เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    เจดีย์ภายในวิหาร 100 เมตรบรรจุสิ่งมีค่าใดบ้างหลวงพ่อเล่าให้ฟังผ่านตัวการ์ตูนจุไรและป้าน้อย หนังสืออ่านเล่นเล่ม 8 หน้า 65.jpg หนังสืออ่านเล่นเล่ม 8 หน้า 66.jpg หนังสืออ่านเล่นเล่ม 8 หน้า 67.jpg หนังสืออ่านเล่นเล่ม 8 หน้า 68.jpg
    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 8 หน้า 65-68)
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    5201314.jpg

    ฝึกมโนฯ ไม่ให้สลายตัว

    ผู้ถาม : มโนมยิทธิที่ฝึกได้แล้ว ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้หนีคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ใช้ไปเรื่อยๆซิลูก อย่าทิ้งถ้าไม่ให้หนี ทุกวันต้องขึ้นนิพพานทุกวันตอนเช้ามืด อย่างนี้ไม่มีทางหนี พระนิพพานต้องใช้อารมณ์สูงสุดอยู่แล้ว และจิตละเอียดที่สุดจึงถึงนิพพานได้

    เช้าตื่นมาปั๊ปรวมรวมกำลังใจไปนิพพานทันที ถ้าทางที่ดีก่อนหลับ หัวถึงหมอนไม่ต้องนั่งหรอก ขึ้นไปนิพพานก่อนซัก 2-3 นาที แค่นั้นแหละ จะไม่สลายตัว

    แต่ว่าจงอย่าไปคิดอยากเห็นภาพชัดอย่างนี้ไม่ได้นะ เอาความรู้สึกเป็นสำคัญลูก เรื่องภาพชัดนี่ไม่แน่ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวไม่ชัด มันเกี่ยวกับร่างกาย ให้ถือความรู้สึกเป็นสำคัญ

    ผู้ถาม : ถ้ามีอารมณ์เป็นมิจฉาทิฏฐิบ่อยๆ จะแก้อย่างไรคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็แก้เป็นสัมมาทิฏฐิซิ ก็ต้องคอยระวัง ใช้ปัญญาเอาเหตุเอาผล มันต้องมีลูก มีแน่ ถ้ามีบ่อยเราก็ต้องตั้งท่าสู้ ตื่นเช้าปั๊ปอารมณ์อย่างนี้มันต้องไม่มีกับเรา แต่อดเผลอไม่ได้ ถ้าเผลออะไรบ้าง คิดว่าเราจะไม่ยอมให้มีอีก ก็นั่งไล่เบี้ยบารมี 10 เสียซิ

    นี่พระพุทธเจ้าท่านบอกหลวงพ่อมาให้เขียนไว้ข้างที่นอน อย่าไปทะนงว่าเราจำได้ เขียนตัวโตๆให้ตาเรามองเห็นสะดุด นั่งไล่เบี้ยว่าบารมี 10 มีอะไรบ้าง วันนี้เราจะไม่พร่องในบารมี 10 ต้องไล่ทุกวัน อย่านึกว่ามันไม่พร่อง อดพร่องไม่ได้ ถ้าทำจนชินนี่มันไม่พร่อง

    (จากธัมมวิโมกข์ เมษายน 2536 หน้า 95)

    0001.jpg
    ชอบเจริญพุทธบุพพวัตร

    ผู้ถาม : กระผมเป็นฆราวาสแต่มีใจชอบเจริญพุทธบุพพวัตรในหัวข้อที่ว่า เอ๊ะ ฆราวาสต้องกินชีนะ กินอาหารมื้อเดียว ทำมาอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์ปัจจุบันคือ 1. เปลืองอาหารน้อย (หัวเราะ) กินเวลาเดียว 2. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่คือตาย

    ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดสถานอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีมันเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน 2 เวลา กิน 3 เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่าใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิเป็นกิเลสหยาบอีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลส พังเลย

    ผู้ถาม : อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป......

    หลวงพ่อ : ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปเปลืองน้อย เวลาตายก็เห็นจะแบกเบาหน่อย แต่ก็ไม่แน่ขึ้นอืดนี่ก็หนัก เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว 2 เวลา กินเนื้อสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์นี่อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ

    ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่างหลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่ามีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์" หลวงปู่แหวนท่านบอก "ไอ้วัวควายกินหญ้าตั้งนานไม่เห็นเรียกพระอรหันต์ซักตัว" ตอบนำสมัย ไม่ใช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฏิบัติ แต่ปฏิบัติจริงๆมันอยู่กับ

    1. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง ?

    2. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง

    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัดแค่กิน

    (จากธัมมวิโมกข์ เดือนเมษายน 2536 หน้า 93)

    3-16.jpg

    ขายพระ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา คือว่าลูกมีพระสมเด็จพระระฆัง ก็จะให้เขาเช่าไปแล้วก็จะเอาเงินไว้รับประทานบ้าง แบ่งทำบุญกับวัดท่าซุงบ้าง อย่างนี้จะบาปจะมีกรรมจะมีเวรหรือเปล่าเจ้าคะ.....?

    หลวงพ่อ : ความจริงก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่นะ จะถือว่าปรามาสก็ไม่ถูก ใช่ไหม เพราะเขาให้ราคาแพง แต่ความจริงสมเด็จวัดระฆังนี่ฉันทำได้นะ ใครจะซื้อแพงๆ ฉันทำขาย (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : หลวงพ่อมีสูตรหรือครับ....?

    หลวงพ่อ : มี เอาไหม สูตรขี้ยานะ ที่นี่เขาจะฟังกันหรือเปล่านี่ก็พูดไถลเถลือกไป

    1. มีข้าวสุก
    2. มีกล้วยน้ำว้าสุกงอมๆ
    3. มีปูนขาว
    4. ถ้าต้องการให้แตกลายงามากหรือน้อย ใช้น้ำตาลสีดำน้ำตาลทรายแดงนั่นแหละนะ ต้องการให้แตกลายงามากใช้น้ำตาลทรายแดงมาก ต้องการแตกลายงาน้อยใช้น้ำตาลสีดำน้อยน้ำตาลทรายแดงแหละนะแค่นี้ แล้วก็น้ำมันตั้งอิ้ว น้ำมันตั้งอิ้วทำให้แข็ง เท่านี้แหละเรื่องกล้วยๆ

    แต่สูตรนี้เมื่อปีพ.ศ. 2500 เห็นคนขี้ยาแกทำขาย แกขายที่แผงวัดมหาธาตุ แกมีแผงตั้ง 3 แผงนะ แผงตัวแก แผงเมียแล้วก็แผงลูกชาย อาทิตย์แกวางไว้ที่แผงแก 1 องค์ ขายอาทิตย์ละองค์ ใครไปถามแกแกก็บอกก็แลกกันไปแลกกันมา แกตีราคาตามคน แพงนะ อาทิตย์ที่ 2 วางแผงเมีย อาทิตย์ที่ 3 ไปวางแผงลูกชาย แกขายอาทิตย์ละองค์เท่านั้นแหละ แกขายได้ทุกอาทิตย์ แกก็ไม่ได้โกหกบอกว่าถ้าชอบใจก็เอาไปซิ ไม่ชอบใจก็แล้วไป

    ต่อมาไปขอเรียนสูตรแกเข้า แกเอา 500 ฉันก็เลยไม่เรียน ให้เณรย่องดู (หัวเราะ) ไม่ใช่ขโมย ให้เณรไปเจริญพระกรรมฐานเป็นพุทธานุสสติ เพราะรูปพระนั่นเป็นรูปพระพุทธเจ้านะ เณรก็กะเหลี่ยมๆไปแอบมองฝาดูจำสูตรได้ ฉันก็มาทำเป็นองค์ที่ 3

    องค์ที่หนึ่งนักเลงเล่นพระไปเขารู้เลยปลอม

    องค์ที่สองชักดูกันนานหน่อย เราไม่รู้สูตรแน่นอน ใช่ไหม

    องค์ที่สามเอาได้เลยเรียบร้อยดีแล้ว แต่ว่าพอทำเสร็จนะให้แช่น้ำหมากหรือว่าน้ำชาแก่ๆ ใช่ไหม แล้วก็มาขัด ขัดแล้วก็เอาใบกล้วยใบตองขัดอีกที แกขึ้นเป็นเงามันปู ใช่ไหม

    แล้วต่อมานักเลงพระเยอะแยะเลยไปดูกัน ฉันไม่ออกชื่อนะกลัวแกจะเสียชื่อ แกก็เอาแว่นไปส่อง ส่องไปส่องมา รุ่งขึ้นแกก็พาพวกไป 5-6 คน ไปๆมาๆแกตีราคาให้ 4,000 บาท ก็บอกนี่คุณ ถ้าฉันไม่นุ่งผ้าเหลืองนะ ฉันเอาแหงๆเลย ถามทำไม ไอ้นั่นของคุณน่ะทุบทิ้งได้ ฉันทำเองจ๊ะ หงายท้องผึ่งเลย แกยังหาว่าโกหกอีก ก็ฉันเสียดาย ถ้านุ่งกางเกงนะ อาจารย์ฉันรวยแหงๆเลย

    แต่ว่าแกขาดความสังเกตุ ถ้าพระเก่าจริงๆ เนื้อจะเบาเพราะส่วนที่เป็นน้ำแห้ง ใหม่จะมีความชุ่มตัวอยู่ หนัก นี่ขาดความสังเกตุจุดนี้นะ เอาแว่นขยายมากเกินไป

    ก็เป็นอันว่าขายแล้วทำบุญบ้างกินบ้าง ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่เป็นปรามาสเพราะไม่ได้ทำเป็นการค้านี่ แต่ว่าเขามีความจำเป็น ฐานะก็ไม่สู้จะดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 55 หน้า 30-31)




     
  3. ๙ช่อง

    ๙ช่อง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2014
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +42
    สวัสดีครับ ขอสอบถามกับทุกท่านว่าเหรียญหลลวงพ่อวัดท่าซุงหลังท้าวเวสสุวรรณเหรียญนี้แท้ไหม ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    เหรียญท้าวเวสไม่ชุบ.jpg เหรียญท้าวเวสไม่ชุบหลัง.jpg เหรียญท้าวเวสส.jpg เหรียญท้าวเวสสุวรรณ.jpg เหรียญท้าวเวส 5.jpg เหรียญท้าวเวส 6.jpg
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    เหรียญท้าวเวส 7.jpg

    รอผู้รู้มาตอบให้ละกันนะครับ

    เหรียญท้าวเวสสุวรรณของผมด้านบนนำไปชุบทองและทองขาวมาครับไม่ใช่ผิวสีเดิม
     
  6. ๙ช่อง

    ๙ช่อง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2014
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +42
    ขอบคุณมากครับ ผมลองไปหาข้อมูลปรากฎว่าเหรียญที่ผมได้มานั้น เป็นเหรียญปลอม ดูจากรอยตัดขอบด้านข้างนั้นไม่ตรงกับลักษณะของเหรียญแท้ครับ
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    111-4.jpg


    ถือศีล 8

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกตั้งสัจจะไว้กับพระที่ฝั่งธนบุรีว่าจะรักษาศีล 8 ชั่วชีวิต ลูกก็ทำมาโดยตลอด บัดนี้ลูกอายุมากแล้วเพราะทางกระเพาะลำไส้ไม่ดี หมอบอกว่าถ้าขาดอาหารตอนเย็นแล้วจะไปไม่รอด จะขอเรียนถามหลวงพ่อว่าจะคืนสัจจะที่ซอยสายลมกับหลวงพ่อ แล้วให้หลวงพ่อบอกพระพุทธเจ้าอโหสิกรรมได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เออ....เอาหนักแฮะ เอาอย่างนี้ซิ ย้ายไปถือกรรมบท 10 กินข้าวเย็นได้ ดีกว่าเยอะ เป็นทั้งศีลทั้งธรรม ได้ 2 อย่าง

    ผู้ถาม : แล้วอานิสงส์คงไม่ต่างกัน ใช่ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์แข็งกว่าศีล 8 อ้าวจริงๆนะ ศีล 8 เราไม่ค่อยจริงกันนัก แต่ถ้าปรกติทุกวันก็ดี นี่มันปรกติไม่ได้นี่ ต้องเป็นบางเวลา ใช่ไหม

    กรรมบท 10 เขามีทั้งศีลทั้งธรรม มโนกรรมนี่เป็นธรรม แล้วสังเกตุดูเป็นการตัดกิเลสได้ง่าย ฝึกตัดกิเลสไปในตัวเสร็จ

    ผู้ถาม : เกี่ยวกับข้อไม่กินข้าวนี่ เวลาไปกินเลี้ยงมันเผลอไผลไปตักเข้า กว่าจะรู้ตัวก็เข้าไปครึ่งท้องแล้วแต่ไม่เจตนานะครับ

    หลวงพ่อ : ความจริงถ้าเรารักษาศีล 8 ไม่ขาดนะ ที่เราสมาทานมัน 9 ข้อ "นัจจะคี" กับ "มาลาคันธะ" เวลาเขาบวชพระบวชเณรเขาแยกนะ เรารักษาแค่ศีล 8 ทิ้งวิกาลโภชนาเสีย

    ผู้ถาม : อ๋อ ก็ดี

    หลวงพ่อ : แต่อย่านะลงนรก (หัวเราะ) แหมตั้งใจหูผึ่ง

    ผู้ถาม : ได้กินข้าวเย็นก็ยังดี

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ สมาทานกรรมบท 10 กรรมบท 10 เป็นคุณสมบัติพระโสดาบันขั้นโกลังโกละกับเอกพิชี และสกิทาคามี หนักมาก

    ผู้ถาม : ท่านรักษาศีล 8 เดือดร้อนก็เอากรรมบท 10 ดีกว่านะ

    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2532 หน้า 5-6)

    เรื่องการถือศีล 8

    ลูกศิษย์ : อย่างคนถือศีล 8 จะไปเต้นรำได้ไหมคะ

    หลวงพ่อ : เออ ไม่เป็นไร ถือให้แน่นนะ ไม่หลุดหรอก เต้นรำ ไปรำ รำข้าวใช่ไหม เต้นรำ ถ้าฟ้อนรำฉันจะไม่ให้เลย เสือกเต้นจนศีลหายหมด มันอย่างไร เต้นรำทำอย่างไร เต้นด้วยรำด้วย เต้นรำให้ดูสิ กลัวว่าศีลมันจะไม่อยู่นะซิ ต้องดูจังหวะการเต้นเขานะ อย่างนี้ถึงจะพยากรณ์ได้ เอ้ามีอะไรคุยบ้าง เดี๋ยววันที่ 3 ไม่คุยกลับนะ

