกหนัก จอมพลป. จึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศส เรียกดินแดนที่ฝรั่งเศสยึดจากเราไป จึงเกิดกระแสตื่นตัวมาก บรรดาเกจิต่าง ล้วนออกวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายแก่ทหารไทย

    พระอาจารย์หนู เป็นชาวเขมร อยู่วัดโพธิ์ ท่าเตียน ก็ได้ร่วมสร้างพระขึ้นมา กรรมวิธีสร้างพระของท่าน นับว่าแปลกและไม่เหมือนใคร ท่านได้นำกระดูกคนที่ตายมาตำป่น ผสมกับผงอาถรรพ์ต่าง และว่านโพง(หรือว่านกระสือ) การทำกระดูกผีของท่าน นับว่าเป็นเจ้าแรกที่คนรู้จักอย่างกว้างขวาง

    พระกระดูกผี พระอาจารย์หนู มามีชื่อเสียงมาก ตอนที่ทหารไทยไปรบกับฝรั่งเศส ทำให้เกิดตำนาน คำว่าทหารผี เพราะทหารฝรั่งเศสเห็นชัดๆ ว่ายิงทหารไทยล้มกลิ้งล้ม
    หงาย สักพักลุกขึ้นเดินบุกเข้าใหม่ ทำเอาทหารฝรั่งเศสขวัญหนีดีฝ่อ ทิ้งค่ายแพ้ทหารไทยไปหลายที่

    หลังจากสงครามเลิก บางคนก็จะนำพระกระดูกผี ไปไว้ตามโคนโพธิ์ มีคนขี่สามล้อคนหนึ่ง ได้ไปนำพระกระดูกผีจากโคนโพธิ์มาติดตัว วันนั้นทั้งวันเขาหาลูกค้าไม่ได้เลย เห็นคนยืนอยู่โบกมือเรียก พอเข้าไปใกล้ ก็ไม่เรียก วันนั้นทั้งวันเป็นแบบนี้ตลอด พอตอนเย็น นั่งคุยกับพวกสามล้อด้วยกัน เพื่อนเลยพูดเย้าว่า แหมวันนี้เอ็งโชคดีจัง ข้าเจอเอ็งทุกครั้งมีคนนั่งตลอด ทำความงุนงงแก่เขามาก เพราะตั้งแต่เช้ายันเย็น เขายังไม่ได้รับผู้โดยสารสักคน เขามานั่งคิดดู ว่าทำไมเพื่อนจึงเห็นคนโดยสารเต็มรถตลอด ก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะพระกระดูกผี ทีเขานำมาติดตัวแน่นอน เขาจึงรีบเอาไปวางที่ต้นโพธิ์ เพราะขืนเอาไว้ใช้ อดตายแน่นอน
    ขอขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลข้อมูล ศิษย์สายวัดสะพานสูง

