ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ขอบคุณล่วงหน้าครับ

    หากผมไม่บอกว่า ผมตื่นแล้ว
    ต่อไป หากจะมีคนที่ตื่น เหมือนกัน
    มาอ่านเจอเข้า ก็คงจะคิดไม่ออก
    ผมถึงได้บอกเป็นนัยๆ ว่า
    ที่นี่เน้นเฉพาะ บุคคลใกล้จะตื่นแล้ว
    คนไหนที่ใกล้จะตื่น ก็จะต้องเข้าใจ
    สิ่งที่ผมบอกสอนเอาไว้
    หากใครยังไม่เข้าใจ ก็ให้กลับไปฝึกต่อ
    วันไหน ย้อนกลับมาอ่านอีก แล้วเข้าใจเองได้
    ก็แสดง ท่านก็ใกล้จะตื่นแล้วเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2019
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ผมจะไม่ขอถกถึง วิธีการสอนธรรมะ ของท่านอื่นนะครับ
    แต่จะขอกล่าวถึงเฉพาะ ธรรมะ ที่ท่านนั้นสอน เท่านั้น
    เพราะ พระโพธิสัตว์ แต่ละท่าน
    ก็จะมีวิธีการสร้างสมบารมี ไม่เหมือนกัน
    ธรรมะในจิต ก็มีมากน้อยต่างกันไป
    ดังนั้น วิธีการสอนธรรมะ ก็ย่อมจะไม่เหมือนกัน
    อย่างแน่นอน

    แต่ให้ระวังไว้ว่า เมื่อถึงคราวที่เราจะต้องสอนบ้าง
    ในเมื่อเราเคยขัดวิธีการสอนธรรมะของผู้อื่น
    ก็ย่อมจะมีผู้อื่นมาขัดเราบ้าง
    เมื่อตอนที่เราสอนธรรมะผู้อื่น
    เป็น กงกรรมกงเกวียน
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    เพราะ หลงสมมุติ จึงไม่ถึง ฝั่งวิมุตติ

    จะออกจากสมมุติได้ ก็ต้องรู้จักสมมุติเป็นอย่างดี
    ต้องฝึกเรียนรู้ สมมุติธรรม ให้เข้าใจได้อย่างดี
    ถึงจะฝึกปล่อยวางได้ ละวางได้ ทิ้งไปได้
    หากไม่รู้จักเป็นอย่างดี เหมือน ข้อสอบ
    ก็ไม่มีทางออกจากสมมุติพ้นได้
     
  4. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    วิบากที่จะมาตัดรอนเรา ตามความเข้าใจผม คือการไปขัดการทำความดีของผู้อื่น
    หากเป็นการไปขัดช่องทางอกุศลของผู้อื่น ผมจะไม่มองว่าจะมีอะไรมาตัดรอนเราหรอก

    หากจะมีกงกรรมกงเกวียนมาตัดรอนเราคืนบ้างในทางที่เรากำลังไปทำไม่ดีแบบนั้นก็ดีอะดิ
    เวลาเราเดินพลาดไปผิดทิศผิดทาง ได้มีคนมาตัดรอนช่องทางที่ไม่ดีของเรา
    ให้วกกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น

    ในกระทู้ วิธีสกัดกิเลส สกัดด้วยสติรู้ขันธ์ 5ได้ไหมฮับ ก็มีแต่ท่านนะ
    ที่ไปขัดคำสอน
    ของผู้อื่นหนะ โดยการไปใส่ร้ายผู้อื่นว่ากำลังเดินทางไปผิด
    อันนี้นี้หละ วิบากของท่านเองเพียวๆไม่มีคนอื่นแจมเลยนะ อิอิ
     
  5. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    โลสกชาดก

     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ฝากเตือนถึงบางท่าน ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
    คือ กำลังจะตายในเร็วๆ นี้ ควรที่จะฝึกวิปัสสนา
    ที่เน้นพิจารณาถึง ความตาย หรือ มรณะสติ เป็นหลัก
    ไม่ควรไปเสียเวลากับ อย่างอื่นอืก
    เมื่อเราจะต้องผจญกับความตายอยู่แล้ว
    เราก็เอาความตายที่เรากำลังจะเจอนั่นแหละ
    เห็น กรรมฐานสอนใจเราให้มีสติ
    ให้ฝึกนึกถึง ดินแดนพระนิพพาน ขึ้นมา
    ว่าเป็นดินแดนที่เราปล่อยวางทุกสิ่งไว้บนโลก
     