    ลูกศิษย์ : หลวงพ่อคะ เวลาจะสมาทานศีล 8 ทุกคืนอย่างที่ทำมานะคะ วันพระก็ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงเวลาเที่ยง สองเวลานี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย แล้วทานอาหารกลางวันถึงบ่าย 2 ทานอิ่ม 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม เป็นการผิดศีลที่สมาทานหรือเปล่าคะ

    หลวงพ่อ : กินกี่เวลาล่ะ

    ลูกศิษย์ : สองเวลาค่ะ

    หลวงพ่อ : สองเวลาก็ดีเหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ดีกว่านะ กินเช้าเวลา เย็นเวลาหนึ่ง ดีไหม

    ลูกศิษย์ : บางทีวันหนึ่งทานครั้งเดียว ก็เลยไม่ทราบจะทำอย่างไร

    หลวงพ่อ : ถ้ามันมีงานอยู่ เราก็ตั้งไว้ซิ เวลาจะกินเวลาไหนให้แน่นอนนะ เครื่องบินเห็นไหม ถึงเวลาต้องทาน ถ้าไปจากที่นี่ 9 โมงเช้าไปตามทาง ไอ้นั่นเขา 6 โมงเย็นก็ช่างเขา ถือเวลาเดิมๆนาฬิกาเดิมนะ ถ้าไม่เกินเที่ยงของเวลาเดิมนะ จะฉันได้ ใช่ไหม

    ศีล 8 ก็เหมือนกัน หิวเวลาไหนก็ฉะเวลานั้น ก็หมดเรื่องเลย แต่ความจริงเขาตั้งเวลาไว้หมดแล้ว แต่งานมันบังคับเรา ใช่ไหม เขาตั้งใจไว้เฉพาะสองเวลาก็ไม่เป็นไร

    คือว่าศีลข้อนี้ ถ้าหากว่าเราพลาดมันก็ไม่เสียหาย คือไม่มีโทษลงนรก มันเป็นธรรมะ

    ก็สมมุติว่าเรากินข้าว ไอ้กินข้าวไปแล้วมันเหลือตัว เวลาสมาทานนี่ 9 ตัว สมาทานศีล 8 ใช่ไหม กินได้ นัจจคีฯ กับ มาลาฯ ถ้าบวชพระกับบวชเณรนี่ เขาแค่ นัจจคีฯ ตัว มาลาฯ ตัว

    เวลารับศีล 8 รับ นัจจะคีฯ กับ มาลาฯ รวม ใช่ไหม เราก็แยกเสียก็เหลือ 8 พอดี แต่ความจริงไม่เป็นไรนะ ไอ้พลาดข้อนี้ข้อเดียวไม่มีโทษ ข้ออื่นที่มีความสำคัญกว่าเรารักษาได้ใช่ไหม แต่เขาก็ถือเกี่ยวกับเวลา คือเวลาที่มันไม่เหมาะสมนี่ อย่างปรกติเรากินข้าวไม่เลยเที่ยงได้ ใช่ไหม ทีนี้ทำงานมันบังคับ จะต้องกินหลังเที่ยง เราไปกินเย็น อันนี้ก็ได้ไม่เป็นไร ต้องตัดกังวลเท่านั้นเอง

    ต้องตัดกังวลเรื่องอาหารเสียหน่อยจะได้สะดวก ไม่อย่างนั้นความวุ่นวายมันมี อย่างรักษาศีล 8 ก็ต้องหุงข้าวเย็นกิน ไอ้ศีล 8 มันศีลพรหมจรรย์ จะไม่มีเวลาเจริญกรรมฐาน ทำสมาธิ คือว่าถ้าหากว่าเราไม่กินข้าวเย็น จิตใจเราจะดีละเอียดอารมณ์สบายๆ

    ตั้งตี 4 ถ้าไม่กินข้าวเย็น อารมณ์จะสบาย ประมาณ 24 น. อาหารย่อยหมด ใช่ไหม มันเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่เป็นไร

    ลูกศิษย์ : หลวงพ่อคะ เวลาเราสมาทานศีล 8 แล้วนี่ เราก็นั่งสมาธิเรียบร้อยแล้วพอออกแล้วไปทานข้าวจะผิดไหมคะ

    หลวงพ่อ : ก็ไม่ผิด ชนศีลพังไปข้อหนึ่งก็ไม่เป็นไร สมาทานศีล 8 เพราะว่าศีล 8 นี่เป็นศีลพรหมจรรย์ เวลาเราเจริญกรรมฐาน สมาทานศีล 8 เลิกแล้วก็ทรงศีล 5 ไว้ใช่ไหม พอเลิกแล้วตั้งใจรักษาศีล 5 ไว้แค่นี้พอ ก็ได้ไม่เดือดร้อน ก็ศีล 8 มันคุมอารมณ์ มันเกี่ยวกับกามฉันทะ ก็เท่านั้นไม่มีอะไรมาก

    ลูกศิษย์ : หลวงพ่อคะ อย่างหนูอยากรักษาศีล 8 นี่ แต่หนูถือ 1 อาทิตย์ต่อ 1 วันนี่ ได้ไหมคะ

    หลวงพ่อ : ได้ ดีกว่าอาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง ถ้าเรายังไม่ได้ก็ได้ ตามปรกติพระพุทธเจ้าท่านบอกฆราวาสท่านให้รักษาวันพระนะ ก็ศีล 8 นี่ฆราวาสมันไม่ค่อยถนัด ใช่ไหม ก็มีงาน ท่านกำหนดให้ว่าวันพระถือเป็นวันรักษาอุโบสถ แล้วการรักษาอุโบสถก็มี 3 อย่าง ศีล 8 กับอุโบสถก็เหมือนกัน สิกขาบทเท่ากันนะ แต่เวลาอุโบสถนี่จำกัดเวลา ศีล 8 จะไม่จำกัดเวลา

    ถ้า "ปกติอุโบสถ" รักษาเฉพาะวันพระคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง

    ถ้า "ถ้าปฏิชาครอุโบสถ" ก็รักษา 7 วัน ก่อนวันพระ 3 วัน หลังวันพระ 3 วัน วันพระอีก 1 วัน

    ถ้าเกินกว่า 7 วันเรียก "ปาฏิหาริกปักขอุโบสถ" เขาให้เลือกรักษาเองตามความเหมาะสม

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 420-422)
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    DSC_0013 (3).JPG
    ท่านที่ไม่สะดวกถือศีล 8 หลวงพ่อแนะนำให้ถือศีล 5 ควบกรรมบท 10


    วิธีปฏิบัติศีล 5 และกรรมบท 10 แบบง่ายๆ

    ท่านที่มีอาชีพหนักมีเวลาน้อยจะไปรักษาศีลที่วัดวาหรือจำศีลภาวนานานๆที่ไหนนั้นไม่ได้แน่เพราะท้องมันหิว ต้องหากินประจำวัน ให้ทำอย่างนี้คือ ตั้งใจว่าเราจะรักษาศีลและประพฤติกรรมบท 10 ให้บริบูรณ์วันละ 1 หรือ 2 หรือ 3 ชั่วโมง จะเอาเวลาเท่าไรเมื่อไร จัดเวลาเอาเองแล้วก็ตั้งใจรักษาตามเวลานั้นให้เคร่งครัด ทำอย่างนี้ไม่เกิน 3 เดือนอารมณ์จิตจะชิน จะสามารถรักษาศีล 5 ประพฤติในกรรมบท 10 ได้ครบถ้วนตลอดเวลา อย่างนี้มีผลไม่ลงนรกทุกชาติจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

    มีหลายท่านมาบอกว่า "การรักษาศีลหรือกรรมบท 10 นั้นอยากทำแต่โอกาสไม่มี เพราะทำนาทำไร่ ต้องใช้ยาฆ่าแมลง" อย่างนี้ก็เห็นใจ เอาอย่างนี้ปฏิบัติทุกอย่างในอนุสสติ (พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ) ให้ครบถ้วน เวลาที่ไม่ฉีดยาฆ่าแมลงก็ขอให้ทรงศีลและกรรมบท 10 ให้ครบเป็นประจำ วันใดมีความจำเป็นต้องฆ่าแมลงก็ต้องทำ เพราะไม่ทำท้องมันหิว ทางอื่นก็ไม่มีทางเลือก แต่เมื่อไปฉีดยากลับมาแล้ว รีบสมาทานศีลทันที

    คำว่า "ทันที" ก็คือรอให้หายเหนื่อยใจสบายเสียก่อน แล้วบูชาพระตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่ตนทำประจำวันให้แก่แมลงที่ต้องตายเพราะยาฉีดและกล่าวคำขออโหสิกรรมแก่แมลงทั้งหลายที่ต้องตายนั้น ขอให้อดโทษแก่ตนจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

    เมื่อทำบุญอะไรก็ตาม หรือบูชาพระทำกรรมฐานเสร็จ ให้อุทิศกุศลให้พวกเธอทุกครั้งที่ทำบุญ และขอให้แมลงทั้งหลายเหล่านั้นอดโทษให้อย่างนี้เป็นประจำวัน กำลังใจจะเบา คิดไว้เสมอว่าเธอให้อภัยเราแล้ว จิตจะเป็นสุข เมื่อถึงวาระจะตาย ใจจะไม่มีอกุศลรบกวน อำนาจพระพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ผลของศีลและกรรมบท 10 และผลของทาน จะเข้าครอบงำจิตท่านก่อนตาย เพราะผลของความดีที่ท่านทำทุกวันกีดกันอารมณ์ที่เป็นบาปให้ห่างออกไป เมื่อตายไปจะไม่พบกับนรกแน่นอน ถ้ามีอารมณ์หวังพระนิพพานเป็นปรกติประจำวัน เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรย์ตรัสเมื่อไร เราเป็นเทวดาหรือพรหม ได้ฟังเทศน์จบเดียวก็เป็นพระโสดาบัน ตัดกำลังบาปหมดแล้ว

    คนที่มีอนุสสติและทานเป็นประจำ มีศีลและกรรมบทเป็นปรกติ พร่องบ้างตามความจำเป็น ดังปรากฏในพระสูตร เมื่อไปเป็นเทวดาหรือพรหม ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานกันหมด


    กรรมบท 10

    กรรมบท 10 ประการ มีดังนี้

    กายกรรม ทำทางกาย 3 ประการ ให้ละเว้นโดยเด็ดขาดคือ

    1. ไม่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นฆ่า และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นฆ่าสัตว์แล้ว

    2. ไม่ถือเอาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยที่เจ้าของไม่อนุญาติด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นถือเอา และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นถือเอาของเขาแล้ว

    3. ไม่ละเมิดกามารมณ์ในบุตร ภรรยา สามี ของผู้อื่น ไม่ยุให้คนอื่นละเมิด และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นละเมิดแล้ว


    วจีกรรม กล่าวทางวาจา 4 ประการ

    1. ไม่พูดวาจาที่ไม่มีความจริง

    2. ไม่พูดวาจาหยาบให้เป็นที่สะเทือนใจของผู้รับฟัง

    3. ไม่พูดวาจาส่อเสียด ยุยงให้คนอื่นแตกร้าวกัน หรือไม่นินทาคนอื่น

    4. ไม่พูดวาจาที่ไม่มีประโยชน์ คือ วาจาใดที่พูดไปไร้ประโยชน์ จะไม่พูดวาจานั้น

    ทั้ง 4 ประการนี้ จะไม่พูดเองด้วย ไม่ยุให้คนอื่นพูดด้วย และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นพูดแล้วด้วย


    มโนกรรม คือ การคิดทางใจ 3 ประการ คือ

    1. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่นโดยที่เจ้าของไม่อนุญาติให้ด้วยความเต็มใจ คือ ไม่คิดลักขโมย ยื้อแย่ง คดโกง เป็นต้น

    2. ไม่คิดจองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมผู้ใด คือไม่คิดประทุษร้ายผู้อื่นในทุกๆกรณี

    3. มีความเห็นตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีอารมณ์คัดค้านคำสอนของพระองค์ และปฏิบัติตาม จนมีผลตามที่ต้องการ

    ความรู้สึกนึกคิดทางใจ 3 ประการนี้ ไม่คิดเองด้วย ไม่ยุให้ผู้อื่นคิดด้วย และไม่ยินดีเมื่อมีผู้อื่นคิดแล้ว


    (จากหนังสือพ่อสอนลูก ฉบับปีพ.ศ. 2550 หน้า 320-322)
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    174.jpg

    หลวงพ่อเคยบอกไว้ว่าต่อไปข้างหน้าความนิยมของชาวโลกต่อระบบประชาธิปไตยจะเปลี่ยนไป


    ที่พูดตามนั้นก็เชื่อตามหลวงพ่อใย(สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมัยอยุธยา) ที่ท่านพยากรณ์ไว้ว่าประเทศไทยยังจะมีรัชกาลที่ 10 แล้วก็ยังจะมีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป แล้วหลวงพ่อปานยังพูดต่อไปว่าไม่ใช่มีแต่รัชกาลที่ 10 ต่อไปจะมีไปเรื่อยๆพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย แล้วชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดก็จะกลับปฏิวัติจากระบบประชาธิปไตย หรือระบบประธานาธิปดีทั้งหลาย กลับมาเป็นกษัตริย์อย่างเดิม เรียกว่ากลับมามีกษัตริย์อย่างเดิม

    ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น อาตมานั่งคิดนอนคิดมานานบรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็คิดไม่ออกว่าทำไมท่านผู้รู้ท่านจึงได้กล่าวกันไว้อย่างนั้น แต่มาพิจารณาในตอนหลังก็พอเข้าใจได้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายการเปลี่ยนกันขึ้นมาบริหารประเทศ ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์แต่เป็นประชาธิปไตยมีหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นนายกรัฐมนตรี สองสามหรือสี่ปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ห้าปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ดีไม่ดีปีสองปีก็เปลี่ยนกัน การปกครองแบบนี้มันเป็นของดี เขาเรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่ แต่ความใหญ่ของประชาชนนี่ซีบรรดาพุทธบริษัท มันใหญ่เสียหลายอย่าง บางทีฐานะเล็กๆอยู่ไม่กี่วัน พอเข้ามาบริหารประเทศ ฐานะก็ใหญ่ไปด้วย เมื่อคนหนึ่งขึ้นมาใหญ่แล้ว ไม่เป็นไรนานๆเปลี่ยนกันขึ้นมาใหญ่ต่อไปอีก นี่ในเมื่อฝ่ายบริหารใหญ่ ฝ่ายถูกบริหารก็เล็กผอมลงๆ คนบริหารก็ใหญ่ขึ้นๆ นี่เราว่ากันถึงว่านักบริหารที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แต่นักบริหารที่ดีก็มีถมไป แต่ว่าการบริหารหรือจิตใจของคนบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ไม่ติดในวัตถุมันมีเป็นของน้อย เพราะคนทุกคนต้องอาศัยวัตถุเป็นสำคัญ

