เหรียญชินราชคุ้มเกล้า หลังภปร.พ.ศ. 2521

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 8 พฤษภาคม 2019.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    . พระครูศิริบุญญาภรณ์(หลวงปู่บุญศรี) วัดบ้านโนนจิก ต.นาคาย อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี (มรณะภาพแล้ว)ศิษย์สายสำเร็จลุนในสายของพระครูวิโรจน์รัตโนบล ลองหาประวัติท่านอ่านดูครับ

    พระผงรูปเหมือนรุ่น๑เนื้อว่านฝังตะกรุด ให้บูชา500บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.บุญศรีกล่อง.jpg ลป.บุญศรี.jpg ลป.บุญศรีหลัง.jpg ลป.บุญศรีฐาน.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหล็กไหลแม่น้ำโขงนี้ มีลักษณะเหมือนดังเนื้อเหล็กปนหินอยู่บริเวรใต้น้ำโขงถือเป็นเหล็กไหลชั้นยอดอีกชนิดหนึ่งแม่เหล็กสามารถดูดติดได้ คนละชนิดกับอกธรณี เพราะเนื้อเป็นคล้ายเหล็กปนหิน เป็นของบารมีสูง มีพลังงานมหาศาลเหมาะแก่การใช้ป้องกันเขี้ยวงาต่างๆ แคล้วคลาดกันภัย ท่านนิยมหากันมาแต่โบราณ อยู่ใต้ท้องแม่น้ำโขง ท่านวิเศษมีคุณโชคลาภค้าขายร่ำรวยป้องกันไฟ ดับพิษ เข้าป่า สัตว์มีพิษไม่กล้ามาเข้าไกล้ หกติกตัวไปมีแต่เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย เป็นของทนสิทธิ์ที่หายากอีกชนิดหนึ่ง เหมาะแก่ข้าราชการ แม่ค้าพ่อขาย ประชาชนทั่วไป เด็กนอนผวาผกไว้ใต้หมอยมิเป็นอีกเลย ถือเป็นของมงคลที่ดียิ่งนัก
    แร่ เหล็กไหลแม่น้ำโขงหรือแร่ฮีมาไทท์ HEMATITE เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์มีพลังอำนาจมีคุณวิเศษและพุทธคุณยิ่ง นับว่าเป็นพลอยหรือรัตนชาติที่มีค่าราคาสูงแร่ชนิดนี้อยู่คู่กับโลกมานับ ล้านๆปี มีอยู่ที่เดียวในโลก คือ ตามลำน้ำโขง ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ กรมทรัพยากรธรณีวิทยาทางงธรรมชาติคำนวณอายุและความเก่าแก่ ของแร่ชนิดนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 65 ล้านปี

    แร่เหล็กไหลแม่น้ำโขงหรือแร่ฮีมาไทท์ HEMATITE เป็นแร่ธาตุที่หาได้ยากและมีอำนาจมหาศาล พุทธคุณหรือคุณวิเศษมีอยู่ในตัวทั้งในด้านคุณเสน่ห์ และ เมตตามหานิยม ความแคล้วคลาดปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านโชคลาภร่ำรวยขึ้นทันตาแบบไม่ น่าเชื่อ จึงเป็นที่ต้องการของผู้ได้พบ เพราะมีความเชื่อว่าเป็นแร่ที่มีอาถรรพ์อยู่ได้เฉพาะผู้ที่ทีบุญบารมีมาแต่ อดีตชาติเท่านั้น
    อีกชื่อหนึ่งก็คือ เหล็กไหลนาคาราช เหล็กไหลบาดาลหายากมากทีเดียว มักปรากฏอยู่ในลำแม่น้ำใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน ในประเทศไทยมีที่เดียวในแม่น้ำโขง ประเทศลาวพบที่ ภูเขาควาย ประเทศจีนแม่น้ำแยงซีเกียง อินเดียแม่น้ำคงคา เป็นต้น เพราะต้นน้ำเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อม สีดำเหมือนนิล บางองค์มีสนิมเหล็กสีน้ำตาลเกาะ บางองค์มีแร่ทอง งดงามมาก แม่เหล็กดูดติด เด่นมากในทางให้โชค เสี่ยงโชค และค้าขาย ป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงา แคล้วคลาด คงกระพันเป็นเลิศเลยทีเดียว!!!!

    ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่า คาถาเหล็กไหล
    พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ
    สะกะพะจะ บูชาจะมหาบูชา ขอบูชาท่านผู้ดูแลรักษาธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพนี้
    อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา
    เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายจงหลั่งไหล เข้ามาหาแก่ตัวข้าพเจ้า
    สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ
    นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ
    (ให้ภาวนา คาถาบูชาเหล็กไหล อย่างน้อย 3 จบ ทุกๆวัน ก่อนออกจากบ้านเสมอ) get_auc3_img-jpg.jpg


    *หลวง ปู่คำ บุ คุตฺตจิตโต วัดกุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี อธิฐาน 1 ไตรมาตปี 53 บนกุฏิ และก่อนจะนำให้บูชายังอธิฐานให้อีกครั้งครับ
    ***หลวงปู่ฤาษี กตปุญฺโญ วัดภูน้อย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูองค์นี้พิเศษมากครับ ในคณะที่ท่านอธิฐานจิตครั้งสุดท้าย (อธิฐานเดี่ยวที่กุฏิท่าน ไตรมาส 3 เดือนปี 52 ) ตอนที่ผมไปนำกลับ ท่านอธิฐานเพื่อบันทึกภาพไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ ก็เกิดฟ้าร้องเสียงสนั่น และผ่าลงบริเวณใกล้ ๆ วัด และมีงูสิงห์ขนาดใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาบนศาลาด้วยครับ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบริเวณหน้าอกข้างขวาหลวงปู่จู่ ๆ ก็เกิดเรืองแสงขึ้นมาบนจีวร ดังภาพที่ถ่ายมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมาก ไม่ใช่ภาพจากฝุ่น หรือรูปจตุคามที่เราเคยเห็นนะครับ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากภายในลอดผ่านออกมาทางจีวรหลวงปู่ฤาษี กตฺปุญฺโญ เมื่อถามท่าน หลวงปู่บอกแต่เพียงว่าหินที่นำมาปลูกเสกและจะนำกลับวันนี้มีคุณวิเศษมาก และ มีพุทธคุณในตัวไม่ต้องไปปลูกเสกที่ใดก็สามารถคุ้มครองผู้ที่ศรัทธานั้นได้ หินทุกชนิดใด้ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ในตัวหลวงปู่ลูก!!!หลวงปู่บอกอย่าง นั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่า นั้นครับ


    ***หลวงปู่อ่อง ฐิตฺธมฺโม วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ก่อนนำกลับท่านว่าเป็นของมีค่าเอาไว้บูชาไม่มีวันจนท่านว่าอย่างนั้นครับ
    ***หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ท่านให้พรว่า เจริญสุข ร่ำรวย ๆ
    ***พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น อธิฐานจิตเดียวในพระอุโบสถ ก่อนกลับท่านพระอาจารย์เรียกพระลูกศิษย์มาทดสอบพลังวิชาปรากฎว่ามีพลัง มากกว่าวัตถุมงคลทุกชนิด นี่คือพระผู้ประสบการณ์เหนียวและคงกระพันชาตรีเป็น 1 ในขอนแก่นตอนนี้ครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่ทวดเตารีด เนื้อแร่เหล็กไหลแม่น้ำโขง

    ให้บูชา800บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับยังอยู่ครับ


    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2019
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    https://palungjit.org/threads/ท่านใดทราบประวัติและมีวัตถุมงคลของ-หลวงปู่อิง-โชติโญ-วัดโคกทม-บ้างครับ.332271/

    ไม่ตอกโค๊ต ข้อมูลว่าลป.แจกในพิธีก่อนนำไปตอกโค๊ต หรือถกผิดยังไหงหาข้อมุลก่อนครับ

    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่อิง (ปิดรายการ)

    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%871-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%871%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2019
  4. รุ่งเรือง61

    รุ่งเรือง61 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +50
    จองครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    รับทราบการจองครับ ขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระสมเด็จพระพุทธวิสุทธิเทพ สร้างศูนย์วิปัสสนากรรมฐานยุวพุทธิกสมาคม

    พระพุทธวิสุทธิเทพ เป็นพระประธานประจำศูนย์วิปัสสนายุวพุทธ ของคุณแม่สิริ กริณชัย

    ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ปี 2535

    สมเด็จพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากรมหาเถร) ได้มอบพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุไว้ในพระทุกองค์

    เนื้อผงอิทธิเจ 100 ปี จากสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ พระสายกรรมฐานทั่วประเทศร่วมอธิษฐานจิต

    พระสมเด็จพระพุทธวิสุทธิเทพ ญ.ส.ส. ได้รับการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไว้เป็นมิ่งขวัญพิเศษแก่ผู้ที่มีไว้บูชา

    พระสมเด็จปกโพธิ์พระพุทธวิสุทธิเทพสร้างศูนย์วิปัสสนากรรมฐานยุวพุทธิกสมาคม ปี ๒๕๓๕พิมพ์เล็ก ใต้ฐานองค์พระ บรรจุพระธาตุ
    ให้บูชา 100 บาทครับ ค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ(ปิดรายการ)
    พระวิสุทธิเทพกล่อง.jpg พระวิสุทธิเทพ.jpg พระวิสุทธิเทพหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2019
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญเจ้าแม่กวนอิม วัดป่าไก่ ราชบุรี
    ให้บูชา 200 บาทครับ ค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    เจ้าแม่กวนอิม.jpg เจ้าแม่กวนอิมหลัง.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu

    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบ หรือทางPMไม่ต้องโพสหลักฐานให้เสียเวลา สมัยนี้โลกออนไลน์ตรวจสอบง่ายหลอกกันยาก แล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ติดต่อได้ที่ 08..1.70..4..72..64
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    _oc=AQni15QFFXGDOtKoHLGq2O0YaIsjYzS4r0G74dcNJtLk7d_wtmI2MrXetUpxjfdkg6o&_nc_ht=scontent.fbkk24-1.jpg

    "พระดี ที่ไม่ควรมองข้าม"

    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส "สมภาร 3 วัด " (องค์กลาง)

    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้

    หลวงพ่อไวทย์ ท่านเป็นพระที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่เคยดุ ไม่เคยด่า ใจดี เป็นพระที่สมถะเป็นอย่างมาก ขนาดท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด แต่กุฏิของท่านก็ยังคงเป็นเพียงกุฎิเล็ก ๆ เล็กขนาดที่ว่า คนที่สูง ๆ ยืนนี่หัวชนเพดาน หลวงพ่อไวทย์ เป็นพระเกจิมากครู มากอาจาย์

    วิชาดูดวง วิชาผูกดวงชะตา เป็นหนึ่งในวิชาที่ท่านชำนาญ
    สมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ ฯลฯ ท่านได้ สอนวิชาเหล่านี้ให้กับ หลวงพ่อไวทย์

    นอกจากวัตถุมงคลของท่านแล้ว ของดีอีกอย่างก็คือ "ยาไวทย์ประสิทธิ์" แต่ชาวบ้านจะเรียกว่า "ยาลมหลวงพ่อไวทย์"

    คล้ายยา วาสนาจินดามณี ของสายวัดกลางบางแก้ว นครปฐม ยาไวทย์ประสิทธิ์ จึงเปรียบเสมือนดั่ง ยาจินดามณี ฉบับจังหวัดอยุธยา (วัตถุมงคลเนื้อผงของท่าน ก็มียานี้ผสมอยู่)

    ตำรายาจินดามณี ยาวาสนา น่าจะมาจากแหล่งวิชาเดียวกัน หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา กระทุ่มแบน สมุทรสาคร เรียนวิชาจากพระอาจารย์ของท่าน ที่เป็นน้องชายหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เลยได้วิชายาวาสนา

    หลวงพ่อไวทย์ ท่านอยู่มาหลายวัด ท่านนอกจากเป็นพระเกจิ ก็ยังเป็นพระนักพัฒนา ไปอยู่วัดไหนก็จะไปสร้างพระพุทธรูป ไปพัฒนาวัดนั้น จนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านแถบละแวกวัดนั้นๆ ที่ไปอยู่ อาทิ อยู่วัดสุธาโภชน์ (เสนา) ก็ไปสร้างวัด สร้างโรงเรียน

    ครั้งหนึ่งก็ไปอยู่ วัดบางซ้ายใน สร้างวัดจนเจริญ ชาวบ้านในแถบนั้นรักและนับถือท่านมาก

    สุดท้ายบั้นปลายของท่านก็ได้มาอยู่ วัดบรมวงศ์ ( อ. พระนครศรีอยุธยา ) ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดอยุธยา แต่ท่านก็ยังใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ไม่ถือตัว ใจดียิ้มแย้ม กับทุกคน

    ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม หลวงพ่อไวยท์ ว่า พระหรือวัตถุมงคลใดดีทีสุด หลวงปู่ท่านนิ่ง แต่แม่ชีอุปฐาก(ใครทันกราบท่าน น่าจะรู้จักแม่ชี รูปนี้ดี) บอกว่าให้หา เหรียญรุ่นแรกที่แตกๆ ไว้ เพราะหลวงปู่ท่าน เสก แรงไปหน่อย โบสถ์ลั่น กล่องใส่แตก และเหรียญบางเหรียญ ร้าวเลย ให้หาเหรียญนั้นไว้นะ

    หลวงปู่ ท่านก็ยิ้มๆ แล้วพูดเชิงเย้าแหย่ จริงไม่จริงไม่รู้ บอกว่า อืม เสกแรงไปหน่อย เป็นรุ่นแรก กลัวไม่ขลัง แล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ตามประสาของท่าน (ใครไปกราบท่าน ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำหน้าบึ้งใส่เลย ท่านจะยิ้ม ตลอดเวลา)

    เคยมีผู้ถาม หลวงพ่อไวทย์ว่า พระอยุธยาสมัยก่อนใครเก่ง ท่านบอกเก่งหลายองค์หลวงพ่อปาน หลวงปู่กลั่น หลวงพ่อขัน ฯลฯ แต่ที่เรียนสมาธิ กรรมฐาน อยู่กับท่านนานสุด ก็หลวงพ่อจง หลวงพ่อจง ท่านเสกตะกรุดเล็กๆ ลอยน้ำ วิ่งวนรอบขัน ท่านยังให้ไว้ดอกหนึ่งเลย หลวงปุ่ไวทย์ท่านเหน็บตะกรุดหลวงพ่อจง ไว้จนมรณภาพ

    ในตอนที่หลวงพ่อไวทย์ ไปขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อจง
    ท่านเคยถูก หลวงพ่อจง ตำหนิ ตอนไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านว่าคุณอยู่กับพระทองคำมาตั้งนาน แต่ไม่ขอเรียนอะไรมาจากท่านเลย หลวงพ่อห่วง น่ะ!!! ท่านเป็นพระอรหันต์

    (หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท เป็นศิษย์พี่ ของหลวงพ่อจง เรียนวิชามาจากอาจารย์เดียวกัน คือ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ พระอภิญญาบารมี แห่งทุ่งบางบาล สหายของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ )

    วัตถุมงคลของท่านจึงมีการสร้างออกมาหลายวัด หลายรุ่น ท่านเป็นเกจิที่ดีทั้งนอก ดีทั้งใน เป็นพระหลักร้อย ราคาไม่แพง เป็นพระดี ที่ไม่ควรมองข้าม

    ผู้เขียน "หลวงปู่รู้จัก หลวงพ่อไวทย์ วัดบรมวงศ์ ไหมครับ"


    หลวงปู่ "เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยพบตัว"


    ผู้เขียน "ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันพุธที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ นี้เอง"


    หลวงปู่ "ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ข้าได้ยินกิตติคุณท่านว่าไม่เอาอะไรกับใคร"


    ผู้เขียน "หรือครับ แสดงว่าอยุธยาคงจะมีหลายองค์"

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญกะไหล่ทองลงยาสีแดงหลวงพ่อไวทย์ปี 2527

    ให้บูชา200บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.ไวย์.jpg ลพ.ไวย์หลัง.jpg
     
  11. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,330
    ค่าพลัง:
    +6,396
    ขอจองครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    (ข้อมูลเพิ่มเติม จาก อ.เสถียร ภูชื่นชม)
    หลวงปู่อ่อน สมัยเป็นพระมหาอ่อน และพระครูปฏิภาณธรรมคุณ ท่านอยู่วัดปทุมวนาราม ท่านได้รับบัญชาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีวงศ์(อ้วน ติสฺโส)
    ให้มาเผยแผ่คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตอนแรกท่านมาตั้งสำนักเรียนอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์อุ่มเม่า ขยายวัดธรรมยุตในตำบลอุ่มเม่า ตำบลหัวงัว ตำบลนาเชือก ตำบลเว่อ อ.ยางตลาด และอำเภออื่นๆ

    ต่อมาได้มาตั้งวัดขวัญเมืองยางตลาด จนได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ที่ พระธรรมานันทมุนี
    แล้วย้ายมาอยู่วัดประชานิยม ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชธรรมานุวัตร..