  7. fantaza100

    fantaza100 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2019
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    ปวดตึงหัวเวลานั่ง เวลาเห็นนิมิตภาพน่ากลัวแล้วไม่กล้านั่งไปต่ออยู่อาทิตย์ ก่อนความรู้สึกนั้นจะเลือนหายไปจนนั่งใหม่ นั่งไปนานๆสักพักแล้วเกิดความกลัว ไม่ผ่านความกลัวไปได้ ควรทำยังไงคะ
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ให้ฝึกเจริญมรณะสติ หรือ
    พิจารณาความตายอยู่เนืองๆ
    พิจารณาถึงความตาย เป็นอารมณ์
    ฝึกพิจารณซากศพ ศพคนตาย ศพสัตว์
    ฝึกพิจารณาความเหม็นเน่าของซากสัตว์
    ความกลัวเกิดจากการกลัวตาย
    กลัวความตาย ยังตายไม่ได้
    ไม่ยอมปล่อยวางบางสิ่ง
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    temp_hash-0b48a791255dd4bc500c4718d7f5a87f-jpg.jpg
     
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
     
  11. 8-0-4-0

    8-0-4-0 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2019
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +49
    @ ท่าน nilakarn
    มีข้อคำถามดังนี้ครับ
    1) ความเป็น "ปกติ" ของกาย วาจา ใจ เป็นอย่างไร ?
    2) บุคคลแต่ละประเภท มีความ ปกติ ของกาย วาจา ใจ แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร? และเพราะอะไร?
    3) อะไรเป็นเหตุปัจจัย อันนำมาซึ่งความ "ปกติ" ของพระอริยบุคคล?
    4) "ปกติ" ของ พระตถาคต เป็นอย่างไร ?
    5) เรามีวิธีการพิจารณา (หรือฝึกฝน) ตัวเราเองอย่างไร เพื่อนำมาซึ่งความเป็นปกติ
    6) "ปกติ" ของอารมณ์อันเกาะเกี่ยวกับนิพพาน เป็นอย่างไร มีความแตกต่างกัน ในแต่ละบุคคล ที่มี กิเลส กรรม วิบาก (วัฏฏะ) อันส่งผลให้ มีจริต ทิฐิ และพละ๕ แตกต่างกันอย่างไร ?
    และส่งผลให้ นิพพาน ของแต่ละตน แตกต่างกันหรือไม่? อย่างไร?

    ขอบคุณครับ.. อามิตาพุทธ
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ตอบ

    1 บุคคลทั่วๆไปทุกๆคน จะมีปกติ ส่งจิตออกนอกตัวเอง
    คือ ส่งจิตไปตามอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง
    สัดส่ายแผ่ออกไปรอบตัวเอง จนไม่มีที่สิ้นสุด

    แต่ พระอริยะเจ้าขั้นต้น จะพยายามอยู่กับ
    สติของตนเองให้ได้ พยายามที่
    จะกันไม่ให้จิต
    ส่งออกไปนอกตัว โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ส่วนพระอรหันตฺ์ จะไม่ค่อยส่งจิตออกไปไหนอีก
    ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เรียกว่า เกือบจะปิดจิตตนเอง
    ไม่กระทบต่อสิ่งใดอีก มีอะไรมากระทบก็จะปล่อยวางทันที
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    หากผู้ใด มีสติประกอบด้วยสมาธิและปัญญา
    ถ้ามีมากอยู่กับรู้สืบเนื่องได้มาก
    ถ้ามีน้อยก็ทรงอยู่กับรู้ได้น้อย
    ถ้าทรงอยู่กับรู้ด้วยธาตุรู้(ธรรมธาตุ)ล้วนๆ
    ไม่แว๊บไปไหนอีกแล้ว
    ก็สิ้นทุกข์
    ทางใจ
    ส่วนทางสังขารขันธ์ ก็ยังต้องดำเนินไป
    ตามธรรมชาติและวิบากกรรม ฮับ
     
