เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    IMG20190421175044.jpg
    น้ำฟ้าและพระอาทิตย์...
     
  2. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    FB_IMG_1543139611155.jpg FB_IMG_1515823006574.jpg
    ต้นเหตุแห่งการเกิด...
     
  3. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    เจ้าของกระทู้เตรียมตัวพร้อมหรือยัง...มันมาถึงไหนแล้วเจ้าของกระทู้พอรู้บ้างมั๊ย

    สงสัยเข้าสู่เบื้องกลางแล้วมั๊ง5555
     
  4. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    อะไรคือเบื้องกลางครับ ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย มันจะมาก็มา ฝากชีวิตไว้กับกรรมเก่า
     
  5. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    555 เข้ากระทู้ผิด ขอโทษงับ
     
  6. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    601
    ค่าพลัง:
    +2,883
    อ่านใหม่ๆ รู้สึกแปลกๆ คล้ายเพ้อเจ้อ มโนศาสตร์

    อ่านไปซักพัก รู้สึกเหมือนได้ความรู้ใหม่

    อ่านไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าไปกันได้กับพุทธธรรมเลยทีเดียว ถ้าเราก้าวข้ามภาษา ศัพท์แสง อันเป็นสมมุติบัญญัติ สู่สภาวะสุญญตา

    ต้องขอชื่นชม จขกท. ที่มีความเพียร กอบด้วยเมตตา ในการถ่ายทอดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ท่ามกลางก้อนอิฐ และดอกไม้
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    สภาวะสุญญตามันอยู่ตรงไหนฮับ
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ขอบคุณมากนะคะ สำหรับคำกล่าวที่ชมเชยและเป็นกำลังใจในการทำความดีและมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกต่อไปค่ะ

    แต่ที่ดีใจยิ่งกว่า ก็คือสติปัญญาและการรับรู้ของท่านค่ะ

    ท่านและใครในหลาย ๆ คน บนโลกใบนี้ ที่ได้เกิดภูมิรู้ ภูมิปัญญา และ ภูมิธรรม กำลังจะยืนยันว่า ..... เรากำลังเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่กันจริง ๆค่ะ

    มนุษย์ทุกคนจะติดต่อกับจักรวาลได้ง่ายขึ้น และจะมีสติปัญญาสูงขึ้น และจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพื่อการรู้แจ้ง จะได้สัมผัสรู้กับศาสตร์แขนงใหม่มากมาย โดยเฉพาะศาสตร์ลึกลับที่ยากจะเข้าใจ

    โลกยุคพลังงานเก่า มนุษย์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาล ด้วยวิธีกรรมทางจิตวิญญาณจะต้องใช้วิธีปฏิบัติสมาธิ

    ยุคพลังงานใหม่นี้ ด้วยพลังอำนาจแม่เหล็กที่เพิ่มขี้น โดยไม่ต้องเปลืองเวลาในการทำสมาธิเป็นเวลานาน ๆ เหมือนยุคพลังงานเก่ากันอีกต่อไป ถ้าใส่ใจฝึกฝนและปฏิบัติจะมีความสามารถและทักษะที่สูงงพอ จะสามารถติดต่อรับฟังและโต้ตอบกับจักรวาลได้ มนุษย์ที่ต้องการฝึกฝนในการใช้งาน จะค้นพบทางออกนี้ได้อย่างง่ายดายจนคาดไม่ถึง จนรู้สึกว่าว่าการทำสมาธิแบบเก่ากลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ไปเสียแล้ว

    การที่จะมีสติปัญญาสูงขึ้น มนุษย์พึงรู้ว่า คลื่นแม่เหล็กโลกนั้น มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง คือ....

    การช่วยค้ำจุนรูปธรรมและสติปัญญาของมนุษย์เอาไว้

    ในปลายยุคพลังงานเก่า คลื่นแม่เหล็กโลกตกต่ำเพราะจิตสำนึกมนุษย์ส่วนมากดิ่งลงเข้าหาความเป็นสัญชาตญาณสัตว์เดรัจฉานเข้าไปทุกที มนุษย์จะแสดงการกระทำไม่ถูกต้องต่อกันมากมาย ด้วยจิตที่ไร้คุณธรรมและมโนธรรม และมองเห็นความผิดพลาดเป็นความถูกต้อง ก่อให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดจนกลายเป็นผลร้ายต่อผู้อื่นที่เกี่ยวข้องมากมาย บางรายกระทำไม่ถูกต้องต่อผู้อื่นเยี่ยงการกระทำของสัตว์เดรัจฉานก็มีให้เห็น มนุษย์ส่วนใหญ่จะหลงมัวเมาในแสงสีวัตถุ กามกิเลส ไม่มีสัจจะ ไม่มีศีลธรรม

    จิตจักรวาลกล่าวไว้ว่า พฤติกรรมขยะเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุจาก 2 ประการ แต่อยากเปิดเผยให้รู้เรืองเดียว คือ.....