    +++++++++++++++++++++++++++++
    #คำบอกเล่าจาก (อ.เสถียร ภูชื่นชม)

    ผมเองเป็นลูกศิษย์สมัยบวชเป็นเณรน้อย ปี2501

    ผมมากราบหลวงปู่อ่อนที่วัดขวัญเมือง กลัวท่านมากครับ

    แต่หลวงปู่อ่อน อัธยาศัยดีมีเมตตาธรรมสูง
    ครั้นต่อมาผมปี 2502 ย้ายไปอยู่วัดประชาบำรุง มหาสารคาม ก็มากราบหลวงปู่เสมอๆ

    ต่อมาสึกมาเป็นครูกลับมาอยู่กาฬสินธุ์ ก็ไปกราบท่านเสมอ แต่งงานท่านก็เมตตาไปเป็นสิริมงคลให้ครับ

    คราวหนึ่งผมกับคณะพุทธสมาคมไปกราบ
    ตอนนั้นอยู่ในกุฏิ พวกผมก็รออยู่ด้านนอก
    ท่านเปิดประตูออกมา อ้าวมาเมื่อไร ทำไมไม่เรียก
    นี่คือ.เมตตาเด่นชัด..
    ท่านเป็นพระสายปฏิบัติอาจารย์มั่น จำพรรษษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ด้วยกันกับพระอาจารย์มั่น ก่อนที่พระอาจารย์มั่น จะให้ท่านกลับบ้านเกิดเพื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดประชานิยม จ.กาฬสินธุ์ เนื่องจากตำแหน่งเจ้าอาวาสที่นั้นวางลง
    ท่านเจ้าคุณพระราชธรรมานุวัตร (หลวงปู่อ่อน จกฺกธมฺโม) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธรรมยุต) วัดประชานิยม อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ท่านถือเป็นศิษย์สายป่าผู้ที่ได้รับการอบรมธรรมแนะนำแนวทางปฏิบัติจากศิษย์เอกพระอาจารย์มั่นคือพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต)หลวงปู่แดงท่านเป็นศิษย์เอกใกล้ชิดติดตามเดินธุดงค์กับพระอาจารย์มั่น และเป็นผู้มาสร้างวัดประชานิยมขึ้นเป็นวัดสายป่าพระอาจารย์มั่นในแถบนี้ หลวงปู่แดงเป็นปฐมเจ้าอาวาสองค์แรกต่อมาหลวงปู่อ่อน รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประชานิยมในลำดับต่อมา หลวงปู่อ่อนท่านเป็นศิษย์ในสายป่าที่ได้รับการแนะนำศึกษาอบรมธรรมจากศิษย์เอกพระอาจาย์มั่นอีกหลายท่าน เช่น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และอีกหลายท่าน
    หลวงปู่อ่อนท่านเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในสายป่าอีกองค์ที่มีศิษย์อยู่มากมาย และวัดป่าประชานิยมก็มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับศิษย์เอกพระอาจารย์มั่นอยู่หลายองค์ เช่นพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต)ศิษย์พระอาจารย์มั่น -หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ฯลฯ
    หลวงปู่อ่อนท่านละสังขารไปนานมากแล้ว ราวปี 2529 ในวัยชราภาพ พระอรหันต์ในสายป่า ลูกอมชานหมากท่านหายากมากหายสาบสูญไปหมด ผู้ที่ได้รับมาจากท่านจะเก็บหมดหวงแหนมาก
    พื้นที่แต่ก่อนเป็นป่าช้าโคกกลาง ยังไม่มีผู้ใดถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ อยู่ห่างจากชุมชน (เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์)ประมาณ ๕ ก.ม. ต่อมาในปี ๒๔๘๐ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต) ซึ่งเป็นพระกัมมัฏฐาน ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ธุดงค์มาจากจังหวัดสกลนคร ถึงป่าช้าโคกกลาง เห็นว่าเป็นสถานที่อันสัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงหยุดพักปักกลดบำเพญกรรมฐาน ณ ป่าช้าโคกกลาง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในสมัยนั้น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะบริเวณรอบชานเมืองกาฬสินธุ์ ยังไม่มีวัดสาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อยู่เลยแม้แต่วัดเดียว การเข้ามาหยุดพักปักกลดปฏิบัติกรรมฐาน ณ ป่าช้าโคกกลาง ของหลวงปู่แดง จึงเป็นเรื่องแปลกหูแปลกตา ของชาวพุทธบริเวณใกล้เคียง ข่าวการมาของหลวงปู่แดง จึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนพากันหลั่งไหลไปฟังธรรมและปฏิบัติธรรมกับท่านเป็นจำนวนมาก ในลักษณะ “ ตื่น ” พระกรรมฐาน อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงทำให้ป่าช้าโคกกลาง อันปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ต้องกลายสภาพเป็นสถานที่อันโล่งเตียนภายใต้ร่มไม้ที่ร่มรื่น เป็นที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมอย่างที่หลวงปู่แดงคิดในครั้งแรกที่ เดินธุดงค์มาถึงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนการพัฒนาป่าช้าโคกกลางให้เป็นวัด เริ่มต้นขึ้นเมื่อประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในหลวงปู่แดง ประกอบด้วย นายเปรื่อง ยลถวิล,นายภา ยลพันธ์, นายภู ฆารกุล, นายอื๊ด ฆารกุล, นางทองดำ ทองทวี, ได้ร่วมกันจับจองที่ดินแห่งนี้ (ป่าช้าโคกกลาง) แล้วถวายเป็นศาสนสมบัติเพื่อสร้างเป็นวัด โดย เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ทรงให้นามว่า “ วัดประชานิยม ” ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘
    วัดประชานิยม ตั้งอยู่เลขที่ ๘๔ ถนนถีนานนท์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันมี พระเทพสารเมธี (บัวศรี ชุตินฺธโร) เป็นเจ้าอาวาส เป็นสถานที่ตั้งของ โรงเรียนพระปริยัติสามัญวัดประชานิยม และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาลัยศาสนศาสตร์เฉลิมพระเกียรติกาฬสินธุ์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่อ่อน วัดประชานิยม

    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.อ่อน.jpg ลป.อ่อนหลัง.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ชีวประวัติหลวงพ่ออาคม คุณสํวโร วัดยายร่ม^
    หลวงพ่ออาคม คุณสํวโร วัดยายร่ม เดิมชื่อนายอาคม รุ่งศรี เกิดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2475 ซึ้งตรงกับวันจันทร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 9 ปีวอก โยมบิดาชื่อนายสม รุ่งศรี (เสียชีวิตแล้ว) โยมมารดาชื่อนางวาด รุ่งศรี (เสียชีวิตแล้ว) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คน หลวงพ่ออาคม เป็นลูกชายคนกลางรึคนที่ 3 จากพี่น้อง ทั้งหมดมีดังนี้ครับ 1.ท่าน ร.ต.อ.สนิท รุ่งศรี (เสียชีวิตแล้ว) 2.นางจิตรา รุ่งศรี (เสียชีวิตแล้ว) 3.หลวงพ่ออาคม คุณสํวโร 4.พันจ่าเอกสมบูรณ์ รุ่งศรี 5.คุณลุงณรงค์ รุ่งศรี (ทนายความ) เดิมครอบครัวของหลวงพ่ออาคม เป็นคนกรุงเก่าอยู่แถวราชดำเนิน ในสมัยนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้เกิดโรคระบาดมากมายอาทิเช่น โรคอหิวา หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่าโรคท้องร่วงนั้นเองครับ และอีกโรคที่ระบาดหนักคือโรค วัณโรค ซึ้งสมัยนั้นยังไม่มียาที่จะมารักษาได้ โยมบิดาและโยมมารดารวมทั้งพี่น้องของหลวงพ่ออาคม จึงตัดสินใจพากันย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวบางมดเมื่อราวปี พ.ศ.2486 แถบจะกล่าวได้ว่าบางมดสมัยนั้นยังเป็นป่าอยู่เลยครับผม เรียนประถมที่โรงเรียนวัจนะ (วัดสีสุก) ตั้งแต่ ป.1-ป.6 จบจากประถมมาก็สอบเข้าโรงเรียนวัดราชโอรส จนจบ ม.6 พอจบออกมาหลวงพ่ออาคม ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนจ่าทหารเรือ สอบติดจ่าทหารเรือกรมเสนารักษ์ (หรือทหารหมอนั้นเองครับ) หลวงพ่ออาคม คุณสํวโร วัดยายร่ม เข้าสู้ร่มกาสาวพัสตร์หรือบวชเมื่อปี พ.ศ.2499 ณ.วัดยายร่ม โดยมีพระครูสาธรธรรมกิจ(หลวงพ่อบุญยัง) วัดบางประทุนนอก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์หรือพระคู่สวดคือ พระอาจารย์แสวง (เจ้าอาวาสวัดยายร่มองค์เก่า) พระอาจารย์ชิต วัดยายร่ม ได้รับฉายาว่า คุณสํวโร ตราบจนถึงปัจจุบันนี้ หลวงพ่ออาคม คุณสํวโร วัดยายร่ม อายุ 84 ปี 60 พรรษา(ตั้งแต่บวชมา ไม่เคยศึกเลยครับ) เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกราบไหว้ได่อย่างสนิทใจ ไม่เคยยึดติดในยศฐาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงและเงินทอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญขวัญถุงมหาลาภหลวงพ่ออาคม วัดยายร่ม

    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.อาคม.jpg ลพ.อาคมหลัง.jpg

    พระนางพญาวัดยายร่มให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.อาคมนางกล่อง.jpg ลพ.อาคมนาง.jpg ลพ.อาคมนางหลัง.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    729-2dd7.jpg

    หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย จ. อยุธยา



    ท่านพระครูเกษมคณาภิบาล หรือหลวงพ่อมี เขมธัมโม มีชื่อเดิมเต็ม ๆ ว่า “บุญมี” ถือกำเนิดในตระกูล “ธนสนธิ์” ชื่อของท่านโยมบิดามารดาสมมตินามขึ้นเพื่อเรียกขาน อันมีความหมายถึง “การมีกุศลแห่งความสุข ที่ร่ำรวยมีอันจะกินมิได้ขาด” มาปัจจุบัน ลูกศิษย์ลูกหาต่างเรียกนามองค์ท่านแบบสั้น ๆ ว่า “หลวงพ่อมี” จนติดปากกันมาจวบปัจจุบัน ถือเป็นมงคลนามอย่างใหญ่หลวง เมื่อองค์ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญบารมีธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนนามกระเดื่องประกาศกิตติคุณให้สานุศิษย์และชนชาวไทยทั่วแคว้นได้ประจักษ์โดยถ้วนทั่วกัน

    โยมบิดานาม นายโหมด

    โยมมารดานาม นางพุฒ

    หลวงพ่อมีถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2454 ตรงกับวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน ข้างวัดมารวิชัยตอนใต้ หลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน 5 คนดังนี้

    1. หมอแบน

    2. นายจุ่น

    3. นางสำลี

    4. หลวงพ่อมี เขมธัมโม

    5. นายสำแล

    เมื่อปฐมวัย
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อมีเป็นเด็กที่อ่อนแอและขี้โรคมาก ท่านมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่เสมอ เรียกว่า สามวันดีสี่วันไข้ไม่ว่าอากาศจะร้อนนิดหนาวหน่อยก็ป่วย ถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะเกิดอาการชักขนาดถูกแมวหรือสุนัขชนถูกตัวเท่านั้นก็ชักแล้ว

    ดังนั้น หลวงพ่อมีจึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมโซ แบบเด็กพุงโรก้นปอด เหมือนเป็นตาลขโมยไม่มีผิด ลักษณะเซื่อง ๆ ซึม ๆ ขี้อาย ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กชาวบ้านโดยทั่วไป คล้าย ๆ กับเป็นเสมือนปัญญาอ่อน เหล่านี้คือบุคลิกของหลวงพ่อมีในวัยเด็ก ซึ่งปราศจากวี่แววแห่งความรุ่งโรจน์ของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะมองไปในแง่ใด ตามสายตาที่แสดงความเป็นห่วงของญาติผู้ใหญ่และชาวบ้านข้างเคียงทั้งปวง

    คุณสมบัติพิเศษ
    ธรรมชาติสร้างสรรค์มนุษย์ให้เกิดมา ถ้าจะว่ากันแล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีดีก็มีชั่ว มีขาดต้องมีเกิน เหมือน ดังตัวอย่างในวัยเด็กของหลวงพ่อมี ที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์อนาคตของท่านว่าจะเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาที่มี ชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวคือ

    หลวงพ่อมี มีคุณสมบัติพิเศษที่ผิดแปลกไปจากเด็กชาวบ้านธรรมดา ๆ ตรงที่ท่านเป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาน ชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด ถ้าถูกห้ามปรามไม่ให้ตามไปด้วยจะต้องร้องไห้คร่ำครวญจนถึงกับชักตาตั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่เด็กเซื่องซึมคล้ายปัญญาอ่อนจะมีความกระตือรือร้นในการไปวัด อันเป็นการส่อแววการเป็นเกจิอาจารย์ของหลวงพ่อมีมาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก ๆ

    ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโต คือ หมอแบนมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมี ขณะนั้นมีอายุเพียง 12 ปี จึงขอบิดามารดาติดตามพระพี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลัง พระพี่ชายลาสิกขาแล้ว ได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หมอแบน”) ในตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอมให้หลวงพ่อมีที่มีลักษณะปัญญาอ่อนไปอยู่ด้วย เพราะเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่เพิ่งอุปสมบทใหม่ ๆ

    หลวงพ่อมีจึงร้องไห้และเกิดชักขึ้น จนทุกคนต้องตามใจให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัย ตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี บัดนั้นเป็นต้นมา

    สติปัญญากลับปราดเปรื่อง
    เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริง ๆ ตั้งแต่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดมารวิชัยแล้ว ลักษณะอาการที่โง่งมประดุจเด็กปัญญาอ่อนและขี้โรค กลับกลายเป็นตรงกันข้าม อาการขี้โรคต่าง ๆ หายดังปลิดทิ้งไม่เคยมีอาการชักอีกเลย สติปัญญาที่ใคร ๆ มองกันว่าทึบ ก็กลับปราดเปรื่องสามารถศึกษาอักขระสมัย ทั้งภาษาไทยและภาษาขอมกับหลวงพี่แบนและได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูเยื้อน ซึ่งเป็นบุตรของอา จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จนหลวงพ่อมีสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นที่แปลกใจของญาติสนิททั้งปวง และเริ่มมองเห็นแววแห่งอัจฉริยะฉายขึ้นในตัวเด็กชายบุญมีคนนี้

    วัยหนุ่มอันบริสุทธิ์
    ชีวิตในวัยเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มก่อนอุปสมบทของหลวงพ่อมี ก็เป็นไปเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เพราะครอบครัวยากจนและมีอาชีพเป็นชาวนา ต้องคอยช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาตามประสาไปวัน ๆ โดยไม่มีการผาดโผนอันน่าตื่นเต้นใด ๆ

    เนื่องจากท่านเป็นคนใจบุญชอบทำทานเข้าวัดวาฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เหล้ายาปาปิ้ง การพนันขันต่อ หรือการเที่ยวเตร่ต่าง ๆ เยี่ยงหนุ่มลูกทุ่งทั้งหลายนั้นท่านไม่เคยผ่านมาก่อนเลยทั้งสิ้น จากการที่หลวงพ่อมี มีความขยันขันแข็งในการทำงาน จึงมีหญิงมาชอบพอกับท่านคนหนึ่ง แต่ติดที่ท่านเป็นคนขี้อาย ไม่ช่างพูดประกอบกับหญิงนั้นเป็นคนที่งามจึงไม่เคยชวนกันไปเที่ยวไหน 2 ต่อ 2 เหมือนหนุ่มสาวคู่อื่น ๆ เลย

    ภายหลังเมื่อท่านมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ผัดผ่อนการหมั้นหมายเรื่อยมา สตรีนั้นเห็นว่า ท่านไม่ถึงแน่แล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังครองตัวเป็นโสดมาถึงบัดนี้ นับว่า สตรีท่านนี้เป็นหญิงที่มีความมั่นคงในความรักอันน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งทีเดียว

    เริ่มเล่นแร่
    ในวัยเด็กนี่เองที่องค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม ได้ไปเยี่ยมหลวงน้าที่วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี โดยติดตามโยมคุณแม่ไป

    หลวงน้าคือ “หลวงพ่อเขียน โชติสโร” ในเวลานั้นกำลังเล่นแร่แปรธาตุ (เหมือนกับหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัดนนทบุรี) ถือเป็น

    โอกาสของเด็กชายบุญมี ที่ได้สัมผัสกับสายวิชาเร้นลับนี้ เป็นการหล่อหลอมธาตุต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีหน้าที่เติมฟืนช่วยสูบลมให้ไฟร้อนจัดตลอดเวลา

    ถือว่าเป็นการเริ่มการศึกษาด้วยตนเองในสายวิชา “เล่นแร่แปรธาตุ” มาตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อมีเคยเล่าว่า “เหนื่อยมากเพราะกว่าจะหลอมธาตุแปรธาตุได้ หลวงพ่อเขียนท่านต้องเหงื่อไหลไคลย้อย ร่างกายสกปรกไปหมด ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ”

    “ส่วนวิชาทำตะกั่วให้เป็นเงิน ทำเงินให้เป็นทองคำนั้น หลวงพ่อเขียนท่านหวงมาก ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่าย ๆ ในสมัยนั้น เป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย” หลวงพ่อมีท่านเคยถามถึงการที่อยากจะศึกษาสายวิชานี้ แต่หลวงน้าหลวงพ่อเขียน กล่าวว่า “จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระ” ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายมีก็เฝ้ารอเพื่อถึงอายุเวลาอุปสมบท

    บรรพชาอุปสมบท
    หลวงพ่อมี เขมธัมโม มีใจฝักใฝ่ใคร่จะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้ว แต่ติดขัดที่มีภาระช่วยโยมบิดา มารดา ทำไร่ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อนจึงจะได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม ซึ่งบรรดาชายทั้งหลายกระทำกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล

    ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมีอายุ 21 ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ทันที แล้วหลวงพ่อมีก็สมความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านจับได้สลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังใจ ณ พัทธสีมา วัดมารวิชัย ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 โดยมีพระครูอดุลวุฒิกร หลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้า คือเป็นน้องโยม มารดาของหลวงพ่อมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย ซึ่งภายหลังไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสามตุ่ม ในเขตอำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทน หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสวัดมารวิชัยขณะนั้น ซึ่งเกิดอาพาธพอดี

    หลวงพ่อมี ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลี จากหลวงพ่อพินผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า “เขมธัมโม” แปลว่า “ผู้มีธัมมะอันเกษม”

    การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นขององค์ท่านหลวงพ่อมี ท่านได้เรียนรู้จาก หลวงพี่แบน ซึ่งเป็นพระพี่ชาย ต่อมาได้เข้าศึกษาทั้งภาษาไทยและ ภาษาขอมกับครูเยื้อน บุตรของอา จนพอจะมีพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ หลังจากนั้นท่านจึงศึกษาด้วยตนเอง และเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ จึงไปศึกษาพระธรรมวินัยกับหลวงปู่คล้าย พลายแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ในขณะนั้นถือเป็นรากฐานอันมั่นคงในการสืบสานพุทธศาสนาต่อไป “ในช่วงที่อาตมาบวชอยู่ที่วัดมารวิชัยนั้น เป็นจังหวะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรมด้วย เพราะขณะนั้นกำลังเจริญอย่างเต็มที่”



    ศึกษาพระธรรมวินัย

    เวลาส่วนใหญ่หลวงพ่อมีท่านจะศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนจากสำนักใด ๆ แต่ท่านสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ไล่มาเป็นลำดับ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา ผสานความมีมานะพากเพียรที่มีอยู่ในองค์ท่าน

    ในภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว ได้เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ 1 ปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อมี นำความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมที่ท่านร่ำเรียนมาสอนพระภิกษุสามเณรภายในวัดมารวิชัยตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ทำการสอนนักธรรมด้วยตัวของท่านเอง ในระหว่างเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน จนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความรู้ความสามารถสอบเปรียญธรรมขั้นสูงได้ปีละหลายสิบรูป จวบจนปัจจุบันนี้ หลวงพ่อมียังคงทำการสอนนักธรรมด้วยตนเองทุกปี โดยไม่ได้นิมนต์พระภิกษุจากสำนักอื่น ๆ มาทำการสอนเลย



    ผลงานการก่อสร้าง

    จากการที่หลวงพ่อมี ได้รับการอบรมบ่มจิตจากหลวงพ่อปานในการปฏิบัติอสุภกรรมฐาน ยกเอานิมิตมาพิจารณาจนกลายมาเป็นวิปัสสนาญาณ บังเกิดมี ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกข์ขัง ความเป็นทุกข์และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน มีอารมณ์จิตเบื่อหน่ายสภาพความเป็นอยู่ของร่างกายตนเองและผู้อื่น จิตใจจึงระลึกนึกถึง พระนิพพานเป็นปกติ จนสามารถบรรเทาอารมณ์รัก โลภ โกรธ และหลง หรือความพอใจใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น แทบจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของหลวงพ่อมี อย่างสิ้นเชิง

    เมื่อหลวงพ่อมี ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ท่านจึงสามารถตัดใจได้ทุกอย่าง โดยมีสัญญากับพระลูกวัดอีก 6 คน คือ พระอาจารย์ครอบ, พระอาจารย์สาย ซึ่งเป็นพระอาวุโส และพระเย็น, พระเสริฐ, พระหนอม และพระโกยว่า “พระทุกองค์ห้ามสึก จนกว่าจะตายหรือสร้างอุโบสถให้สำเร็จเสียก่อน จึงสึกได้” พระภิกษุผู้รักษาสัจจะทั้ง 7 องค์ ต่างช่วยกันบูรณะอุโบสถวัดมารวิชัย จนเสร็จและยังช่วยทำนุบำรุงจนมีความเจริญถาวรสืบต่อมา แต่ด้วยเหตุที่เจ้าอาวาสคือหลวงพ่อมี เป็นพระอาจารย์ผู้ถือสมถะทั้งยังมักน้อย บรรดาเสนาสนะต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะสร้างเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ หรือสร้างแบบง่าย ๆ อย่างพออาศัยอยู่ได้เท่านั้น และเมื่อเกิดชำรุดทรุดโทรม ก็ทำการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ โดยไม่ได้สร้างให้ถาวรใหญ่โตและสวยงามเหมือนกับวัดอื่น ๆ ทั่วไป เพราะเหตุที่หลวงพ่อมีเป็นพระสมถะ รักสันโดษและมักน้อยนั่นเอง
    อุโบสถวัดมารวิชัยได้รับการบูรณะจนพระภิกษุสงฆ์ สามารถประกอบสังฆกรรมได้แล้ว ต่อมาจึงได้สร้างหน้าบันเพิ่มเติม พร้อมกับทำพิธียกช่อฟ้าขึ้นในปี พ.ศ. 2491

