วิธีสกัดกิเลส สกัดด้วยสติรู้ขันธ์ 5ได้ไหมฮับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 19 พฤษภาคม 2019.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    นี่คือธรรมขั้นสูง เรียกว่า อนัตตาธรรม
    หรือ หลักแห่งเซน เข้าใจได้ยากมาก
    แต่ก็จะมีนักปราชญ์เข้าใจได้
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ตอบแบบนี้ แสดงว่า ยังอีกยาวนาน
    ยังต้องศึกษาอีกยาวไกล เพราะ
    มนุษย์บรรลุธรรมด้วยการ ปล่อยวาง เท่านั้น
    หากปล่อยวางไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรม
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    นี่ก็ผิดหลักอีก เพราะต่อให้ได้ตัวรู้มาเป็นร้อยตัว
    ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าปล่อยวางใน
    โลกแห่งความจริง ไม่ได้
    ตัวรู้แค่ช่วยให้รู้สึกตัว เวลาที่ สัมผัส สิ่งใด
    แต่ตัวรู้ ไม่ได้ช่วยทำให้บรรลุธรรมได้

    ต้องฝึกปล่อยวาง ผู้อื่น และ สุดท้ายก็จะต้องฝึก
    ปล่อยวางตัวเอง ให้ได้
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ผู้รู้ก็แค่ช่วยให้คนเรา มี สติ ที่ดีขึ้น
    แต่ยังไม่ใช่ ตัวที่ทำให้เราบรรลุธรรม
    ตัวที่ธรรมให้บรรลุธรรม ก็คือ การปล่อยวาง

    ดังสุภาษิตที่ว่า เพราะปล่อยวาง จีงบรรลุธรรม
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    เรามาเพื่อยืนยัน การปฏิบัติของทุกคน
    แต่ทุกคนจะเชื่อหรือไม่ ก็คงจะไม่มีทาง
    จะมีเฉพาะบางคนเท่านั้น
    ที่เราเปิดโอกาส สอนธรรมะให้
    กับคนอื่น เราเองก็คงจะต้องปล่อยวาง
    เหมือนกัน
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    โลกแห่งความจริง ไม่มีอะไรท่องเที่ยวไป
    ใน สงสารวัฏฏะ มีแค่ จิต ดวงเดียว
    ที่วิ่งไปเที่ยวเล่นที่นั่นที่นี่ และ
    สุดท้ายพอหมด ความเพลิดเพลิน
    จิตก็จะกลับมาที่เดิมทุกครั้งที่ออกไป
    หากจิตดวงไหน ยังไม่กลับ ก็แสดงว่า
    ยังไม่จบกิจ จะต้องอยู่ทำกิจนั้นให้จบหมด
    ตามเส้นทางที่ได้เคยขีดไว้เอง

    หากเมื่อไหร่ที่จบกิจ ก็มีสิทธิ์ บรรลุธรรม
    ได้เหมือนกัน
     
  7. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    อันนี้ตอบได้ดีครับ ผู้ที่เก่งกาจ
    ย่อมไม่ต้องไปคิดว่า อันไหนสมถะ อันไหนวิปัสสนา
    ใช้ได้เหมือนกันหมด หากทำถุกหลัก
    ฝึกแบบไหนมา ก็วกไปที่ การบรรลุธรรมได้ทันที
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    คุณปวี จะต้องจำประเด็นนี้ให้ดี
    จำไว้ในใจ อย่าให้ลืม มีสิทธิ์บรรลุธรรมเหมือนกัน คือ
    ไม่ว่าจะฝึกแบบไหนมา สุดท้ายแล้ว
    จะต้องดึงเข้าไปหา พระไตรลักษณ์ ให้ได้
    การฝึกพิจารณาความไม่เที่ยง
    การฝึกพิจารณาคามเป็นทุกข์
    และการฝึกพิจารณาสิ่งที่เป็นสิ่งสมมุติ

    เน้นคือ จะต้องจำ ลักษณะสามอย่าง นี้ให้ได้ขึ้นใจ
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ตอนนี้ พระที่สอน มีอยู่สามรูป
    คือ พระอาจารย์ จรัญ ทักขิณาโย
    พระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช
    และ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล

    สามรูปนี้เท่านั้น ที่ผมยืนยันในขนะนี้
    จะต้องเกาะติดเอาไว้ให้ได้อย่างน้อย
    ก็สักรูปหนึ่ง ที่เราฟังแล้วเพราะ ลื่นหู
    แล้วท่านจะบรรลุธรรมได้ไม่ยากเย็นอะไร
    เพราะเส้นทางของท่าน จะถูกต้องตรงทาง
    ไม่อ้อมค้อม เหมือนพระรูปอื่นๆ
     