    นี่เพราะเหตุการณ์อย่างนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าเราจะหันหลังไปดูสมัยสุโขทัยจะเห็นว่าพระองค์ทรงปกครองประเทศชาติในระบบประชาธิปไตย แต่มีกษัตริย์เป็นประมุข แม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกัน ไปอ่านจดหมายเหตุให้ดี การบันทึกการประชุมให้ดีบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีพระพระมหากษัตริย์องค์ไหนที่ใช้พระราชอำนาจเกินสมควร เว้นไว้แต่บางกาล บางวาระ อาจจะมีบ้างก็เช่นเดียวกันกับการบริหารแบบปัจจุบัน เราจะเห็นว่าบางกาลบางวาระก็ออกข้างๆเหมือนกัน อันนี้เปรียบเทียบไว้

    (จากหนังสือพระเมตตา เล่ม 1 หน้า 79-80)
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    0001.jpg

    ต้องการให้ปฐมฌานทรงตัว

    ผู้ถาม : กระผมฝึกกรรมฐาน 40 กอง เอาอานาปานุสสติกรรมฐานผสมกับพุทโธ ปฏิบัติ 2-3 เดือนได้อุปจารสมาธิ กระผมอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่าวิธีจะรักษาอารมณ์ให้เข้าถึงปฐมฌานอย่างละเอียดนั้น จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปครับ

    หลวงพ่อ : ก็ได้ตั้ง 40 กรรมฐานจะมาถามอะไรอีกละ ได้ 40 ก็จบสมาบัติ 8 จะมาถามอะไรอีก

    ผู้ถาม : อ๋อ มันเลยฌานแล้วหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ใช่ ก็ฌานเหมือนกัน อรูปฌานก็ได้ด้วย ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน

    ผู้ถาม : สงสัยว่าใน 40 กรรมฐานคงจะเอามากองเดียวกระมังครับ (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : งัดขึ้นมา 40 ฉันตกใจเลย นึกว่าไอ้คนนี้ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่

    ผู้ถาม : อ๋อ ถ้าได้ 40 กองต้องเป็นพระโพธิสัตว์

    หลวงพ่อ : อ้าว ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ได้ยาก พระโพธิสัตว์ต้องรักษาอารมณ์ 40 ครบแน่ ต้องเป็นปรมัตถบารมีนะ ถ้ากรรมฐาน 40 ได้หมด 2 ในวิชชา 3 ก็ได้ 5 ในวิชชา 6 ก็ได้ สมาบัติ 8 ก็ได้ เรียกว่าทั้งเหาะทั้งเดินอากาศได้เสร็จ ก็เป็นอันว่าอุปจารสมาธิว่าไปกี่เดือนแล้ว 3 เดือน ยังไม่ถึงอุปจารสมาธินะ

    จะให้ฌานทรงตัวนะ ไม่มีทาง ถ้าไม่ใช่พระโสดาบัน ตอบง่ายๆ

    ผู้ถาม : ต้องให้ถึงพระโสดาบันหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ใช่ ถ้าแค่ฌานโลกีย์ ฌานไหนก็ตามไม่มีการทรงตัว เพราะอารมณ์ขึ้นๆลงๆ ไม่มีการทรงตัวแน่ ไม่แน่นอน ศีลคล่อง

    (จากธัมมวิโมกข์ เมษายน 2536 หน้า 94)
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    ลูกแก้วจักรพรรดิ์.jpg

     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    2-2.jpg
    2-1.jpg
    1-4 (1).jpg
    3-3.jpg
    การเลี้ยงสุนัขและแมว

    สุนัขและแมวที่ท่านเลี้ยงไว้นั้น ท่านคุยกับมันรู้เรื่องทุกตัว ดังนั้นการดูแลทุกข์สุขและอาหารการกินจึงสมบูรณ์ พอหน้าหนาวหลวงพ่อจะให้พระก่อไฟเป็นกองๆตามลานซีเมนต์เพื่อให้สุนัขได้ผิงไฟแก้หนาวเสมอมา

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฏิที่วัด คุณเอี่ยมคนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า "พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ แมวก็ไม่กินข้าว"

    หลวงพ่อก็ย้อนทันที่ว่า "แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ"

    คุณเอี่ยมถามว่า "หลวงพ่อรู้ได้ไง"

    ท่านตอบว่า "ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง"

    กลางปี 2526 คุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ได้ถวายสุนัขพันธ์ไทยหลังอานเพศเมีย 1 ตัวและพันธ์ไทยธรรมดา 1 ตัว ตัวผู้มาจากโคราชหลวงพ่อตั้งชื่อว่า "นิล" เพราะเธอมีสีดำตลอดตัวอกขาวเล็กน้อย เพศเมียตัวเล็กเป็นลูกสุนัข ขณะที่ถวายไปมีหลังอานสีน้ำตาลเรียกว่าหลังอานไวโอลิน เธอมาจากจังหวัดตราด หลวงพ่อตั้งชื่อว่า "นาก"

    โดยปกติหลวงพ่อท่านก็เลี้ยงสุนัขและแมวเป็นประจำอยู่แล้วหลายสิบตัว ทุกกุฏิที่ท่านอยู่จะต้องมีสัตว์ 2 ประเภทนี้ประจำการเสมอ เท่าที่สำคัญก็มี สิงห์ดอก โคล่า เจ้าอ้วน เจ้าดม ฯลฯ รวมทั้งสุนัขเดินหลงทาง สุนัขจรจัด ขาดที่พึ่งก็มีมาก คนไปปล่อยวัดก็มีมาก พระในวัดท่าซุงเกือบทุกองค์มีสุนัขอาศัยอยู่ด้วยทั้งสิ้น

    หลวงพ่อเลี้ยงเธออย่างอิสระไม่ขังกรง แต่มีอาณาเขตกว้างขวางในรั้วรอบขอบชิด ไม่ปนกับสุนัขภายนอก สุนัขทั้งคู่นี้เธอแสนรู้มาก หลวงพ่อพูดภาษาไทยกับเธอ เธอรู้เรื่องทุกคำและปฏิบัติตามตลอดไม่เคยลืม คนเราเสียอีกยังมีลืมบ้าง แต่สุนัขไม่ลืม

    จาก 2 ชีวิตขยายพันธ์กันในพวกเดียวกันนี่แหละ มิได้ปนกับสุนัขภายนอกเลย เวลานี้ถ้าไม่ตายเสียบ้างก็นับไม่ถ้วน เอาเฉพาะที่ยังอยู่ก็เกือบ 300 ชีวิต ปี 2532 หลวงพ่อย้ายที่พักจากตึกกลางน้ำไปอยู่ข้างวิหารแก้ว 100 เมตร และอยู่ที่นี่จนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน

    หลวงพ่อท่านบอกเสมอทุกครั้งที่สุนัขคลอดลูกออกมาใหม่ ท่านตั้งชื่อให้แล้วบอกว่าตัวนี้เป็นใครมาจากไหน เดิมชื่ออะไรตายเพราะอะไร ลงมาเกิดเป็นสุนัขของหลวงพ่อเพราะอะไร และวันไหนที่สุนัขตาย หลวงพ่อจะบอกว่าเธอไปอยู่ที่ไหน มารายงานตัวแล้วก่อนตายเธอคิดอย่างไร

    ผลสรุปก็คือสุนัขทุกตัว เธอมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 90 เปอร์เซนต์ นอกนั้นก็มาจากพรหมและจาตุมหาราช ไม่มีมาจากอบายภูมิเลย

    ยามเย็นหลวงพ่อกลับจากทำงาน ลงจากตึกรับแขกกลับที่พัก หลวงพ่อจะลงนั่งกับพื้นปล่อยให้สุนัขเล็ก-ใหญ่ทั้งหลายรุมเล่นท่าน งับแขน เลียมือ ดึงสายรัดเอว งับนิ้ว ดึงกุญแจ ดึงอังสะตามแต่เธอจะทำด้วยความคิดถึง แล้วหลวงพ่อก็ไปเยี่ยมสุนัขแม่ลูกอ่อนทีละห้องจนครบทุกแม่ บางแม่ก็มาตามหลวงพ่อเพราะยังไม่ถึงห้องเขาก็มาคอยรับหลวงพ่อแล้วพาไปดูลูกเขา หลวงพ่อจะเข้าไปในห้องเขา จัดที่นอนปูให้เรียบร้อย จับลูกเขามานอนตักท่าน สุนัขทุกตัวผ่านการนอนตักหลวงพ่อทั้งนั้น หลวงพ่อท่านทำประดุจเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอทุกตัว ดังนั้นสุนัขทุกตัวจึงรักหลวงพ่อ แม้เพียงได้ยินเสียงหลวงพ่อเขาก็เห่าหอนต้อนรับเกรียวกราว หลวงพ่อบอกว่าให้หมาติดผ้าเหลืองไว้ ตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว

    ยามค่ำคืนเมื่อเกิดฝนตกฟ้าร้องน่ากลัว สุนัขกลัวเสียงฟ้าร้องมาก เขาจะพากันวิ่งไปรอบหน้ากุฏิหลวงพ่อ ฝ่าฝนเปียกปอนไปให้ถึงหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อก็ออกมานั่งกับพื้นเป็นเพื่อนปลอบใจเขามิให้กลัว จนกว่าฝนฟ้าคะนองจะหมดไป

    (จากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน" หน้า 427)


    DSC06275.jpg
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    1-19..jpg
    ผีอาละวาด

    เรื่องผี มีตัวอย่างที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังรุ่นที่แล้วอาจจะเล่าไปแล้ว ขอเล่าซ้ำเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการใช้ของ คือหลวงพ่อนี่ท่านเป็นนักเทศน์ สมัยก่อนไปเที่ยวที่ไหนไม่ได้ไปด้วยรถเหมือนสมัยนี้ คือจะต้องเดินทาง เดินกลางคืนบ้าง เดินตอนเย็นบ้าง เดินตอนเช้าบ้าง ไม่เป็นเวลา

    มีวันหนึ่งถ้าเสร็จก็ต้องเดินกลางคืน เพื่อจะไปเทศน์อีกวัดหนึ่ง เดินไประหว่างทางฝนตก ชาวบ้านก็เห็นว่าพระเดินมาเย็นแล้ว เห็นหนาวก็นิมนต์ให้พักที่บ้าน บ้านโบราณเขามี 3 หลัง เจ้าของบ้านให้นอนหลังเดียวกับเจ้าของบ้าน อีก 2 หลังนั้นเจ้าของบ้านไม่อนุญาตให้นอน หลวงพ่อเวลานอนกลางคืน ขอเล่าลัดๆเลยนะ หลวงพ่อก็สงสัยเจ้าของบ้านทำไมไม่ให้นอนบ้าน 2 หลังนั้นก็ไม่มีคนนอน

    ตกกลางคืนท่านก็แอบไปนอน แอบไปนอนบ้านที่เขาไม่ให้นอน พอนอนเท่านั้นเองผีมันกวน ผีมันมาลอยหน้าอยู่ที่ห้องท่าน 3 คน 3 ตัวก็แล้วกัน หลวงพ่อก็บอกไล่ไปๆข้าจะนอนมันก็ยังไม่ไปไม่หนี พอไม่หนีท่านก็บอก ท่านก็ควักผ้ายันต์เกราะเพชรมาอธิษฐาน แล้วแกว่งไป 3 เที่ยว ผีหายออกไปหมดเลย คืนนั้นนอนหลับ

    ตื่นเช้ามาเจ้าของอยู่นอกบ้าน กลับมาไม่มีผีอยู่ที่บ้านเลย ผีหนีไปหมด เจ้าของบ้านก็ถามหลวงพ่อว่าผีเขาไปไหน ผีเขาไปไหน หลวงพ่อกำลังฉันข้าวอยู่บอกแกนี่เมื่อคืนกวนฉัน เลยไล่ไปอยู่ข้างนอกเดี๋ยวมันก็กลับมา

    ทีนี้เราก็ถามหลวงพ่อครับผ้ายันต์เกราะเพชรนี่สมัยหลวงปู่ปานหรือเปล่าครับ

    หลวงพ่อบอก สมัยหลวงปู่ปาน

    แล้วถามว่า สมัยนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าครับ

    ท่านบอก ใช้ได้ ข้าไม่ได้ทำเองหรอกหลวงปู่ปานทำ มันอยู่ที่อธิษฐาน เอาผ้ายันต์มาอธิษฐาน นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า

    ทีนี้ใครมีของอยู่ ขอให้ติดตัวไว้ก็แล้วกัน อาจจะมีผีหลอกบ้าง ใช้อธิษฐาน

    คือเคล็ดลับจะต้องอธิษฐานขอบารมีพระนี่แหละ ขนาดผ้ายันต์อยู่ในตัวท่านยังหลอกได้ สมัยก่อนโบราณเขาเลี้ยงผีกัน เรียกว่าผีโรงอะไรนี่

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนาที่บ้านสายลม ในธัมมวิโมกข์ มกราคม 2562 หน้า 30)




    DSC04264.jpg
    DSC04267.jpg DSC04272 (1).jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    IMG_20180310_090914.jpg

    เล่าประวัติตัวเอง

    จะขอเล่าประวัติตัวเองคือว่าเลวบริสุทธิ์เหมือนกัน ไอ้เลวนี่ไม่ใช่ว่าไปทำอะไรนะ คือว่าเกลียดพระมาก่อน เกลียดจริงๆเลย พระนี่เป็นมารสังคมจริงๆกินข้าวแล้วบางองค์ยังดูดกัญชาอีก เราเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีก็เลยเหมาหมดพระทั้งประเทศไม่ดีทั้งหมด

    ทีนี้เมื่อถึงเวลาบวชก็บวชเป็นประเพณีล่ะนะ แต่พอมาอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานเท่านั้น โอ้โฮ ! เรานี่คงหลวมตัวมากเพราะในประวัติหลวงพ่อปาน หลวงพ่อด่าพระเหมือนกัน "ไอ้พวกนี้ไอ้พวกเดียรถีย์ อาศัยพระพุทธศาสนาหากิน" อ่านปุ๊บก็ติดใจ เอ..พระองค์นี้นี่เหมือนกับเราเลย เราเกลียดพวกนี้อยู่แล้ว ทีนี้ก็ไปถามคนที่ให้หนังสือมาเขาก็พามาพบหลวงพ่อ พอพบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นคนไม่ตามใจคนนี่ พอเจอเราเท่านั้นจวกต่อหน้าเลย หลวงพ่อนี่สมัยก่อนไฟท์เตอร์มากนะ จวกคนไม่ยั่นเลย พระเจ้าไม่ดีท่านจวกเลย "ไอ้ยอดแหลมๆนี่แหละตัวดีนัก" พวกเราพอเห็นหลวงพ่อมาโน่นหลบปั๊บ เมื่อก่อนท่านลงเทศน์ทุกวัน ถ้าไม่ดีท่านก็จวกตอนเทศน์นั่นแหละ นั่งคอตกเหงื่อแตก