    ผงกระดูกผี เป็นพระเครื่องที่สร้างจากมวลสารไม่เหมือนพระเครื่องทั่วไป พระเครื่องชนิดนี้เขาใช้ผงและขี้เถ้าของกระดูกผีของคนที่ตายไปแล้วมาสร้าง ฉะนั้นพระผงกระดูกผีจึงย่อมมีอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างไปจากพระเครื่องธรรมดาทั่วๆไปแน่ พระผงกระดูกผีที่ขึ้นชื่อและมีผู้คนรู้จักมากก็ไม่มีที่ไหนดังเกินพระผงกระดูกผีของ วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเท ผู้สร้างคือ พระอาจารย์หนู พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวจ.สุรินทร์ เชื้อสายส่วย ท่านเป็นพระเกจิที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยศาสตร์ของเขมรมาก ปกติทุกวันท่านจะไม่ค่อยออกไปจากกุฎิพบปะพูดคุยกับพระสงฆ์รูปอื่นๆแต่ท่านชอบเก็บตัวเงียบอยู่ภายในกุฏิ เพื่อทบทวนวิชาและปฏิบัติพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แต่เพียงผู้เดียวตามลำพัง ภายในกุฏิของท่านจะเต็มไปด้วยโต๊ะบูชาและเครื่องเซ่นต่างๆตามพิธีกรรมของพวกเขมร บรรยากาศภายในกกุฏิของท่านดูเงียบสงบ วังเวงและดูน่ากลัว หากไม่มีความจำเป็นก็จะไม่มีใครอยากเข้าไปภายในกุฏิของท่าน แม้แต่เดินผ่านก็ไม่มีใครอยากเดินผ่านเข้าไปเพราะลือกันว่าพระอาจารย์หนูท่านเลี้ยงผีเอาไว้ แต่ก็มีชาวบ้านบ้างบางคนที่ว่าท่านมีวิชาดีจึงพากันไปขอให้ท่านทำวัตถุมงคลให้ มูลเหตุการสร้างพระผงกระดูกผีวัดโพธิ์เนื่องจากเมื่อปีพศ.๒๔๘๔ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นบวกกับสงครามอินโดจีนโดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ไทยต้องเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ และทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหลายแห่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงได้ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดถล่มตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในประเทสไทยหลายจุดเพื่อเป็นการตัดกำลังฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะกรุงเทพสภาพทั่วไปของบ้านเมืองเต็มไปด้วยซากหักพังของการทิ้งระเบิด ประชาชนตกอยู่ในความหวาดกลัวและการสูญเสีย บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆจึงพากันสร้างวัตถุมงคลแจกจ่ายเพื่อเป็นการปลอบขวัญและเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารและประชาชนกันมาก พระเกจิบางท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคลแต่เมื่อสภาพบ้านเมืองเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีอะไรที่จะช่วยจึงต้องสร้างวัตถุมงคลออกแจกจ่ายเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พระอาจารย์หนูจากการที่ท่านเป็นพระที่ชอบเก็บตัวเงียบทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามลำพัง ไม่ชอบยุ่งสุงสิงกับใครแม้แต่พระสงฆ์ด้วยกัน แต่เมื่อเกิดภาวะสงครามขึ้น ท่านจึงได้คิดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายกับทหารและชาวบ้านเพื่อนำไปบูชาคุ้มครอง