    ในขณะที่ทำการบูรณะอุโบสถอยู่นั้น ตรงกับปี พ.ศ. 2485 ได้รื้อกุฏิริมคลองย้ายขึ้นมาปลูกในบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน เพื่อหนีน้ำที่หน้าน้ำท่วมสูงขึ้นทุกปี ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่จะต้องหาทุนมาสร้างกุฏิใหม่อีกด้วย

    ต่อมาปี พ.ศ. 2501 หลวงพ่อมี ได้สร้างศาลาเรียงล้อมศาลาการเปรียญ หลังใหญ่ที่ หลวงพ่อปาน มาสร้างไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วสร้างหอระฆังและกุฏิอีก 3 หลัง ปัจจัยที่มีอยู่ทั้งหมดไปสมทบทุนกับทางราชการสร้างโรงเรียน 2 แห่ง คือโรงเรียนวัดมารวิชัย และโรงเรียนจุฬาราษฎร์วิทยา ในเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2509 และยังได้สร้างสถานีอนามัย เนื้อที่ 7 ไร่ กับสำนักงานผดุงครรภ์ประจำตำบลบางนมโค ในเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน อีกด้วย

    สาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นที่ดินของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงหลวงพ่อมี แล้วท่านนำมาบริจาคต่อ ทั้งยังขายที่ดินอีกบางส่วนไป เพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนในการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น สร้างฌาปนสถาน พ.ศ. 2510 สร้างกำแพงรอบอุโบสถเพื่อความเป็นสัดส่วน พ.ศ. 2512 และสิ่งที่ชาวบ้านทั้งหลายมีความประทับใจในตัวหลวงพ่อมีอย่างไม่รู้ลืมอยู่ทุกวันนี้ คือ

    หลวงพ่อมี เป็นผู้ขอไฟฟ้าโดยเริ่มปักเสาจากปากทางถนนสาคลี ผ่านหน้าวัดมารวิชัยเรื่อยไป ถึงตลาดสาคลี เป็นระยะทางประมาณ 7 ก.ม. ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของหลวงพ่อมีทั้งสิ้น เมื่อปี พ.ศ. 2514 นอกจากนี้หลวงพ่อมียังได้สร้างแท้งน้ำ เครื่องสูบน้ำสำหรับพระและชาวบ้านได้ใช้ดื่มน้ำที่สะอาด สร้างศาลาท่าน้ำ สร้างหอสวดมนต์ในปี พ.ศ. 2521 ฯลฯ

    นับว่าหลวงพ่อมี เป็นพระอาจารย์ที่มีความมุมานะ พยายามสูงในการสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นอย่างมากองค์หนึ่ง



    ศึกษาวิทยาคม

    หลวงพ่อมีได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งฟังว่า ยุคที่ท่านเป็นพระหนุ่มนั้น วิชาด้านคาถาอาคมต่าง ๆ เป็นที่นิยมเรียนกันมาก ชาวอยุธยาแทบทุกคนที่เป็นชายก็ล้วนแต่มีผู้สนใจเรียนกันมากเป็นพิเศษ เพราะคนหนุ่มในยุคนั้นต้องการของจริงมาทดลองกัน

    คือ ใครมีอะไรดีก็มาอวดต่อหน้าสาว ๆ ตามหมู่บ้านต่าง ๆ สำหรับหลวงพ่อมีนั้น เมื่อท่านบวชได้พรรษาแรก ท่านก็ได้เรียนภาษามคธ และทางปริยัติควบคู่กันไป

    ในตอนหัวค่ำ หลวงพ่อมีและพระเณรรุ่นหนุ่ม ๆ ก็มักจะจับกลุ่มกันเรียนคาถาอาคมอย่างขะมักเขม้น คือเรียนทั้งจากตำราสมุดข่อย และจากหลวงตาที่บวชเรียนมาหลายพรรษาในวัดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาเกี่ยวกับหัวใจต่าง ๆ นั้น หลวงพ่อมีท่านได้เรียนอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว

    เช่น คาถาหัวใจหนุมาน หัวใจเสือ หัวใจราชสีห์ และหัวใจลิงลม เป็นต้น

    หลวงพ่อมีเมื่อได้พระอาจารย์ดี ท่านก็ตั้งใจในการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะหลวงตาผู้สอนท่านจะคอยกำกับโดยให้ผู้เรียนนั่งสมาธิพนมมือ และหลับตาภาวนาหัวใจของคาถาต่าง ๆ ไปด้วย ในระหว่างการเรียนจะเงียบสงบ เพราะต้องการให้เกิดสมาธิเร็วขึ้นเป็นเอกัคตา คือเป็นหนึ่งตลอด เรียกว่าผู้เรียนคาถาต่าง ๆ ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

    สมัยหลวงพ่อมีนั้น จะมีพระเณรเรียนในทางวิชาอาคมกันมาก เพราะมีพระอาจารย์คอยสอนให้อยู่อย่างมากมายนั่นเอง

    “เพื่อเห็นแก่อนาคตก็ต้องเรียนไว้ เพราะต่อไปจะหาไม่มีอีกแล้ว ที่จะมีอาจารย์ผู้เก่งกล้าสามารถเช่นสมัยนั้น”



    หัวใจลิงลม

    หลวงพ่อมีท่านได้ตั้งใจศึกษาวิชาทุกอย่างจากครูบาอาจารย์ที่มีอยู่ในสมัยนั้น เช่น การเรียนคาถาปลุกหัวใจลิงลมก็เรียนมาจากหลวงพ่อสำลี ซึ่งท่านเก่งในวิชานี้เป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่หลวงพ่อสำลีท่านจะเริ่มพิธีปลุกหัวใจลิงลมนั้น ท่านได้บอกกับพระเพื่อน ๆ ว่า

    “ถ้าผมมือสั่นและตัวสั่นก็ช่วยกันจับเอาไว้ให้ดีนะ”

    พิธีการปลุกคาถาหัวใจลิงลมของหลวงพ่อสำลีนั้น ท่านได้ทำให้พระเณรผู้เป็นลูกศิษย์ดูกันเพื่อจะได้รู้ได้เห็นของจริง คือเวลาปลุกหัวใจลิงลมนั้น ผู้ปลุกจะอยู่ไม่เป็นสุขจะมีการกระโดดโลดเต้น จับโน่นเกาะนี่คล้ายกับลิงจริง ๆ หลวงพ่อสำลีท่านจะพนมมือทำใจให้เป็นสมาธิเพื่อท่องคาถาหัวใจลิงลมประมาณได้สัก 2-3 นาที มือของท่านจะเริ่มสั่น และหัวเข่าทั้ง 2 ข้างก็จะตีกับพื้นกระดานเสียงดังสนั่นพร้อมกับหายใจแรงมาก

    บรรดาพระเณรที่เป็นศิษย์ซึ่งรวมทั้งหลวงพ่อบุญมีด้วย ต่างก็ระวังกันอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าหากหลวงพ่อสำลีกระโดดออกหน้าต่างกุฏิไปก็จะยุ่งกันใหญ่ ครั้นเมื่อหลวงพ่อสำลีปลุกหัวใจลิงลมแล้ว ก็ช่วยกันจับ แต่จับไม่ค่อยจะอยู่ เพราะกิริยาอาการและท่าทางของท่านมีความปราดเปรียวและว่องไวมาก จนพระผู้รู้อากัปกิริยาดังกล่าวได้ตบร่างของท่านอย่างแรง อาการต่าง ๆ จึงได้ลดลงและสงบไปในที่สุด

    เรื่องคาถาอาคมนี้ เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้ให้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีจิตเป็นสมาธิอย่างแน่วแน่ ต้องมีความเชื่อและศรัทธาจริง ๆ สำหรับหลวงพ่อสำลีนั้น ท่านได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมต่าง ๆ ให้กับหลวงพ่อมีจนหมดสิ้น จึงทำให้หลวงพ่อมีท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถท่องปฏิบัติ เกิดเป็นอาการได้ทุกอย่างสมดังประสงค์



    ไม่คิดลาสิกขา

    ในปี พ.ศ. 2476 หลังจากหลวงพ่อมีท่านบวชได้ 1 พรรษา และท่านสอบนักธรรมชั้นตรีได้ใหม่ ๆ ท่านไม่คิดที่จะลาสิกขาบท ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา แต่ท่านกลับอยากจะบวชเพื่อศึกษาต่อเพราะท่านชอบศึกษาเล่าเรียนมาก หลวงพ่อมีท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะขอบวชและศึกษาหาความรู้ในพระพุทธศาสนาตลอดไป ซึ่งหลวงพ่อมีกล่าวว่า

    “การได้เข้ามาศึกษาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนานั้น เป็นของยากเพราะทุกคนต้องพร้อมที่จะเสียสละความสุขสบายในโลกภายนอกทุกอย่าง แต่ถ้าได้อยู่ศึกษาจนถ่องแท้แล้ว ก็ไม่อยากจะสึกออกไปอีก”



    มุ่งสู่หลวงพ่อเขียน

    เนื่องจากโยมมารดาของหลวงพ่อมี เป็นชาวบ้านพร้าว ปทุมธานี มักเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังบ้านเดิมอยู่เสมอ ทั้งในงานเทศกาลทำบุญตรุษสารทตามประเพณีต่าง ๆ ก็มักจะกลับไปทำบุญยังวัดท้องที่ใกล้บ้าน คือวัดบ้านพร้าวนอก ซึ่งมีน้องชายเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดในขณะนั้น ชื่อ หลวงพ่อเขียน โชติสโร

    โดยความตั้งใจเดิมขององค์ท่านหลวงพ่อมี เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก และได้ช่วยหลวงน้าในการแปรธาตุ ได้สัมผัสรับรู้วิชาเร้นลับนี้โดยตรง แต่องค์หลวงน้าไม่ยอมสอนให้กลับบอกว่า จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระเสียก่อน จึงเป็นโอกาสดีของหลวงพ่อมี หลวงพ่อเขียนองค์นี้ ท่านเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาเป็นที่เลื่องลือว่า ท่านสำเร็จอภิญญาจิตมีอิทธิปาฏิหาริย์ สามารถเดินบนยอดไม้และนอนบนยอดตองได้ (นอนบนยอดใบกล้วย)

    ปฏิปทาอันงดงาม เคร่งครัดพระธรรมวินัยและปฏิบัติวิปัสสนาธุระอย่างสม่ำเสมอของหลวงพ่อเขียน เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านพร้าวเป็นอย่างมากในสมัยนั้น หลวงพ่อเขียนท่านมีปฏิปทาแปลกไปอีกอย่างหนึ่งคือชอบเล่นว่านยา และชอบเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเป็นวิชาการหล่อหลอมวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่มีราคาถูกให้กลายเป็นธาตุสูงค่าขึ้น เช่น การทำตะกั่วให้กลายเป็นเงินหรือทำเงินให้เป็นทองคำ ดังนี้เป็นต้น

    อุปกรณ์ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุของหลวงพ่อเขียนก็มี เตาสูบ ที่ใช้ในการหลอมโลหะ ซึ่งมีเครื่องสูบลมติดอยู่กับเตาสำหรับใช้สูบลม เป่าผ่านให้เป็นเปลวไฟแรงจัด นอกจากนี้ก็ยังมีเบ้าหลอม ซึ่งมีทั้งเบ้าดินและเบ้าที่ทำจากโลหะหลายใบ ทั้งยังมีสากดินสำหรับใช้กวนโลหะให้เข้ากันอีกด้วย ฯลฯ

    หลวงพ่อมี เล่าว่า “หลวงพ่อเขียนท่านชอบเล่นว่านอาบน้ำมันว่านจนตัวมันไปหมด จึงไม่ค่อยชอบอาบน้ำ เวลาท่านนั่งหลอมโลหะอยู่หน้าเตาสูบ ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นวัน จนตัวดำมิดหมีมันหมดทั้งตัว... ท่านก็ยังไม่ยอมอาบน้ำ...”

    หลวงพ่อมีเล่าปฏิปทาการไม่ชอบอาบน้ำของหลวงพ่อเขียนให้ฟัง พร้อมกับหัวเราะขัน ๆ อย่างอารมณ์ดี



    เรียนวิชาตรงจากหลวงพ่อเขียน

    หลวงพ่อเขียนถือได้ว่าเป็นอาจารย์องค์แรกในสายวิทยาคมขององค์ท่านหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย

    หลังจากอุปสมบทหลวงพ่อมีมุ่งตรงสู่วัด บ้านพร้าวนอก จ.ปทุมธานี และศึกษาสายวิชา เล่นแร่แปรธาตุกับพระอาจารย์หลวงน้าในทันที ในช่วงนั้นโยมบิดาขององค์ท่านหลวงพ่อมี กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคชรา ซึ่งเรื้อรังมานานแล้ว และได้ถึงแก่กรรม หลวงพ่อมีจึงต้องกลับมายังบ้านเกิด เพื่อจัดงานศพโยมบิดา ที่วัดมารวิชัยและเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย นับตั้งแต่บัดนั้น

    เมื่อเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย หลวงพ่อมียังคงเดินทางไปพำนักที่วัดบ้านพร้าวนอก เพื่อเยี่ยมเคารพและศึกษาสายวิชาจากหลวงน้า หลวงพ่อเขียนอยู่สม่ำเสมอ ตราบจนกระทั่งหลวงพ่อเขียนมรณภาพด้วยวัยของความชรา



    สายวิชา

    ในส่วนของสายวิชาที่องค์ท่านหลวงพ่อมีศึกษาจากพระอาจารย์หลวงพ่อเขียน นับแล้วท่านเริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ๆ ตอนติดตามคุณแม่ไปวัดบ้านพร้าวนอก การศึกษาในตอนนั้นถือเป็นการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด เพราะได้ใกล้ชิดหลวงพ่อเขียน เนื่องจากต้องหาฟืนเติมเชื้อไฟให้ร้อนกรุ่นอยู่อย่างตลอดในเวลาหล่อหลอม สายวิชาการต่าง ๆ ทุกอย่างและขั้นตอนปฏิบัติจึงตกเป็นของหลวงพ่อมี เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก

    จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อมี ท่านเคยเล่าว่า ท่านนั้นไม่ได้ของดีจากอาจารย์หลวงพ่อเขียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ “สังขวานร” เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวอาจารย์ท่าน ซึ่งหลวงพ่อเขียนถึงแม้มรณภาพ สังขวานรก็ติดตามไปด้วยทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อเขียนเก็บใส่ตลับติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี พอท่านสิ้นลมได้นำเอาตลับที่บรรจุสังขวานรตลับนั้นมาเปิดออกดู ปรากฏว่าสังขวานรได้อันตรธานหายไปได้เองอย่างน่าอัศจรรย์

    อนึ่ง สังขวานร คือแร่ชนิดหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า “เขี้ยวหนุมาน” หลวงพ่อเขียนทำสำเร็จด้วยความยากลำบากเพราะต้องใช้เวลามาก เริ่มต้นจากการทำตะกั่วให้เป็นเงินแล้วนำโลหะแร่อีกหลายชนิดที่ทำขึ้นมาหล่อหลอมรวมกัน ขัดด้วยว่านยา 108 ตามตำรับตำรา จนสำเร็จกลายเป็นสังขวานรก้อนเล็ก ๆ ขนาดเมล็ดข้าวโพด มีสีเขียวแวววาวคล้ายสีปีกแมลงทับ

    แต่ว่าสังขวานรมีสีเลื่อมพรายสวยงามกว่าปีกแมลงทับมาก ถ้านำไปทิ้งไว้ในที่มืด จะปรากฏลำแสงสว่างคล้ายรุ้งพวยพุ่งขึ้นให้รู้ว่าไปตกอยู่ ณ ที่แห่งใด

    หลวงพ่อเขียนเคยทดลองคุณวิเศษ ของสังขวานรให้หลวงพ่อมีชมดูหลายประการและบอกให้ท่านฟังว่า “สังขวานรมีคุณดุดเหล็กไหล” ถ้าผู้ใดได้พกติดตัวเป็นมหาอุด และมีความอยู่ยงคงกระพันชาตรีสูง บุกน้ำลุยไฟได้ทั้งนั้น” นับว่า สังขวานร เป็นสุดยอดแห่งของขลังที่หาได้ยากโดยแท้



    เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว

    แม้ว่าหลวงพ่อมีจะเห็นกรรมวิธีการหล่อหลอมเล่นแร่แปรธาตุต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด แต่ใจจริงแล้วท่านไม่ค่อยชอบทางด้านนี้เท่าใดนัก เนื่องจากทำให้เนื้อตัวสกปรกดำไปหมดทั้งตัวในเวลาทำการหล่อหลอมแล้ว หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พระอาจารย์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อมี เคยกล่าวเปรย ๆ เป็นทำนองเตือนสติให้ท่านรู้ว่า

    “ระวังการเล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว”

    นับเป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่ง เพราะถ้าในสมัยนี้ ผู้ใดคิดเล่นแร่แปรธาตุหวังร่ำรวยทางลัด ด้วยการทำตะกั่วให้กลายเป็นทองคำ กว่าจะทำได้คงต้องลงทุนจนหมดตัว ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะทำตะกั่วกลายเป็นเงิน แล้วทำเงินให้กลายจนเป็นทองคำได้อีกหรือไม่ เรียกว่า กว่าจะสำนึกตัวผ้าอาจขาดจนไม่มีติดกายก็เป็นได้ เล่นแร่แปรธาตุชั้นสูง สามารถทำให้ตะกั่วกลายเป็นเงิน เงินกลายเป็นทองคำได้

    ในภายหลังที่หลวงพ่อมีไปศึกษาอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปานแล้ว ท่านพิจารณาเห็นว่า วิชาเล่นแร่แปรธาตุ ไม่ใช่หนทางหลุดพ้นจากสงสารวัฏแห่งการเวียนว่าย ตาย เกิด หลวงพ่อมีจึงตัดใจไม่เรียนวิชาทำตะกั่วให้เป็นทองคำต่อจากหลวงพ่อเขียน ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเรียนรู้แต่วิธีทำตะกั่วให้เป็นทองคำมาเพียงผิวเผินเท่านั้น โดยไม่เคยทดลองทำจริง ๆ มาก่อนเลย ส่วนกรรมวิธีการทำเมฆพัดนั้น หลวงพ่อมีเคยทดลองทำมากับหลวงพ่อเขียน จนมีความเชี่ยวชาญมาแล้วในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งหลวงพ่อมีกรุณาเปิดเผยสูตรทำเมฆพัดให้ทราบว่า

    การทำเมฆพัดประกอบด้วย เงิน ทองแดง ตะกั่ว ปรอท กำมะถันเหลือง และว่านยา 108 ชนิด มีว่านทองคำ เป็นอาทิ โดยมีส่วนของน้ำหนักพิกัดสิ่งละไม่เท่ากันตามตำรา นำมาหล่อหลอมรวมกันแล้วซัดด้วยกำมะถันเหลืองและว่านยาอยู่ตลอดเวลาตามกรรมวิธีอันแยบยลตามลำดับ จนกระทั่งเนื้อเมฆพัดหลอมจนเหลวได้ที่ดีแล้ว จะสำเร็จเป็น “กายสิทธิ์”

    หลวงพ่อเขียน บอกว่า เมฆพัดจะมีฤทธิ์เดชในตัวเองสามารถป้องกัน ภูตผีปีศาจ เป็นคลาดแคล้วคงกระพัน บันดาลความร่มเย็นเป็นสุขให้คุณแด่ผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก หลวงพ่อมี เคยกล่าวยืนยันว่า วิชาทำตะกั่ว จนกลายเป็นทองคำนี้ หลวงพ่อเขียนท่านทำได้จริงเมื่อท่านสามารถพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ท่านก็เลิกเล่น และไม่ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ผู้ใดอีก