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ตอบ

    2 บุคคลแต่ละบุคคล มีความปรกติ ที่แตกต่างกัน
    บุคคลทั่วๆไป มีปรกติ จะส่งจิตออกนอกอยู่ตลอดเวลา
    ชอบออกไปหาอะไร ให้มากระทบ ใจตนเองอยู่เรื่อยๆ
    เช่น เมื่อเหงา อยู่คนเดียว ก็จะออกไปหาเพลงฟังนอกบ้าน
    ทั้งๆที่ในบ้าน ก็มีเพลงฟัง จะเรียกอาการอย่างนี้ว่า
    พวกที่อยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ แต่ถ้าเป็นพวกที่ฝึกปฏิบัติจิตใจ
    พวกนี้จะอยู่คนเดียวได้สบายๆ ไม่ต้องคุยกับใครก็ได้
    คุยกับสัตว์เอา คุยกับเทวดาก็มี หรือ สัตว์ในอบายภูมิก็ได้
    แต่สำหรับพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติจิตใจ
    พวกนี้จะต้องเสาะแสวงหา สิ่งที่ล่อใจให้เพลิดเพลิน
    มาป้อนให้กับจิตของตนอยู่ตลอดเวลา

    ส่วนพระอริยะเจ้า ท่านจะมี ปรกติจิต ที่สลับไปมา
    ตามภูมิจิตของพระอริยะเจ้า แต่ละประเภท
    ซึ่งมีวิธีการออกจากกาม ที่ไม่เหมือนกันเลย
    แต่จะมีวิธีปฏิบัติที่เหมือนกันเท่านั้น
    เพราะกามที่เสพ จะเบาขึ้นเรื่อยๆ
    ตามลำดับของพระอริยะ แต่ละประเภท
    พระอริยะเจ้าชั้นต้น จะเสพกามได้
    กับผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้ เพศที่สามก็ได้
    สูงขึ้นมาอีกหน่อย การเสพกาม จะเหม็นมาก
    จะอาศัยการช่วยตนเอง ดีกว่า
    เพราะไม่ต้องทนเหม็นในร่างกายมนุษย์
    นานๆ ถึงจะเสพร่างกายมนุษย์เสียที
    แต่พอเสพๆ อยู่ ก็จะเหม็นจนทนไม่ได้อีก
    จนเข็ดในการเสพกาม กับร่างกายมนุษย์ไปเลย

    ส่วนการฝึกปฏิบัติ จะไม่เน้น การอยู่เป็นหมู่คณะ
    จะเน้นการอยู่คนเดียว ฝึกคนเดียว ปฏิบัติคนเดียว
    เมื่อติดขัด ก็จะแสวงหาครูบาอาจารย์ ตามที่ต่างๆ
    มาอธิบายให้ตนเองเข้าใจ เมื่อเข้าใจดีแล้ว
    ก็ฝึกปฏิบัติต่อไป ไม่ใส่ใจ แม้กระทั่ง
    ครอบครัวที่อยู่ด้านข้าง ต้องปล่อยให้เค้า
    รับผลจาก กฏแห่งกรรม ด้วยตัวพวกเค้าเองก่อน
    เค้าจะได้สำนึก ไม่ทำผิตต่อผู้อื่นอีก
    แต่จะเน้นอยู่ที่ ปรกติของใจ ซึ่งก็คือ
    การอุดรู ไม่ให้ตัวเหี้ย วิ่งเข้ารูได้
    จะต้องเปลี่ยนอุบายอยู่เสมอๆ เพื่อให้ตามทันวิธีของมัน
    ตัวเหี้ย ก็จ้องจะอัพเกรดตนเอง กลายเป็น
    พญาเหี้ยชั้นสูง ขึ้นเรื่อยๆ มารที่มาก็จะเนียนขึ้นเรื่อยๆ
    เรียกว่า ในชั้นสูงสุดแล้ว จะแยกไม่ออกเลยว่า
    เราคือเหี้ย เหี้ยคือเรา เราคือมาร มารก็คือเรา