    เป็นเพราะมนุษย์บกพร่องต่อการใช้จิตสำนึกของตน ให้พลังงานบวกแก่โลกไม่ได้ ทำให้คลื่นแม่เหล็กโลก เต้นยกตัวสูงขึ้นจากโลกต่ำมาก จนทำให้จิตวิญญาณชั้นสูงเข้ามาปฏิสนธิทางวิญญาณไม่ได้

    รูปธรรมมีชีวิตจากต่างมิติ ทั้งผู้มีพลังงานบวกและลบพากันเข้ามาสู่โลกกันอย่างง่ายดายมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ศีลธรรมอันเป็นหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตเสื่อมทรามลง จนจักรวาลต้องสื่อสอนพัฒนาสติทางวิญญาณแก่มนุษย์ยุคพลังงานใหม่ ด้วยวิธีใหม่ที่เป็นทางตรง โดยไม่ก่อให้เกิดลัทธิหรือมีศาสดาใหม่ให้มากกว่าที่มีอยู่เดิมอีกต่อไปแล้ว

    ความเป็นศาสตร์ที่แท้จริง จะต้องมีแก่นแท้ของสัจธรรมที่จะนำพามนุษย์ไปสู่การรู้แจ้งด้วยสติปัญญาจากจิตสำนึกของตนในด้านบวกเท่านั้นค่ะ

    และท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งนะคะ ที่จิตยิ้มว่าเป็นผู้มากด้วยภูมิรู้ ภูมิธรรม จนแจ้งสัจธรรมที่ลึกซึ้งระดับสุญญตา เพื่อยืนยันความรู้ใหม่ที่เปิดให้เห็นในยุคพลังงานใหม่นี้อีกคนเช่นเดียวกันค่ะ ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้มีบารมีอีกคนนะคะ
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อะไรคือสภาวะสุญญตา....

    ถ้ามนุษย์รู้ว่าตนเองเป็นใคร? เกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม? และมีหน้าที่อย่างไร? ทุกคนจะรู้สึกสำนึกในการเกิดมาของตนเองค่ะ

    การเกิดมนุษย์เพื่อเกิดมาเป็นคน "สองมิติ" ซึ่งมีจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้เร้นอยู่ข้างใน ก็เพื่อมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก หรือ ช่วยค้ำจุนความสมดุลทั้งในมิติทางกายภาพและมิติพลังงานของระบบโลกให้มั่นคงตลอดไป

    เพราะความสมดุลที่มั่นคงยั่งยืนทั้งสองมิติของระบบดาวเคราะห์โลกดวงนี้นั้น จะสามารถช่วยค้ำจุนความสมดุลของเอกภพทั้งในระบบได้ในเดียวกันด้วย

    ดังนั้น มนุษย์โลกจะต้องรู้ว่า.....

    มีหน้าที่ค้ำจุนโลกเพื่อค้ำจุนเอกภพ

    เป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่และท้าทายความสามารถของจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคนมายาวนาน

    สาเหตุที่มนุษย์โลกไม่สามารถทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตนเองได้ เป็นเพราะเหตุว่า.....

    มนุษย์โดยจิตหยาบในแต่ละคน หมุนธรรมจักรในตนเองไม่เป็น และหมุนกันอย่างไม่ถูกต้องด้วย จึงทำให้ธรรมจักรกลายเป็น "กรรมจักร" ไปอย่างน่าเศร้าใจ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ มนุษย์โดยจิตหยาบนี่เอง เป็นตัวการทำลายความบริสุทธิ์ของแก่นแท้ตนเองให้เสื่อมไปอย่างไร้สำนึก

    สิ่งที่มนุษย์โดยจิตหยาบแต่ละคนจะต้องสำนึกรู้ก็คือ จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ ซึ่งเดินทางข้ามมิติมาจากสนามพลังงานสากลนั่น ต่างล้วนมีคุณสมบัติเดิมแท้เป็นอย่างเดียวกัน หรือเหมือนกันทุกรูปธรรม คุณสมบัติที่ว่านั้นก็คือ....

    การเป็นผู้อิ่มเอิบอยู่ในความว่างอันยิ่งยวด!


    หมายความว่า รูปธรรมทางพลังงานจิตวิญญาณทุกรูปธรรมผู้มาเกิดเป็นแก่นแท้ในรูปธรรมมนุษย์นั้น เป็นผู้อิ่มเอิบอยู่ในความว่างอย่างยิ่งยวด

    คำว่า "อิ่มเอิบอยู่ในความว่าง" หมายถึง

    สภาวะจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบโดยไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลย

    หากจะให้อธิบาย ความหมายอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่า จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนนั้นเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีความสมดุลอยู่ภายในตนเอง โดยจะมีการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดอยู่ภายในรูปธรรมของตนอย่างต่อเนื่องและมั่นคงอยู่เพียงมิติเดียว ซึ่งจะแปลความหมายของคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดนี้ว่า "ความสุขสงบ" นั่นเอง

    กล่าวโดยสรุปได้ว่า คุณสมบัติเดิมแท้ของจิตวิญญาณทุกรูปธรรมก็คือ "ความสุขสงบ" ซึ่งหมายถึง "จิตที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง"

    จิตที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง หมายถึง จิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบอยู่ในตนเอง โดยไม่มี สิ่งใด เรื่องใด เป็นสิ่งเร้าเลย

    .......นอกจากนั่นยังหมายถึง......