    ชะรอยหลวงพ่อเขียนท่านคงจะเห็นโทษจากการหมกมุ่นในการแปรธาตุ ซึ่งเป็นความละโมบผิดธรรมชาติ ดังนั้นในบั้นปลายของชีวิต หลวงพ่อเขียนท่านมุ่งบำเพ็ญภาวนา แสวงหาความหลุดพ้นจนถึงแก่กาลมรณภาพโดยสงบในที่สุด



    ทำแตงหนูเป็นทองแดง

    ท่านผู้อ่านคงรู้จัก ลูกแตงหนู ดีนะครับเป็นพืชจำพวกเถาเลื้อยไปตามดินเถาและใบแตงหนูเป็นขนคล้ายต้นขี้กาขาว มีผลเหมือนแตงไทยที่เราเอามาใส่กะทิน้ำแข็งกินเป็นของหวานนั่นแหละ แต่ลูกแตงหนูเล็กกว่าลูกแตงไทยมาก คือมีขนาดโตแค่หัวแม่มือเท่านั้น บรรดาแพทย์แผนโบราณนิยมนำมาทำยาสมุนไพร กล่าวกันว่า ใช้แก้ไข้ได้วิเศษนัก

    หลวงพ่อเขียน นอกจากจะปลูกต้นแตงหนูไว้ทำยาแล้ว ท่านยังเอาลูกแตงหนูกับน้ำประสานทองมาสุมไฟจนกลายเป็นโลหะทองแดงได้อีกด้วย วิชาการเล่นแร่แปรธาตุดังกล่าว นับวันจะสูญหายไปแล้ว เนื่องจากต้นทุนในการหล่อหลอมสูงกว่าแร่โลหะแท้ ๆ ที่จะทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการทำทองแดง ต้องหาลูกแตงหนูมาเต็มเบ้า ซึ่งยังหาง่ายไม่แพงเท่าน้ำประสานทอง ซ้ำยังต้องหล่อหลอมอีก 500 ครั้ง จึงจะได้ทองแดงก้อนเล็ก ๆ แค่ปลายนิ้วก้อยเท่านั้น นับมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากทีเดียวถ้าทำมาขายไม่คุ้มกันแน่

    แต่พระโบราณจารย์ท่านไม่ได้คิดเช่นนั้น กล่าวคือทองแดงที่ได้จากการเปลี่ยนแปรธาตุเมื่อทำสำเร็จ ถ้านำมาปลุกเสกตามตำรา จะกลายเป็นของกายสิทธิ์ ถึงขั้นสามารถป้องกันศาสตราวุธได้ทุกชนิด ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า พระเครื่องรางเก่า ๆ ของพระอาจารย์หลายสำนักที่สร้างขึ้นจากตำราเล่นแร่แปรธาตุโดยนำโลหะธาตุต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาสร้างเป็นพระเครื่องจึงมีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันสูงส่ง

    เป็นที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเขียน ไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใด ๆ ไว้เลย ชื่อเสียงในวงการพระเครื่องจึงไม่มีใครรู้จัก แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านมิศิษย์ผู้สืบทอดพระเวทวิทยาคมอยู่องค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อมี เขมธัมโม พระเถราจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัย ซึ่งเป็นทั้งศิษย์และหลานแท้ ๆ ของหลวงพ่อเขียน พระอาจารย์ผู้เรืองวิชาแห่งวัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี



    รูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน

    ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ในสมัยที่หลวงพ่อเขียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใด ๆ ขึ้นเลย แต่เมื่อท่านถึงแก่กาลมารณภาพแล้วได้ 1 ปี หลวงพ่อมีสร้างรูปหลวงพ่อเขียนอัดกระจก ขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อแจกบรรดาญาติโยมและชาวบ้านทั้งหลายที่มีความเคารพนับถือหลวงพ่อเขียน โดยสร้างพระรูปหล่อจำลองเกือบเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ที่มณฑปวัดบ้านพร้า วนอกในปัจจุบัน

    “รูปหลวงพ่อเขียนที่วัดมีไม่ได้เลย ถ้าชาวบ้านเห็นแล้ว ต้องขอกันไปหมด ถ้าไม่ให้ก็ปลดเอาไปบูชาที่บ้านเสียเฉย ๆ ที่วัดก็เลยไม่มีรูปของหลวงพ่อเขียนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่เพียงรูปเดียว”

    จากศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อภาพถ่าย หลวงพ่อเขียนดังกล่าว ย่อมแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่มีต่อท่านสูงส่งเพียงใด นับว่าหลวงพ่อเขียนเป็นพระอาจารย์อันควรแก่การเคารพกราบไหว้โดยแท้! จึงเป็นที่น่าเสียดายจริง ๆ หลวงพ่อเขียนวัดบ้านพร้าว นอกจากไม่ได้สร้างอิทธิมงคลใด ๆ ไว้เป็นอนุสรณ์แก่สานุศิษย์ มิเช่นนั้นหลวงพ่อเขียนต้องเป็นพระอาจารย์ที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในแนวหน้าองค์หนึ่งของจังหวัดปทุมธานีอย่างแน่นอน แต่ก็นับว่า พวกเรายังโชคดีที่วิทยาเวทและสายเคล็ดลับของหลวงพ่อเขียน ยังมีผู้สืบทอดซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของท่าน หลวงพ่อมี เขมธัมโม พระเถราจารย์สุดขมังเวท แห่งวัดมารวิชัย ผู้สร้างรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน จนได้รับความนิยมจากชาวบ้านพร้าวและเป็นผู้สร้างพระเครื่องสูตรเมฆพัด (พระสังกัจจายน์ และพระปิดตา) ตามตำรับหลวงพ่อเขียนทุกประการ

    ด้วยอำนาจแห่งบารมีหลวงพ่อเขียน รวมทั้งหลวงพ่อมีผู้ปลุกเสกและลงอักขระด้านหลังภาพอัดกระจกทั้งหมด ทำให้ผู้รับรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนไปแล้ว ต่างพบประสบการณ์มากมายในทางคงกระพันแคล้วคลาดและมีเด็กห้อยคอแล้วตกน้ำไม่จมจนเป็นที่เลื่องลือ

    ปัจจุบัน หาชมรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนซึ่งหลวงพ่อมีเป็นผู้สร้างขึ้นได้ยาก เพราะมีอายุการสร้างมานานร่วม 50 ปี และที่ชาวบ้านพร้าวมีอยู่ก็หวงแหน เนื่องจากเป็นรูปหลวงพ่อเขียนที่ชาวบ้านพร้าวทั้งหลาย ให้ความเคารพนับถือและมีประสบการณ์มาแล้วอย่างกว้างขวางนั่นเอง



    เรียนวิชากับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

    ในปี พ.ศ. 2470 ขณะนั้นชื่อเสียงของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค เลื่องลือไปทั่วประเทศ ประชาชนทั้งใกล้และไกลให้ความศรัทธาแห่กันมาให้หลวงพ่อปานรักษาโรคเนืองแน่นทุกวัน รวมทั้งชาวบ้านวัดมารวิชัย ซึ่งอยู่ตำบลเดียวกับวัดบางนมโค มีระยะทางห่างกันไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็พากันมาให้หลวงพ่อปานช่วยบำบัดรักษาเช่นกัน

    ดังนั้นครอบครัวโยมบิดา มารดาของหลวงพ่อมีจึงคุ้นเคยกับหลวงพ่อปานพอสมควร รวมทั้งหลวงพ่อมีครั้งยังเป็นเด็กวัดมารวิชัยก็เคยรับใช้หลวงพ่อปานมาแล้วในสมัยที่ท่านมาสร้างศาลาการเปรียญที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมีจึงให้ความเคารพหลวงพ่อปานเป็นอย่างสูง เนื่องจากรู้จักกิตติคุณความเก่งกล้าของท่านเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย และเมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ 1 พรรษา ก็มาปวารณาตัวเป็นศิษย์คอยรับใช้หลวงพ่อปานที่วัดบางนมโค เมื่อต้นปี พ.ศ. 2476

    ในวันแรกที่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดบางนมโค ได้พำนักที่กุฏิของหลวงพ่อปาน ซึ่งใช้เป็นสถานที่รักษาโรคและให้บรรดาคนไข้และแขกเหลื่อมาค้างแรม หลวงพ่อมี จึงมีโอกาสเห็นหลวงพ่อปาน ทำการรักษาคนไข้อย่างใกล้ชิดด้วยน้ำมนต์บ้าง ด้วยยาสมุนไพรพื้นบ้านที่หาได้ง่าย เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น แต่ก็มีสรรพคุณสูงสามารถใช้รักษาโรคร้ายและไข้ต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่ถูกคุณไสยถูกเขากระทำย่ำยีมา หรือถูกผีเข้าเจ้าสิง กระดูกแตกหักต่าง ๆ หลวงพ่อปานสามารถรักษาให้หายได้ทั้งนั้นอย่างน่าอัศจรรย์

    “ผู้ที่ได้บวชเรียนแล้ว อย่าให้ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อย่าเกาะโลกธรรม 8 อันเป็นเรื่องทางโลก คือ...อิฏฐารมณ์ ความพึงพอใจในลาภยศ สุข และสรรเสริญและความไม่พึงพอใจในอนิฏฐารมยณ์...คือการขาดลาภ ขาดยศ มีทุกข์ และการนินทา...”

    “เมื่อเป็นพระอย่าหวังร่ำรวย ปัจจัยที่ได้มาจงนำมาเป็นสาธารณประโยชน์แก่ศาสนาและประชาชนให้หมด...อย่าหวังลาภ ยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อย่าเมาในยศถาบรรดาศักดิ์...เรื่องของลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นตัวกิเลส ต้องตัดออกให้หมด เราเป็นพระภิกษุสงฆ์รวยด้วยบุญญาบารมี เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าการบวชนี้ เพื่อหวังนิพพานเท่านั้น”

    โอวาทของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อมีกล่าวว่ายังจำขึ้นใจถึงปัจจุบันและระลึกอยู่เสมอ ปฏิบัติอยู่เสมอ



    เมื่อหลวงพ่อปาน พิจารณาลักษณะอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของหลวงพ่อมี นึกรักขึ้น จึงรับปากจะถ่ายทอดวิชาให้ โดยให้ฝึกอสุภกรรมฐานก่อน เพื่อเป็นการสร้างอำนาจจิตของตัวเองให้กล้าแข็ง

    อสุภ แปลว่าไม่สวยไม่งาม ซากศพ

    กรรมฐาน แปลว่าการชนะใจด้วยความสงบ

    อสุภกรรมฐาน จึงรวม ๆ ความได้ว่า ฝึกจิตใจที่ยึดเอาเจ้าสิ่งที่ไม่สวยงาม มาเป็นหลักในการพิจารณาอารมณ์แห่งจิต

    มองกันอย่างธรรมชาติ พอมองกันออกว่ามองไปนาน ๆ แล้วปลงอย่างไรสภาพของซากศพนั้น คงคิดรูปร่างกันได้ เป็นการเริ่มต้นที่ฉลาดและแน่นอนมั่นคง เมื่อพิจารณาเป็นหลักโดยไม่หนักไปทางเพ่งในระยะแรก เมื่อพิจารณาซากศพที่เสียชีวิต จากความรู้สึกที่แท้จริง แล้วโน้มความรู้สึกนั้น ๆ เข้าไปเปรียบเทียบกับตัวของเราเอง อธิบายเพิ่มขึ้นสักนิด เมื่อเราพิจารณามองศพที่น่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน มองนาน ๆ จะเกิดสังเวชขึ้นในจิตใจ จะเริ่มหนักขึ้น มองเห็นอะไรมากขึ้น ทราบถึงกับปลงในร่างกายของคนเรานั้นไม่มีอะไรเลย สังขารเปื่อยเน่าหมดสิ้นก็สิ้นกัน เพียงแค่นั้น ทุกอย่างที่เกิดเป็นอารมณ์สร้างให้จิตใจสงบแน่นิ่งเป็นพลังพุ่งเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้โดยง่าย ดั่งคำของหลวงพ่อปานที่กล่าวไว้ว่า



    “เมื่อปฏิบัติอสุภกรรมฐานจนมีความชำนาญแล้ว ย่อมเป็นของง่ายในการวิปัสสนาญาณ และจนลุล่วงสำเร็จไปด้วยดี”



    เรียนวิชากับหลวงพ่อจง

    เมื่อสิ้นหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคไปแล้ว ศิษย์ของท่านทุกองค์รวมทั้งหลวงพ่อมี ต่างมุ่งตรงไปศึกษาหาความรู้ต่อกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เพราะก่อนที่หลวงพ่อปานท่านจะมรณภาพ ท่านได้บอกบรรดาศิษย์ของท่านให้ไปหาหลวงพ่อจง ซึ่งท่านว่าเป็น “พระทองคำทั้งองค์” ความจริงหลวงพ่อมี ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อจงมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 โดยไปขึ้นกรรมฐานกับท่าน และเมื่อออกพรรษาทุกปีก่อนที่หลวงพ่อมีจะออกธุดงค์ท่านต้องไปให้หลวงพ่อจงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ก่อนทุกครั้งไป

    ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อมีออกรุกขมูลคราวใด ท่านจึงไม่เคยได้รับอันตรายใด ๆ จากภัยอันตรายต่าง ๆ ที่มีอยู่มากภายในป่าดงดิบทุกแห่งหนที่หลวงพ่อมีเดินธุดงค์ไปถึง เรียกว่า รอดพ้นปลอดภัยกลับถึงวัดมารวิชัยโดยสวัสดิภาพทุกคราวไป หลวงพ่อมีจึงมีความเคารพนับถือหลวงพ่อจงมาก นอกจากท่านจะมีปฏิปทางดงามแล้ว ท่านยังเคยแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ความมีวิทยาคมขลังให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของหลวงพ่อมีอยู่เสมอ เนื่องจากท่านมีวาสนาบารมีผูกกันฉันศิษย์กับอาจารย์มากนั่นเอง

    ดังนั้นในปี พ.ศ. 2481 หลวงพ่อมีจึงมาฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชากับหลวงพ่อจงอย่างจริงจัง โดยขอเล่าเรียนวิชาทำตะกรุดกับท่านก่อนตามที่เคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส ในสมัยเป็นฆราวาส หลวงพ่อมีท่านเคยเห็นคนมาลองของกับหลวงพ่อจงด้วยการเอาตะกรุดให้ท่านเป่า แล้วไปลองยิง ปรากฏว่าปืนขัดลำกล้อง แต่เมื่อหันปากกระบอกปืนไปทางอื่น เสียงปืนก็ลั่นเปรี้ยงทันที

    เมื่อหลวงพ่อมีประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ในตะกรุดที่หลวงพ่อจงเป่าด้วยสายตาตนเอง เช่นนี้ จึงตั้งใจไว้ว่าเมื่อบวชเรียน จะมาขอวิชาจากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา หลวงพ่อจงท่านสอนวิธีลง นะหน้าทอง ให้แก่หลวงพ่อมีและบอกให้ใช้นะหน้าทองตัวนี้ลงแผ่นโลหะทำตะกรุดเมตตา หลวงพ่อมีจึงถามหลวงพ่อจงขึ้นว่า เมื่อถึงเมตตามหานิยมทำไมถึงยิงไม่ออก หลวงพ่อจงเปิดเผยเคล็ดลับในการใช้วิทยาคมโดยไม่ปิดบังอำพรางแก่หลวงพ่อมี ว่าลงทางเมตตาก็จริง แต่เวลาปลุกเสก เริ่มต้นว่าอย่างไร ให้ลงท้ายว่าอย่างนั้นเป็นมหาอุด เพราะยันต์นะหน้าทองมีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้สารพัด ข้อสำคัญต้องสร้างสมาธิจิตของตนเองให้แก่กล้า จึงจะใช้ได้สารพัดตามใจนึก

    ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มสมาธิจิตให้กล้าแข็งอันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเล่าเรียนพระเวท หลวงพ่อจงท่านจึงถ่ายทอดวิธีปฏิบัติการเพ่ง เตโชกสิณ แก่หลวงพ่อมี พร้อม ๆ กับการสอนสูตรการลง นะหน้าทอง หลวงพ่อมี ผู้สำเร็จอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วยังมาได้วิชากสิณไฟจากหลวงพ่อจง อันเป็นกรรมฐานเกี่ยวกับการสร้างพลังจิตทั้งสิ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า

    ทำไมอิทธิมงคลทุกอย่างที่ผ่านมาปลุกเสกจากหลวงพ่อมี ล้วนมีประสบการณ์เข้มขลัง เป็นที่กล่าวขานโดยทั่วไปในขณะนี้ !

    หลวงพ่อมีได้ศึกษากรรมฐานและวิทยาคมต่าง ๆ มากับหลวงพ่อจงเป็นเวลานานเกือบ 30 ปี ท่านได้เดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างวัดหน้าต่างนอก และวัดมารวิชัยอยู่เสมอ ๆ ทั้งยังได้ร่วมงานกับหลวงพ่อจงอย่างใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้ง และได้ปฏิบัติดูแลหลวงพ่อจง ตราบจนท่านสิ้นลมหายใจ


    หลวงพ่อจงมรณภาพ

    หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์แห่งวาระสุดท้ายในคราวที่หลวงพ่อจงมรณภาพให้ฟังว่า หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มีสุขภาพดี ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อนเลย นอกจากจะเป็นไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ท่านมีสุขภาพดีเพราะว่าในตอนเช้ามืด ท่านจะตื่นขึ้นทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็คว้าไม้กวาดปัดกวาดไปทั่วบริเวณวัด ได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน สุขภาพของท่านจึงแข็งแรง มีความกระฉับกระเฉงเดินเหินคล่องแคล่วว่องไว แม้แต่พระหนุ่ม ๆ ก็ยังเดินเร็วสู้ท่านไม่ได้

    ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ประมาณ 1 เดือน ท่านเกิดหกล้มในห้องน้ำ จึงเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะแก่มากแล้ว มีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น เวลาพูดก็มีเสียงแหบ ๆ ฟังไม่ค่อยชัด พอมีพระไปเยี่ยมท่านก็จะให้สวดมนต์ให้ท่านฟัง ท่านจะนอนยิ้มฟังพระสวดเป็นการระงับทุกขเวทนาทั้งหลาย โดยไม่เคยร้องหรือบ่นอะไรให้ใครได้ยินเลยแม้แต่เพียงคำเดียว นอกจากท่านจะส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่แล้ว” เพียงแค่นี้เท่านั้น

    ในขณะที่ท่านป่วย ท่านก็ยังนั่งรับแขกอยู่จนดึกจนดื่น ไม่ว่าใครจะขอร้องท่านให้พักผ่อนด้วยความเป็นห่วง แต่ท่านก็ไม่ยอกพักกลับพูดว่า “เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้” ดูกำลังใจของท่านซิ ดีแค่ไหน

    วันที่ท่านจะเสียก็ยังนั่งรับแขกอยู่ดี ๆ ตามปกติ วันนั้นฉันสังเกตเห็นอาการของท่านรู้สึกทุเลาขึ้นมาก ต้อนรับแขกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา ฉันเห็นแล้วเกิดสังหรณ์ใจ มันผิดปกติ...เพราะว่าคนเราก็เหมือนกับตะเกียง หรือดวงเทียนที่กำลังจะดับ มันจะสว่างวูบขึ้นอีกครั้งก่อนจะดับ ฉันจึงไม่กลับวัด เฝ้าดูท่านอยู่ถึงเย็นก็ได้เรื่องจริง ๆ