    ใจเรานั่นเองนั่นแหละ ที่สลับไปมาระหว่าง มาร กับ พระ
    เมื่อถึงชั้นที่สูงๆ ขึ้นไป จะเน้นอยู่ที่การดูจิต แค่นั้น
    วันๆ ไม่ต้องฝึกทำอะไร ก็หมดเวลาแล้ว
    เวลาหนึ่งวัน ช่วงมีเวลาน้อยเกินไปเสียแล้ว
    ทั้งๆ ที่ เมื่อก่อน ในหนึ่งวัน ทำอะไรได้ไม่สิ้นสุด
    แต่พอฝึกมากๆเข้า วันวันหนึ่ง
    ก็แทบจะมีเวลาไม่พอปฏิบัติธรรม
    แต่เมื่อขึ้นไปในชั้นสูงสุด
    จิตก็กลับกลอกอีก คือ จะเห็นว่า ธรรมะ
    ที่มีอยู่ในตนเองนี่แหละ ที่จะเป็นตัวขัดขวาง
    ไม่ให้บรรลุพระอรหันต์ ธรรมชั้นสูง
    ที่เราหวงนักหวงหนานี่แหละ
    ที่ทำให้เกิด อวิชชาบางๆ กั้นจิตไว้
    ไม่ให้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดได้
    เราก็จะต้องฝึกปฏิบัติอีกครั้ง
    เพื่อทำลายอวิชชาตัวนี้ให้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2019
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    __// พ่อสอนลูก \\__

    อธิบายโคตรภูญาณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    โคตรภูญาณ คือ จิตมันอยู่ระหว่าง โลกีย์ กับ โลกุตตระ คือ ความเป็นคน
    กับความเป็น พระอริยเจ้า ท่านเปรียบเหมือนกับ ลำรางเล็ก ๆ น่ะ คือ
    ขาหนึ่งยืนอยู่นี่ ขาหนึ่งยืนอยู่ฝ่ายโลกีย์ ยังยกไม่ขึ้น อีกขาหนึ่งยืนอยู่
    ฝ่ายโลกุตตระ ยกขึ้นได้แล้ว

    ทีนี้ อารมณ์ของโคตรภู เราต้องรู้ว่า ขณะใด เราเข้าถึงโคตรภู ไอ้พูดตามตำรานี่
    มันพูดได้ ไม่ยากหรอก แต่ตัวเข้าถึงนี่ซี ถ้าเราเป็นฝ่ายวิชชาสามนะ มันเห็นชัด
    คือเวลาที่เราถอดจิตขึ้นไป ตามปกติเราจะท่องเที่ยว แต่เฉพาะในส่วนของโลกีย์
    ใช่ไหม จะเป็นเมืองมนุษย์ก็ดี อบายภูมิก็ดี เทวดาพรหมก็ดี แต่ ส่วนโลกุตตระ
    เราจะเข้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเห็นได้ แต่ถ้าอารมณ์ของจิตเข้าถึงโคตรภูญานได้
    เราก็จะเห็นพระนิพพานชัด (ตามกำลังของจิตโคตรภู)

    ถ้าพูดถึงอารมณ์ อันดับแรก อารมณ์มันจะยึดตัวธรรมดา คือ ใครด่า
    เขาด่าก็ว่าเป็นธรรมดา เกิดมาต้องมีคนเขาด่าว่า อันที่จริงก็โมโหเหมือนกันนะ
    แต่โมโหแล้ว มันปล่อยไปไม่เกาะเอาไว้

    ถ้ายังไม่ได้ อนาคามี อย่านึกว่า ไม่มีโมโหโทโส มีโกรธ เหมือนกัน โกรธเดี๋ยวเดียว
    แต่ไม่ไปอาฆาต ไม่ไปทำร้ายเขาแล้วมัน ก็หายไป เห็นอะไรๆ มันก็ธรรมดา
    ถ้าไปเจอะคน ตายมันก็วาบหวิวไปนิดหนึ่ง ประเดี๋ยวตัว ธรรมดา มันก็ปรากฏ
    ถ้าอารมณ์เข้มขึ้น มันก็ยันธรรมดาอยู่เสมอ แต่ก็ยังมีสะท้านอยู่บ้าง
    ในขณะเดียวกัน ก็มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นที่สุด ใครจะพูดเรื่องอะไร ก็ฟังได้
    แต่ฉันไม่เอาด้วย ฉันจะไปนิพพาน นี่สำหรับพวกมีวิชชาสาม