    จิตที่มีแต่ความสุขสงบหรือจิตที่มีความอิ่มเอิบแต่เพียงอย่างเดียว โดยจะว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดอื่น ๆ หรือว่างไปจากการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดในมิติอื่น ๆ ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่านี้อย่างสิ้นเชิง

    ถ้าจะตีความว่าความอิ่มเอิบหรือความสุขสงบนี้ เป็นอาการหรือเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียวของจิตวิญญาณได้จาการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกสูงสุดแล้ว ย่อมแสดงว่าจิตวิญญาณทุกรูปธรรมต่างล้วนมีคุณสมบัติทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดเฉพาะตัวเช่นว่านี้เหมือนกันหมด เป็นอย่างเดียวกันหมดทั้งจักรวาล นั่นคือ

    มีความอิ่มเอิบอยู่กับความว่าง หรือ มีความสุขสงบเป็นคุณสมบัติธรรมชาติแห่งตน ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านในด้านบวกนั่นเอง

    อารมณ์รู้สีกสูงสุดด้านบวก...

    หมายถึง ความสุขอันเกิดจากความสงบแห่งจิต หรือ การอิ่มเอิบอยู่กับความว่างไปจากอารมณ์รู้สึกอื่นใดของจิตเองอย่างสิ้นเชิง คงมีแต่เพียงความสุขอันเกิดจากความสงบแห่งจิตตนอยู่เท่านั้น

    การนึกคิดด้านบวกสูงสุด....

    หมายถึง สภาวะจิตที่มีความสามารถในการรู้นึกรู้คิดทุกสรรพสิ่งทุกเรื่องราวได้ด้วยจิตเอง โดยตั้งมั่นอยู่กับ "การให้" เพื่อเหนี่ยวรั้งตนเองไว้กับผู้อื่น ในอันที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่นไว้เสมอ

    ดังนั้น การนึกคิดที่จะ "ให้" ก็คือ การนึกคิดด้านบวก ซึ่งตรงกันย้ามกับการนึกคิดที่จะ "เอา" ซึ่งเป็นการนึกคิดด้านลบโดยแท้

    การมีอารมณ์รู้สึกนึกคิดสูงสุดด้านบวกอย่างมั่นคงเสมอ

    หมายถึง การมีสภาวะจิตที่สั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกสูงสุดดังกล่าวมาแล้วนั้นได้อย่างต่อเนื่อง และมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายในใด ๆ ในอันที่จะเป็นเงื่อนไขให้สภาวะจิตที่กำลังสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกสูงสุดอยู่นั้น ถูกลดทอน หรือเปลี่ยนแปรไปจากคุณสมบัติเดิม

    มนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ว่า สภาวะจิตที่เป็นธรรมชาติ ของจิตวิญญาณ ผู้เป็นแก่นแท้ของตนเองที่เรียกว่า "ธรรมจักร" นั้น มันจะสั่นสะเทือนตนเองอยู่อย่างมั่นคงเช่นว่านี้เสมอ

    การหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นความทุกข์ทั้งปวง คือ การมีจิตสว่างเป็นสุญญตา ที่ถึงพร้อมแห่งการเกิดดับ นั่นคือ "นิพพาน"

    สาเหตุที่มิอาจก้าวพ้นออกไปจากระบบโลก มิอาจหลุดพ้นไปจากสนามพลังงานที่เรียกว่า "เอกภพ" ออกไปได้เพราะพลังอำนาจทางวิญญาณในตนเองมีไม่เพียงพอ คือ

    มีความใสสว่างและพิสุทธิ์ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ หมายถึง ดวงจิตธรรมญาณยังมิได้เป็น "สุญญตา" นั่นเอง ค่ะ

    นำมาลงให้พิจารณากันเต็ม ๆ อีกครั้งค่ะ
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    "...การหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นความทุกข์ทั้งปวง คือ การมีจิตสว่างเป็นสุญญตา ที่ถึงพร้อมแห่งการเกิดดับ
    นั่นคือ"นิพพาน" "
    แต่...
    ในทางพุทธะจะกล่าว " สุญญตาคือความว่างเปล่าที่มีแต่ความรู้ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติความว่างของจักรวาล "
    และจะกล่าวว่านิพพานธาตุมีสภาพว่างที่มีแต่
    ความรู้และไม่เกิดไม่ดับ
    ฮับ
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ".... คำว่า "อิ่มเอิบอยู่ในความว่าง" หมายถึง

    สภาวะจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบโดยไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลยย "
    แต่......
    ในทางพุทธะจะกล่าวว่า
    จิตเดิมแท้ของมนุษย์ เป็นธรรมธาตุหรือธาตุรู้
    ที่เป็นความว่างเปล่าเช่นความว่างของธรรมชาติจักร
    วาล มีแต่ความรู้ ไม่มีความเคลื่อนไหว
    ไม่มีการปรุงแต่งและ
    ไม่เกิดไม่ดับ
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    จิตยิ้มเข้าใจท่านถูกหรือเปล่าคะว่า ที่ท่านแย้งมา ....