    จะเล่าเรื่องสักเรื่องหนึ่งนะ ที่วัดนี่หลวงพ่อท่านไม่ให้พระเป็นคนสำอางค์ คือว่าเป็นพระแล้วก็ทำงานอะไรไม่ได้ ทำงานหนักก็ไม่ได้ ทำงานอะไรก็ไม่ได้ กินกับนอนอย่างเดียวนี่ไม่ได้ ท่านไม่ชอบให้พระเป็นอย่างนั้นท่านจึงใช้พระทำงานกันมาก ท่านบอกว่ามันเป็นกุศลด้วย ทีนี้พระทำงานก่อสร้างกันทุกวันๆมันก็เบื่อก็เซ็ง บางองค์ก็บอกว่าผมไม่อยู่แล้ววัดนี้ ผมต้องไปละเพราะว่ามีแต่งานอย่างเดียวผมจะไปละ ถ้าเหาะไม่ได้ผมไม่กลับวัดนะ บางท่านก็บอกว่าผมจะไปธุดงค์ละ สัก 6-7 องค์ได้ คิดจะไปธุดงค์กันไม่ต้องทำงาน

    วันนั้นหลวงพ่อเกิดลงศาลา พระก็นั่งเป็นแถวบนศาลา ท่านก็เทศน์เลยบอก "ผมนี่นะเลี้ยงหมาไว้ฝูงหนึ่ง ไอ้หมาพวกนี้มันเป็นหมาขี้เรื้อนกันแล้วมันก็คัน มันก็เกาตัวมันแหละ มันลุกสบัดไปแล้วมันก็บอกว่าที่นี่ไม่ดีมันก็ไปนอนที่อื่นอีก แล้วมันก็เกาตัวมันเองอีกแล้วมันก็โทษว่าที่นี้ไม่ดี" บอก "ไอ้หมาฝูงนี้มันไม่โทษตัวมันเองหรอก มันโทษว่าที่ไม่ดี มันจะต้องย้ายที่ไปเรื่อยๆ"

    แหม....โยมคิดดูเถอะ บนอาสนสงฆ์นั่งคอตกเลยหมาฝูงนี้ ท่านบอกไม่โทษตัวมันหมายความว่าความคิดฟุ้งซ่านมันอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่สถานที่ สถานที่เขาอยู่เฉยๆ จิตของตัวเราเองเท่านั้นแหละไม่ภาวนา ไม่ให้จิตมันสงบ แหม....ด่าเสียถอนกลดกันหมดเลย โอ...ท่านมีวิธีด่าเจ็บแสบเหลือเกิน

    ทีนี้พระบวชด้วยกันจะมีพระเก่าพระใหม่อยู่ด้วย พระเก่าต้องเป็นตัวอย่างกับพระใหม่ใช่ไหม ธรรมชาติแล้วพระเก่าต้องดี พระใหม่เขาจึงเอาเป็นตัวอย่างได้ ถ้าพระเก่าเลวท่านมีวิธีสอนอีก ท่านก็สอนเลยว่า "เออ..คนเรามันมี 2 อย่าง ถ้าเก่าดีเขาเรียกว่า เก่าลายคราม มีคุณค่าราคาหาประมาณมิได้ และไอ้เก่าอีกอย่างหนึ่ง พระเก่าก็ดี คนเก่าก็ดี ถ้ามันเก่ากะโหลกกะลามันหาราคาไม่ได้"

    แหม..ไม่รู้ท่านหาศัพท์มาจากไหน ทีนี้ก็โจษกันซิ "องค์นั้นซีเก่ากะโหลกกะลา" แน่...คุยวิจารณ์กัน ตกกลางคืนเอาอีก "ไอ้ตัวมันเองไม่ดูตัว ไปโทษคนนั้นคนนี้เก่ากะโหลกกะลา" จวกย้อนศรอีกเอาเราเข้าอีกแล้ว ท่านรู้จริงโอ้โฮ

    แล้วมีอีกคนฟังเทศน์แล้วไม่ค่อยจำ พระฟังเทศน์แล้วไม่มีใครจำใช่ไหม ท่านก็บอก "เออ..หัวนี่คล้ายๆพระนะ มีผ้าเหลืองหุ้มนี่คล้ายๆพระ แต่ไม่ใช่หรอกหัวตอ ไอ้ตักน้ำรดหัวตอนี่มันยังดีนะมันยังเปียก คำสอนเข้าหูซ้ายออกหูขวามันยังผ่านบ้าง แต่ตักน้ำรดหัวหมาชิบพอมันเปียก สลัดพรืด หลุดหมดเลย ไอ้พระจังไรนี่ก็เหมือนกันสอนแล้วไม่จำ..." เรานี่ไม่รู้จะเอาหน้าไว้ไหน โอ้โฮ ไม่รู้ท่านเอาคำเปรียบเทียบมาจากไหน ท่านมีคำที่ปราบได้เด็ดขาด ด่ากันซึ่งๆหน้าอย่างนี้ใครเห็นใครจะอยู่ล่ะ พอเห็นหลวงพ่อมาก็หลบโน่นต้องบอกว่าท่านเก่ง เรากลัวจนลาน กลัวขนาดคุยกับท่านน่ะไม่รู้เรื่องหรอก "ครับๆ" แต่ไม่รู้เรื่องซักคำ ประหม่า แต่ถามคนที่อยู่ข้างๆจึงจะรู้

    ตอนหลังท่านไม่ได้ลงกรรมฐาน ตอนท่านป่วยมากๆนี่ ท่านลงเมื่อครั้งสุดท้ายนี้ก็มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อปี 35 ทำบุญวันปิยมหาราชที่วิหาร 100 เมตร เด็กนักเรียนก็นั่งเป็นแถว พระก็มาแล้วละ แต่ยังมาไม่ครบ หลวงพ่อมาก่อน "เออ..พระเอ้ย ยังมาไม่ครบกันเหรอ มาครบหรือยัง" "ยังครับ" "เออ...เข้ามานั่งใกล้ๆ" ใครมาไม่ครบท่านก็ดูเอาเทปวาง "เออ...พระมาไม่ครบเหรอ..." เรานึกหลวงพ่อจะคุยอะไร ไม่ได้ด่ากันมานาน "เออ...นันต์ พระลงกรรมฐานครบไหมหว่า.." "ไม่ครบครับ" "เอ้าไปไหนกันหมดล่ะ" "ไม่ทราบครับ" "เลี้ยงสัตว์เดรัจฉานไว้ที่นี่เหรอ มันไม่คุ้มค่าข้าวของชาวบ้านเขานะ"

    อู้หู..ไม่รู้มาจากไหนเรานึกว่าจะคุยกันดีๆ ท่านมีวิธีสอนอีกแบบหนึ่ง คือจวกต่อหน้าคนเยอะๆ จิตมันจะจำ จะอาย จำแม่น ท่านไม่กลัวเสียคน พระเวลาปลงอาบัติต้องไม่มีอนุปสัมบัน คือเป็นเณรก็ดี ฆราวาสก็ดี ไม่มีใช่ไหม ปลงอาบัติคือสารภาพว่าวันนี้ไปทำผิดอะไรมาตามพระวินัยไม่ให้ทำ แต่ท่านให้มีคนของท่าน ท่านต้องการให้พระอายจะได้จำไม่ทำอีก เรียกว่าจำจนวันตาย

    "เอ๋...เวลารับแขกหลวงพ่อท่านร่าเริง เวลาปรกติอยู่สองต่อสอง ท่านคุยยังไงบ้างครับ"

    เมื่อก่อนคุยไม่ออกหรอก มาตอนหลังนี่ได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อ เมื่อพ.ศ. 2525 ตอนนั้นท่านป่วยด้วย ตอนที่ท่านปัสสาวะไม่ออก กล้าตั้งแต่ตอนนั้น ตอนหลวงพ่อท่านจะกินยา ท่านจะปล่อยทุกอย่างมีอะไรก็คุยได้ดีทุกอย่าง คุยแบบเป็นตัวของท่านเองเลย ท่านมีเมตตาทุกอย่าง จะทำอะไรให้ก็ "ขอบใจนะลูกนะ" พูดเพราะ เรานี่พูดเลียนแบบไม่ได้ ท่านพูดเพราะมาก เป็นธรรมชาติของท่านจริงๆ แม้แต่พระพุทธเจ้าพูดกับหลวงพ่อ พูดลูกทุกคำเลย ดูท่านเขียนหนังสือซิ เขียนกับลูกดูซิ และหนังสือของท่านทุกตัวอักษรเลยนะ มีความหมายหมด เพราะว่าท่านเขียนด้วยสติสมบูรณ์ไม่เขียนลื่นไปลื่นมา

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 146 เมษายน 2536 หน้า 103-105)


    IMG_20190210_110555.jpg IMG_20190210_111008.jpg
    1928147.jpg
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    68258_4802993875582_1423564527_n.jpg

    มาอยู่กับหลวงพ่อ

    อาตมาเองบวชเมื่อพ.ศ. 2516 ได้มาอยู่ร่วมกับท่านประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 อาตมาเองนั้นไม่ใช่ผู้ถึงผู้นับถือศาสนามากนัก เป็นผู้ที่ชาวบ้านเรียกว่า มิจฉาทิฐิ เต็มอัตรา แต่ความที่เป็นมิจฉาทิฐินั้น คือ เป็นผู้ที่เห็นผิด เห็นผิดเพราะเราเคยเจอแต่พระที่ไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เราเป็นผู้โง่เขลาบาปัญญา ก็เห็นพระในพุทธศาสนาที่ห่มผ้าเหลือง ที่บิณฑบาตชาวบ้านกินนั้น เป็นพวกเลวทั้งหมด

    นี่เป็นความผิดอย่างมหันต์ ที่ท่านทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังไม่ควรนำมาเป็นตัวอย่าง เพราะว่าพระในพุทธศาสนานั้นที่ห่มผ้าเหลือง ชาวบ้านเรียกว่า พระผู้ประเสริฐ แต่พระพุทธเจ้ารับเองนั้น คือพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าพระอย่างเราที่ห่มผ้าเหลืองนั้น ท่านเรียกว่า สมมติสงฆ์ คือ เอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อกาย ทำตัวแบบพระ เป็นผู้ซึ่งกำลังจะปฏิบัติตัวให้เป็นพระ ถ้าจะปฏิบัติตัวให้เป็นพระก็ยังพอไหว้ พอกราบกันได้ อย่างพระผู้ที่หวังว่า จะให้กิเลสหมดไปเสียจากใจ

    แต่ส่วนหนึ่งที่อาตมาได้พบนั้น ก็จะเป็นพวกที่พอกพูนสะสมโลภโมโทสันเยี่ยงฆราวาสเขาทำ เมื่อเรามาพบเช่นนั้น ก็หมดความนับถือพระในพุทธศาสนาทั้งหมด เพราะเราเป็นผู้เลวเอง เป็นผู้ขาดปัญญาเอง เป็นผู้มีอกุศลกรรมสิงใจเอง จึงทำให้เราไม่พบพระที่ประเสริฐ ไม่พบพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็พาให้เราฝังใจ ไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติตามเรื่อยมา

    จนครั้นเมื่อมาบวชด้วยมีศรัทธานิดเดียว แต่ก็ยังดีเมื่อบวชแล้วด้วยความที่เราเป็นมิจฉาทิฐินั้น ก็ค้นคว้าหาสิ่งที่เป็นสัมมาทิฐิ คือ มาพบพระรูปหนึ่งท่านแนะนำพระซึ่งท่านได้แนะนำว่า พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั้นมีอยู่ ผู้ที่แนะนำนั้น จะขอกล่าวนามท่าน ก็คือ พระครูสุรินทร์ หรือที่ท่านเรียกกันว่าพระครูวิจารณ์วิหารกิจ อยู่วัดสุขุมาราม อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร

    ท่านเป็นพระที่เคารพ หลวงปู่ปาน เป็นชีวิตจิตใจ เป็นผู้ที่เคารพ หลวงพ่อราชพรหมยาน เป็นชีวิตจิตใจ อาตมาบวชประมาณ 1 เดือน หรือ 2 เดือน ท่านก็มาคุยว่า พระที่ปฏิบัติดีอย่างนี้มีอยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้คุยมาก เป็นผู้แนะนำว่า ให้อ่านหนังสือเล่มนี้ดูซิ คือ ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

    เมื่ออ่านแล้วนี้ ก็มีความซาบซึ้ง จิตที่เคยเห็นผิดนั้น ก็มีความสนใจขึ้น คิดว่าพระในพระพุทธศาสนานี้ ที่ดีมีอยู่ เรายังไม่ได้พบท่านเอง เรามีกรรมหนาเอง ท่านเป็นผู้จุดแสงสว่างให้เราได้พบ เมื่ออ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้ว ก็มีความเร่าร้อนจิต อยากจะพบหลวงพ่อ

    ขณะนั้นชาวบ้านเขาเรียกว่า หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ก็อยากจะพบหลวงพ่อมหาวีระ เมื่ออ่านหนังสือมากขึ้น ก็มีความเคารพรักท่านมากขึ้น ก็อยากจะมาพบ เมื่อออกพรรษาแล้ว อาตมาอยู่ที่วัดปากคลองบางปลากด อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสรรค์ เมื่อออกพรรษแล้วก็มาพบขออยู่กับท่าน อันที่จริงๆมาก่อนออกพรรษแล้วไม่ทราบว่าวันที่เท่าไหร่ (ไม่นึกเลยว่าจะมาพูดเล่าประวัติตัวเอง ไม่นึกจะมาพูดเรื่องการทำหนังสืออย่างนี้)