และนี่คือสาเหตุของการเกิด”พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์”ที่ขึ้นชื่อด้านอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์อย่างมากมาย เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้วแต่เรื่องราวปาฏิหารย์ของพระเครื่องตระผมลนี้ยังเป็นที่เล่าขานกันอยู่เสมอ เพราะการที่ท่านมีเชื้อสาย”ส่วย”วิชาอาคมของท่านจึงเป็นไปในทางเขมรหรือขอมโบราณ ซึ่งพิธีกรรมจะหนักไปในทางลัทธิของศาสนาพราหมณ์และขอมโบราณ ท่านจึงสร้างพระเครื่องที่ยึดเอาคติพิธีกรรมมาจากสายนี้ พระเครื่องของท่านแทนที่จะสร้างจากผงวิเศษหรือโลหะแบบพระทั่วไป ท่านกลับสร้างด้วยวัตถุอาถรรพ์จำพวกผงกระดูกผี โดยท่านได้เอาผงกระดูกผีที่เก็บรวบรวมมาได้ ๗ ป่าช้า นอกจากผงผี ๗ ป่าช้าแล้วยังมีมวลสารอีกชนิดที่คอยสร้างเรื่องราวด้านปาฏิหารย์อัศจรรย(รอ-หัน)ให้กับพระรุ่นนี้อย่างมากมายนั่นคือ”ว่านโพง” ว่านโพงนี้ชาวบ้านแถบคุณสาน(พิมพ์ตรงๆไม่ได้ครับเดี๋ยวไม่ผ่าน)เรียกกันว่า “ว่านกระสือ”หรือ”ว่านผีปอบ” ซึ่งขึ้นตามป่าทึบแถวภาคคุณสาน ดดยเฉพาะชายแดนที่ติดกับเขมรจะพบบ่อย ว่านนี้คนสมัยก่อนเชื่อกันว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่ ว่านชนิดนี้ชอบกินเลือดสดๆและเนื้อสัตว์ป่าเป็นอาหาร อาจารย์ไสยเวทย์ที่เป็นฆราวาสชอบนำว่านชนิดนี้มาเลี้ยงไว้เพื่อใช้ให้ทำงานต่างๆให้โดยเฉพาะการสั่งให้ไปทำร้ายคู่อริหรือฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่จะเลี้ยงว่านชนิดนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมแกกล้าเข้าขั้นทีเดียวจึงจะสามารถสะกดเหล่าดวงวิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในว่านให้อยู่ภายใต้คำสั่งได้ หากมิฉะนั้นดวงวิญญารณเหล่านั้นที่อยู่ในว่านโพงจะก็จะทำร้ายและกินผู้เลี้ยงเป็นอาหารแทน หากว่าไม่สามารถสะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ พระอาจารย์หนูท่านนำวัตถุอาถรรพ์เหล่านี้มาบดละเอียดคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมากดพิมพ์เป็นพระเครื่อง โดยก่อนนำมากดพิมพ์ท่านได้สะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นแล้วซึ่งทุกขั้นตอนตั้งแต่การผสม การบดการตำและการกดพิมพ์ ทานได้กระทำแต่เพียงผู้เดียวเพราะจะต้องบริกรรมคาถาตลอดเวลาที่กระทำ เมื่อได้พระจำนวนหนึ่งแล้วลพ.หนูท่านได้นำไปปลุกเสกภายในกุฏิตามลำพังอีกรอบ เมื่อแรกที่นำออกแจกจ่ายไม่ค่อยมีคนอยากมารับเพราะหวาดกลัวในมวลสาร จะมีก็เฉพาะลูกศิษย์เท่านั้นที่กล้าไปรับก็พวกเด็กวัดกับชาวบ้านในระแวกวัดโพธิ์ ที่มารับๆกันเพราะเห็นว่าได้ฟรี ผ่านไปไม่นานนักพระชนิดนี้ได้ก่อปาฏิหารย์ด้านคุ้มครองอย่างแปลกประหลาดด้านคุ้มครองอันตรายขึ้นมาหลายครั้งจากการทิ้งระเบิด ผู้ทราบข่าวจึงแห่กันมาที่วัดเพื่อมาขอพระและคราวนี้มาโดยไม่หวาดกลัวเหมือนคราวก่อน เมื่อพระกระดูกผีมีไม่เพียงพอ พระอาจารย์หนูท่านจึงได้สร้างขึ้นมาอีกครั้งโดยได้รวบรวมมวลสารขึ้นมาอีกรอบ โดยเมื่อพอกดพิมพ์เสร็จก็ปลุกเสกกันเลยแล้วแจกจ่ายแก่ชาวบ้านทั้งที่พระยังหมาดๆแห้งไม่สนิท(แจกด่วน) เรื่องอิทธิปาฏิหารย์พระเครื่องกระดูกผีมีให้เล่ากันตลอดและมีความแปลกประหลาดด้านคุ้มครองอย่างมากมาย