    คือ ไม่ได้เอาจิตเข้านิพพานค่ะ แต่จิตนิพพานตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ พอละจากขันธ์ก็เข้าไปเป็นธรรมชาติเดิมที่เป็นความว่างสุญญตาหรือนิพพานค่ะ

    การที่มีจิตสว่างเป็นสุญญตา คือ นิพพานขณะมีชีวิตอยู่ ก็คือ การชำระจิตใจให้ใสบริสุทธิ์

    คำว่า "จิตสว่างเป็นสุญญตา" ก็คือ การชำระจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ ไม่มีกรรมขาว กรรมใด หลงเหลืออยู่ในสภาวะจิตนั้นค่ะ คือ มีความเป็นกลาง ไม่มีความเป็นบวก หรือ ลบ ที่ต้องมีกรรมนำพามาเกิดหรือต้องชดใช้กรรมอีกค่ะ

    หรือ การพ้นไปจากเครื่องตัณหาร้อยรัดโดยสิ้นเชิง

    นิพพานมีสองประเภท คือ นิพพานที่ขณะมีชีวิต ก็คือ ต้องทำจิตให้สว่างเป็นสุญญตาตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นะคะ พอดับขันธ์นิพพาน ก็จะเข้าธรรมชาติเดิม(นิพพาน) ที่นามรูป ดับไม่เหลือในธรรมชาตินี้ นั่นเองนะค่ะ

    ที่จริงแล้วก็คือ สุญญตา กับธรรมชาติเดิม คือ สิ่งเดียวกันค่ะ (เพียงแต่ว่า เป็นความว่าง คือ ความมีที่เหมือนไม่มีเท่านั้นค่ะ นิพพานเป็นความว่างที่เปรียบเสมือนความมีที่เหมือนไม่มี )

    นิพพานไม่ใช่ความว่างเปล่าค่ะ



    .........................

    คำสอนในทางพระพุทธศาสนา

    ในขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ธาตุสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนิพพานธาตุ 2 ประเภท[4] คือ

    1. สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานโดยที่อินทรีย์ 5 ยังคงอยู่ จึงยังเสวยสุขและทุกข์อยู่เมื่อประสบกับประสบอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์
    2. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานทั้งดับภพและเวทนาได้สิ้นเชิงแล้ว
    .........................................


    ในเกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ" ( ที.สี.14/350 )

    ...............................................

    ในปกรณ์วิเสสแก้ไข
    พระอนุรุทธาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ได้พรรณนาคุณของนิพพานว่า ปทมจฺจุตฺ มจฺจนฺตํ อสงฺขตมนุตฺตรํ นิพฺพานมีติ ภาสนฺติ วานมุตฺตามเหสโย "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้พ้นแล้วจากตัณหาเครื่องร้อยรัด ตรัสถึงสภาวะธรรมชาติหนึ่งที่เข้าถึงได้ เป็นธรรมชาติที่ไม่จุติ พ้นจากขันธ์ 5 ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยใดๆ เลย หาสภาวะอื่นเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าสภาวธรรมนั้นคือพระนิพพาน"
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    สภาวะจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบโดยไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลยย "

    ค่ะ ถ้าเป็นสภาวะจิตที่เป็นสุญญตา ขณะที่มีชีวิตอยู่ หรือ สอุปาทิเสสนิพพาน ก็คงต้องหมายถึง สภาวะจิตของพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่นิพพาน ขณะที่ยังดำรงขันธ์ 5 อยู่ คือ จะมีคุณสมบัติอันเป็นธรรมชาติของจิต คือ

    1.เป็นผู้มีพื้นฐานทางอารมณ์รู้สึกสูงสุดในทางด้านบวกเท่านั้น

    2.เป็นผู้มีพื้นฐานทางการนึกคิดของจิตสูงสุดในด้านบวกเท่านั้น

    3.เป็นผู้มีพื้นฐานทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกสองประการนี้อย่างมั่นคง

    พลังงานด้าน คือ การให้ หรือ พรหมวิหารสี่ อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้ พระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ ท่านยังมีอยู่ในขณะที่ดำรงขันธ์ ก็คือ การทำพุทธกิจ หรือ ประกาศศาสนา ก็พอจะยืนยันได้ค่ะ

    หรือ......จะเปรียบ......



    สภาวะจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความสงบโดยไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลยย "

    ถ้าเปรียบ จิตที่เป็นอุเบกขา

    การละวางทำได้อย่างไร ?