  10. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    อาจจะมีบางส่วนเกี่ยวข้องกันกับกระทู้ครับคัดลอกมาจากลิ้งด้านล่างสุดครับ

    อาทีนวญาณ


    อาทีนวญาณ เป็นญาณที่ ๗ แห่งโสฬสญาณ เป็นญาณที่ ๔ แห่งวิปัสสนาญาณ ๙ และอยู่ ในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ อันเป็นวิสุทธิมัคคลำดับที่ ๖ แห่ง วิสุทธิ ๗

    ญาณนี้ได้อารมณ์ต่อเนื่องมาจาก ภยญาณ ที่เห็นรูปนามเป็นภัย จึงเกิดปัญญาเห็นว่า รูปนาม คือสังขารนี้เป็นโทษ ซึ่งสิ่งใดที่เป็นภัยสิ่งนั้นย่อมเป็นโทษ นี่เป็นไปอย่างธรรมดาตามธรรมชาติ การเห็นโทษในที่นี้เห็นถึง ๕ ประการ คือ

    ๑. เห็นความเกิดขึ้นของสังขารที่ตนปฏิสนธิมา ว่าเป็นโทษ

    ๒. เห็นความเป็นไปของสังขารในระหว่างที่ตั้งอยู่ในภพ และคติที่ตนได้นั้น ว่าล้วนแต่เป็นโทษ

    ๓. เห็นกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นมานั้นเป็นโทษ มิใช่คุณ

    ๔. เห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขาร ว่าเป็นโทษ

    ๕. เห็นว่าการที่จะต้องไปเกิดอีกนั้น เป็นโทษ

    ด้วยอำนาจของปัญญาที่ค่อย ๆ แก่กล้าขึ้นมาเป็นลำดับ จึงทำให้เห็นว่า รูปนามสังขารนี้เป็นโทษ เป็นสิ่งที่ร้ายที่ชั่ว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีเลย แม้แต่ สติ และปัญญา ที่ทำให้เห็นเช่นว่านี้ ก็ยังถือว่า ญาณคือปัญญา ก็เพียงสักแต่ว่ารู้ สติที่ระลึกก็เพียงแต่อาศัยระลึก ไม่อิงอาศัย ตัณหา ความอยาก ไม่อิงอาศัย ทิฏฐิ ความเห็นผิด มาปรุงแต่งให้เกิดความยินดีในสติปัญญาที่ทำให้รู้แจ้งถึงปานนี้ ไม่ถือว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสังขารนี้เป็นคุณเลย ล้วนแต่เป็นโทษทั้งนั้น

    เมื่อเห็นโทษของสังขาร ก็ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาว่า ถ้าไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีขันธ์ อายตนะ ธาตุ ไม่มีรูปนาม ไม่มีสังขารเลย ก็จะปลอดภัย ไม่มีโทษ ปัญญาที่คิดจะให้พ้นจากทุกข์โทษภัยทั้งหลายนี้แหละ คือ อาทีนวญาณ เป็นปัญญาที่ริเริ่มจะให้พ้นทุกข์ บ่ายหน้าไปหาสันติสุข น้อมใจไปสู่พระนิพพาน ซึ่งจะไม่ต้องกลับมาวนเวียนในสังสารวัฏฏอีก

    อารมณ์ของอาทีนวญาณนี้ จึงแยกได้เป็น ๒ นัย นัยหนึ่งเห็นโทษของสังขาร อันเป็นธรรมในสังสารวัฏฏ อีกนัยหนึ่งเห็นคุณของพระนิพพาน อันเป็นธรรมที่พ้นจากสังสารวัฏฏ อารมณ์ทั้ง ๒ นี้จะว่าต่างกันเป็นข้าศึกกันก็ได้ เพราะเมื่อเห็นโทษของสังขารมากเท่าใด ก็พอใจในการที่จะพ้นโทษมากเท่านั้น หรือเห็นคุณในการพ้นโทษมากเท่าใด ก็ยิ่งมีความอยากที่จะจากสังขารที่มีโทษมากเท่านั้น แต่จะว่าอารมณ์ทั้ง ๒ นี้เหมือนกันและช่วยอุปการะแก่กันก็ได้ เพราะความมุ่งหมายของอารมณ์ทั้ง ๒ นี้ มุ่งไปสู่ความพ้นจากสังสารวัฏฏเหมือนกัน และต่างก็เป็นปัจจัยอุปการะให้เกิดปัญญาแก่กล้า จนนำออกจากสังสารวัฏฏได้เช่นเดียวกัน