    แต่เมื่อมาแล้วมาพบท่านแล้ว วันนั้นมาถึงประมาณ 4 โมงเช้า เห็นพระที่ออกพรรษาแล้ว ก็เตรียมตัวจะสึกกัน ที่จะอยู่ต่อพรรษาต่อไปก็เหลือน้อย เมื่อถึง 5 โมงแล้ว ท่านฉันอาหารเพล ก็รอพบท่าน ท่านฉันอาหารเพลแล้วก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ทักขึ้นมาว่า “ไอ้คนที่บวชเป็นพระน่ะ ไอ้บวชเพื่อที่จะมีเมียนี่ ข้าไม่อยากคบเลย” ท่านพูดเปรยๆ มาเฉยๆ แต่แทงใจดำพอดี

    แล้วท่านก็ถาม “คุณ ระงับนิวรณ์ 5 ได้หรือยัง” ไอ้เราเองขณะนั้นยังไม่ทราบเลยว่า นิวรณ์ 5 เป็นยังไง เพราะไม่ได้สนใจ แล้วก็ไม่ทราบว่านิวรณ์เป็นยังไงด้วยซ้ำ ตอบท่านว่า “ยังครับ” พระครูสุรินทร์ ก็แนะนำว่า “พระท่านสนใจปฏิบัติพระกรรมฐาน อยากจะมาอยู่กับหลวงพ่อด้วย”

    ท่านก็บอกว่า “ถ้าอยู่กับฉัน ต้องเอาจริงนะ อย่าสนใจเสียงนกเสียงกา เสียงเห่าเสียงหอนของหมา ให้ตั้งใจปฏิบัติ” เมื่อท่านพูดแบบนั้นแล้ว ท่านก็คุยเรื่องอื่นต่อ แต่เราดูท่านแล้วนี่เป็นผู้ที่น่าเกรงขาม ไม่เหมือนกับพระทั่วไปที่เคยสัมผัสมา ท่านก็บอกให้เราไปหาที่พักให้เรียบร้อย ตกเย็นๆก็จะมีการทำวัตร สวดมนต์ นั่งกรรมฐานกันเป็นปกติ

    ขณะนั้นมันก็ใกล้จะหนาวๆ แล้วนี่ ถึงเย็นๆ ก็ต้องไปนั่งฝึกกรรมฐานกันที่ตึก ที่เราเรียกว่า ตึกขาว ที่เขาป้ายข้างตึกที่เขาเขียนว่า ตึกอะไรหล่ะ เรียกว่า ตึกสุขุมวัฒนี นวพันธ์นี่ ซึ่งตึกนี้เป็นตึกเจริญพระกรรมฐานของวัดรุ่น พ.ศ. 2516 เมื่อตอนเย็นขึ้นไปนั่งพระกรรมฐานแล้ว จิตของเราไม่เคยฝึกมันก็ดิ้นรน ฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์ของกิเลสทุกอย่างที่มีอยู่ในตัว

    ท่านก็สอนว่าต้องตัดความกังวลห่วงใยทั้งหมดที่มีอยู่ อย่าตามคิดถึง อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น ให้สนใจจริยาของเรา เมื่อท่านเทศน์จบท่านก็ให้แผ่พรหมวิหาร 4 ไปในทิศทั้งปวง ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่เขียนหนังสือแต่ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต้องทำจิตใจให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเรา มีความเมตตาสงสารคนอื่นเหมือนสงสารตัวเรา ให้มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง

    เมื่อท่านสอนเสร็จ ก็ให้นั่งกรรมฐาน จิตของเราก็ฟุ้งซ่าน เต็มอัตราศึกสุดที่จะฟุ้งซ่านได้ เมื่อนั่งกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลก่อนที่จะอุทิศส่วนกุศล ท่านก็บอกว่า พระใหม่เอ๊ย พระใหม่ที่มาใหม่ ก็คือ เรา ตอนนั้นมีพระนั่งกรรมฐานซัก 7-8 องค์ได้ บอก

    "..พระใหม่เอ๊ย พระมาบอกว่า ให้เดินเข้ามหาสติปัฏฐานสูตรนะ มีหนังสือไหม มีหนังสือไหม มีหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรไหม

    บอกไม่มีครับ มหาสติปัฏฐานสูตร เราเองนะไม่เคยอยู่ในหัวในสมองเลย เพราะไม่เคยรู้จัก ไอ้ความที่เราไม่เคยสนใจมาก่อน จึงไม่รู้จักหนังสือธรรมะทุกอย่าง ท่านบอกว่า ไม่มีให้ไปขอครูนนทาเขา ให้ครูนนทาเขาหยิบให้ เมื่อหยิบมาเมื่อสั่งแล้วท่านก็เลิกกรรมฐาน

    เราก็มาเอาหนังสือที่ ครูนนทาให้มา ก็มาอ่าน อ่านแล้วก็รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดชเลย เป็นหนังสือสุขวิปัสสโก หาฤทธิ์หาเดชไม่ได้ ไม่ชอบใจในจิต เพราะเราอยากได้ฤทธิ์และเดช อยากมีตาทิพย์หูทิพย์ จะได้ไปคุยโม้อวดชาวบ้านเขาได้ว่า เราก็เก่งเหมือนกันสามารถมีหูทิพย์ตาทิพย์ได้ นี่มันเป็นกิเลสเต็มขั้น ท่านสาธุชนหรือผู้อ่านอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เรื่องความอยากห้ามกันไม่ได้ แต่อย่าผิดธรรมนองคลองธรรมอย่างอาตมานะ ข้อควรอย่าเข้าไปใกล้ มันทางแห่งการลงอบายภูมิทั้งนั้น

    เมื่ออยู่กับท่าน ตั้งแต่บัดนั้นมาก็นั่งกรรมฐานกันเกือบทุกวัน งานการทางวัดมีอยู่ก็ทำ ทำเป็นกิจวัตร คือ ทำวัตร ฉันเช้า แล้วก็ลงมือทำงาน มีการก่อสร้าง ขณะที่มาตอนนั้นกำลังขัดหิน ขัดอยู่ที่พื้นที่วงศานุสรณ์นั้น ไปช่วยเขากวาดน้ำ ขัดพื้น เป็นงานที่ทำร่วมกัน ทั้งพระภิกษุและฆราวาส


    (จากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน" หน้า 33-35)


    0.00.jpg
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    a0001 (1).jpg
    หลวงพ่อสร้างวัด

    ขณะที่มาอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 นั้น ทางวัดไม่มีเงินทองมาก ไม่มีพุทธบริษัทมาสงเคราะห์เหมือนสมัยนี้ ถือว่าอยู่กันตามอัตภาพ มีเงินก็ก่อสร้าง ถ้าประหยัดแรงงานได้พระก็ทำกันทุกวันไม่ได้ขาด ไม่มีวันพระวันโกน อันที่จริงเรื่องทำงานนั้นเป็นงานที่สาธารณประโยชน์ เป็นงานการกุศล ทำแล้วก็ได้สบายใจ

    เมื่ออยู่กันไปพ.ศ. 2516 นั้น หลวงพ่อท่านจะสร้างโบสถ์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 หลัง เพราะหลังเก่านั้นเป็นที่ทรุดโทรมมาก หลังคาก็รั่วโหว่ฝาผนังก็ผุ ก็ดำริว่าท่านจะสร้างพระอุโบสถบูรณะของเก่า แต่ท่านเจ้าอาวาสผู้นิมนต์ท่านมานั้นยอมให้สร้างเหมือนกันแต่ต้องควบคุมการเงินเอง

    ฉะนั้นเป็นสิ่งที่ผิดปรกติ ผิดปรกติคือ ไม่ได้หาเงินเอง แต่จะเอาเงินไปเก็บเองในฐานะตัวเองเป็นเจ้าอาวาส การที่จะทำอะไรอย่างนี้เป็นการที่ทำลายศรัทธาของคนผู้มีศรัทธาเพราะว่าผู้ที่เอาเงินมาให้ คือผู้มีศรัทธานั้นเขาไม่ไว้ใจเจ้าอาวาส เพราะว่าเคยสร้างสั่งของมาแล้วเป็น 10 ปี ยังทำไปไม่ถึงไหน แต่ออกเงินให้ชาวบ้านเขากู้ บริษัทของตัวเองก็กินเหล้าเมายา เป็นที่ไม่ไว้วางใจของคนดี คนดีที่มีศีลมีธรรม

    เมื่อท่านเจ้าอาวาสยืนยันมาอย่างนั้น หลวงพ่อท่านก็ไม่ตกลงด้วย เพราะว่าเจ้าของเงินที่บริจาคมานั้นเขาไม่ไว้ใจ เจ้าอาวาสท่านจึงสั่งซื้อที่ตรงข้ามกับวัด คือฝั่งถนนที่ปัจจุบันเขียนว่าศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคนั่น 11 ไร่ ขณะนั้นยังเป็นป่า ป่ารกชัฏ เป็นป่าไผ่แถบหนึ่ง ตกลงมีโยมที่เป็นเจ้าของขายให้ในราคาถูก ไร่ละหมื่นบาท คือทำบุญด้วยเมื่อท่านตกลงซื้อที่จะสร้างพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องผ่านเจ้าอาวาส

    เมื่อตกลงซื้อที่แล้วก็ต้องถากถางป่าที่ยังรกชัฏอยู่ อันที่จริงสมัยก่อนนั้นเราก็ไม่ค่อยมีเงินมาก ไม่ใช่ไม่มีเงินมาก คือไม่มีเงิน คือทำก่อนผ่อนทีหลัง จะหารถแทรกเตอร์มาดันป่าก็ไม่มี ฉะนั้นจึงต้องหาแรงงานชาวบ้านส่วนหนึ่ง จ้างเอามาฟัน ส่วนหนึ่งพระฟัน คือฟันป่าไผ่ให้เตียน เมื่อฟันป่าให้ล้มลงแล้ว ปล่อยให้แห้งสักช่วงหนึ่ง ก็จุดไฟเผาให้ลง เพื่อจะทำการวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ

    เมื่อป่าไผ่เตียนลงแล้ว ท่านก็ดำริขึ้นมาว่า ก่อนจะวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถนั้น ให้สร้างกำแพงรอบวัดก่อน ให้จ้างคนมา พระส่วนหนึ่ง ญาติโยมส่วนหนึ่ง มาทำกำแพงรอบวัด ทั้งหมด 11 ไร่ เมื่อทำกำแพงลงไปแล้ว ก็เริ่มสร้างกุฏิหลังแรก ฝั่งพระอุโบสถปัจจุบันนี้ คือ ตึกเศรษฐี อยู่ที่มุมเศรษฐีหลังแรกหลังใหญ่ ปัจจุบันทางขึ้นศาลา 3 ไร่ ศาลา 2 ไร่

    ตอนนั้นเมื่อลงขุดหลุมเสาแล้ว อาตมาเองก็ไปช่วยเขา ตั้งแต่ถมดินทุกอย่าง ก่ออิฐฉาบปูน ขนอะไรทุกอย่าง เมื่อสร้างหลังนั้นขึ้นมาแล้วก็สร้างกุฏิขึ้นพร้อมกันทีเดียว 10 หลัง ตั้งเสาเอาดินถมพื้น ขุดหลุมเทปูนทุกอย่าง ทำไปรวมกับช่างบางส่วน ขณะนั้นพระที่บวชอยู่ด้วยกันที่เป็นช่าง คือ พระวิเชียร ท่านเป็นช่าง เป็นหัวหน้าพระทำงานก่อสร้างครั้งนั้น พระก็ไม่มีกี่องค์ ก็มีอาตมา พระอนันต์ 2. หลวงพี่โอ หลวงพี่พระครูสมุห์พิชิต 3. พระวิเชียร 4. พระน้อม แล้วก็ 5. สามเณรสมศักดิ์ มีอยู่แค่นี้ที่ทำงานก่อสร้างกัน

    เมื่อขึ้นตึก 10 หลังนั้นทั้งหมดแล้ว ขึ้นเป็นเสา เสา ก็ถึงเวลาที่จะวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ ในวันที่ 17 มีนาคม 2517 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปี ฉลู การวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถนั้น ผู้ที่วางศิลาฤกษ์คือ หม่อมเจ้าสืบ ศุขสวัสดิ์ ท่านบิดาของท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ การวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถนั้น ก่อนวางศิลาฤกษ์จะขอเล่า อาจจะนอกเรื่องไปบ้าง ขอท่านผู้อ่านอย่าถือว่า มันจะดีหรือไม่ดีเล่าสู่กันฟัง

    ก่อนวางศิลาฤกษ์นั้นหลวงพ่อท่านจะบวงสรวงก่อนงาน 1 วัน มีจัดพิธีกรรมก่อน เมื่อจัดพิธีกรรมมีเครื่องบวงสรวงจัดที่หน้าอุโบสถปัจจุบันนั้นยังเป็น ที่ดินยังรกขรุ ๆขระๆ เพราะยังไม่ได้เกรด ได้ปรับอะไร ก็มีเจ้าของโรงสีอยู่ข้างวัดยาง แกจะสร้างโรงสีใหม่ คือ โรงสีข้าวที่ข้างวัดยางนั้น ก็เอาชิ้นส่วนของโรงสีนั้นมาร่วมพิธีบวงสรวงด้วย หลวงพ่อก็บวงสรวง พอบวงสรวงเสร็จ ท่านก็บอก

    “เฮ้ย.. เจ้าของโรงสีเอ๊ย เข้ามาใกล้ๆนี่ พระภูมิเจ้าที่ เขามาขอนะเดือนหนึ่งแกทำเป็นแปะซะให้เขาสักครั้งได้ไหม เทวดาเขามาขอแป๊ะซะสักตัวเดือนละครั้งได้ไหม”

    เจ้าของโรงสีก็บอก “ได้ครับ”

    ก็เป็นอันว่าบวงสรวงเสร็จก็เลิกกันไป เจ้าของโรงสีก็กลับไปสร้างโรงสีต่อ ต่อมาเมื่อสร้างโรงสีเสร็จก็มีโรงสีแข่งกันสองโรง โรงเก่ากับโรงใหม่ โรงใหม่ขณะนั้นคนเข้าเยอะ ทำอะไรก็เจริญรุ่งเรืองมาก มีความคล่องตัวทุกอย่าง โรงสีเก่านี้มีอยู่ต้องล้มกิจการไปโดยปริยาย

    นี่จะว่าบวงสรวงไม่มีผลก็ไม่ได้ เพราะว่าหลวงพ่อท่านพูดก่อนที่โรงสีจะเสร็จว่า เทวดาพระภูมิเจ้าที่เขามาขอแป๊ะซะเดือนละชุดท่านว่าจะช่วย ก็ตรงตามนั้น หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่รู้จริง อย่างอาตมานั้น รู้เหมือนกันแต่ไม่จริง รู้ตามเขาว่า รู้ตามท่านบอก อย่างหลวงพ่อท่านรู้จริง