    หลวงพ่อจงท่านบอกขอตัวกับแขกว่า จะนอน...ฉันเห็นแล้ว ท่านคงจะไม่ไหวจริง ๆ เพราะตามธรรมดา ท่านไม่เคยออกปากขอตัวกับแขกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว พอฉันเห็นท่านนอนเข้าสมาธิเท่านั้น ก็แน่ใจทันที รีบหาธูปเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัย ท่านก็นอนหลับตาเข้าฌานเฉยอยู่อย่างนั้น...ฉันก็บอกให้ทุก ๆ คนรู้และให้เงียบ ๆ เข้าไว้เพราะท่านยังไม่ได้ละสังขารยังอยู่ในฌาน

    คืนนั้นทั้งพระและฆราวาสผลัดกันนั่งเฝ้าหลวงพ่อจงจนดึก ก็มีพระที่วัด 2-3 องค์เท่าที่จำได้ก็มี หลวงพ่อครุฑ องค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกต่อจาก หลวงพ่อไวทย์ แล้วก็มีพระเพ็ง... พระมหาแสวง วัดสีคต เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นวัดสันติการามอยู่เยื้อง ๆ วัดน้ำเต้านั่นแหละ และก็ฉันรวม 4 องค์ แต่ฆราวาสมีมาก พอชาวบ้านรู้ข่าวเข้าเท่านั้นแห่กันมาเฝ้าดูอาการของหลวงพ่อจงด้วยความเป็นห่วงเต็มกุฏิไปหมด

    เวลาประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ ของวันที่เท่าไหร่ฉันจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ตรงกับวันมาฆะบูชาพอดี...(ผู้เขียนเทียบปฏิทินร้อยปีดูแล้วตรงกับวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 ตรงตามบันทึกวันมรณภาพของทางวัด ซึ่งแสดงถึงความทรงจำของหลวงพ่อมียังดีเลิศจริง)... หลวงพ่อจงก็หมดลมละสังขารด้วยความสงบ โดยไม่มีอาการทุรนทุรายใด ๆ ทั้งสิ้นแต่น้อยเลย เพราะท่านมรณภาพในฌาน

    ฉันกับพระมหาแสวงนั่งสมาธิตามดูท่าน เห็นแต่ลูกไฟดวงใหญ่มีแสงสีเหลืองนวลสว่างไสวลอยออกจากศีรษะของหลวงพ่อจงหายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว... ดูตามท่านไม่ทันจริง ๆ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะไปทั่วกุฏิ เพราะพระและฆราวาสทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่น ต่างก็เห็นดวงไฟลอยออกจากร่างหลวงพ่อจงด้วยตาเปล่าเหมือนกันหมด แม้แต่ชาวบ้านทุก ๆ คนที่นั่งอยู่นอกกุฏิก็ยังเห็นลูกไฟดวงใหญ่พุ่งออกมาจากกุฏิหายขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ เหมือนกับว่าท่านจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนเห็นครั้งสุดท้ายเป็นการอำลาอย่างนั้นแหละ

    พอชาวบ้านรู้ว่าหลวงพ่อจงท่านละสังขารแล้วเท่านั้น ก็พากันร้องไห้ระงม ฮือออกันเข้าไปยื้อแย่งฉีกจีวรกันใหญ่ พอตอนเช้าก็มีคนแห่กันมาอีกฉีกจีวรจนต้องเปลี่ยนใหม่ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แม้แต่สายสิญจน์ที่โยงจากศพยังแย่งกัน บางคนเอาขมิ้นทามือ ทาเท้า พิมพ์ลงผ้ากันจนมือเท้าของหลวงพ่อเหลืองไปหมด บางคนถอนเล็บออกจากนิ้วมือนิ้วเท้า ยังมีเลือดแดง ๆ ติดอยู่เลย มีอยู่รายหนึ่งถึงกับตัดนิ้วมือของท่านไป ปัจจุบันยังใช้ติดตัวอยู่ ก็คนพื้นที่นั่นแหละ ไปถามคนที่นั่นรู้จักชื่อกันทั้งนั้น ดูความศรัทธาที่พวกเขามีต่อท่านซิ แม้แต่ตายแล้วสังขารก็ยังถูกรบกวนไม่มีที่สิ้นสุดสมกับที่ท่านเคยบอกให้ฉันฟังว่า...”ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้านเขา”...จริง ๆ

    หลวงพ่อจงถึงแก่กาลมรณภาพในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2508 เวลา 01.55 น. รวมสิริอายุ 93 ปี



    หลวงพ่อมีออกธุดงค์ครั้งแรก

    ขอย้อนกลับมากล่าวถึงในสมัยที่หลวงพ่อมีเพิ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุใหม่ ๆ ท่านได้ติดตาม หลวงพ่อเขียน ไปอยู่วัดบ้านพร้าวนอกปทุมธานี ได้เพียง 1 พรรษา ในปลายปี พ.ศ. 2475 นั้น โยมบิดาก็ถึงแก่กรรมท่านจึงต้องกลับมาจัดงานศพที่วัดมารวิชัย อันเป็นบ้านเดิม หลังจากทำการฌาปนกิจศพโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อมีก็หนีโยมมารดาออกธุดงค์ อันเป็นการเริ่มต้นของการถือธุดงควัตร ครั้งแรกของหลวงพ่อมี

    สาเหตุที่หลวงพ่อมีต้องหนีโยมมารดาออกธุดงค์ก็เพราะว่า เมื่อสิ้นโยมบิดาแล้ว โยมมารดาก็ไม่มีผู้ช่วยทำไร่ไถนา จึงมาขอร้องให้ท่านสึก แต่ใจจริงของหลวงพ่อมีนั้น รักที่จะอยู่ในสมณะเพศมากกว่า ประกอบกับคำพูดของโยมบิดาที่เคยสั่งเสียไว้ในขณะป่วยหนักก่อนถึงแก่กรรมว่า

    “พ่อไม่มีบุญได้บวชเรียน ขอให้บวชเพื่อพ่อต่อไปนาน ๆ นะ”

    จากคำพูดกึ่งขอร้องของโยมบิดา ที่เพิ่งถึงแก่กรรมไปหยก ๆ นั่นเอง จึงเป็นสาเหตุให้หลวงพ่อมี คิดอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่นาน ๆ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลแก่โยมบิดาให้มากและนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ถ้ายังขืนจำพรรษาอยู่ที่วัดมารวิชัยต่อไป คงจะทนต่อคำอ้อนวอนของโยมมารดาให้ลาสิกขาไม่ได้แน่นอน เมื่อหลวงพ่อมี คิดได้ดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจหนีโยมมารดาติดตามหลวงตาปลั่งซึ่งเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาอีกรูปหนึ่งของวัดมารวิชัย ออกธุดงค์ไปกราบไหว้พระพุทธบาท และพระพุทธฉาย ยังจังหวัดสระบุรี ในต้นปี พ.ศ. 2476

    การออกธุดงค์ครั้งนั้น มีหลวงพ่อมี พร้อมพระภิกษุอีก 5 องค์ รวมทั้งหลวงพ่อเรืองผู้เป็นพระอาจารย์นำทาง รวมทั้งหมด 7 องค์ด้วยกัน ได้ออกเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าไปยังจังหวัดสระบุรีทันที หลังจากออกพรรษาและรับกฐินแล้ว เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2475 การออกธุดงค์ครั้งแรกของหลวงพ่อมีไม่พบอุปสรรคใด ๆ ทั้งไปและกลับ เนื่องจากหลวงตาปลั่งรู้จักเส้นทางเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าสภาพตลอดทางจากอยุธยาไปสระบุรีจะเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและไข้ป่าชุกชุมก็ตาม แต่หลวงตาปลั่งเคยเดินธุดงค์ไปบ่อยครั้งจนมีความชำนาญทางมาก สามารถกล่าวได้ว่า รู้กระทั่งสถานที่มีสัตว์ร้ายและแหล่งที่มีไข้ป่าชุกกันเลยทีเดียว คณะธุดงค์จึงมาปักกลดเพื่อกราบไหว้รอยพระพุทธบาทอยู่ ณ เชิงเขาสุวรรณบรรพต
    รถคว่ำ 2 ครั้ง ไม่เป็นอะไร

    ---------------------------------------------------------------------------------

    “คุณกมลใช้พระอะไรของหลวงพ่อประจำตัว?”

    “อ๋อ...ก็เหรียญรุ่นแรกนะครับ เพราะเคยมีประสบการณ์รถคว่ำมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่เป็นอะไรเลย จึงมาขอบวชอยู่กับหลวงพ่อครั้งแรกนานมาแล้ว ได้เหรียญมาใหม่ ๆ ก็เจอเลย ครั้งที่ 2 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว รถคว่ำตรงทางโค้งหน้าวัดสามกอ มีคนตายและบาดเจ็บสาหัสทุกคน แต่มีอยู่คนหนึ่งชื่อ ลุงจอง นามสกุล อื้อฉาว อายุเกือบ 60 ปีแล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย ได้ถามแกแล้วก็ มีเหรียญรุ่นแรก ของหลวงพ่อเหมือนกัน”

    “เท่าที่คุณพี่ได้ยินได้ฟังมา ยังมีใครอีกบ้างที่มีประสบการณ์การใช้พระของหลวงพ่อ?”

    “ก็มีอยู่หลายคน เอาเฉพาะลูกชายผมเอง ชื่อ ธวัชชัย ตอนนี้อายุ 19 แล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน ไปเยี่ยมลุงที่พระประแดง รถปิคอัพคว่ำกลางทางก็ไม่เป็นอะไร ในตัวก็มีเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อเหมือนกัน น้องชายผมเป็นตำรวจชื่อนายดาบประมวล ประจำอยู่ที่วัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี ก็ใช้เหรียญ และตะกรุด ของหลวงพ่อ เคยถูกผู้ก่อการร้ายยิงไม่เข้ามาแล้ว เรียกว่ามีประสบการณ์หนัก ๆ มาแล้วอย่างโชกโชนทางด้านชายแดน”

    นี่คือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับปาฏิหาริย์อิทธิมงคลวัตถุหลวงพ่อมี เขมธัมโม พระอาจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัย ซึ่งผู้เขียนได้สัมภาษณ์ผู้พบประสบการณ์อย่างสด ๆ ร้อน ๆ มาแทรกเรื่องให้ท่านผู้อ่านคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง


    ถูกรุมฟัน-ตีสลบ 10 วันไม่ตาย

    ---------------------------------------------------------------------------------

    หลวงตาพิศ อายุวัฒโก อายุ 71 ปี อุปสมบทอยู่วัดมารวิชัย เล่าว่า บุตรชายชื่อ นายพจน์ เสนานารถ ปัจจุบันมีอายุ 53 ปี ในสมัยหนุ่ม ๆ เกเรมากเป็นนักเลงหัวไม้และนักเลงการพนัน ไปรับจ้างทำงานเป็นชาวไร่อ้อยที่ชลบุรี ชักชวนคนงานด้วยกันแอบเล่นการพนันในป่าอ้อย นายพจน์มีฝีมือกว่าจึงกินพรรคพวกหมดตัวตาม ๆ กัน เลยขอค่ารถกลับบ้านแต่นายพจน์ไม่ให้ จึงถูกคนงานที่เสียจนหน้ามืด 7 คน รุมสะกรัมทำร้าย

    เพราะเหตุที่เป็นคนใจถึง และไม่ยอมคนอยู่แล้วของนายพจน์จึงต่อสู้ใจขาด พวกคนงานเลยโกรธจัดชักมีดพร้าที่ใช้ถางป่าและคว้าไม้ทั้งฟันและตี จนนายพจน์สลบไสลไม่ได้สติ คิดว่าตายแล้วจึงพากันหนีไป เช้าวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านมาพบเข้าเห็นว่าสลบอยู่จึงพาไปส่งโรงงานรักษาพยาบาลอยู่หลายวันก็ไม่ฟื้น พอดีทางบ้านทราบข่าวจึงรับกลับมารักษาตัวที่บ้านแทน หลวงตาพิศเล่าต่อไปว่า ขณะนั้นท่านยังไม่อุปสมบท ได้พาบุตรจอมเกเรที่มีอาการปางตายไปรักษาที่โรงพยาบาลเท่าใดก็ยังไม่ฟื้น ต้องให้น้ำเกลืออยู่ตลอดเกือบ 10 วัน จนใคร ๆ คิดว่าไม่มีทางรอดแน่แล้ว จึงพากลับมาให้หลวงพ่อมีรักษา

    หลวงพ่อมีท่านทำการรักษานายพจน์ด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยใช้ ข้าวสารแช่เหล้าทา และเอามีดหมอเสกเป่าด้วยวิทยาคมไปตามตัวไม่กี่ครั้งเท่านั้น นายพจน์ที่สลบไป 10 วัน จนใคร ๆ คิดว่าตายแน่ ก็พลันฟื้นคืนสติรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าร่างกายนายพจน์จะหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันและเป็นชาตรีคือ ถูกฟันไม่เข้าถูกตีไม่แตก โดยตลอดร่างกาย ไม่ปรากฏมีรอยช้ำบวมแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย แต่ศีรษะที่ถูกตีได้รับความกระทบกระเทือนภายในสมองอย่างหนัก จนถึงกับสลบไสลไป 10 วันนั้น เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมาก็กลายเป็นคนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เหมือนกับคนปัญญาอ่อน

    ต่อมาหลวงพ่อมีก็ได้รักษานายพจน์จนหายดี แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย ซึ่งปัจจุบันได้ลาสิกขาไปประกอบอาชีพตามปกติเหมือนบุคคลทั่วไปแล้ว หลวงตาพิศเปิดเผยเหตุการณ์เมื่อครั้งบุตรชายถูกรุมทำร้ายปางตายต่อไปว่า นายพจน์เป็นศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อมี ใช้แต่เหรียญรุ่นแรก ของท่านติดตัวอยู่เป็นประจำเหรียญเดียวเท่านั้น ไม่เคยใช้ของอย่างอื่นเลย นอกจากจะให้หลวงพ่อมีเป่ากระหม่อมเท่านั้น เรียกว่าหลวงพ่อมีได้ช่วยชีวิตมาหลายครั้งแล้ว เพราะเป็นคนเกเรมาก เคยมีเรื่องมีราวก็รอดกลับมาทุกครั้ง มาคราวนี้พอหายดีหลวงพ่อมีก็บวชให้อีกเป็นครั้งที่ 2 เลยกลับตัวเป็นคนดีได้

    หลวงตาพิศเปิดเผยต่อไปว่า ตัวท่านเองก็เป็นศิษย์หลวงพ่อมี ใช้เหรียญรุ่นแรกของท่านเป็นประจำรู้สึกแคล้วคลาดดี ไม่เคยพบประสบการณ์ใด ๆ เลย แต่ของดีของหลวงพ่อมีที่ท่านใช้แล้วมีประสบการณ์ดีมากก็คือ “สีผึ้ง” ซึ่งหลวงตาพิศกล่าวว่า เป็นเมตตามหาเสน่ห์ดีจริง ๆ ปัจจุบันท่านบวชเป็นพระแล้วไม่ควรจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อไป หลวงตาพิศได้กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า ใครมีสีผึ้งหลวงพ่อมีแล้ว อย่าไปลอดราวตากผ้าอย่างเด็ดขาด เพราะท่านเคยพกติดตัวแล้วลอดราว ปรากฏว่าสีผึ้งของหลวงพ่อมีละลายเป็นน้ำไปอย่างน่าอัศจรรย์ !



    มีดขอฟันแขนไม่ขาด

    ---------------------------------------------------------------------------------

    นายสุนันท์ กิจเจตนี อายุ 27 ปี มีบ้านอยู่ข้างโรงเรียนโคกจุฬา บ้านแพน เล่าเรื่องที่เห็น นายวิเชียร พันธุสะ ถูกฟันและแทงไม่เข้ากับตาตนเองถึง 2 ครั้ง 2 ครา ดังนี้

    เมื่อปี พ.ศ. 2525 นายสุนันท์ และนายวิเชียร ไปรับจ้างทำงานก่อสร้างที่วัดเขาแหลม กาญจนบุรี โดยพักอยู่บ้านญาติซึ่งมีลูกสาวสวย หนุ่ม ๆ มาหลงรักติดพันมากจึงเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น เช้าวันหนึ่งขณะที่ทั้ง 2 กำลังถีบรถจักรยานเพื่อไปทำงาน นายสุนันท์ซึ่งขี่รถอยู่ข้างหน้าเห็นหนุ่มวัยรุ่นหลายคนออกจากพุ่มไม้ข้างทาง วัยรุ่นคนหนึ่งปรี่เข้ามาใช้มีดขอ ทีอยู่ในมือฟันนายวิเชียรที่ถีบรถตามนายสุนันท์มาติด ๆ นายวิเชียรตกใจและเห็นว่าจวนตัวจึงยกมือขึ้นรับมีดขอไว้

    มีดขอ ซึ่งมีลักษณะคล้าย มีดพร้าแต่มีปลายโค้งงอใช้สำหรับเกี่ยวอ้อย มีความคมมาก สามารถตัดอ้อยได้ครั้งละหลาย ๆ ต้น ฟันฉับลงที่แขนนายวิเชียรที่ยกขึ้นรับเสียงดัง “กึ้ก” คุณพระช่วย ! นายสุนันท์ภาวนาในใจ แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อมีดขออันแสนคมแทนที่จะฟันแขนขาด กลับกระดอนกลับอย่างแรงคล้ายฟันถูกของแข็งก็ไม่ปาน

    ความรุนแรงของมีดขอที่ฟันถูกแขนประกอบกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นกัน จึงทำให้รถจักรยานเสียหลักล้มลงไป พอนายวิเชียรยืนตั้งหลักได้ วัยรุ่นกลุ่มนั้นกำลังตกตะลึงที่ฟันศัตรูไม่เข้าก็ใจเสีย พากันวิ่งป่าราบหนีหายไป

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย

    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.มี.jpg ลพ.มีหลัง.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เถระประวัติหลวงปู่บุดดา ถาวโร

    วัดกลางชูศรีเจริญสุข

    ต.พักทัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

    ชาติกำเนิด – ภูมิลำเนา

    เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ท่านเคยชี้ตำบลเกิดของท่านขณะขึ้นรถไฟผ่าน อยู่เหนือสถานีโคกกระเทียมเล็กน้อย เป็นหมู่บ้านเล็กห่างจากทางรถไฟไปทางทิศตะวันตกราว ๒ กม. ท่านบอกว่า หมู่บ้านหนองเต่า คงเป็นชื่อหมู่บ้านเดิม บิดาของท่านชื่อ น้อย มงคลทอง มารดาของท่านชื่อ อึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ยังเหลือน้องชายคนเล็กชื่อ เหลือ มงคลทอง นอกนั้นถึง แก่กรรมไปหมดแล้ว

    อุปสมบท

    วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ ที่วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีพระครูธรรมขันธสุนทร (ม.ร.ว. เอี่ยม บ้านเดิมท่านอยู่ กทม.) เป็นอุปัชฌาย์ และมีคณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นพระอันดับ ซึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร นับถือว่าเป็นอาจารย์ท่าน

    ประวัติทั่ว ๆ ไป

    ชีวิตตอนเยาว์ ชีวิตตอนต้นของหลวงปู่ก็เหมือนกับชีวิตเด็กลูกชาวนาบ้านนอกทั่วไป ในสมัยนั้นที่ไม่มีโรงเรียนใกล้เคียง จึงไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ มีแต่ทุนเดิมที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดีในอดีตชาติ จึงเป็นผู้ระลึกชาติได้แต่เด็ก ท่าได้ไปพบเห็นสิ่งที่ปรากฏตามภาพนิมิต ของอดีตได้ถูกต้อง และได้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนท่านต้องขุดกระดูกของท่านที่ถูกฝังไว้ในอดีต

    การเห็นภาพในอดีตนั้นท่านเห็นได้หลายภพ ในกรณีหลวงปู่บุดดา อดีตชาติท่านเกิดเป็นชายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตัวหนังสือที่ใช้เป็นตัวหนังสือแบบเดียวกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง มิใช่ตัวหนังสือเดียวกับเมื่อหลวงปู่เป็นเด็ก ท่านจึงอ่านหนังสือไม่ออก แต่พอเป็นทหารท่านได้เรียนหนังสือ ท่านก็สามารถเรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งที่หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการรับราชการเป็นทหารเกณฑ์นั้นหนักมาก ทั้งนี้น่าจะเนื่องมากจากสาเหตุสองประการ ที่ทำให้สามารถรู้หนังสือได้ดีเพราะท่านรู้หลักของหนังสือเดิมดีอยู่แล้ว พอเทียบตัวถูกท่านก็อ่านได้ และสมาธิจิตของท่านเข้าอันดับญาณจึงสามารถทำอะไรได้ง่าย

    อดีตสัญญา

    ถ้าสอบถามถึงอดีตชาติแล้ว ท่านมักปรารภเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านรู้สึกเบื่อหน่าย เช่น เล่าว่านับถอยหลังปัจจุบันไป ๗ ชาติ ท่านได้เกิดเป็นบุรุษทุกชาติ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก รวมทั้งไม่มีครอบครัวเลย ตลอด ๗ ชาติ ที่ผ่านมาส่วนมากท่านเกิดฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงมากกว่าฝั่งขวา มีชาตินี้เท่านั้นที่ท่านมีอายุยืน พี่ชายของท่านในอดีตชาติทั้งรักและตามใจทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กจะไปไหน ก็พาท่านไปด้วย ได้สัญญากับท่านไว้ว่าจะไม่ทิ้งเป็นอันขาด ท่านจึงเกิดเป็นบุตรในชาติปัจจุบัน

    ฉะนั้นเมื่อบิดาของท่านตีท่านในสมัยเด็ก ท่านเล่าว่า ท่านวิ่งออกไปนอกบ้านแล้วตะโกนว่า “พ่อโกหก ๆ ๆๆ” ไม่ยอมหยุดจนมารดาของหลวงปู่เห็นผิดสังเกต จึงไปปลอบถามว่า “พ่อโกหกเรื่องอะไร” ท่านจึงได้เล่าเรื่องอดีตสัญญาให้มารดาของท่านฟังว่า “พ่อไม่รักษาคำพูด” ผู้ใดสามารถเฉลยอดีตสัญญาแบบนี้ให้เป็นธรรมและยอมรับกันได้ทั่วไปบ้าง ?