    ที่คิดจะพ้นทุกข์ ก็เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษของสังขาร ถ้าหากว่ายังเห็นสังขารรูปนามทั้งหลายเป็นของดี เป็นของสวยงาม เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนอยู่ ก็จะติดอยู่ในตัณหา ติดอยู่ในกองทุกข์ ซึ่งจะนำไปสู่สังสารทุกข์อีกไม่มีที่สิ้นสุด จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์ให้เห็นทุกข์ แล้วอาศัยทุกข์นั้นแหละไต่ไปตามความทุกข์ ไม่ใช่เพ่งสุข อาศัยสุข ดำเนินไปตามทางที่สุขสบาย ซึ่งกลับจะติดแน่นอยู่ในสุข ไม่มีวันที่จะพ้นทุกข์ไปได้เลย

    อาทีนวญาณ ปัญญาที่เห็นว่ารูปนามนี้ล้วนแต่เป็นโทษนั้น
    สามารถละ อัสสาทสัญญา สัญญาที่ชื่นชมยินดีนั้นได้

    mail.gif
    จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
    http://abhidhamonline.org/aphi/p9/090.htm
     
  11. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
    อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
    [​IMG]
    ๖. อัสสาทสูตร
    [๓๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน
    คือ อัสสาททิฐิ (สัสสตทิฐิ) ๑
    อัตตานุทิฐิ (สักกายทิฐิ) ๑
    มิจฉาทิฐิ ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้แล
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการ
    อันภิกษุพึงให้เจริญเพื่อละธรรม ๓ ประการเหล่านี้
    ๓ ประการเป็นไฉน คือ


    อนิจจสัญญา ๑
    อันภิกษุพึงให้เจริญเพื่อละอัสสาททิฐิ

    อนัตตสัญญา ๑
    อันภิกษุพึงให้เจริญเพื่อละอัตตานุทิฐิ

    สัมมาทิฐิ ๑
    อันภิกษุพึงให้เจริญเพื่อละมิจฉาทิฐิ



    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ อันภิกษุพึงให้เจริญเพื่อละธรรม
    ๓ ประการนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๖
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    55 ถ้าเชื่อในพระไตรลักษณ์ก็อย่าไปปักใจ
    รักแบบยกชุด เดี๋ยวเสียใจภายหลัง
    โดยเฉพาะวินัย 227 ลดเหลือ 180 เป็นวินัยพอเพียง
     
  13. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    เอิ้กๆ
     
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    อิอิ ท่านผู้ตรวจการแผ่นดิน มาตรวจแล้ว!!

    ก็อย่าเป็นแบบเณรคำนะคร๊าบ
    ปล่อยวาง ไม่ยึด. เจอคุกเข้าไปยี่สิบปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2019
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แค่ข้อคิดคับ ไม่สูงอะไร
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ที่แน่ๆ ไม่ใช่จิตนิพพาน ส่วนอะไรนิพพานนั้น บอกคำเดียว ม่ายรู้เหมียนกัน ค้าบ
     
  17. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    จำได้ไหมตอนที่พระศาสดาเสด็จมหาปรินิพพาน มีพระขีณาสพตามกระแสแห่งจิตของพระศาสดา บทสรุปกล่าวว่า หายไปจากกระแสทั้งสิ้น ไม่เห็นที่มาและที่ไปใด นั่นแปลว่าอะไร ลองนึกดูดีดี แม้ทรงพระชนน์ชีพ การตามกระแสนั้นก็ทำได้ยาก พญามารจึงกล่าวว่าไม่เห็น ไม่รู้อยู่ไหน เพราะอะไร อันนี้ก็น่าคิด แต่การปฏิบัติมันมีจริง ตามพระศาสดากล่าว นี่สิ น่าพิจารณา
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    บังเอิญผมไม่ได้อ่านหนังสือเอาไปสอบ ผมเลยคิดออกมาเป็นแบบนี้ ถ้าสอบคงสอบตกตามเคย ตกบ่อย จนชินและ
     
  19. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ไม่ใช่แต่พญามารนะ ท้าวพกพรหมก็ให้คำตอบเดียวกัน
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    เริ่มแรกสมัยพระพุทธเจ้า
    พระก็ไม่ได้มีศีลพระแต่อย่างใด
    พระสมัยโน้น ถือที่ใจ ตัวเดียว
    สิ่งใดที่ทำโดยที่ไม่ตั้งใจ ก็ไม่ผิด
    สมัยนี้พระถือศีลย่อยเป็นพันข้อ
    แต่แทบจะไม่มีรูปไหน บรรลุธรรมเลย
    เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะ ใจ ตัวเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...