    ฉะนั้นท่านสาธุชนที่อยู่เบื้องหลังด้านหลัง จะขอบอกเสียเลยว่าพระในพุทธศาสนานั้น มีเป็นแสนๆองค์หรือหลายแสนองค์ ที่รู้จริงๆจากใจจากตัวท่านเองจริงๆนั้น รู้จริงๆนั้นมีน้อย รู้ตามตำรานั้นมีมาก คือรู้ตามขี้ปากของคนพูดมาแล้วจำมาพูดต่อนั้นมีมาก ฉะนั้นท่านทั้งหลายเมื่ออ่านหนังสือแล้ว ก็อย่าตกใจ เพราะคนนั้นมีบารมีไม่เท่ากัน จะให้รู้เหมือนกันทุกคนนั้นเป็นไปไม่ได้

    แต่เมื่อท่านทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญา เมื่อพบสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เป็นของจริงแล้ว จงนำไปประพฤติปฏิบัติ ก็จะถือว่าท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐตาม เป็นผู้ที่ประเสริฐไปด้วย ถ้าท่านไม่เอาคำสั่งสอนของผู้ที่ประเสริฐไปประพฤติปฏิบัติ ท่านคงจะชอบเดียรถีย์ก็ตามใ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 36-37)

    11010555_696306260497140_1045546937455777532_o.jpg
    1554821784682.jpg
    IMG_0933.jpg~original.jpg

    ความดำริ


    สำหรับอาตมานั้นเมื่ออยู่กับท่านมา 20 ปี รู้ว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐแต่ก็ไม่ขอพูดว่าท่านประเสริฐกว่าใครทั้งหมด หรือประเสริฐกว่าพระองค์ใดในตอนนี้ เพราะอาตมาพูดไม่ได้ เพราะเราไม่ทราบว่าพระองค์อื่นท่านทำอย่างไร แต่เมื่ออยู่กับพระเดชพระคุณท่าน ท่านสอนให้เราละความชั่วทุกอย่างโดยท่านไม่ปรานีคนชั่ว

    ท่านลงสอนกรรมฐานทุกคราว ท่านจะตำหนิพระที่ทำไม่ดี ทำตัวเป็นเดียรถีย์ในพุทธศาสนาจะเรียกว่าพระไม่ได้ ท่านบอกพวกนี้เป็นโจรอาศัยผ้าเหลืองหุ้มห่อกายมาหากินในพุทธศาสนา เมื่อท่านปรารภอย่างนี้ทุกวัน เราเองก็ไม่ใช่พระที่ดี ก็ยังมีนิวรณ์เต็มอัตราคือคิดชั่วอยู่เป็นประจำคิดชั่วในที่นี้คือนิวรณ์คุมใจอยู่เป็นประจำคือ

    1. ชอบเสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่นิ่มนวล นึกถึงคนสวยคนงาม ก็ตามคิดถึง อยู่เป็นนิจ อย่างนี้คือ นิวรณ์ ตัวที่ 1

    2. นิวรณ์ตัวที่ 2 คือมักโกรธ ใครทำไม่ถูกใจก็โกรธ มีใครทำไม่ถูกใจก็นึกว่า คนนั้นมัน ด่าเราวันนั้นวันนี้ อารมณ์ก็เร่าร้อน

    3. ง่วงเหงาหาวนอน

    4. อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทางเป็นประจำ

    5. สงสัยไม่หยุดหย่อน

    แล้วก็เมื่อท่านสอนท่านตำหนิอยู่อย่างนี้ทุกวัน จิตเราก็ชั่วเป็นประจำอย่างนี้ก็ละอายใจ เมื่อเห็นครูบาอาจารย์ก็หลบเพราะจิตเราชั่ว ท่านบอกคนก็ดี พระก็ดีถ้านิวรณ์คุมใจ เป็นทาสนิวรณ์นั้นจะเอาอะไรมาดี ความดีก็ไม่มีในตัวห่มผ้าเหลืองก็ไม่ใช่พระ เป็นเปรตอาศัยพุทธศาสนาหากิน เราก็นึกอยู่ในใจเพียงว่าเราเป็นเปรตทุกวัน เป็นเปรตอยู่ทุกวัน ครูบาอาจารย์ก็สอนให้เราระงับความชั่ว เราก็ระงับไม่ได้สักที อย่างนี้ก็อาศัยผ้าเหลืองเขาหลอกชาวบ้านหากินไปวันๆ

    แล้วความอายใจที่ท่านตำหนิอยู่อย่างนี้ทุกวันคือนึกว่าชาตินี้จะพ้นนรกหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ แต่ก็นึกว่า เอา เอาล่ะ คนเราน่ะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่มันจะดีเลยไม่ได้ ก็ต้องมาฝึกทำความดีกันต่อไป ถ้าจะลงนรกก็ยอมละ แต่ข้าขอปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นึกเข้าข้างตัวเองว่าพระพุทธเจ้า ท่านก็บำเพ็ญบารมีมามาก 6 ปีกว่าท่านจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็พึ่งบวชมาพรรษาเดียว 2 พรรษา จะให้เป็นอย่างงั้น ก็จะเก่งเกินพระพุทธเจ้าไป ก็นึกเข้าข้างตัวเอง

    ก็ฝืนทนมาว่า 6 ปีนี้ถ้าเราปฏิบัติแล้วไม่ได้มรรคได้ผลอะไรเลย ก็จะสึกเหมือนกัน สึกแล้วก็คงจะไปหาสิ่งที่ปรารถนาจะได้ของสวยงามๆอ่อนๆ นิ่มๆที่ทุกคนปรารถนา คือ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส สิ่งที่ถูกใจ เมื่อบวชอยู่กับท่านต้นๆพรรษา 1 พรรษา 2 พรรษา 3 ก็ทำไปทำมาเป็นปกติ มองดูแล้วตัวเองไม่มีความเจริญทางด้านสมาธิหรือปัญญาอะไรเลย มีแต่ความฟุ้งซ่านเข้ามาประทับจิตอยู่เสมอ

    ท่านทั้งหลายที่อ่านยังไม่ได้บวชอยากจะบวช ก็จงจำไว้ว่าความตั้งใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี การปฏิบัติธรรมนั้นแม้จะไม่ได้วันนี้ วันหนึ่งก็ต้องเป็นของเรา เมื่อบวชมาได้สัก 3 พรรษาได้ก็นึกเข้าใจ เอ๊! เรานี่บวชมาแล้ว ไม่มีความเจริญเลย สมาธิก็ไม่เคยทรงตัว เป็นภาพนิวรณ์ปกติหาความเจริญใส่จิตไม่ได้ ปกติเป็นคนขี้เกียจ อยากได้อย่างเดียวก็คือ สำเร็จโดยไม่ต้องออกแรง

    คิดอยู่อย่างนั้นก็เกิดความละอายใจ พอเราบวชมาแล้วก็โกหกชาวบ้านเขาหากินอยู่เป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่ง คิดอย่างนี้ก็ออกบิณฑบาตสายเรือ เรียกว่าไปทางน้ำ ต้องพายกันไป 2 องค์ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรได้ ไปกลับเป็นสายเรือประจำของทางสายแม่น้ำสะแกกรัง

    เมื่อพายไปก็คิดไปว่าเรานี่ไม่อยากจะอยู่แล้ว ก็คิดไป เอ! บิณฑบาต เขาก็หาว่าเราเป็นพระ หาว่าเราเป็นผู้ประเสริฐ ยกมือไหว้เมื่อให้ก็ยกมือไหว้ เมื่อให้แล้วก็ยกมือไหว้ เราก็ยังเลวเต็มอัตราศึก ปกตินึกละอายใจก็พายเรือไปก็นึก ก็มองเห็นแพผักตบชวาลอยน้ำ มีเรือวิ่งสวนมา มีคลื่นกระทบแรงๆ เรือเราก็เรือเล็ก พอเรือเครื่องเรือเร็วสวนมา เราก็ปรับเรือให้รับคลื่น ไม่ให้เรือเราล่ม ก็เอาสิ่งที่เห็นด้วยตานั้นมาคิดปรับกับตัวเองว่า ชีวิตตัวเราเองนั้นน่าจะเปรียบเหมือนกับกองสวะที่ลอยตามน้ำไปนี่

    เพราะกอสวะมันไม่มีหางเสือมันไม่มีสมอง มันก็ลอยตามยถากรรมของมัน มันอาจจะแปะตรงนั้นก็ได้ มันอาจจะแปะตรงตลิ่งตรงนี้ก็ได้ พอลอยไปตามยถากรรม หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ชีวิตของตัวเราเองนั้นน่ะ เมื่อมีมันสมองแล้วนี่จะปล่อยให้ชีวิตล่องลอยเหมือนกอผักตบชวาอย่างนั้นรึ

    ใจก็มาตามคิด ไม่ใช่ เมื่อเรามีมันสมองแล้วนี่ ก็ต้องบังคับมันให้เข้าตามทิศทางสิ่งที่ดีได้ ไม่ใช่ปล่อยชีวิตเหมือนแพสวะ ลอยตามน้ำไปหาจุดหมายปลายทางไม่ได้ เมื่อเรามีมันสมองมีปัญญา เกิดมาเพื่อปรารถนาพระนิพพาน ปรารถนาพระนิพพาน เมื่อตั้งจิตปรารถนาอย่างนี้แล้ว ก็ต้องใช้ปัญญาของตัวเอง การจะไปพระนิพพานได้ ทำยังไง ก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่น ตัดสังโยชน์ 3 ได้ ก็จะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น

    เมื่อมีแบบแผนอย่างนี้แล้ว เมื่อมีปัญญาก็ต้องหัดจิตของเราให้เข้าตามแบบแผนที่พระพุทธเจ้าวางไว้ พอคิดได้อย่างนั้นก็นึกว่า เอาล่ะ อดทน เมื่อเห็นแพสวะอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่เป็นแพสวะ เราต้องตั้งมั่นเป้าหมายของชีวิตว่า ชาตินี้ที่ปรารถนาคือพระนิพพาน แต่การปฏิบัติธรรมนั้นก็ต้องมีอุปสรรค มีสิ่งที่กระทบกระเทือนกระทั่งใจ มีความเบื่อหน่าย มีอุปสรรคนานาประการไม่เหมือนกันทุกคน

    อุปสรรคนั้นก็เหมือนเรือที่เราพายลอยตามน้ำไปตามนั้น ก็ต้องมีเรือที่เป็นเรือใหญ่กว่า มีลูกคลื่นกระทบมาที่เรือเรา เมื่อมีอุปสรรคกระทบกระแทกเรือเราอย่างนั้น เราก็ต้องมีความสามารถในการเอาตัวรอด ไม่ให้เรือล่มได้โดยใช้ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องมีอุปสรรคในการกระทำความดีก็ต้องต่อสู้เหมือนกับเรือกระทบกับคลื่นใหญ่

    เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ก็ เออ! มีความชื่นใจขึ้นมาอีก พอพายเรือต่อไปเรื่อยๆ ก็จะถึงปลายทางก็คิดว่า การพายเรือนั้น ไม่ใช่พายทีเดียว จ้ำทีเดียวถึงจุดหมายปลายทาง มันต้องพายบ่อยๆ พายถูกทาง พายโดยอุตสาหะ ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ก็คิดมาเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเองว่า เมื่อพายเรือไปบ่อยๆแล้ว ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ชีวิตเรายังมีเวลาอีกหลายปีอยู่

    การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติไม่หยุดไม่หย่อน ปฏิบัติไปตามกำลังของเราเรื่อยๆโดยไม่ผิดทาง ก็จะถึงจุดหมายปลายทางเหมือนเราที่กำลังพายเรือนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อพายเรือกลับมาถึงวัด ก็มีความคิดว่า เออ เราจะอดทนต่อไป

    เมื่อฉันเช้าเสร็จแล้วก็เข้ามาที่กุฏิ ก็อธิษฐานต่อหน้าพระว่าเราจะบวชต่อไปอีกดีหรือเปล่า ถ้าจะบวชต่อไปอีกก็ขอให้หลวงพ่อปาน หลวงพ่อช่วยตอบให้ด้วย ก็ไปเปิดประวัติหลวงพ่อปาน อ่าน คือ เปิดไม่ได้เรียงหน้า 1 หน้า 2 เปิดหน้าไหนก็อ่านหน้านั้น เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เปิด หลวงปู่ปานก็ตอบอกมาเลยว่า ถ้าอยากดี ก็อย่าใจร้อน จะเสียผลให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มักได้ผลเอง ตรงนี้เป็นคำตอบที่ว่า ชื่นใจ เราก็ปิดหนังสือ เราไม่อ่านต่อ มีกำลังใจปฏิบัติต่อไปอีก

    เมื่ออยู่กันต่อไปก็ทำงานกันเป็นปกติ ก็ขอวกมาเล่าถึงตอนที่วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถแล้ว ซึ่งขณะนี้ พ.ศ. 2538 นั้นได้รื้อหลังเก่าออกหมด ได้สร้างเข้ามาแทนที่ใหม่ ช่วงหลัง 10 หลัง ตอนนั้นแต่ละหลังข้างบนเป็นไม้ ไม้ยาง ข้างล่างเป็นคอนกรีตฉาบปูน แต่ขณะนี้ได้รื้อแล้วทั้ง 10 หลังนั้น ได้สร้างเป็นคอนกรีตทั้งบนทั้งล่างหมด ขอให้ญาติโยมทั้งหลายทราบไว้ด้วย

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 38-40)


    DSC_2390.jpg


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2019
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325


    a0001.jpg
    สอนกรรมฐาน

    เมื่อหลวงพ่อท่านได้สร้างพระอุโบสถนั้น พ.ศ. 2517 คือพรรษานั้นคือพรรษาที่พระบวชกันร่วม 20 องค์อยู่ร่วมกันเพราะท่านปรารภไว้ว่าจะสอนพระกรรมฐาน 40 กลางวันพร้อมทั้งมหาสติปัฏฐานสูตรด้วย คือสอนเป็นวิชาการ สอนกลางวันเวลาบ่ายโมง