    เรื่องอายหมา

    หลวงปู่เล่าว่า ตั้งแต่เด็กท่านมักจะบอกกับมารดาของท่านเสมอว่า โตขึ้นท่านจะไม่มีครอบครัว เพราะท่านละอายใจดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

    อดีตชาติหนึ่งในหนหลังเมื่อท่านเป็นหนุ่มเกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงกันผู้หนึ่งจึงไปอู้สาวผู้นั้น แทนที่ฝ่ายหญิงจะพูดดีกับลำเลิกอดีตชาติว่า

    “หลวงปู่ที่เป็นชายหนุ่มในชาตินั้นเป็นผู้ทำให้เขาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานอดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาชาตินี้มารักเขาทำไม”

    หลวงปู่ในชาตินั้นก็มองเห็นอดีตตนเองได้ว่าตอนนั้นท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ประเทศลาว ขณะนอนป่วยอยู่ มีหมาตัวเมียขึ้นมาลักลอบอาหารที่เด็กเก็บไว้ ท่านจึงร้องบอกเด็ก พวกเด็กจึงไล่ตีหมา และพวกเด็กไม่เพียงแต่ไล่ตี คงได้ไล่จับหมาตัวนั้นไปผูกกับรั้ว และกว่าจะถูกจับได้คงต้องไกลกว่าที่สมภารนอนเจ็บประการหนึ่ง และทุกคนก็คงสนใจแต่ความป่วย และการตายของสมภาร ในเวลาต่อมาจึงลืมนึกถึงการจับหมาตัวนั้นไปผูกไว้จนต้องอดถึงตายไป

    เมื่อชายหนุ่มระลึกอดีตชาติได้ก็เกิดความสลดและละอายใจว่า “นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือ ? ” และเป็นการประทับฝังอยู่ในจิตใจต่อมาทุกชาติ การป่วยและการตายในคราวนั้น หมาตายภายหลัง จึงจองเวรและติดตามถูก

    ส่วนการที่เด็กไปตีหมาที่ถูกจับไว้จนหมาตาย ต้องมิใช่คำสั่งของสมภาร หมาจึงจองเวรได้ เพียงหมาถูกตีเพราะเสียงร้องบอกของสมภารเป็นเหตุ หมาจึงทำให้สมภารในอดีตชาติเดือดร้อนเพราะลำเลิกของหญิงนั้นตามอดีตเหตุที่สมภารได้ทำไว้เท่านั้น เรื่องความผูกพันหรือการจองเวรในอดีตชาติทำนองนี้ หลวงปู่ปรารภเสมอว่า เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว ท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งแต่เด็ก

    รับราชการทหาร ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐

    lp-budda-06.jpg
    หลวงปู่รับราชการทหาร ๒ ปี โดยมีหลักฐานการเป็นทหารปรากฏบนท้องแขนขวาดังนี้ ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐ การเกณฑ์ทหารสมัยนั้น เมื่อผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ถึงแม้ถูกเกณฑ์แล้วจับ ใบดำได้ไม่ต้องรับราชการทหารในปีนั้นแล้วก็ต้องถูกเกณฑ์ไปทุกปีจนกว่าจะอายุ ๓๐ ปี หลวงปู่เป็นทหารในกองทัพ ๓ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี

    ในสมัยนั้น เรื่องการเป็นทหารเกณฑ์ของหลวงปู่นั้น ท่านถูกเกณฑ์ทุกปีและในปีที่มีการคัดเลือกทหารอาสา ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรปในสงครามครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หลวงปู่ก็เคยเล่าว่า ท่านได้อาสาสมัครกับเขาเหมือนกันแต่ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับท่าน เนื่องจากผู้บังคับบัญชาบอกท่านว่า ในทวีปยุโรปอากาศหนาวจัดต้องดื่มเหล้า เพื่อช่วยให้คลายหนาวท่านจึงไม่ได้ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรป

    พรรษาแรก ความมุ่งมั่นอดทนของพระใหม่

    เมื่อหลวงปู่อุปสมบทแล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดเนินขาว จังหวัดลพบุรี ปฏิบัติอุปัชฌาย์ตามแบบแผนของภิกษุสมัยนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนทั้งทางปริยัติหรือปฏิบัติ คงทำวัตรท่องหนังสือสวดมนต์และปาฏิโมกข์ แต่ท่านอ้างเสมอว่าอุปัชฌาย์ทุกองค์ท่านสอน ปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท (นั่นก็คือ อุปัชฌาย์ท่านสอนให้ว่า เกศา – ผม โลมา – ขน นักขา – เล็บ ทันตา – ฟัน และ ตโจ – หนัง และทวนกลับ) ว่าให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ในร่างกายของตนและคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งกายและจิตใจ เป็นของหาที่ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้มานานแล้วทุกคน

    และในพรรษาที่หลวงปู่บวชนั้น ได้มีการสร้างศาลามุงสังกะสีขึ้น ซึ่งในการมุงหลังคาคราวนั้น มีเรื่องเล่าความมหัศจรรย์ทางอำนาจจิตของหลวงปู่ตั้งแต่สมัยบวชเดือนแรกทีเดียว เพราะในการมุงหลังคาและตามปกติในฤดูร้อน แดดก็ร้อนจัดในตอนบ่ายอยู่แล้ว และเมื่อเครื่องมุงเป็นสังกะสีด้วย ก็ยิ่งทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น พอตกตอนบ่ายทั้งพระและชาวบ้านต่างทนความร้อนไม่ไหว ต้องลงมาพักกันหมด คงเหลือแต่หลวงปู่ ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ยังไม่ครบเดือน มุงหลังคาอยู่ข้างบนองค์เดียวจนสำเร็จ

    เมื่อรับกฐินแล้วแต่พรรษาแรก หลวงปู่ท่านออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวกเจริญสมรธรรมตามอัธยาศัยองค์เดียว โดยไม่มีกลดมีมุ้ง แบบอุทิศชีวิตและเลือดเนื้อเป็นทาน (แก่ยุง) อยู่นาน จนเลือดแดงฉานติดจีวรและบินไปไม่ไหว

    พรรษาที่ ๒ ธุดงค์เดี่ยว

    เมื่อกลับจากธุดงค์พอใกล้เข้าพรรษา ท่านเข้ามาจำพรรษาที่วัดผดุงธรรม จังหวัดลพบุรี พอออกพรรษา ท่านก็ธุดงค์ไปองค์เดียวอีก

    เหตุอัศจรรย์ผจญวัวป่า

    หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ไปหนองคาย โดยออกจากจังหวัดลพบุรีไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ผจญเข้ากับวัวป่าฝูงหนึ่ง มันคงแปลกใจว่า เอ๊ะ ? อะไรนะ เป็นอันตรายกับพวกเขาหรือเปล่า หัวหน้าฝูงนั้นเข้ามาดม ๆ ดู แล้วก็ร้องมอ ๆ คล้ายกับจะบอกพรรคพวกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอันตราย เข้ามาได้แล้ว ตัวอื่นก็เข้ามาดมจนครบทุกตัวแล้วก็เลยไป

    คุณธรรมของท่านนั้น แม้แต่เดรัจฉานก็ส่งภาษาใจให้ผู้รู้เรื่องกันได้ หลวงปู่พูดเสมอว่า ภาษาธรรมนั้น ก็คือภาษาใจ อยู่ที่ไหนก็รู้กันได้ มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม

    พบซากศพตนเองในอดีต

    คราวนี้ท่านได้สอบดูนิมิตสมัยเด็ก ๆ ของท่านว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่นอกนครเวียงจันทร์ไม่ไกลนัก ซึ่งเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็นำเอาศพในอดีตชาติของท่านไปฝังไว้ และไม่ได้เผา ในนิมิตนั้นท่านเห็นกะโหลกศีรษะขาวโพลน โผล่ดินขึ้นมาตรงตอพุดซา ท่านจึงไปสอบดูตามนิมิต และได้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ ในภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน แต่กะโหลกที่พบจริงไม่ขาวเท่าในนิมิต และตอพุดซาไม่มีแล้วท่านจึงได้เผากระดูกนั้นด้วยตนเอง

    พรรษาที่ 3 จารพระไตรปิฎก

    ขณะที่ไปสอบดูตามนิมิตก็ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และในขณะที่ข้ามไปเวียงจันทร์ ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และวัดพระแก้วที่เวียงจันทร์ ท่านระลึกถึงอดีตชาติเมื่อเห็นตู้พระไตรปิฎกและจารด้วยตนเอง แต่สมัยเป็นสามเณรต่อมาเป็นภิกษุและเป็นสมภารเจ้าวัดในที่สุด ได้จารพระไตรปิฎก บรรจุไว้จนเต็ม 3 ตู้ ท่านว่าได้เป็นสมภารเจ้าวัดในฝั่งลาว 3 สมัย ตายตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยกลางคน ที่ท่านไปพบตู้ที่สร้างไว้นั้นไม่มีพระไตรปิฎกแล้ว

    lp-budda-07.jpg
    หลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร

    ขณะที่ท่านพักอยู่ ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย คราวหนึ่งท่านต้องไปกิจนิมนต์ร่วมกับภิกษุหลายรูปด้วยกัน ไปทางเรือตามลำน้ำโขงปรากฏว่าเรือเกิดจมลง พระรูปอื่นต่างว่ายน้ำหนีจากเรือหมด เหลือแต่ท่านองค์เดียวในเรือ และน้ำท่วมเกือบถึงคอแล้ว พอดีชาวบ้านเอาเรือไปรับนิมนต์ท่านขึ้นเรือแล้วเรือก็จมหายไป

    พบบิดาในอดีตชาติ

    พอออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง และในระหว่างทางนั้น ท่านได้พบกับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งออกจาริกไปตามป่าเขาทำนองเดียวกับท่าน

    หลวงพ่อสงฆ์ผ่านพรรษา ๔ แก่กว่าหลวงปู่บุดดาหนึ่งพรรษา แต่อายุหลวงพ่อสงฆ์แก่กว่าท่านหลายปี เพราะท่านบวชภายหลังมีครอบครัวแล้ว และเมื่อท่านพบหลวงพ่อสงฆ์ ท่านก็ระลึกได้ว่า เคยเป็นบิดาของท่านในอดีตชาติ ท่านก็เรียกคุณพ่อสงฆ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงที่สุดแห่งวาระของท่านเอง
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-budda/lp-budda-hist-01.htm

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่บุดดา

    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ


    ลป.บุดดากล่อง.jpg ลป.บุดดา.jpg ลป.บุดดาหลัง.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อบุญมี วัดนางชำ จ.อ่างทอง พระผู้มีสังขารไม่เน่าเปื่อย
    พระครู พิพัฒนาทร(หลวงพ่อบุญมี ปุญญพโล) ท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2450 ที่บ้านดาบ ตำบลคลองขนาก อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เกิดปีมะแม วันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
    เมื่ อายุได้ 12 ปี ได้บวชเป็นสามเณรจนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดนางชำ ซึ่งมีพระครูจันทร์ วัดบางจัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ระหว่างอุปสมบทได้รับการรักษาตัวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา และได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา เรียนวิชาเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กลับมาวัด และใช้วิชาความรู้ที่ได้รับการถายทอดมาจากหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจง รักษาญาติโยม เช่นรดน้ำมนต์ ใช้มีดหมอรักษาอาการต่างๆ เป็นต้น แล้วแต่ญาติโยมจะมาให้รักษา ปัจจุบันท่านมรณภาพหลายปีแล้ว แต่สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อยครับ ปัจจุบันศิษย์ได้ขอพระราชทานเพลิงศพให้กับท่านไปแล้ว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงพ่อบุญมี แจกวันมรณภาพ แต่เป้นพระที่ทันท่านอธิฐานจิตปี2537ครับ

    ให้บูชา200บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ


    ลพ.บุญมีกล่อง.jpg ลพ.บุญมีหน้า.jpg ลพ.บุญมี.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    Web-File0015.jpg

    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่ครูบาอิน อินโท

    วัดคันธาวาส (วัดทุ่งปุย)
    ต.ยางคราม กิ่ง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่


    ๏ อมตะมหาเถราจารย์

    “พระครูวรวุฒิคุณ” หรือ “หลวงปู่ครูบาอิน อินโท” หรือ “ครูบาฟ้าหลั่ง-ฟ้าลั่น” อมตะมหาเถราจารย์แห่งนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ผู้สูงยิ่งด้วยศีล จริยาวัตร และพุทธาคม เชี่ยวชาญสรรพวิชาตามตำราโบราณล้านนา จนเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ดังคำกล่าวของบรรดาพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ว่า

    “ขอเธอจงไปกราบครูบาอินที่เชียงใหม่และขอศึกษาวิชาจากท่านให้ดีๆ เถิด ท่านเป็นพระผู้เก่งกล้าสามารถมากจริงๆ” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม บ้านบ้านเเค ตำบลบางขุด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท

    “ดีอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว พระของครูบาอิน ไม่ต้องเสกอะไรอีกแล้ว” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ (ป่าช้าศาลาดำ) ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง

    “จิตของครูบาอิน ประภัสสรยิ่งแล้ว” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อชม วัดโป่ง จังหวัดชลบุรี

    “ครูบาอิน ท่านมีจิตมีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งเลยทีเดียว” เป็นคำกล่าวของครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    “หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่งนั้น ดีที่หนึ่งเลย” เป็นคำกล่าวของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

    “ครูบาอินท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบนะ” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต บ้านลูกกลอน ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ฯลฯ


    หลวงปู่ครูบาอิน อินโท ถือเป็นพระเถระสำคัญผู้เจริญด้วยพรรษาสูงแห่งเชียงใหม่ อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม ที่มีให้แก่ผู้เคารพนับถือตราบวาระสุดท้ายของชีวิต อันเป็นเหตุให้สมควรนำเถรประวัติและคำสอนของท่าน มาเผยแพร่เป็นสังฆบูชาสืบต่อไป

    พระครูวรวุฒิคุณ มีนามเดิมว่า อิน วุฒิเจริญ เป็นบุตรของนายหนุ่ม-นางคำป้อ เขียวคำสุข ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๖ (ตรงกับวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ เหนือ ปีเถาะ) ณ บ้านทุ่งปุย ตำบลยางคราม กิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (ปีที่ครองราชย์ พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) โดยเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในขณะนั้นคือ เจ้าอินทรวโรรสสุริยวงษ์ (ครองเมืองเชียงใหม่ พ.ศ.๒๔๔๔-๒๔๕๒) ท่านได้เล่าชีวประวัติว่า ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คนด้วยกัน คือ

    ๑. นายแก้ว เขียวคำสุข (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    ๒. พระครูวรวุฒิคุณ (มรณภาพแล้ว)
    ๓. นางกาบ ใจสิทธิ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    ๔. พ่อหนานตัน เขียวคำสุข (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    ๕. นางหนิ้ว ธัญญาชัย (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    พระครูวรวุฒิคุณ อธิบายถึงเรื่องที่ท่านใช้นามสกุลต่างไปจากบิดามารดาและพี่น้องว่า เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีการใช้นามสกุล เมื่อมาเริ่มใช้ในสมัยหลัง (รัชกาลที่ ๖) ต่างคนต่างก็ตั้งนามสกุลกันเอง ตัวท่านบวชอยู่ ท่านก็แต่งนามสกุลเองว่า “วุฒิเจริญ” เพื่อให้เป็นความหมายมงคลในความเจริญในพระพุทธศาสนา

    ท่านเล่าว่า ท่านเติบโตมาในครอบครัวชาวนา ชีวิตในวัยเด็กก็เรียบง่ายไม่ต่างไปจากเด็กสมัยนั้นโดยทั่วไป คือช่วยเหลือครอบครัวทำงาน พออายุได้ ๑๑-๑๒ ปี ก็ไปอยู่วัดเพื่อเรียนหนังสือ ท่านว่าสมัยก่อนเด็กอายุเท่านี้ก็ยังดูเป็นเด็กอยู่ ตัวไม่ใหญ่โต เนื่องจากสมัยก่อนเด็กกินนมแม่ ไม่ได้บำรุงด้วยนมวัวเช่นในปัจจุบัน เมื่อมีลูกศิษย์ถามถึงอุปนิสัยในวัยเด็กของท่านว่ามีแววอย่างไรบ้าง ถึงทำให้ท่านบวชอยู่ในพระพุทธศาสนานานจนถึงทุกวันนี้ ท่านตอบแต่เพียงว่าท่านก็มีความเมตตาเอ็นดูสัตว์ ไม่เคยทรมานสัตว์

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10766

    https://palungjit.org/threads/วรวุฒ...คลหลวงปู่ครูบาอิน-อินโท-ครูบาฟ้าหลั่ง.169758/
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อโสศธรหลังครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง รุ่นที่๕ของท่าน ปี ๒๕๓๓

    ให้บูชา500บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ครูบาอิน1.jpg ครูบาอิน1หลัง.jpg

    เหรียญครูบาอิน ที่ระลึกครบรอบวันเกิดปี๒๕๓๖
    ให้บูชา300บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ครูบาอิน.jpg ครูบาอินหลัง.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ประวัติ

    พระครูนิพัทธ์ธรรมาภรณ์ (พันธ์ สุมโน)

    เจ้าอาวาสวัดเขาล้อ เจ้าคณะตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์

    *


    [​IMG]

    ชาตุภูมิ

    พระครูนิพัทธ์ธรรมาภรณ์ นามเดิม พันธ์ นามสกุล บุญยอด นามฉายา สุมโน นามโยมบิดา นายดี บุญยอด นามโยมมารดา นางกลม บุญยอด ชาติกาล เกิดวันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด ตรงวันที่ 9 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2467 ณ บ้านนาแปะ-บ้านห่อง หมู่ที่ 9 บ้านเลขที่ 14 ตำบลตาโกน อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ

    การศึกษาเบื้องต้น

    เมื่อปฐมวัยอายุถึงเกณฑ์การเข้าโรงเรียนประถมศึกษาก็ไม่ได้เข้าเรียนเหมือนเด็กทั่วไป เนื่องจากสถานการศึกษาของรัฐยังจัดการให้ไม่ทั่วถึง การคมนาคมก็ไม่สะดวก สถานการศึกษายังอยู่ไกลกันดารมาก คนในรุ่นนั้นสมัยนั้นจะไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษา แม้ว่าจะมีอายุเข้าเกณฑ์เรียนหนังสือในระดับประถมศึกษา นอกจากพ่อแม่ผู้ปกครองจะนำเด็กเหล่านั้นไปฝากตัวไว้กับอาจารย์ตามวัดต่าง ๆ จึงจะมีโอกาสเรียนหนังสือ คนรุ่นนี้จึงปรากฏว่า บางคนอ่านหนังสือไม่ออกเป็นส่วนใหญ่ ที่อ่านได้เขียนได้เพราะไปเรียนหนังสือที่วัดเป็นส่วนมาก จึงปรากฏว่า คนรุ่นนี้ในบ้านนอกอ่านหนังสือไม่ออก หลวงพ่อก็เช่นเดียวกันไม่ได้เข้าโรงเรียน ในระหว่างนั้นก็อยู่ช่วยบิดามารดาทำนาอยู่หลายปี หลังจากนั้นบิดาได้นำไปฝากเข้าเรียนอักษรสมัยที่วัดใกล้เคียงบ้านจนสามารถเรียนรู้อักษรสมัยวิธีมีการเล่าเรียนกันอยู่ในชนบทในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี ยามว่างยามสิ้นทำนาก็ได้เข้าวัดอยู่บ่อย

    ตำบลเสียว อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านหลวงพ่อ ได้ศึกษาอักษรไทย พร้อมทั้งอักษรขอมเป็นวลาหลายปี ได้เป็นศิษย์พระอธิการบุญมา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ทำวัตรสวดมนต์รับใช้พระอาจารย์มาโดยตลอด

    การบรรพชา

    ในปีพุทธศักราช 2483 อายุนับได้ 16 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม 2483 มีเจ้าอธิการบุญมา เป็นพระอุปัชฌาย์ วัดบ้านสามขาเจ้าคณะตำบล ตำบลเสียว อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ บรรพชา ณ วัดบ้านสามขา ตำบลเสียว อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษนี้เอง บรรพชาเป็นสามเณรแล้วได้อยู่วัดบ้านสามขา ศึกษาพระปริยัติธรรม ศึกษาภาษาไทยและภาษาขอม ซึ่งในสมัยก่อนนั้นการเทศน์มหาชาติทุกวัดจะมีการเทศน์โดยภาษาขอมเป็นส่วนมาก จะหาหนังสือที่เป็นภาษาไทยเหมือนปัจจุบันนี้ได้ยาก หลวงพ่อจึงได้ศึกษาอยู่ที่วัดนี้มาจนถึงกาลอุปสมบทร่วมเวลา 4 ปี



    [​IMG]

    อุปสมบท

    ในปีพุทธศักราช 2487 อายุหลวงพ่อครบ 20 ปีพอดี ได้อุปสมบทต่อจากการเป็นสามเณรโดยมิได้สิขาลาเพศเป็นฆราวาสแต่ประการใด ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดบ้านตาโกน ตำบลตาโกน อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก ตรงกับวันที่ 4 เดือน มิถุนายน พุทธศักราช 2487 โดยมีเจ้าอธิการบุญมา วัดบ้านสามขา เจ้าคณะตำบลเสียว อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาสิงห์ ฉายา........................วัดศรีสวาสดิ์ (ปลาซิว) วัดบ้านตาโกน ตำบลตาโกน อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระครูพุทธิธรรม ฉายา เขม?กโร วัดโนนลาน ตำบลเป๊าะ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาในทางพุทธศาสนาว่า “ สุมโน ” อุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสามขา ตำบลเสียว อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ โดยศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นเวลา …………….ปีต่อจากนั้นก็ได้ย้ายจากวัดสามขาไปอยู่ ณ วัดม่วงสามสิบ ตำบลม่วงสามสิบ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมและบาลีเป็นเวลา 5 ปี

    ในระยะนี้หลวงพ่อได้ทราบข่าวว่าที่ใดมีสำนักเทศน์ดัง ๆ จะพยายามไปศึกษาในสถานที่ต่าง ๆ เช่น จังหวัดขอนแก่น เคยเดินทางไปแถวปักใต้เพื่อหาที่ปฎิบัติ จนในช่วงพรรษาที่ 11 หลังออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อได้เดินทางมาเยี่ยมญาติที่หนองสะเอิ้ง ตำบลสายลำโพง อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ได้พักอยู่ที่นั่นกับญาติ ๆ บรรดาญาติโยมทางบ้านเขาล้อทราบข่าวนี้จึงปรึกษาหาลือกันนิมนต์หลวงพ่อมาอยู่ที่ วัดเขาล้อ เพราะที่วัดเจ้าอาวาสว่างพอดีหลวงพ่อจึงรับนิมนต์ตามศรัทธาของญาติโยมบ้านเขาล้อ นับแต่พรรษาที่ 12 หลวงพ่อจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดเขาล้อ โดยรับภารธุระด้านการศึกษา การปกครอง การเผยแผ่ การก่อสร้างปฎิสังขรณ์ ปรับปรุงมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันนี้


    วิทยฐานะ

    พ.ศ. 2483 สอบ น.ธ. ตรี ได้ สำนักเรียนวัดสระกำแพงใหญ่ ตำบนสระกำแพง อำเภอ อุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ

    พ.ศ. สอบ น.ธ. โท ได้ สำนักเรียนวัดเวฬุวัน ตำบลไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัด อุบลราชธานี

    พ.ศ. 2500 สอบ น.ธ. เอก ได้ สำนักเรียนวัดเขาล้อ ตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัด นครสวรรค์

    การศึกษาพิเศษ ได้รับวุฒิบัติการศึกษาอบรมพระอภิธรรมมาจากหน่วยพัฒนาการ ทางจิตสำนักอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2509 ความชำนานการชำนานการด้านนวกรรมเขียนแบบแปลนแผนผังควบคุมการก่อสร้าง



    หน้าที่การปกครอง

    พ.ศ. 2503 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดเขาล้อ

    พ.ศ. 2510 ดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌาย์

    พ.ศ. 2517 ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลดอนคา



    ด้านการศึกษา

    พ.ศ. 2494 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกนักธรรม

    พ.ศ. 2498 ร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการสอบธรรมสนามหลวง จนถึงปัจจุบันเป็นกรรมการตรวจ ประโยคนักธรรมสนามหลวง จังหวัดนครสวรรค์

    พ.ศ. 2503 ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเรียน วัดเขาล้อ

    เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนบ้านเขาล้อ

    พ.ศ. 2513 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนบ้านพญาวัง อ. บึงสามพัน จ. เพชรบูรณ์

    พ.ศ. 2515 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนหนองมะดัน อ. วิเชียรบุรี จ. เพชรบูรณ์

    พ.ศ. 2516 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนบ้านหนองสะแกยาว เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนบ้าน สามขา ต. เสียว อ. อุทุมพรพิสัย จ. ศรีสะเกษ

    พ.ศ. 2520 เป็นประธานกรรมการก่อสร้างโรงเรียนบ้านเขาใหญ่ อ. ไพศาลี จ. นครสวรรค์

    พ.ศ. 2521 เป็นผู้อำนวยการเปิดสอนการศึกษาผู้ใหญ่ที่วัดเขาล้อ อ. ท่าตะโก จ. นครสวรรค์

    พ.ศ. 2522 เป็นประธานกรรมการก่อสร้างโรงเรียนบ้านซับลิ้นทอง อ. บึงสามพัน จ. เพชรบูรณ์

    หลวงพ่อได้พยายามส่งเสริมการศึกษาทั้งแผนกธรรม แผนกบาลี การศึกษาทางโลกเสมอมา ซึ่งมีนักเรียนสอบไล่ได้ทุกปี มากบ้าง น้อยบ้าง ตามสมควร ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเรียนได้ตั้งปณิธานอันแน่วแน่ที่จะส่งเสริม สนับสนุน การศึกษาให้เจริญรุ่งเรือง

    ปรากฏว่า การศึกษาได้เจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับนับแต่เริ่มเป็นเจ้าอาวาสวัด เจ้าสำนักเรียนตั้งแต่ต้นจนถึงมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีพระสงฆ์สามเณรที่อยู่จำพรรษาในอารามนี้สอบได้มากนับว่าเป็นศรีสง่า เป็นเกียรติประวัติแก่สำนักเรียนและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ช่วยประกาศพระศาสนาได้อย่างมาก ได้ช่วยสร้างคนให้มีคุณภาพ ในทางพระศาสนามากมายทีเดียว ให้คนเป็นคนดี มีศีลธรรม ประกอบอาชีพ ในทางสุจริตมามากโขทีเดียว ยังได้ช่วยชาติโดยให้เยาวชนได้มีความรู้ ความฉลาด ความสามรถ มีมารยาทอันดีงามได้ช่วยชาติและพระศาสนามากมาย

    การพัฒนาวัด

    จัดเกรดพี้นที่บริเวณกุฎีที่สร้างใหม่ ๖หลัง บนเชิงเขาให้เรียนร้อยสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับจำนวนกุฎีที่ได้จัดสร้างขึ้น

    จัดทำความสะอาดพระอุโบสถ โรงเรียนปริยัติธรรม และศาลาการเปรียญธรรม ตลอดพื้นที่บริเวณวัดทั่วๆไป เป็นประจำทุกปี

    จัดขุดลอกสระน้ำภายในวัด – บริเวณใกล้เคียงวัด – บ้านในฤดูแล้งเพื่อให้เก็บน้ำได้มาก

    จัดให้มีการต่อไฟฟ้าเข้าวัดเพื่อสะดวกแก่ พระสงฆ์ สามเณร ที่ศึกษาเล่าเรียนในเวลากลางคืน อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ที่เข้ารักษาศีลฟังธรรมประจำอยู่ที่วัดประจำ

    หลวงพ่อยังได้รับเอาเป็นภาระธุระ ในการควบคุมดูแลระวังรักษา ถาวร วัตถุสิ่งก่อสร้างทั่วทั้งอารามเป็นอย่างดียิ่ง ได้ทำการบูรณะปฎิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมเสียหายให้กลับคืนดีมีสภาพมั่นคงถาวรงดงามเหมือนอย่างเดิม ได้ก่อสร้างสิ่งที่ไม่มีให้เกิดมีขึ้นในพระอาราม และหลวงพ่อยังทำความเจริญทางด้านวัตถุ-ทางด้านจิตใจไปสู่ที่อื่นมากมาย ยังได้สละปัจจัยส่วนตัวสร้างโดยไม่เคยมีเงินฝากกับธนาคารหรือใครทั้งสิ้น หวังเพียงเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เป็นที่ประกอบคุณงามความดีเป็นสำคัญ

    หลวงพ่อเป็นนักพัฒนา ได้นำความาเจริญเข้าสู่หมู่บ้านและอำเภอเป็นอย่างมากทั้งยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง นอกจากจะบริหารกิจการคณะสงฆ์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นผู้เสียสละและได้เป็นผู้นำคณะสงฆ์ พร้อมทั้ง กับเชิญชวนประชาชนก่อสร้างถาวรวัตถุ อันเป็นสาธารณะกุศลไว้หลายที่ หลวงพ่อยังได้เป็นผู้บำเพ็ญคุณประโยชน์นานับประการแก่ประเทศชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์

    ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้ตรงกับปีที่หลวงพ่อมีอายุครบ ๕ รอบ ๖๐ ปี ได้มีโครงการตั้งธนาคารข้าวขึ้นที่ วัดเขาล้อ ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ เพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์ประชาชนที่ยากจน มีหนี้มีสิน ทำนาประสบปัญหาต่าง ๆ ได้พึ่งพาอาศัย ธนาคารข้าวนี้

    การเผยแผ่

    หลวงพ่อ เป็นผู้พูดรู้ใจผู้ฟังเป็นอย่างดี มีปฎิภาณ โวหารดี โดยเฉพาะในทางแสดงธรรม ปาฐกถาธรรม บรรยายธรรมได้ดีทุกโอกาส สามารถทำให้ผู้ฟังเกิดความอาจหาญร่าเริงไม่ง่วงเหงา เป็นผู้พูดตรงไปและก็ตรงมา จึงเป็นที่นิยมศรัทธา ชมชอบชองทุกท่าน

    พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นผู้อบรมศีลธรรมประจำโรงเรียนประชาบาล บ้านเขาล้อ

    พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ประจำสำนัก วิปัสสนา วัดเขาล้อ

    พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นพระธรรมทูต ประจำอำเภอ ท่าตะโก ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน และร่วมมือกับทางราชการ ชี้แจง อำนวยความสะดวกให้

    พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลดอนคา (อ.ป.ต.)

    พ.ศ. ๒๔๒๒ จัดประชุมธรรม ที่วัดเขาล้อ เป็นประจำทุกปี ในระหว่าง เดือนสิงหาคมของทุกปี

    พ.ศ. ๒๕๒๓ – ๒๕๒๗ เป็นผู้อุปถัมภ์การจัดประชุมธรรมที่วัดสระโบสถ์ ตำบลดอนคา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งเป็นผู้อุปถัมภ์การประชุมธรรมที่วัดอื่นๆ ด้วย

    ในเทศกาลเข้าพรรษาทุกพรรษา จะมีการแสดงพระธรรมที่วัดประจำทุกวันจนออกพรรษา หลวงพ่อยังเป็นวิทยากรบรรยายธรรมตามวัดต่างๆ มิได้ขาด เช่น งานประชุมธรรมงานอบรมพระนวก และเป็นพระอาจารย์กรรมในสถานที่มีการจัดปริวาสต่างๆ



    ปฎิปทาพิเศษ

    หลวงพ่อมีปฏิปทาพิเศษ คือ ไม่ถือตัว พูดจาสนทนาได้กับทุกคน แม้กระทั่งเด็กผู้ใหญ่ และผู้เฒ่าผู้แก่ จำคนได้แม่นยำ ใจเย็น เป็นที่พึ่งได้ทุกคน กรณียกิจที่พิเศษปรากฎจนเป็นที่ประจักษ์ คือ การสวดมนต์ไหว้พระ เช้า-เย็น จะไม่ขาด เว้นแต่จะมีธุระจริงๆ การเสียสละ ปกติจะบริจาควัตถุสิ่งของเพื่อการกุศลเสมอไม่เลือกสถานที่ เครื่องบริขารต่างๆ ที่ได้มาจากศรัทธาของญาติโยมโดยมากจะทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ทำบุญอื่นๆ มิได้ขาด โยมที่นิมนต์หลวงพ่อไปเป็นประธานในการจัดงานต่างๆ เสมอ ปัจจัยต่างๆ ที่ได้รับจากในที่นั้นจะถวายไว้ที่นั้นเสมอ หลวงพ่อได้เคยร่วมตั้ง มูลนิธิในวัดต่างๆ ไว้มาก

    หลวงพ่อได้รวบรวมจตุปัจจัยที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ของพระ เช่น นั่งอุปัชฌาย์ในวัดนอกวัดกิจนิมนต์ อื่นๆ ไว้ใช้จ่ายโดยส่วนรวม โดยไม่นำไปใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นโดยหวังประโยชน์ส่วนตัว การส่งเคราะห์เสมอกันหมด ด้วยปฏิปทาและกรณียกิจที่พิเศษของหลวงพ่อนี้ ศิษยานุศิษย์ตลอดจนสาธุชนทั้งหลายจึงเทิดทูนในอุปการะคุณโดยมิได้เสื่อมคลาย

    งานพิเศษ

    ได้มีกิจกรรมพิเศษในวันสำคัญทางพระศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาฬหบูชา ในระหว่างพระภิกษุสามเณร และประชาชน เช่น การปฏิบัติธรรม อบรมพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ครูนักเรียน ประชาชน ให้รู้จักรับผิดชอบชั่วดี

    มีการร่วมมือกับคณะสงฆ์หรือทางราชการในการเผยแผ่ ความรู้ในเรื่องต่างๆ และได้เข้ามีส่วนร่วมการประชุมกับทางการคณะสงฆ์ที่อำเภอ หรือที่จังหวัดตามโอกาสที่ได้รับคำสั่ง เช่น ประชุมเจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะตำบลในเขตอำเภอและจังหวัด หรือการประชุมอื่นๆ ใดที่ทางการคณะสงฆ์หรือทางราชการได้จัดขึ้น

    สมณศักดิ์

    สมณศักด์เป็นเครื่องวัดผลงานของหลวงพ่อได้เป็นอย่างดียิ่ง จากผลงานที่ได้รับภาระธุระมาด้วยความอุตสาหะ วิริยะเป็นอย่างดีดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุสนับสนุน ส่งเสริมให้หลวงพ่อมีความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย ได้รับการยกย่องให้มีสมณศักดิ์ประดับเกียรติประวัติ โดยได้รับความไว้วางพระทัย วางใจ จากผู้บังคับบัญชา จึงได้รับสมณศักดิ์มีวาระโดยลำดับ คือ

    พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับการแต่งตั้งเป็นฐานะนุกรมที่พระสมุห์

    พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

    พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นประทวน

    พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี มีพระราชทินนามว่า พระครูนิพัทธะร รมาภรณ์

    พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นโท มีพระราชทินนามว่า พระครูนิพัทธ์ธร รมาภรณ์ เดิม

    บัดนี้ คณะศิษยานุศิษย์ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์ รู้สึกสำนึก ในพระคุณของหลวงพ่อที่สงเคราะห์อนุเคราะห์ ทั้งทางวัตถุ ทั้งทางธรรมคือ ความรู้ที่เป็นทั้งคดีโลกและที่เป็นทั้งคดีธรรมมาจวบจนอายุของหลวงพ่อครบ ๕ รอบ คือ ๖๐ ปี คณะศิษยานุศิษย์รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ เนื่องในวันครบรอบ ๖๐ ปีของหลวงพ่อนี้ จึงได้จัดงานบำเพ็ญกุศลร่วมกับหลวงพ่อ เพื่อบูชาสักการะพระคุณ จึงได้ของตั้งกัลยาณจิต ของอาราธนาเอาคุณพระศรรีรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเดชบุญญาบารมีทั้งที่มีอยู่ในโลก พร้อมทั้งบุญกุศลที่ศิษยานุศิษย์ได้บำเพ็ญมาแล้วในอดีตปัจจุบัน จงดลบันดาลให้หลวงพ่อ จงประสพแด่ ความสวัสดี ปราศจากโรคภัยพิบัติอุบัติอันตรายทั้งปวง มีความเกษมสำราญ ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เทอญ

    พระครูนิพัทธ์ธรรมาภรณ์ (พันธ์ สุมโน)ได้อาพาธด้วยโรคชราภาพ พักรักษาตัวอยู่ที่ศรีสะเกษ พระอาการอาพาธเริ่มทรุดจึงย้ายท่านเข้ารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เดินทางถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ.2555 เวลา 20.39 น. ตึกวชิรญาณ ชั้น 4 พักรักษาตัวจนถึงเช้าของวันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 01.15 น.ได้สละสังขาร ขณะนี้ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่บ้านดอนคา ณ วัดเขาล้อ อ. ท่าตะโก จ. นครสวรรค์ บำเพ็ญกุศลครบ 100 วันในวันที่ 22 เมษายน 2555 นี้
    http://watkhaolow.siam2web.com//?cid=1130969