    ส่วนพวกสุกขวิปัสสโก ก็ต้องสังเกตอารมณ์ เอาว่า ยึดธรรมดา และ
    รักพระนิพพานเพียงใด ถ้ารักมากก็ชื่อว่าเข้าถึงโคตรภูแล้ว จะต้องสังเกตตรงนี้
    ไม่ใช่ว่าเราไปแกล้งทำธรรมดานะ ต้องธรรมดานะ ที่ของมันทำได้เป็นปกติ
    จิตจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์จริง ๆ

    แต่ถ้าไปนิพพานไม่ได้อย่างอื่นก็ต้องการ คือ จะไปพักสวรรค์พักพรหมโลก
    พักเพื่อหวังนิพพาน จะทำอะไรก็ตาม ไม่หวังผลตอบแทน ฉันหวังจะไปนิพพาน
    นี่คือ อารมณ์โคตรภู

    ถึงโคตรภูแล้ว สงสัยว่าเราจะเป็น พระโสดาบัน ก็มานั่งไล่เบี้ย สังโยชน์สาม
    ดูว่าสักกายะทิฏฐิ เราเป็นอย่างไร เรารู้หรือเปล่าว่า ร่างกายมันจะพัง ตัวของเรา
    ตัวของคนอื่นน่ะ รู้หรือเปล่าว่ามันจะพัง มันจะตาย รู้ว่าจะตาย ความจริงก็มีจิต
    ห่วงนั่นห่วงนี่บ้าง พระโสดาบันนี่ยังห่วง แต่ว่าห่วงไม่มาก ถ้ามันจะตายจริงๆ
    ก็เอวังจบ ฉันจะไปนิพพานนะ

    สังโยชน์ที่สอง วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า
    ไม่สงสัยนี่ ไม่ใช่ว่านึกเอานะ ต้องปฏิบัติด้วย ต้องแน่ใจว่า เกิดแก่เจ็บตายนี่
    เป็นของมีจริงใช่ไหม เชื่อเหลือเกินว่า เราเกิดมานี่ต้องแก่ ไอ้การป่วยไข้
    ไม่สบายนี่ มันต้องมีแน่ ถ้ามันมีขึ้นมา เราก็ไม่ตกใจ การรักษาพยาบาล
    ถือเป็นของ ธรรมดา เพราะถือ เป็นการระงับเวทนาทางกาย แม้แต่พระพุทธเจ้า
    แม้แต่พระอรหันต์ทุกรูป ท่านก็ต้องรักษาพยาบาล แต่ในระหว่างที่รักษาตัว
    ก็จะต้องนึกว่าอยู่เสมอๆว่า จะระงับได้หรือไม่ได้ จะทรงอยู่ได้ หรือไม่ได้
    ก็ตามใจมัน ถ้าเกิดทุกเวทนามาก รักษาพยาบาลแล้ว อาการมันไม่ลด
    ก็ตามใจมันซี ฉันจะทนให้แก่ความเจ็บปวดทรมาน แคชั่วประเดี๋ยวเดียว
    แล้วฉันก็จะไปนิพพาน อารมณ์มันตัดสังโยชน์ตรงนี้นะ


    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2019
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    วิปัสสนาญาณที่ ๑๓ -- โคตรภูญาณ

    เมื่ออนุโลมญาณ ๓ ขณะ ( สำหรับผู้เป็นมัณทบุคคลคือผู้บรรลุอริย-สัจจธรรมช้ากว่าติกขบุคคล) หรือ ๒ ขณะ (สำหรับผู้เป็นติกขบุคคล) ดับไปแล้วโคตรภูญาณคือมหากุศลญาณสัมปยุตตจิตก็เกิดต่อ โดยน้อมไปมีนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นอาเสวนปัจจัยให้โสตาปัตติมัคคจิตเกิดต่อมีนิพพานเป็นอารมณ์โดยเป็นโลกุตตรกุศลจิตที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