    บูชา 1150 บาท

    IMG_25620515_213648.JPG IMG_25620515_213624.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2019
  15. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    ***ชานหมาก ยุคต้น หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน***
    IMG_25620515_214211.JPG
     
  16. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่918 เหรียญพระพุทธเจ้าปางห้ามสมุทร หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ออกวัดเลียบราษฎร์บำรุง ปี 2526
    เหรียญพระพุทธเจ้าห้ามสมุทร ด้านหลังพระนารายณ์ประทับหนุมาน ปี 2526 วัดเลียบราษฎร์บำรุง เหรียญรุ่นนี้สนับสนุนและจัดสร้างโดยรัฐบาลเขมร ซึ่งมาขอบารมีหลวงพ่อสร้อยและหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ในปี พ.ศ.2526 เพื่อแจกให้กับทหารของรัฐบาลเขมร เหรียญรุ่นนี้ออกแบบเองโดยหลวงพ่อสร้อย จะเห็นได้หลวงพ่อสร้อยท่านไม่ได้มีฤทธิ์อย่างเดียว ท่านยังเก่งในเรื่องสร้างวัตถุมงคลต่างๆ ด้วย ด้านหน้าเป็นพระพุทธเจ้าปางห้ามสมุทร ด้านหลังเป็นนารายณ์แสดงฤทธิ์ทรงหนุมาน เหรียญนี้สร้างเป็นจำนวนมาก หลวงปู่สรวงกับหลวงพ่อสร้อยอธิฐานจิตเกิน 20 ครั้ง เป็นอย่างน้อย พอแล้วเสร็จในช่วงเสกเสร็จใหม่ๆช่วงเวลานั้น รัฐบาลเขมรมีความไม่สงบเกิดขึ้น เกี่ยวกับปัญหาเขมรแดง เหรียญรุ่นนี้ได้ถูกส่งไปให้ที่ทางรัฐบาลเขมรได้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น เพราะนำเข้าประเทศเขาไม่ได้ ของจึงอยู่ที่บ้านเราอีกจำนวนหนึ่ง ทหารของรัฐบาลเขมรที่มีเหรียญรุ่นนี้ไม่มีใครเป็นอะไรเลย และต่อมารัฐบาลเขมรก็เป็นฝ่ายชนะสงคราม ทั้งแคล้วคลาด คงกะพัน มหาอุด มหาบัง นารายณ์แปลงรูป นอกจากนี้เหรียญรุ่นนี้ก็ยังมีประสบการณ์กับทหารในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วยเช่นกัน แม้แต่เรื่องระเบิดด้านก็ปรากฏมาแล้ว ผู้ใดได้ไปบูชาทำมาหากิน รวมไปถึงผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชานำไปใช้บูชาก็ดีเพราะเป็นเหรียญเมตตามหานิยม เดชะตบะ มหาอำนาจ แก้อาถรรพ์ ซึ่งนำไปสวมคนถูกผีเข้า ผีก็ร้องแล้วออกมาจนคนที่ถูกผีสิงสลบลงไป แม้แต่ประสบการณ์ ในเรื่อง นารายณ์แปลงรูป ก็มีด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีด้านมหาสะท้อน ผู้ใดคิดร้ายโดยที่ผู้บูชาเป็นคนดี ผลร้ายจะสะท้อนกลับไปสู่ผู้คิดร้าย เหรียญนี้องค์จริงสวยมากๆครับ รมมันปู เป็นเหรียญรุ่นที่ ปู่สรวงและพ่อสร้อยท่านอธิฐานจิตให้เป็นอย่างดี และผ่านพิธีไหว้ครูวัดเลียบราษฎร์บำรุงอีกหลาย ๆ พิธีด้วย ขณะนี้เริ่มหายากแล้ว เพราะศิษย์สายหลวงปู่สรวงเสาะแสวงหาและตามเก็บกันหมด
    บูชา 2800 บาท

    IMG_25620518_135355.JPG IMG_25620518_135315.JPG P0166178-PIC4.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2019
  17. eximbizcode

    eximbizcode เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,359
    ค่าพลัง:
    +2,052
    จอง ค่ะ/// นิมนต์ เจ้าค่ะ
     
  18. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รับทราบการจองครับ
     
  19. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่919 พระพิจิตรพิมพ์สามเหลี่ยม(เล็ก) หลังลายผ้า เนื้อชินเขียว เลี่ยมเดิมเก่า
    จังหวัดพิจิตร นอกจากจะมี พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง และ พระหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่แสวงหาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ด้วยพุทธคุณปรากฏเป็นเลิศแล้ว ยังมีพระกรุเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอีกมากมาย เนื่องจากเป็นเมืองที่เก่าแก่มากเมืองหนึ่งของสยามประเทศ ที่ปรากฏเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยในทุกยุคทุกสมัย

    ตามตำนานว่า ‘เมืองพิจิตร’ นี้ สร้างมาตั้งแต่สมัยพระยาโคตรบองเทวราช เมื่อประมาณปี พ.ศ.1601 โดยย้ายจากนครไชยบวร (ปัจจุบันคือ อ.โพทะเล) มาอยู่ริมแม่น้ำน่าน และสืบเชื้อสายปกครองมาถึง 200 ปี ปรากฏหลักฐานว่ามีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กล่าวคือ ในปี พ.ศ.1800 พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงสถาปนาให้เป็นเมืองลูกหลวงทางใต้ของสุโขทัย ตามหลักฐานในหนังสือพงศาวดาร ที่บันทึกไว้ว่า