    เราสามารถจะละวางกิเลสตัณหาที่เป็นอารมณ์หยาบ ๆ ในชีวิตประจำวันได้ด้วยการ ดับที่เหตุแห่งการเกิดกิเลสตัณหา นั่นเอง

    เหตุแห่งการเกิดกิเลสตัณหา หรือที่มาของอารมณ์หยาบ ๆ ในกลุ่มโลภ โกรธ หลง ของมนุษย์มีเพียงสาเหตุเดียว คือ การยึดติดอัตตา ที่เป็นรูปลักษณ์ และปรากฎการณ์ต่างๆ อันเป็น มายาของแก่นแท้ โดยหลงผิดคิดว่าอัตตาเหล่านั้น คือ ตัวตนที่แท้จริงในความเป็นสรรพสิ่งหนึ่งในจักรวาลของสรรพสิ่งนั้น ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว มายาเหล่านั้น เป็นเพียงแค่ "เงา" ของตัวตนที่แท้จริงซึ่งเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งอีกที

    ในยามที่มนุษย์ว่างไปจากอารมณ์รู้สึกที่เป็นขยะทั้งปวง หรือ ยามที่จิตเป็นอิสระจากการครอบงำด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหา สภาวะการสั่นสะเทือนทางอารมณ์ของจิตในระดับนี้คือ สภาวะจิตในระดับปกติ ของมนุษย์ที่แท้จริง นั่นคือ ความปีติเบิกบานใจ

    เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะทำจิตตนเองไม่ค่อยว่างไปจากการนึก การคิด การรู้สึกในสิ่งที่เป็นขยะ จึงยังผลให้เข้าถึงความปีติเบิกบานไม่ได้

    หากจะเข้าถึงได้ มนุษย์ต้องกระทำที่จิตของตนเอง 2 อย่าง

    1.ดับกิเลสตัณหาที่เป็นอารมณ์หยาบ ๆ ในขณะนั้นให้สิ้น

    2.ทำจิตให้สงบหรือว่างไปจากทุกข์ทั้งปวง


    ถ้าทำทั้งสองอย่างได้ประสบผลสำเร็จแล้ว การยกจิตให้สูงขึ้นก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที

    เพราะอุปสรรคตรงขั้นตอนนี้ไม่เหลือแล้ว....

    ถ้าผู้ใดสามารถรักษาสภาวะจิตที่เป็นปีติเบิกบานเอาไว้ได้ การสั่นสะเทือนตนเองที่เป็นเมตตา กรุณา หรือ มุฑิตาต่อผู้อื่นนั้น จะกลายเป็นเสมือนเกิดการสั่นสะเทือนได้เองอัตโนมัติ เพียงแค่ได้สัมผัสรู้ดูเห็นความทุกข์ยากของผู้อื่น
    เท่านั้น

    ถ้ามนุษย์คนใด หมั่นฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวันด้วยการบำเพ็ญเมตตา กรุณา และมุฑิตา ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างสม่ำเสมอ จิตก็จะเกิดความชำนาญขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น เคยชิน นั่นคือ

    มนุษย์ผู้นันก็จะมีนิสัยในการแสดงออกทางอารมณ์ด้านบวกเป็นคุณสมบัติธรรมชาติเฉพาะตัวอันแสนวิเศษสุด คือ ความเป็นอุเบกขาแห่งจิต นั่นเอง

    เพราะ.....

    ด่านสุดท้ายของจิตก่อนที่จะเข้าถึงสภาสะแห่งสุญญตาได้ ก็คือ ความเป็นอุเบกขาของจิต นี่เอง

    การที่ไม่มีคุณสมบัติอื่นใดเคลือบแฝงปนเปื้อนอยู่ในนั้นเลย

    ก็คือสภาวะธรรมชาติของจิต ที่มีแต่ความสุขสงบ ไม่มีคลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึกรายวันของมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับอยาก ความไม่อยาก และความลังเลสับสนในตนเอง โดยที่ยังไม่แน่ชัดว่าตนอยากหรือ ไม่อยาก ซึ่งเป็นอารมณ์รู้สึกในกลุ่มที่เรียกว่า "กิเลสตัณหา"

    เปรียบเสมือน คลื่นความถี่ อุเบกขา ที่สั่นสะเทือนเป็นมายาสูงสุด สูงมากจนดูเหมือนแทบไม่สั่นสะเทือนเลย แต่พอมีอารมณ์หยาบ เหมือนถูกดึงให้ต่ำลง เส้นลวดจะแสดงอาการสั่นไหวขึ้นลงแรง ๆ จนเห็นได้ชัดเจน มันจึงนิ่งเหมือนไม่สั่นสะเทือน


    เช่นเดียวกันค่ะ ความสุขสงบของจิตที่เป็นอุเบกขา เมื่อสามารถละวาง ดับกิเลสตัณหาที่เป็นอารมณ์หยาบ ๆ ให้สิ้น กับ ทำจิตให้สงบว่างไปจากทุกข์ทั้งปวง ก็จะเป็นจิตว่าง ไม่มีความอยากหรือตัณหาร้อยรัดเลย จิตจึงเป็นจิตที่ว่าง หรือ มีแต่ความว่างเป็นธรรมชาติของจิตค่ะ ธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดปนเปื้อนอยู่ในธรรมชาตินั้นค่ะ