    หลวงพ่อจะสอนเป็นแบบอย่าง ท่านบอกว่าแม้พวกเราจะไม่รู้ ไม่เข้าใจทั้งหมดจะได้รู้เป็นแบบอย่างว่ากรรมฐานนั้นไม่ใช่มีกองเดียวไม่ได้มีแบบเดียว ต่อไปภายภาคหน้าถ้าข้าตายไปแล้ว พวกแกจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเอา อย่าทำตัวเป็นตาบอดคลำช้าง คือคนตาบอดนี้ บอดต่อบอดคุยกันก็จะเถียงกัน ภาษาชาวบ้านเขาว่า โง่ต่อโง่คุยกันก็จะเถียงกัน คนรู้กับผู้รู้ เขาจะไม่เถียงกัน ที่เถียงกันในการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น คนโง่ต่อคนโง่ คนตาบอดกับคนตาบอดคลำช้างเหมือนกันมาเถียงกัน คนตาบอดคนหนึ่งมาคลำช้างจับช้าง ก็จะบอกว่าช้างนี่เหมือนไม้กวาด ไอ้บอดอีกคนตาบอดอีกคนมาคลำช้างก็จะเข้าใจว่าช้างนี่เหมือนปลิง อีกคนตาบอดมาคลำช้างอีกก็จะบอกว่าช้างเหมือนเสา

    ฉะนั้นการปฏิบัติพระกรรมฐานก็เหมือนกัน ถ้ารู้ไม่ครบ รู้นะไม่ใช่ปฏิบัติได้ทั้งหมด ที่ปฏิบัติได้ทั้งหมด ต้องพระพุทธเจ้า หรือผู้ที่มาจากพุทธภูมิ ถ้ารู้ไม่ครบหรือไม่เข้าใจจะเถียงกันเหมือนตาบอดคลำช้าง ดังนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงลงมือสอน กรรมฐาน 40 กับ มหาสติปัฏฐานสูตรสลับกัน ท่านสอนที่ตึกเสริมศรีปัจจุบัน

    ตอนกลางวันนั้น บ่ายโมงท่านสาธุชนคิดดูบ่ายโมงเวลาที่ง่วงนอนดีที่สุด คือ พระฉันเพล 5 โมง พัก 2 ชั่วโมง ก็ลงมาฟังคำสอน หลวงพ่อสอนสนุก ท่านสอนทุกวันเสาร์อาทิตย์เว้นวันพระ ที่ท่านกำหนด สอนตอนบ่ายวันเสาร์และอาทิตย์ก็เพื่อให้ญาติโยมที่อยู่ทางกรุงเทพได้มีโอกาสมารับคำสอนด้วย สอนพื้นฐานเมื่อสอนเสร็จท่านก็สั่งติดลำโพงขยายเสียงในห้องทุกห้องที่มีอยู่ ตอนเย็นๆก็เปิดเสียงตามสายออกมาให้ญาติโยมฟัง

    ท่านบอกว่าให้ผ่านหูผ่านตาไปเรื่อยๆ เมื่อฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร จิตจะไปจดไปจำ เมื่อใครเขามาสอบมาถามก็ยังมีความเข้าใจบ้างเป็นการยัดเยียดให้เกิดปัญญา กระทั่งปัจจุบันนี้ 20 กว่าปีแล้วก็ยังทำอยู่ คือเปิดเสียงตามสายไปยังห้องทุกห้อง ตอน 4 โมงเย็นครั้งหนึ่ง ตอน 3 ทุ่มครั้งหนึ่ง ตอนตี 4 ครั้งหนึ่ง เพื่อให้ญาติโยมที่มาประจำอยู่ที่วัดนั้นรับทราบข้อวัตรปฏิบัติและธรรมะก่อนนอนก็เป็นบุญ ตื่นมาก็เป็นบุญ เอาไม้กวาดลานวัดก็เป็นบุญ อยู่ในวัดถ้าไม่ชั่วจริงๆ มันตกนรกไม่ได้ แต่ก็ยังมีผู้ที่ต้องการตกนรกยังอยู่อีกเยอะ

    ฉะนั้นท่านสาธุชนผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคงไม่หนักใจ เล่าย้อนไปย้อนมา อาจจะไม่ได้สาระอะไรมาก ก็ขอเล่าต่อเลยว่าเมื่อท่านสอนกรรมฐาน 40 และมหาสติปัฏฐานสูตรเสร็จภายในพรรษา ออกพรรษานั้นก็สอนพระธรรมวินัยพระวินัยอีก เพื่อให้พระอยู่ในศีลในธรรมกัน พระวินัยตอนนั้นมีประมาณ 4 ม้วน คือม้วนละ 90 นาที

    เมื่อสอนพระวินัยแล้ว มีตอนหนึ่งที่อาตมาจำไม่ลืมก็คือ คนในวัดก็ดี พระในวัดก็ดี ท่านบอกว่า แม้นข้าจะตายไปจากร่างกายแล้ว พวกที่อยู่เบื้องหลังนั้นถ้ามันยังทำเลวกันอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเดียรถีย์นี้อยู่ในวัดนี้ เมื่อข้าตายไปแล้วก็จะคอยดู มันทำความดีกันรึเปล่า ถ้าไม่ทำความดีข้าจะจัดการมันทุกคน เป็นสิ่งที่อาตมาเองก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่ามันจะเลวจนท่านจะไม่รับให้อยู่ในวัดนี้

    ฉะนั้นท่านทั้งหลายเมื่อเข้ามาอยู่ในสถานที่นี้แล้วก็ขอให้ตั้งจิตตั้งสติ ตั้งความดีไว้ว่าจะประกอบแต่ความดี อันที่จริงไม่ใช่ขู่ แต่เล่าตามความเป็นจริงที่อาตมาอยู่มานาน ไม่ใช่อยู่มานานแล้วจะเป็นผู้ที่ประเสริฐ อยากจะประเสริฐเหมือนกันแต่ยังอดเลวไม่ได้



    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)


    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 40-41)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2019
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    ประวัติ.jpg
    ความเป็นอยู่สมัยแรก


    หลวงพ่อสมัยก่อนท่านอยู่ที่วัดก็มีลูกศิษย์นิดๆหน่อยๆ แต่ก็สอนกรรมฐานทุกวัน ถึงท่านจะแก่คนไปมากไปน้อยก็สอนกรรมฐานทุกวัน พอสอนไปตอนหลังนี่ท่านแก่มาก ก็สั่งอาตมาบอกว่า นันต์ แกอย่าลืมนะว่าวัดนี่ที่ข้าสร้างมาได้หลายร้อยล้านนี่ ข้าไม่ได้สร้างด้วยอะไรเลย สร้างด้วยกรรมฐาน แกอย่าทิ้งกรรมฐานนะ ถ้าแกทิ้งกรรมฐานเมื่อไหร่ วัดจะพัง เพราะข้าสร้างมาข้าสร้างด้วยกรรมฐานนะวัดนี้

    ท่านบอกว่า ท่านสร้างไปนี่ถ้าเราทำจิตดีนี่เทวดาท่านก็ช่วยเกื้อ หนุน พระท่านก็ช่วย มีรุ่นก่อนๆ ที่ท่านสร้างเขาเรียกว่า ตึกริมน้ำ ท่านไม่มีลูกศิษย์มากนี่ พ.ศ. 2513 นี่ยังไม่มีลูกศิษย์ การเงินก็ยังได้วันใช้วัน อะไรอย่างนี้ กฐินทีก็ใช้หนี้เขาทีหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อสร้างกุฏิหลังนี้ไม่มีเงินเลย พระอินทร์มาบอกว่า คุณเทวดาน่ะร้อนไปทั้งดาวดึงส์แล้วนะ ท่านช่วยยังไงล่ะ ช่วยหาเงินเพราะเป็นหนี้เขานี่ เป็นหนี้เขากฐินทีก็ใช้เขาที กฐินทีก็จ่ายหนี้ทีหนึ่ง

    แต่ช่างช่วงนั้นก็เรียกว่าไม่ มีเงินก็เชื่อเครดิตพระก็ปล่อย ปล่อยทำไปเรื่อย ช่างแถวนั้นรวยทุกคนที่ปล่อยเครดิตให้นะ รวยทุกคนเพราะหลวงพ่อนี่ท่านไม่ค่อยทิ้งคน ท่านไม่ทิ้งผู้มีบุญคุณกับท่าน อย่างโยมกิมกียังงี้ให้มาขายในร้านในวัดเลยเพราะว่าหลวงพ่อแต่ก่อนไปอยู่วัด ใหม่ๆ บิณฑบาตไม่ได้ก็ต้องผูกปิ่นโตเขา

    อาจารย์ยกทรง : นี่รุ่นเก่าเหมือนกันหรือโยมกิมกีนี่

    พระครูปลัดฯ : ใช่รุ่น 1 เลย ทำอาหารถวายหลวงพ่อท่าน เช้าก็ไปเอาอาหารมา

    อาจารย์ยกทรง : ตอนที่จะเริ่มสร้างวัดใหม่นี่ ท่านพระครูเจ้าอาวาสนี่มาอยู่กับหลวงพ่อหรือยังครับ

    พระครูปลัดฯ : อยู่แล้ว ฝั่งนั้นนะ ไปอยู่พรรษานั้น พ.ศ. 2516

    อาจารย์ยกทรง : เริ่มยังไงก่อนครับ

    พระครูปลัดฯ : มาอยู่กำลังสร้างตึกเสริมศรีพอดี ฝั่งเก่านะ ฝั่งใหม่ยังไม่มีอะไรเลย ยังเป็นป่าเป็นดงอยู่ เพราะแถวโบสถ์เป็นที่ลุ่มทั้งนั้น ลุ่มแค่คอเรานี่ถมพื้นดินขึ้นมาตั้งร่วม 2 เมตรได้มั้ง

    อาจารย์ยกทรง : ริเริ่มรุ่นนั้นใหม่ๆนี่พระทุกองค์เจริญกรรมฐานแล้วต้องทำงาน หรือเปล่าครับ หรือว่าเจริญกรรมฐานแล้วไม่ต้องทำงาน

    พระครูปลัดฯ : โอ้โฮ้ ทำเหมือนกรรมกรนี่แหละ

    อาจารย์ยกทรง : พระรุ่นนั้นนะเหรอ

    พระครูปลัดฯ : ใช่ ทำจนคนไปวัดว่า เฮ้ย ใช่พระรึเปล่าหว่า เขาคุยกัน คือเราใส่งอบกันกลางวันแสกๆ นี่ใส่งอบกันเพราะหัวล้านนี่หลวงพ่อก็ไปซื้องอบมาให้ใส่กัน ชาวบ้านบอก เฮ้ย ใช่พระรึเปล่าวะ เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้พระสำอาง สำอางคือว่า นอนจนตัวขาวแล้วไม่ทำอะไร ดีแต่พูดปากก็ว่าไอ้นั่นไม่ดีไอ้นี่ไม่ดี ท่านไม่ชอบคนพูด ส่วนมากท่านชอบคนทำงาน สังเกตดูท่านชอบคนทำ ถ้าคนดีแต่พูดไม่ค่อยเอา

    อาจารย์ยกทรง : แหม...เรียกว่ารุ่นแรกนี่เหนื่อยมากที่สุดนะ

    พระครูปลัดฯ : คือทำงานทุกวันนะทุกวันต้องออกมาแต่เช้ายันเพล พอเพลก็มาพักสักครึ่งชั่วโมง

    อาจารย์ยกทรง : พอฉันเพลเสร็จแล้วก็ต่ออีกยังงั้นเหรอครับ

    พระครูปลัดฯ : ทำงานเอง เดี๋ยวนี้ถึงติดพวกล้างชามเองยังงี้ ไม่ว่าอะไร ฉันแล้วก็ล้างเองอะไรเอง ลูกศิษย์ลูกหาไม่ต้องไปสนเพราะไม่มีเราก็ทำเองได้เลย

    อาจารย์ยกทรง : หัดให้ช่วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อใหม่ๆ อาหารการขบฉันสบายดีเหรอครับ”

    พระครูปลัดฯ : เรื่องอาหารนี้มันก็ตอนนั้นเราไม่รู้หลวงพ่อจ่ายยังไง อาหารก็ทำเสริมตอนกลางวันอย่างสองอย่าง อาหารพอฉัน เพราะพระมีน้อย 5 องค์ 10 องค์

    อาจารย์ยกทรง : อ้อ แค่นั้นเองเหรอครับ


    พระครูปลัดฯ : ใช่ เพิ่งขยับมาตอนนี้ ประมาณ 57 องค์ ก็ฉันมื้อเดียวเสียบ้าง อะไรบ้าง เวลากลางวันก็เหลือโหรงเหรง

    อาจารย์ยกทรง : มื้อเดียวนี่ไปติดใจธุดงค์หรือยังไงครับ

    พระครูปลัดฯ : ติดใจธุดงค์ แต่ไม่ใช่ว่าฉันมื้อเดียวแต่โอวัลติน 5 แก้วนะ ตอนธุดงค์ใหม่ๆ จะนั่งกรรมฐาน ตอนเที่ยงก็แก้วหนึ่ง ก่อนจะนั่งแก้ว ขากลับอีกแก้ว ขากลับอีกแก้ว เวลาจะสวดมนต์เย็นนั่งกรรมฐานอีกแก้ว ร้านอาหารเขาก็เลี้ยงดีฉันเท่าไหร่ก็ไม่ว่าอะไรก็ดีเหมือนกัน

    อาจารย์ยกทรง : บ่ายจัดๆ รู้สึกหิวเหมือนกับฉัน 2 มื้อ ไหมครับ หรือว่ายังไง

    พระครูปลัดฯ : ไม่หิว เหมือนปกติเลยนะ หรือว่าไม่ได้ทำงานหนักก็ไม่รู้

    อาจารย์ยกทรง : ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์ประทีปเป็นเจ้าอาวาสชั่วคราวเหรอครับ

    พระครูปลัดฯ : ใช่ เพราะไม่มีใครเลย ไม่มีพระเหลือองค์เดียว ธุดงค์หมดก็ดีอันที่จริงก็เป็นดำริของหลวงพ่อท่านเคยไปตรวจงานเหมือนกัน บอกว่าต่อไปสถานที่นี้เป็นที่ธุดงค์พวกแกก็เปลี่ยนกันมาซี จะให้อยู่เป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเลยสักเดือนครึ่งเดือนก็เปลี่ยนกันไป เปลี่ยนกันทำงาน เปลี่ยนกันทำ

    อันที่จริงก็คงจะเป็นท่านคอยช่วยด้วย เพราะเราไม่เคยคิดเลยในใจ เพราะเราไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ พอตรวจงานพระสุรจิตนี่จะรู้ไปตรวจงานท่านจะดำริ พระสุรจิตท่านควบคุมงานก่อสร้างอยู่ ไปกับหลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่าตรงนี้ต่อไปจะเป็นสถานที่ธุดงค์นะ พวกแกก็เปลี่ยนกันมา