    “…พระยาโคตรบองเทวราช บุตรพระยาโคตมะเทวราช เป็นผู้สร้างเมืองพิจิตร แต่ไม่ปรากฏสมัยและเรื่องราวของการสร้าง คงเป็นเค้าแต่ว่า พวกขอมชั้นหลังสร้างเมืองพิจิตร มาถึงสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เรียกนามเมืองนี้เป็นภาษาไทยว่า เมืองสระหลวง ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง คงเป็นเพราะตั้งอยู่ชายทะเลสาบ…”


    ครั้นสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบการปกครองบ้านเมืองใหม่ เมืองพิจิตรมีฐานะเป็นเมืองตรีขึ้นอยู่กับพิษณุโลก และได้ชื่อตามภูมิประเทศว่า “โอฆะบุรี” ซึ่งเป็นภาษาบาลีแปลว่าห้วงน้ำ ต่อมาเกิดวิกฤตแม่น้ำน่านเกิดเปลี่ยนทางเดิน ทำให้ท้องน้ำบริเวณเมืองเก่าตื้นเขินขึ้น ชาวเมืองขาดแคลนน้ำ หลวงธรเณนทร์ เจ้าเมืองพิจิตรขณะนั้น จึงให้ย้ายเมืองมาอยู่ที่บ้านปากทาง (ปัจจุบันคือ ต.ปากทาง อ.เมือง) และมีการย้ายเมืองอีกครั้งไปที่บ้านท่าหลวงซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน เมื่อมีการตั้งมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ.2326 เมืองพิจิตรก็ได้รวมอยู่ในมณฑลพิษณุโลก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น “จังหวัดพิจิตร” ตั้งแต่นั้นมา

    พระนิพนธ์ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้บันทึกถึงชื่อเมืองพิจิตรไว้ว่า

    “…เมืองโอฆะบุรีคือเมืองพิจิตร เป็นเมืองโบราณ มีป้อมปราการอยู่ริมแม่น้ำน่านเก่า เดิมชื่อว่า “เมืองสระหลวง” คงเป็นเพราะมีบึงบางมาก ทั้งในศิลาจารึกสุโขทัยและในกฎหมายชั้นเก่าของกรุงศรีอยุธยาก็เรียกเมืองสระหลวง ปรับเป็นคู่กับ “เมืองสองแคว” คือเมืองพิษณุโลก…”

    พิจิตร ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองนักรบ” ในสมัยโบราณตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองพิจิตรจัดเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ ดังนั้น พระเครื่องของจังหวัดพิจิตรจึงจัดเป็นพระที่มีพุทธคุณเข้มขลังด้านคงกระพันชาตรีโดยตรง แม้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชยังอาราธนาพระเครื่องเมืองพิจิตรติดพระองค์เวลาออกศึกตลอด โดยนำมาไว้ที่พระมาลา ตามหลักฐานที่ปรากฏใน “ลิลิตตะเลงพ่าย”

    พระเครื่องในสมัยก่อน นิยมเรียกชื่อตามจังหวัดที่ค้นพบ เช่น พระกำแพง ขุดค้นพบจากกรุในจังหวัดกำแพงเพชร พระผงสุพรรณ ค้นพบที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น สำหรับจังหวัดพิจิตรก็เช่นเดียวกัน มักเรียกชื่อต้นของพระเครื่องที่ขุดค้นพบว่า “พระพิจิตร” ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญของพระพิจิตรอยู่ที่ พิมพ์ทรงที่มีขนาดเล็ก เรียกได้ว่าประมาณ 80% ทีเดียวที่เล็กจนถ้าทำหล่นอาจจะหาไม่พบ แต่ด้านพุทธคุณนั้นล้ำเลิศมาก เฉกเช่นวลีที่ว่า “เล็กพริกขี้หนู”

    พระพิจิตร มีพุทธคุณเป็นเลิศในด้านแคล้วคลาดและคงกระพันชาตรีทั้งสิ้น
    โดย ราม วัชรประดิษฐ์
    ปิดครับ

    IMG_25620518_135048.JPG IMG_25620518_135001.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2019
  20. G777

    G777 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2019
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    จองรายการนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...