     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ลุงแมว ใช่คำตอบที่ต้องการหรือเปล่าคะ หรือจะเอาคำตอบสภาวะของธรรมชาติเดิมมีเป็นลักษณะอย่างไร?
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ความว่างที่มีความรู้ และเป็นหนึ่งเดียวกับ
    ความว่างธรรมชาติของจักรวาล
    ไม่ต้องอธิบายสาธยายมากมายจะมึนงง
    ถ้าจะไปต้องหยุดยึด
    หยุดยึดอะไร??
    หยุดยึดตัวตนกายสังขาร จิตสังขาร เพราะทั้งหมดเป็นสิ่งปรุงแต่ง
    ไม่มีต้นทาง ไม่มีทางต้องเดิน ไม่มีปลายทาง
    พบได้ที่ใจ (เมื่อวางตัวตน เมื่อสิ้นความ
    ดิ้นรนพยายามแสวงหา)
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    แค่สิ้นยึดตัวตนได้ วางตัวตนของผู้สิ้น
    ยึดได้ด้วย
    จะเหลือเพียงธาตุรู้หรือจิตพุทธั
    ก็จะพ้นความเกิดดับ หายเข้าไปในอวกาศ
    รวมเป็นหนึ่งเดียวกับความ
    ว่างในธรรมชาติของจักรวาล...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2019
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    สัญญาณโลกร้อน ณ ขณะนี้ สัญญาเตือนวิกฤติโลกอย่างหนัก ค่ะ

    เมื่อวานเห็นข่าวเศรษฐกิจโลก ระหว่างสหรัฐ กับ จีน เริ่มสู่จุดเปราะบาง ....

    เราเพียงแค่....คิดว่าโลกร้อนเพราะอุตสาหกรรม เพราะการตัดต้นไม้ หรือแม้แต่การเสื่อมโทรมร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์เราอาจมองเพียงกันแค่ด้านเดียวเท่านั้น

    การชำระโลก ก็มีเหตุมาจากโลกเกิดวิกฤติพลังงานตกต่ำขั้นหนัก และอีกประเด็นสำคัญก็อย่างหนึ่งก็คือ....

    อารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ หรืออารมณ์ไม่สมดุล ความโกรธ ความเกลียด เคียด แค้น ผูกใจเจ็บ อาฆาต พยาบาท และการคิดตัดสินใจผิด ๆ สู่การกระทำผิดบาปต่อผู้อื่นจนทำให้ผู้อื่นโกรธแค้น จนยังผลให้เกิดการเกี่ยวกรรมระหว่างกันขึ้นมา

    นั่นแหละคือ ตัวการสำคัญอีกประการหนึ่ง......

    และมันก็คือ.........

    .........ผลกรรมในตนเอง.....ของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง

    ผลกรรมในตนเอง หมายถึง สายธารอนุภาคประจุไฟฟ้าลบที่สร้างขึ้นใหม่ภายในร่างกายมนุษย์ ทุกครั้งที่จิตสั่นสะเทือนเสียสมดุลไปจากเดิม หรือ สั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ ล้วนเป็นพันธะกรรมระหว่างมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น

    อารมณ์ที่ไม่สมดุล คือ ความรู้สึกนึกคิดด้านลบเหล่านี้ คือบ่อเกิดของกระบวนการผลิตสร้างอนุภาคประจุไฟฟ้าลบขึ้นมาใหม่ภายในร่างกาย เมื่อสร้างออกมาแล้วมันจะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกพร้อม ๆ กับคลื่นพลังจิต

    อนุภาคประจุลบเหล่านี้จำนวนหนึ่ง จะถูกเหวี่ยงทิ้งกว้างวางไว้บนระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก คล้ายดั่งละอองน้ำบนใยแมงมุมก็มิปาน

    ซึ่งมนุษย์โลกเข้าใจว่ามันคือ อิเล็คตรอนอิสระ ที่มันกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปในบรรยากาศโลก

    การทีมีอากาศอบอ้าวหรือหนาวผิดปกติ ฤดูกาลผิดปกติ ล้วนมาจาก ......

    อิเล็คตรอนอิสระจากจิตมนุษย์ในระบบโลกเหล่านี้ คือ ตัวการสำคัญทำให้พลังงานในชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเดิมทีเป็นสุญญตาทางไฟฟ้า คือ สมดุลกันระหว่างบวกกับลบ ต้องมาเสียสมดุลไปจากเดิม

    นี้คือ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่สมดุลเหล่านี้ ล้วนเป็นกระจกเงาสะท้อนจิตสำนึกที่ตกต่ำย่ำแย่หรือไม่สมดุลของมนุษย์ในระบบโลกทั้งสิ้นค่ะ

    สิ่งที่จะช่วยเหลือโลกได้.....