    ธรรมดาของชวนวิถีในวาระเดียวกัน ๗ ขณะนั้นต้องมีอารมณ์เดียวกันแต่ในมัคควิถีนั้น ชวนวิถี ๗ ขณะมีอารมณ์ต่างกัน คือ บริกัมม์ ๑ ขณะ อุปจาระ ๑ขณะ อนุโลม ๑ ขณะ มีไตรลักษณ์ลักษณะหนึ่งลักษณะใดใน ๓ ลักษณะเป็นอา-รมณ์ แต่โคตรภูจิต ๑ ขณะ มัคคจิต ๑ ขณะ และ ผลจิต ๒ ขณะ มีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อโคตรภูจิตเป็นมหากุศลจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ขณะแรก จึงเป็น

    ดุจอาวัชชนะของโสตาปัตติมัคคจิตซึ่งมีนิพพานเป็นอารมณ์ ต่อจากโคตรภูจิตโสตาปัตติมัคคจิตจึงทำกิจดับกิเลสได้

    ข้อความในอัฏฐาสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ พรรณนาโลกุตตรกุศล และวิสุทธิมัคค์ ญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส อุปมาอนุโลมญาณและโคตรภูญาณ ดุจบุรุษผู้แหงนดูดวงจันทร์ในเวลากลางคืน ขณะนั้นดวงจันทร์ไม่ปรากฏเพราะเมฆหมอกกำบังไว้ ทันใดนั้นมีลมกองหนึ่งพัดเมฆก้อนทึบนั้นให้กระจายไปแล้วลมอีกกองหนึ่งก็พัดเมฆที่กระจายแล้วนั้นให้ออกไปอีก แล้วลมอีกกองหนึ่งก็พัดเมฆแม้ละเอียดที่ปิดบังดวงจันทร์นั้นให้ออกไป บุรุษนั้นจึงเห็นดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆปิดบัง นิพพานเปรียบดุจดวงจันทร์ อนุโลมญาณ ๓ ขณะเปรียบดุจลม ๓กอง โคตรภูญาณเปรียบดุจบุรุษผู้เห็นดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆปิดบัง อนุโลมญาณ ๓ ขณะเหมือนลม ๓ กองซึ่งอาจกำจัดเมฆที่ปิดบังดวงจันทร์ได้ แต่ไม่อาจเห็นดวงจันทร์ฉันใด อนุโลมญาณก็บรรเทาความมืดอันปกปิดสัจจะได้ แต่ไม่อาจเห็นนิพพานได้ ฉันนั้น และบุรุษนั้นอาจเห็นดวงจันทร์ได้อย่างเดียวแต่ไม่สามารถกำจัดเมฆได้ ฉันใด โคตรภูญาณก็ฉันนั้น คือ อาจเห็นนิพพานได้ แต่ไม่อาจทำลายความมืด คือ กิเลสได้







    ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป

    gal00098020d391.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2019
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    โคตรภูญาน คือ ผู้ที่มีญานพระไตรลักษณะสาม เป็นอารมณ์
    มีสามขณะจิต หรือจะเรียกว่า มีสามอย่างก็ได้
    หรือจะเรียกว่า
    มีสามประเภทก็ได้ ซึ่งก็คือ


    1 พวกโคตรภูชั้นต้นๆ ก็คือ พวกที่คิดจะออกจากกามเป็นบางเวลา
    คือ คิดที่จะออกจากกามเป็นตัวตั้งต้น แต่คิดได้แค่วันละนิดวันละหน่อย
    เล็กๆน้อยๆ ค่อยๆผสมไปเรื่อยๆ เต็มที่จะได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
    แล้วก็ผสมการนึกถึงพระอรหันต์ หรือ การปล่อยวางของพระอรหันต์
    เป็นอารมณ์ สุดท้ายก็นึกผสม พระนิพพานเป็นอารมณ์ ใส่เข้าไปด้วย
    สรุปก็คือ พวกแรกนี้จะนึกสามอย่างคือ ความคิดจะออกจากการเสพกาม
    ผสมไปด้วย อารมณ์ของพระอรหันต์ และ นึกพระนิพพานเป็นอารณ์
    แต่ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ พระไตรลักษณะสามอย่าง นั่นเอง
    คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่จริง จะต้องทรงเป็น
    อารมณ์ญานให้ได้