    พอท่านมรณภาพแล้วก็ เอ๊..จะคิดอะไรนะที่ทำให้คนมาวัดแล้วกลับไปได้บุญมากที่สุด เรื่องอะไรท่านก็ทำหมดแล้วใช่ไหม ก็มาเรื่องปฏิบัติธรรมนี่นะถึงจะตรง ต้องรักษาจิตใจของคน ถ้าจิตคนดีวัดก็ทรงตัวอยู่ได้ กิจกรรมอะไรถึงจะทำให้คนรวมตัวกัน เราก็คิดว่าคนจนไปวัดได้ ก็คิดได้เรื่องธุดงค์นี่แหละ

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 42-44)


    IMG_20180211_074935.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    58
    ค่าพลัง:
    +225,325
    0001.jpg

    หลวงพ่อก่อนออกรับแขก

    ก่อนออกรับแขกนี่หลวงพ่อจะดูคนมาก่อน บางทีท่านก็เล่าให้อาตมาฟังวันนี้จะมีคนมาหา เป็นคนระดับไหน หมายความว่ามีความดีระดับไหนแล้วจะพูดยังไงจะทักมันยังไง พูดทุกคำมีเหตุมีผลหมด บางทีแม้แต่จะฉันอาหารวันนี้จะทักกับใครทักยังไง บางทีทัก “เออ ลูกสาวเอ้ย” เพราะว่าเป็นลูกสาวแม่เขาให้มาบอกอย่างงี้ บางทีออกรับแขกท่านกวาดตามองหาคนที่แม่เขาบอกมารึเปล่า

    อย่างท่านแม่ศรีมาบอกว่า ลูกคนนี้มาให้ทักมันเสียหน่อย มีอยู่คราวหนึ่งแขกมารอข้างล่าง ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน “หลวงพ่อครับแขกมา” ท่านบอกยังไงรู้มั้ย “ปล่อยมันก่อนไอ้นี่มันแอ๊ค แอ๊คว่ามันรวย มันใหญ่โตมาก” ขนาดยังไม่ลงนะท่านรู้แล้ว ปล่อยให้รอไปก่อน ท่านก็ไม่ยอมลงหลวงพ่อท่านรู้จริงๆ

    คราวหนึ่งประมาณ พ.ศ. 2524 หรือ 2525 เห็นจะได้ เป็นตอนที่พระสมุห์บัญชาและพระชัยศรี (ขณะนั้นยังบวชอยู่)เพิ่งเข้ารับหน้าที่เกี่ยวกับการจัดสถานที่รับแขกของหลวงพ่อที่ศาลานวราช มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมีอาการป่วยค่อนข้างมาก ทั้งสององค์ก็ได้ปรึกษากันว่าวันนี้อยากให้หลวงพ่อได้พักผ่อนสักวัน ถ้ามีแขกน้อยก็จะพยายามบอกให้แขกกลับไปก่อน

    เผอิญวันนั้นมีแขกมาสองคนแกไม่ยอมกลับจะพบหลวงพ่อให้ได้ ตามปกติที่หลวงพ่อจะลงรับแขกท่านจะต้องโทรศัพท์มาถามก่อนเสมอว่ามีแขกมารอหรือยัง พระสมุห์บัญชากับพระชัยศรีก็ปรึกษากันไว้ว่าถ้าหลวงพ่อโทรศัพท์มา (โทรศัพท์มี 2 เครื่องที่อยู่ห้องโถงเป็นที่สำหรับแขกหนึ่งเครื่องและอยู่ห้องข้างหลังอีกหนึ่งเครื่อง) เราจะเข้าไปรับโทรศัพท์ข้างในให้แขกนั่งรออยู่ข้างนอกแล้วบอกหลวงพ่อว่าวันนี้ไม่มีแขกครับ เมื่อท่านโทรศัพท์มาถามก็บอกไปตามที่ตกลงกันไว้ ก็มีเสียงตวาดทางโทรศัพท์ว่า

    “แล้วไอ้ที่เขานั่งคอยข้างนอก 2 คนนั้นใครวะ” เท่านั้นทั้งสององค์หน้าซีดเป็นไก่ต้มเหมือนขโมยที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา

    แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีสายตาที่ยาวไกลมองได้ไกลมากเพราะศาลานวราชกับตึกอินทราพงษ์ที่ท่านพักไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย อยู่คนละฟากถนนและท่านก็อยู่ในห้องที่มิดชิด ท่านยังรู้ว่าที่ศาลานวราชมีใครบ้าง

    หลวงพ่อเองนี่รู้อะไรแล้วไม่ใช่ว่าจะเชื่อง่ายๆ เคยไปอ่านหนังสือของท่านเรื่องท่านทองดี พ่อของรัชกาลที่ 1 มาบอกกับท่านว่าแถวนี้นะเป็นบ้านเก่า ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังตรงข้ามวัด หลวงพ่อบอกว่ามันต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยตาเห็น มือจับได้จะให้เชื่อเลยน่ะเชื่อไม่ได้หรอก

    ท่านทองดีก็บอกว่า พรุ่งนี้นะฝั่งข้างโน้น เขาจะรื้อบ้านกันตอนสายๆ ตอน 4 โมงเขาจะเอาเงินพดด้วงมาให้ท่าน ก็เป็นจริงตามนั้นนี่แสดงว่าเทวดาพูดก็เป็นจริงตามนั้น พูดเฉยๆ ไม่มีหลักฐานก็เชื่อยากเหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ได้เชื่องมงาย ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาท่านจึงจะเชื่อ

    พวกเราอย่าให้ใครเขาหลอกลวงก็แล้วกัน เขาพูดอะไรก็เชื่อเสียเงินไปเรื่อยๆก็เสีย ครูบาอาจารย์สอนมาดีแล้วเราอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 45-46)

    54360.jpg

    เจอผีที่ตึกกลางน้ำ



    ที่ตึกกลางน้ำมีอยู่หลายคราว เวลาหลวงพ่อมากรุงเทพเราเฝ้าตึกองค์เดียว นอนดูเหมือนตึกทั้งตึกมันโยก เราก็เปิดไฟดูเท้าเราก็ส่าย ก็นึกเอ..แผ่นดินไหวรึไง อีก 2-3 วันหลวงพ่อมาบอก เมื่อคืนนี้เทวดาเขามาเดิน แสดงให้รู้ว่าเขานี่อยู่ยามนะ ดูแลทรัพย์สมบัติสงฆ์อยู่

    หลวงพ่อนี่รู้แล้วว่าเทวดามาอยู่ยาม เราก็นึกอ๋อ..นึกว่าเพ้อไปคนเดียว เขาทำให้ดูว่าเขามาอยู่ยาม ตึกไหวทั้งหลังเลยไม่ใช่เรานึกเองนะ มันโยกให้เห็นเลยแต่ไม่รู้สึกกลัวนะ เขาคงทำไม่ให้กลัว เทวดานี่ทำให้กลัวก็ได้ไม่ให้กลัวก็ได้ นี่คงจะไม่อยากให้กลัวนะ แต่พระวิรัชนี่เห็นทั้งตัวเลย คือไปนอนอยู่ตึกกลางน้ำเหมือนกัน เห็นแต่งตัวเป็นเทวดาขาวแว๊บเลย

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 46)



    พระคุณของหลวงพ่อ

    เรื่องของหลวงพ่อนี่พูดถึงพระคุณของท่านทีไรเราทนไม่ไหว น้ำตามันไหลเอง เพราะว่าเราเป็นหนี้บุญคุณท่านมาก ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรทดแทน แค่ดูแลให้ดีที่สุดตามภูมิปัญญาที่เราจะทำได้ ถือว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง

    ได้คุยกับคนอยู่คน เมื่อตอนจะมานี่บอกว่า “เวลาเห็นธรรม จิตเป็นสมาธิแล้วนี่ เขาจะเห็นคุณที่หลวงพ่อสอนตรงทุกอย่าง เวลาขึ้นไปบนดาวดึงส์ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กราบพ่อแม่ทุกๆชาติ แกก็จะรู้คุณว่าพ่อแม่เราทุกชาติสอนให้เราเป็นคนดี ให้เรามีทาน ที่เรามีของกินทุกวันนี้เพราะพ่อแม่สอนไว้ ให้ทำบุญกับพระ ทำให้เรามีกินอยู่ทุกวันนี้”

    โอ้โฮ....จิตต้องมีสมาธิยิ่งจริงๆจึงจะเห็นตรงนี้ ได้ยินแล้วก็ชื่นใจที่เขาบอกว่า พุทโธอัปปมาโณ ธัมโมอัปปนาโม สังโฆอัปปมาโน คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ประมาณมิได้ ถ้าเราพูดอย่างนี้คนที่ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ก็เอ๊..ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น

    แต่เมื่อมีสมาธิมีปัญญาแล้วนี่มันทำอะไรทดแทนไม่ได้จริงๆ คนที่ฝึกมโนมยิทธิแล้วร้องไห้บอก “ไม่มีอีกแล้วๆ” นี่จิตมันรวมหมดเลยนะ สมาธิ ปัญญา ปิติ มันเกิดรวมกันทีเดียว ทนไม่ไหวหรอก พอถึงตอนนี้มันรวมกันหมด โอ...ทำไมหลวงพ่อจึงเมตตาอย่างนี้ ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเมตตาอย่างนี้ มันรวมกันทีเดียวกันเลย

    อาจารย์ยกทรง : พูดถึงพระคุณ แหม..หลวงพ่อกว่าจะลงรากปักโคนมาได้

    ตามภาษาก็บอกว่าค่อยๆสอนนิดก็เอาหน่อยก็เอา ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บจะสอนเรื่องนิพพานเลย อันไหนที่เป็นบุญท่านสะสมทุกอย่างให้กำลังใจในการทำความดีทุกอย่าง ถ้าเราเชื่อหลวงพ่อ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่มีอะไรมีปัญหา เพราะว่าเราเหมือนเกิดทันพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเทศน์แต่ละครั้งท่านมักจะบอกวันนี้องค์ปฐมมานะ มาเทศน์อย่างนี้ๆ วันนี้องค์ปัจจุบันมา วันนี้พระพุทธกัสสปมา

    ท่านมีประวัติหลักฐานทุกอย่างเหมือนเราได้ฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรง เราโชคดีที่สุด หมายความว่า ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เจอพระรู้จักพระ เจอพระอรหันต์ก็รู้จักพระอรหันต์ ฟังธรรมทุกอย่างด้วยความพอใจ ด้วยศรัทธา ด้วยปัญญา ไม่มีเบื่อ ทำงานกับท่านไม่มีเบื่อเลย



    หลวงพ่อผู้มีทิพจักขุญาณแจ่มใส

    อาจารย์ยกทรง : ขนาดคนขอยืมเงินทำบุญ อยู่ห้องโน้นที่หน้าห้องส้วม ทำบุญจนหมดตัวแล้วหลวงพ่อพูดอะไรไม่รู้ เอาไม่อยู่ขอยืมเงินเพื่อน ให้กูร้อยหนึ่งน่าเดี๋ยวกูมาใช้มึง เวลาถวายปุ๊บ หลวงพ่อก็แซวเลย “ให้กูร้อยเถอะจะรีบใช้มึง” แล้วแกก็กลับไปนินทาหลวงพ่อ อะไรวะกำแพงขวางยังมองเห็นอีก โอ้โฮ...ทำไมถึงตายาวขนาดนั้น แล้วอีกคนหนึ่งก็เร่งรีบเช่าสามล้อเข้าปากทางถนนใหญ่ ความจริงวันนั้นหมดเวลาแล้ว

    เราก็บอกหลวงพ่อนิมนต์เถอะครับ หลวงพ่อบอกเดี๋ยวรออีกคนหนึ่ง ไอ้เราก็ไม่กล้าขัดใจก็คุยโน่นคุยนี่ถ่วงไปประมาณสัก 20 ทีก็มาถวายเยอะ เจ้าคนนั้นศรัทธาแรงเต็มที่ 20 บาท เราก็เลยกระซิบถามหลวงพ่อ 20 บาทก็ยังคอยเหรอ หลวงพ่อบอกเขามาไกลเขาลำบาก เราอยู่ใกล้ลุกเมื่อไหร่ก็ไปได้

    ตรงนี้ท่านเคยสอนพระไว้ไม่ให้เสียพระง่ายๆ เขาทำบุญ 10 บาท 20 บาท มากบ้างน้อยบ้าง อย่าไปดูถูกเขา ท่านให้ดูกำลังใจคน ถ้าแกคิดอย่างนี้แกจะตกนรกง่ายที่สุด เขาทำบุญมากทำบุญน้อยต่อไปแกจะโลภ หลวงพ่อบอกต้องดูกำลังใจคน แกจะวัดด้วยเงินหรืออะไรไม่ได้ ท่านสอนเรานะ

    ท่านถือว่ากำลังใจสำคัญยิ่งอย่างโยมคนเมื่อกี้มาจากชลบุรีเป็นคนมีอายุแล้ว การเดินทางไกลก็ย่อมไม่สะดวก อย่างหลวงพ่อดาบสเทศน์คนที่ขึ้นรถลงเรือมาไกลอย่างนี้ ถือว่าเอาชีวิตมาทำบุญ เพราะว่าการขึ้นรถออกจากบ้านมาแล้ว มันสามารถจะตายได้ทุกเวลาเช่นกัน ชีวิตเรายังไม่ห่วง เรียกว่า ปรมัตถบารมีจริงๆ

    609605.jpg
    หลวงพ่อบูชาพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง

    มีเกร็ดอยู่เกร็ดหนึ่งคือมาวิเคราะห์กันเรื่องของแจก ของแจกนี่เรามาวิเคราะห์กันแล้วมันแพง ทีนี้ก็ปรึกษากับพระวิรัช เพราะพระวิรัชเป็นคนทำเรื่องวัตถุมงคล บอกวิรัชว่าของที่จะแจกนี่มันแพง ถึงครึ่งต่อครึ่งนี่ตั้ง 80 กว่าบาท จึงถามหลวงพ่อว่าหลวงพ่อครับ ของที่จะแจกนี่เอาพระผงไม่ดีหรือครับ

    หลวงพ่อบอกว่า “แป๊ะ..นันต์..ของนี่นะ นี่มันรูปข้า แต่พระผงเป็นรูปพระพุทธเจ้า เป็นของสูงแกรู้ไหม รูปพระพุทธเจ้าเป็นของสูง สูงยิ่งที่สุดแล้ว” เราก็โอ้โฮ นึกไม่ถึง เรานึกว่าของถูกก็แจกตามถูก แต่เรามันหยาบไม่คิดถึงคุณค่าของความดี ถึงบางอ้อตอนนั้นเอง หลวงพ่อท่านบูชาพระพุทธเจ้าจริงๆ เราแค่มองเพียงวัตถุ นี่เป็นตำราอย่างดีเลย


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 50-51)

    10258772_497065243754577_4530054380051910622_o.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...