    มนุษย์ในโลกต้องร่วมมือร่วมใจกันหมุนธรรมจักรในตนเอง

    มนุษย์จะสังเกตุได้ว่า นอกจากนิสัยทางอารมณ์รู้สึกด้านลบของมนุษย์ จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดพลาดล้มเหลวในการหมุนธรรมจักรในตนเองแล้ว

    การนึกคิดของจิตที่ไม่ถูกต้องหรือการนึกคิดด้านลบไม่ว่าต่อตนเองหรือผู้อื่นก็ตาม ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในการหมุนธรรมจักรในตนเองอีกด้วย

    ดังนั้น มนุษย์จะต้องฝึกฝนให้ตนเองให้เป็นคนอารมณ์ดี มีจิตสุขสงบอยู่เสมอแล้ว การฝึกจิตตนเองให้มีนิสัยในการคิดดีเอาไว้ด้วย จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์แต่ละคนที่จะต้องรับผิดชอบกันให้ได้

    ค่ะ...เด๊ยวจิตยิ้มจะนำรายละเอียดมาให้พิจารณาค่ะ นอกจากจะช่วยเหลือโลกแล้ว ยังจะช่วยเหลือตนเองในเรื่องการขจัดวิบากกรรมด้วยค่ะ

    จิตจักรวาลดวงใหญ่ ได้มอบพลังงานความรักครั้งสุดท้าย ผ่านคลื่นความคิดเป็นความรู้แจ้งในข่าวสารการชำระโลก ถือเป็นการทุ่มเทเพื่อให้โอกาสมนุษย์ที่เหลวไหล ก่อนการลงแส้เพื่อเก็บมนุษย์ที่ไม่เอาไหน พร้อมขยะเทคโนโลยีที่ทำให้น้ำหนักโลกจนดาวเคราะห์โลกและเอกภพเสียสมดุลอยู่ในขณะนี้......
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    มหาสติ

    คำว่า "มหาสติ" หมายถึง การที่มนุษย์สามารถทำจิตให้สงบบริสุทธิ์ และเป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง ไม่ตกเป็นทาสทางอารมณ์ของตนเองโดยสิ้นเชิง ด้วยการรู้แจ้งในทุกสิ่งที่เผชิญ จนเกิดความเข้าใจได้ ยอมรับได้ และปฏิบัติได้

    การเพ่งจิตด้วยเทคนิคสมาธิ เพื่อทำจิตให้มีพลังเป็นหนึ่งเดียวพร้อมต่อการใช้งานได้ การเพ่งจิตก็ไม่ต่างไปจากการฝึกความมีสตินั่นเอง แม้มันจะง่ายต่อการปฏิบัติเพราะมันคืออุบาย แต่มันนำไปใช้ในชีวิตจริงของตนเองโดยตรงไม่ได้

    การฝึกสร้างสติในชีวิตจริงจากบทเรียนจริงในชีวิตของตนขณะที่ต้องฝ่าฟันมันไป อาจมีทั้งเรื่องดี ๆ และเลวร้ายหนักหนา จนบางคราถึงขั้นหากสติของตนเองเอาไม่พบเสียเลยนั้น ถ้ามนุษย์สามารถสร้างสติทำจิตให้สงบงันไม่สั่นไหวได้

    จักรวาลจะไม่เรียกว่ามนุษย์มี "สติ" แต่จะเรียกว่า "มหาสติ" เพราะมันยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมกว่ามาก
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    อารมย์แบบตุ๊ด ไม่มีผลต่อโลกและจักรวาล
    เสมือนนกที่บินเหินร่อน
    ไปขับถ่ายสิ่งปฏิกูลไปในอากาศ
    ไม่เคยทำให้ท้องฟ้าแปดเปื้อนสกปรกได้
    ฉันใดก็ฉันนั้น ฮับ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,195
    คิดถึงท่านอาริยชนนะคะ ท่านยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน
    ลุงแมว แซวใครค่ะ 5555

    เรามาคุยกันเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะ

    คลื่นอารมณ์ ที่เป็นผลกรรม

    เราจะรู้กันมาบ้างแล้วว่า มิติแก่นแท้ของมนุษนย์ นั้นคือ มิติพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    มนุษย์จึงเป็นคน 2 มิติ พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือ มิติที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ และมิติที่มองไม่เห็น ซึ่งทั้งสองมิติจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งมิติที่มองเห็นด้วยตาเนื้อนั้น เบื้องหลังก็คือมิติพลังงานที่กำลังสั่นสะเทือนเกิดขึ้นว่าเป็นพลังงานบวก หรือ ลบ อยู่ ณ ขณะนั้น

    กรรมคืออะไร ?