    2 พวกโคตรภูชั้นกลางๆ ก็คือ จะทำได้อย่างพวกแรกแล้ว
    ก็เพิ่มการคิดที่จะออกจากการให้เยอะขึ้นไปอีก
    แล้วก็ปฏิบัติเพื่อหาวิธีออกจากกามด้วย พวกที่สองนี้จะทำได้ หรือ
    ทรงอารมณ์อย่างนี้ได้ ประมาณครึ่งวัน หรือ สิบสองชั่วโมง ก็เบื่อ
    แล้วก็จะกลับไปเสพกามเหมือนเดิม

    3พวกโคตรภูชั้นสูงๆ ก็คือ ทำได้เหมือนกันพวกที่สองแล้วทุกอย่าง
    แต่ทรงอารมณ์ไว้ได้เป็นวันๆ คือ ประมาณ 20 - 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว
    แล้วก็ทำได้ทุกวัน สม่ำเสมอ หากเลยสามเดือนขึ้นไป
    ก็จะทรงอารมณ์ได้เหมือนกัน พระโสดาบัน เป๊ะๆ
    ก็จะบรรลุ พระโสดาบัน ได้นั่นเอง


    แต่การบรรลุพระโสดาบัน อาจจะทะลุไปเป็น
    พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ได้เช่นกัน
    ตามภูมิธรรมิ และ การศึกษาในพระไตรลักษณะสาม
    ของผู้ที่ฝึกฝนตนเอง
    และ ตามวาสนา หน้าที่ ของผู้นั้นๆ
    ซึ่งจะไม่มีใครใด้เหมือนกันเลยเป๊ะๆ จะสลับไปสลับมา
    ตามวาสนา ทั้งของผู้สอน และ ผู้ฝึกตาม ทั้งคู่ผสมกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2019
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ตอบ

    3 การดึงจิต ให้กลับมาในกายนี้ ก็คือ เหตุปัจจัย
    ที่นำมาซึ่งความเป็น ปรกติจิต ของ พระอรหันต์
    พอท่านรู้สึกว่า จิดกำลังจะออกไปท่องเที่ยว
    ท่านก็จะภาวนาทันที เช่น ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    ร่างกายเป็นทุกข์ ทุกสิ่งเป็นของลวง
    ทุกอย่างเป็นของปลอม แล้วก็ปล่อยวางไม่สนใจเรื่องนั้นอีก
    เรียกว่า จะภาวนาเกือบจะตลอดเวลา
    จะเน้นเฉพาะ วิธีที่ทำให้ท่านปล่อยวางได้เท่านั้น

    การเล่นฤทธิ์ ก็จะกลายเป็น ของเล่น ที่จะไม่เล่นมันอีก
    ท่านจะคิดแค่เพียงสามอย่าง ก็คือ
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีจริงๆ สามอย่างนี่เท่านั้น
    ที่จะทำให้ท่านสนใจได้ นอกจากสิ่งเหล่านี้
    เมื่อมีสิ่งใจมากระทบจิต ก็ไม่เอาอารมณ์ของตนเอง
    ไปหลงเพลินเล่นอยู่กับสิ่งนั้นๆ อีก
    ท่านจะภาวนาอยู่ในใจเสมอว่า

    ปล่อยวางบรรลุธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ
    สรรพสิ่งไม่เที่ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    สรรพสิ่งมีแต่ทุกข์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    สรรพสิ่งเพียงสมมุติๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ปล่อยวางเป็นพระอรหันต์ๆๆๆๆ
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    นี่คือ ท่าฤาษีเปลี่ยนเส้นเอ็นของผู้ที่มีโรค หรือ
    ท่ากายบริหารเปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลินใต้



    หรือ



    หรือ



    หรือ

     

แชร์หน้านี้

Loading...