    กรรมคือพลังงานที่เกิดจากคลื่นความคิด และความรู้สึกของมนุษย์ที่เป็นอารมณ์หรือความอยากใด ๆ เมื่อถูก เกิดจากการสั่นสะทือนของจิตในกายมนุษย์เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้านั้น ๆ โดยจิตวิญญาณจะขับเคลื่อนพลังงานนั้นออกมาภายนอก แล้วจับกลุ่มรวมตัวกันคล้ายฟองอากาศ หรือเมฆหมอก เคลื่อนไหลไปเรื่อย ๆบนสนามแม่เหล็กโลก สู่สนามพลังงานจักรวาล พลังงานกรรมแต่ละกลุ่มจะแยกกันตามคลื่นการสั่นสะเทือนของจิตเป็นเรื่อง ๆ ไม่ปะปนกัน

    พลังงานกรรมใด ๆ จึงมีคุณสมบัติคงที่ ไม่มีความเป็นอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน คงมีแต่การดำรงอยู่เพื่อรอให้มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของนั้น กำจัดหรือชดใช้มันตลอดกาลนาน โดยกรรมเหล่านั้นจะคอยติดตามมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของตลอดไป แม้ตายไปก็ยังดำรงอยู่ไม่เสื่อมคลาย

    ผลกรรมของมนุษย์คืออะไร?

    หมายถึง ผลจากการคิดและการกระทำของมนุษย์ต่อผู้อื่น ซึ่งเกิดจากพลังงานทางอารมณ์และพลังงานทางการคิดของจิต ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือโดยประมาทก็ตาม

    กรรมใด ๆ ที่มนุษย์กระทำไว้ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันในทุกเรื่องราว รวมทั้งบุรพกรรมจากอดีตชาติที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาด้วยในภพชาตินี้ มันถูกสร้างขึ้นไว้ในรูปของรหัสบุรพกรรมแม่เหล็ก ซึ่งมันจะเกาะติดอยู่กับ จิตใต้สำนึกที่เร้นอยู่ทั่วไปในกายมนุษย์อย่างแนบแน่น โดยยังถูกกำกับไว้ด้วยต่อมไร้ท่อบางต่อม ซึ่งมนุษย์เรียกว่า จักรหรือจักรา และเส้นใยเกลียวแม่เหล็กที่เร้นอยู่ในนิวคลิโอไทด์ (รหัส DNA) ของแต่แต่ละเซลล์ร่างกายอีกต่างหากด้วย

    นอกจากนั้น....กรรมใด ๆ ที่มนุษย์ได้กระทำไว้ นอกจากจะกำกับบันทึกไว้ด้วยจิตใต้สำนึกและเส้นใยเกลียวแม่เหล็กที่เป็นรหัสบุรพกรรมอดีตชาติแล้ว กรรมที่กระทำในปัจจุบันอันเกิดจากการกระทำทางจิตสำนึกทั้งทางด้านบวกและด้านลบแล้ว จิตใต้สำนึกยังน้อมนำมันออกมาภายนอก ในรูปของพลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติกรรมติดอยู่ด้วย ร้อยเรียงกันไว้ตามลำดับของการกระทำ สั่งสมไว้ในมิติคู่ขนานเขื่อมต่อกับศรีษะของมนุษย์แต่ละคนเอาไว้อย่างไม่บกพร่องตกหล่น ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะอยู่ที่ไหน จนแม้แต่เดินทางไปนอกบรรยากาศโลกทะลุมิติกาลเวลาค่ะ

    ถ้าเป็นผลกรรมด้านลบ....

    เมื่อจิตหยาบของมนุษย์แต่ละคน ถ้าไม่สามารถสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกได้ คือเมื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนด้านบวกไม่ได้ กลไกทางไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์ ก็ไม่อาจผลิตพลังงานไฟฟ้าป้อนให้แก่ดาวเคราะห์โลก ที่อยู่ในใจกลางโลกได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้จากการแตกตัวของอะตอมออกซิเจนใจกลางโลกเมื่อทำปฏิกริยาทางไฟฟ้ากับอนุภาคประจุบวกที่สิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกบ่วยกันผลิตสร้างขึ้นแล้วป้อนให้แก่โลกของตนได้ มิหนำซ้ำยังกลับผลิตขยะพลังงานที่เป็นคลื่นพลังงานด้านลบพร้อมกับประจุไฟฟ้าลบขึ้นมาให้รกโลกเสียอีกต่างหากด้วย โลกจึงเป็นเช่นทุกวันนี้

    แต่ถ้า.....ถ้าเป็นคลื่นพลังงานด้านบวกล่ะ

    ถ้าเป็นคลื่นพลังงานทางอารมณ์และการคิดของจิตด้านบวก เช่นการคิดดี ทำดี พูดดี โดยพฤติกรรมมีส่วนผสมของความรัก จะมีอำนาจสั่นสะเทือนด้านบวก อันเป็นพลังงานชนิดเดียวที่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนขั้นสูงสุดในจักรวาล เพราะเป็นอำนาจทางไฟฟ้าแม่เหล็กชนิดเดียวกัน

    คลื่นพลังงานอารมณ์ของมนุษย์ทุกคนมีผลต่อโลกและจักรวาลดังนี้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...