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อพันธ์ วัดเขาล้อ นครสวรรค์
    ให้บูชา200บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ
    ลพ.พันธ์.jpg ลพ.พันธ์หลัง.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เมื่อเอ่ยถึง หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ศิษย์ทุกคนจะต้องนึกถึงการนั่งสมาธิเพชรไปด้วย

    สมัยที่องค์หลวงปู่ยังอยู่ ใครไปภาวนาที่ถ้ำผาปล่อง ท่านต้องให้หัดนั่งสมาธิเพชรฟังเทศน์กันทุกคน

    สมาธิเพชรจึงเป็นเสมือนท่าบังคับในการนั่งภาวนาของสำนักถ้ำผาปล่อง

    บางคนสงสัยว่าหลวงปู่เป็นต้นคิดของการนั่งสมาธิภาวนาแบบนี้หรืออย่างไร เพราะที่อื่นๆ ก็ไม่ได้เข้มงวดกวดขันกับท่านั่งมากมายนัก มีแค่บอกให้นั่งสบายๆ คงมีเฉพาะสำนักของหลวงปู่เพียงแห่งเดียวที่ทุกคนต้องนั่งสมาธิเพชรภาวนา

    เกี่ยวกับคำถามเรื่องนี้ หลวงปู่บอกว่า : -

    “อันการนั่งสมาธิภาวนาขัดสมาธิเพชรนี้ ไม่ใช่ว่าหลวงปู่เป็นผู้คิด

    พระพุทธรูปปางต่างๆ โดยเฉพาะทางเชียงแสน หรือหลวงพ่อองค์ที่ขัดสมาธิเพชรมีมากมาย

    สมัยโบราณ ท่านนิยมหล่อพระนั่งขัดสมาธิเพชร ต่อมาญาติโยมขี้เกียจนั่งภาวนาขัดสมาธิเพชร ก็เลยหล่อไปตามใจชอบ ตามนั่งสบาย”

    หลวงปู่สอนวิธีนั่งขัดสมาธิเพชร ดังนี้ : -

    “การนั่งขัดสมาธิเพชรนี้ ให้เอาขาซ้ายขึ้นมาทับขาขวาก่อน แล้วก็เอาขาขวาขึ้นมาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาทับมือข้างซ้าย ตั้งกายให้เที่ยงตรงเหมือนพระพุทธรูป หรือเหมือนหลวงปู่สิม..รูปเหมือนมานั่งอยู่นั่นแหละ เพิ่งนั่งตัวตรงดี แล้วก็อ้วนท้วนดี เพิ่งนั่งภาวนาละ

    ฉะนั้น ให้พากันตั้งใจหัดนั่ง หัดไปนั่งทุกคืนๆ เรานั่งที่วัดได้แล้ว กลับไปบ้าน หรือทุกคืนที่เราก่อนจะหลับจะนอนก็นั่งให้ได้ เพราะว่าการนั่งขัดสมาธิเพชรนี้ เป็นของดีวิเศษ ไม่มีอะไรจะดีเท่าเทียมได้”

    “การนั่งขัดสมาธิเพชรนั้น เป็นการฝึกฝนคนเราให้เกิดความตั้งใจมั่น

    ดูเมื่อพระพุทธเจ้าเราจะได้ตรัสรู้นั้น พระองค์นั่งขัดสมาธิเพชรใต้ร่มโพธิ์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า...

    ...นั่งสมาธิเพชร ใจของเราต้องเป็นเพชร ไม่ใช่เป็นพลอย..พลอยตามกิเลส

    เป็นเพชร คือว่า ถ้าเหล็กเพชร ก็เรียกว่าตัดเหล็กต่างๆ ได้ เพชรนิลจินดา มนุษย์สมมุติกันว่ามีราคาแพง แต่ยังสู้ ใจเพชรพระพุทธเจ้าไม่ได้

    ใจเพชรพระพุทธเจ้านั้น นั่งขัดสมาธิเพชร ทางร่างกายได้เจ็บปวดทุกขเวทนาอะไรๆ ทิ้งหมด พระองค์สละตายลงไป

    เราทุกคนก็ให้พยายามหัดนั่งสมาธิเพชร จิตมันจะได้เป็นเพชรบ้าง

    เดี๋ยวนี้มันเป็นแต่พลอย กิเลสราคะมาก็พลอยตาม โทสะมาก็พลอย โมหะมาก็พลอย พลอยตามมันไป...”

    ๗๓. ท่านทำเป็นตัวอย่าง

    เรื่องการนั่งขัดสมาธิเพชร ต่อนะครับ : -

    เวลามีคนใหม่ที่ตั้งอกตั้งใจไปหัดนั่งสมาธิเพชร หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จะสอนโดยองค์หลวงปู่เองทำให้ดูเป็นตัวอย่างช้าๆ ถึงการยกขาทั้งสองมาขัดกัน

    พร้อมกันนั้น หลวงปู่ก็จะอธิบายประกอบด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสนุ่มนวล ฟังแล้วเกิดกำลังใจและมั่นใจว่าจะต้องทำให้ได้

    คำพูดให้กำลังใจของหลวงปู่ ทำให้ศิษย์ผู้มาใหม่ต้องกัดฟันยกขาที่แข็งโป๊กทั้งสองข้าง ค่อยๆ ดัดขึ้นมาไขว้กันตามอย่างที่ท่านทำให้ดูให้จงได้

    แม้บางคน จะรู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาแทบเล็ด และบางคนรู้สึกคล้ายจะล้มหงายท้องตึงลงเดี๋ยวนั้น ก็จำเป็นต้องทนเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม

    เสียงหลวงปู่ ท่านพูดเป็นการปลอบประโลม : -

    “ ไม่ต้องหนักอกหนักใจ ทำตาม หลวงปู่จะทำให้ดูการนั่งแบบนี้ ตอนแรกๆ ก็ขัดข้องบ้าง คือมันยังไม่คุ้นเคย ปวดแข้งปวดขาบ้าง เส้นเอ็นมันยังไม่ยาน ยังตึงอยู่คนเรา ไม่ว่าอะไร การงานใดๆ มันยังใหม่ ก็ยังไม่คล่องตัว

    ที่จะได้เป็นไปก็คือว่า ต้องหัดนั่งไปทุกๆ คืน เดี๋ยวมันก็คล่องสบาย เป็นการหัดกายบริหารอย่างหนึ่ง หรือว่า ดัดเส้นฤๅษี ก็ว่าได้..

    ...ความจริงแล้ว ร่างกายของมนุษย์คนเรานั้น จะนั่งอย่างไรมันก็มีความเจ็บปวดเป็นธรรมดา เพราะร่างกายมนุษย์นั้น ร่างกายละเอียด เนื้อก็อ่อน หนังก็บาง ไม่เหมือนหนังควาย ไม่ว่านั่งแบบใดก็ต้องเจ็บปวด...

    ...หัดนั่งให้มันได้ เอาขาซ้ายขึ้นมาทับขาขวาก่อน แล้วเอาขาขวาขึ้นมาทับขาซ้าย ตอนแรกมันไม่อยู่ เส้นเอ็นมันตึง ก็ให้เอามือจับไว้ไม่ให้มันหลุดลงไป พอนั่งไปสักพักหนึ่งมันก็จะยานออก (ความเจ็บปวด) ก็จะค่อยหายไป...”

    ท่านผู้อ่านครับ ผมเคยไปกราบหลวงปู่ ที่บ้านกรุงเทพภาวนา ดูเหมือนจะอยู่ซอยนภาศัพท์ สุขุมวิท ซอย ๓๖ แถวๆ พระโขนง เป็นตอนค่ำ ราวๆ ๒ ทุ่ม มีญาติโยมนั่งอยู่เต็มห้อง หลวงปู่ท่านนั่งสงบเย็น เปล่งน้ำเสียงสงบเย็น อยู่ด้านหน้าของพวกเรา

    เริ่มต้นการแสดงธรรม หลวงปู่ท่านก็แนะนำให้นั่งขัดสมาธิเพชรเหมือนกับที่บอกในตอนต้นนี้แหละครับ

    ศิษย์ทุกคน ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่ ดูจะกระตือรือร้น ต่างก็ตั้งใจจะทำให้ได้ ผมเองก็ตั้งใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

    เมื่อทุกคนนั่งเข้าที่กันเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ ท่านก็ให้ธรรมะ ทุกคนตั้งใจทำสมาธิ บรรยากาศเงียบสงบ ชนิดที่แม้เข็มหล่นลงกระทบพื้น ก็คงจะได้ยินอย่างแน่นอน

    หลังจากหลวงปู่ ท่านเทศน์ไปได้ราวๆ ๕ นาที เสียงเหมือนของหนักกระทบพื้นดัง “พลั่ก !” ก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

    หลายคนใกล้ๆ กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปล่อยคิกคักออกมา แล้วมีคนหนึ่งพูดเบาๆ ว่า “ใครทำเพชรหลุด?”

    ท่านผู้อ่านครับ คงจะถึงเวลา “สารภาพ” กันแล้ว ผู้ที่ทำเพชรหลุด ทำลายสมาธิของผู้ที่นั่งข้างเคียงคืนนั้น ก็คือ ผมเองครับ!

    ผมพยายามเต็มที่แล้ว ตอนแรกก็พยายามเอามือกำข้อเท้าประคองตัวไว้ พอปล่อยมือเท่านั้น เท้าขวาก็ดีดผึง เตะพื้นดัง “พลั่ก!” มันสุดวิสัยครับ !

    ผมเก็บความลับนี้ไว้ ๒๐ ปีกว่า เพิ่งมีโอกาสสารภาพตอนนี้เอง เพชรเม็ดที่ผมทำร่วงเอาไว้ ปานนี้คงไม่เหลืออยู่ ท่านเจ้าของบ้านคงจะปัดกวาดทิ้งไปหมดแล้ว

    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-sim/lp-sim-hist-501.htm

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่สิม พุทธจาโร
    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.สิม.jpg ลป.สิมหลัง.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,148
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๕๑ วันพฤหัสบดี ตรงกับวันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปี วอก ที่ตำบล ม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี โยมบิดา ชื่อ นายวิง พรหมวงษ์ โยมมารดา ชื่อ นางฟัก พรหมวงษ์ มีพี่น้องรวมกัน ๗ คน เป็นชาย ๒ คน เป็นหญิง ๕ คน หลวงปู่ใบ เป็นบุตรคนที่ ๕ ในตระกูลพรหมวงษ์ เรียนหนังสือที่วัดตึกราชา
    บรรพชาเป็นสามเณร
    พออายุได้ ๑๐ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดตึกราชาอยู่ ๖ พรรษา พออายุได้ ๑๕ ปีได้ลาสิกขาจากสามเณรไปช่วยบิดาทำนา
    การอุปสมบทครั้งแรก
    พออายุได้ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทที่วัดตึกราชา โดยมี พระครูเกศีวิกรม (หลวงพ่อพูล) เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อไป๋ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แก้วนพคุณ เป็นกรรมการวาจาจารย์ หลวงพ่อช่วงเจ้าอาวาสวัดตึกราชา เป็นอนุสาวนาจารย์ ขณะที่อุปสมบทได้ศึกษาปริยัติธรรม และสอบได้นักธรรมชั้นตรี และนักธรรมชั้นโท กับได้เป็นครูปริยัติธรรมให้แก่พระภิษุสามเณร ในนักธรรมศึกษาชั้นตรี และชั้นโทด้วย
    ได้ไปศึกษาพระธรรมวินัย กับหลวงปู่ฉาย สุวรรณสโร ณ วัดป่าธรรมโสภณ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เป็นเวลา ๑ ปี
    ขณะอยู่ที่วัดตึกราชาได้ไปศึกษาวิชาหมอดูจากหลวงปู่สุดอยู่ 3 ปี หลวงปู่สุดนี้เป็นพระสงฆ์ที่มาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสังฆราชาวาส
    เมื่อหลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม อุปสมบทอยู่ได้ 5 พรรษาก็ต้องลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดาทำนา แต่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะอุปสมบทอีก โดยได้ไปทำการลาสิกขากับพระครูเกศีวิกรม เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี หลวงปู่พูดกับพระครูว่า “เมื่อผมมีความร่ำรวยผมจะใช้ตำราหมอดูนี้ช่วยเหลือประชาชน โดยไม่คิดเงินทอง” ในระหว่างที่มาช่วยบิดาทำนา ก็ได้รับประโยชน์มากอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำนา หรือพืชไร่
    ชีวิตพ่อค้า
    ในระหว่างนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก และเป็นช่วงที่เศรษฐกิจ บางอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลง หลวงปู่ใบได้ใช้เวลาว่างในระหว่างการหยุดทำนา เป็นพ่อค้าซื้อน้ำตาลจากห้วยกรด จำนวน ๖๐๐ ถึง ๗๐๐ ไห ราคาไหละ ๑ บาท บรรทุกเรือนำไปขายทางเทศเหนือ เช่นที่ คลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร ขายราคาไหละ หกสลึง หรือ เจ็ดสลึง ขายหมดแล้วเมื่อขาล่องก็ซื้อกล้วยไข่ประมาณ ๓,๐๐๐ หวี มีขี้ไต้ น้ำมันยาง บางครั้ง ก็ซื้อเรือล่องลงมาขายด้วย ปีหนึ๋ง ๆ ขายได้ประมาณ ๔ เที่ยว
    เมื่อมีเงินมากพอก็สามารถซื้อนาได้ ๓๗ ไร่ และปลูกเรือนขึ้นใหม่อีก ๒หลัง มีเรือไว้ใช้ ๓ ลำ หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม พูดเสมอ ๆ ว่าทำอะไร ๆ ได้มักได้ผล เกิดจากความมหัศจรรย์
    เมื่อทางบ้านมีหลักฐานมั่นคงแล้ว หลวงปู่ใบ คิดอุปสมบทอีกจึงบอกความประสงค์กับบิดา แต่บิดาไม่ยอมให้อุปสมบท โดยบิดาพูดว่า เจ้าเป็นคนสร้างฐานะให้พ่อแม่ต้องการให้หลวงปู่ใบเป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัตินั้นต่อไป และต้องการให้หลวงปู่มีภรรยาเป็นหลักฐาน ต่อมาได้ทำการมงคลสมรสกับ นางสาวสังวาลย์ อายุ ๒๔ ปี ขณะนั้นหลวงปู่อายุ ๒๙ ปี มีบุตรหญิงหนึ่งคนชื่อ คุณมานะ ( พรหมวงษ์ )ต่อมาแม่สังวาลย์ พรหมวงษ์ ได้ถึงแก่ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ได้ ๓๑ ปี ขณะนั้นหลวงปู่อายุได้ ๓๖ ปี
    ปลูกกระท่อมอยู่เพื่อความสงบ
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม (ขณะนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่)ได้ปลูกกระท่อมอยู่ที่หางคลอง ขณะนั้นแม่สังวาลย์ พรหมวงษ์ ยังมีชีวิตแต่การที่ไปอยู่ที่นั่น เพื่อผลแห่งการปฏิบัติธรรม เพื่อความสงบของท่าน และเพื่อสะดวกกับบรรดาลูกศิษย์ และผู้ที่มีความประสงค์จะมาพบท่าน
    ทำบุญต่ออายุ
    เมื่อหลวงตามีอายู ๘๐ ปี (ยังเป็นฆราวาสอยู่) ได้มีการทำบุญต่ออายุ โดยมีมหาประมวลเจ้าคณะอำเภอเมือง เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ พร้อมด้วยคณะลูกหลาน
    การอุปสมบทครั้งที่ ๒
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้อุปสมบทที่วัดพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ ขณะที่มีอายุ ๘๓ ปี
    โดยมีพระธรรมมุนี (หลวงพ่อแพ เขมังกโร) เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระครูสุจิตตานุรักษ์ (หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระครูโพธาภิวัฒน์(หลวงพ่อกลอ วัดโพธิ์ลังกา) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม เมื่อได้อุปสมบทแล้วได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดตึกราชา ขณะนี้ร่างกายของหลวงปู่ใบชราลงมากแล้วแต่ยังช่วยผู้มีความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้บ้างพอสมควร
    \
    \[​IMG]
    \
    หลวงตาอาพาธ
    ต่อมาหลวงปู่ใบมีอาการอาพาธหลายครั้ง บางครั้งต้องเข้าโรงพยาบาล ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๓๘ หลวงปู่ มีอาการอาพาธมากกว่าทุกครั้ง สาเหตุมาจากความชรา ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องมีคนคอยพยาบาลช่วยเหลือ แต่หลวงปู่ใบมีสติดีตลอด และก็มีผู้มาเยี่ยมและผู้มาขอให้ช่วยเหลือมิได้ขาด โดยหลวงปู่ใบก็มิได้ปฏิเสธ พยายามช่วยเหลือทุกรายไป
    หลวงปู่ใบ ละสังขาร
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้ละสังขารวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เวลา ๐๘.๔๗ น. การละสังขารของหลวงปู่ใบครั้งนี้นำความอาลัยเศร้าโศกมาสู่บรรดาศิษย์ และผู้ที่เคารพรักใคร่หลวงปู่เป็นอย่างมาก
    บำเพ็ญประโยชน์
    ในระหว่างที่หลวงปูใบมีชีวิต ได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา คือ
    ๑. จัดผ้าป่าสามัคคี ช่วยสร้างสะพานข้ามแม่น้ำในวัดบางพึ่ง และศาลาข้างสะพาน จ.ลพบุรี พ.ส. ๒๕๒๘ จำนวนเงิน ๑,๐๑๒,๔๒๙.๐๐ บาท
    ๒.เป็นประธาน สร้างสะพานข้ามแม่น้ำลพบุรี หน้าวัดตึกราชา ปี พ.ศ. ๒๕๓๙
    ๓.ที่วัดตึกราชา ได้บูรณะซ่อมแซมและก่อสร้างหลายสิ่งหลายอย่างเช่น ซ่อมแซมอุโบสถหลังเก่า และก่อสร้างเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ทำถนนภายในวัด และรั้ว
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ในวัดตึกราชา ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดลสิงห์บุรี สูง ๙ วา ๖ ศอก ๓ คืบ ที่ฐานประเจดีย์หล่อรูปเหมือนอดีตเจ้าอาวาสวัดตึกราชา จำนวน ๖ องค์ ไว้โดยรอบฐานพระเจดียนั้นหลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้พูดว่าต้องใช้กระเเสจิตตรวจอยู่หนึ่งพรรษา เมื่อเข้ามาในกระเเสจิตดูว่าเป็นพระที่ไม่จับต้องเงินทองทั้งสิ้น เช่นเดียวกับ หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม หลวงปู่ใบก็ไม่จับต้องเงินทอง ผู้ใดจะทำบุญกับหลวงปู่ใบ หลวงปู่ใบจะใช้บาตรรับ หรือใครจะทำบุญหลวงปู่ก็ให้ใส่ลงในบาตร
    หลวงปู่ทั้ง ๖ องค์ ที่อยู่รอบฐานเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ คือ
    ๑. หลวงปู่ทวด เฒ่า
    ๒.หลวงปู่ทวด สุข
    ๓.หลวงปู่ทวด คำ
    ๔.หลวงปู่ทวด น้อย
    ๕.หลวงปู่ทวด ช้าง
    ๖.หลวงปู่ทวด บุญ
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม เป็นประธานในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุที่ยอดเจดีย์ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๓๗ ก่อนบรรจุพระสารีริกธาตุ มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และมีผู้มาร่วมส่งน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ เป็นจำนวนมาก
    เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุนี้สิ้นค่าก่อสร้างไป ๑,๑๘๓,๔๑๘.- บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสามพันสี่ร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากศรัทธาของบรรดาศิษย์ และผู้ที่เลื่อมใสในหลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม โดยมิได้ประกาศเชิญชวนหรือแจกซองแต่อย่างใด
    เหรียญรุ่น๑ (ฆราวาส) เหรียญรุ่น๒ (พระภิกษุ)
    ขนาดเหรียญฆราวาส เล็กกว่าเหรียญตอนบวชเป็นพระภิกษุ
    วัตถุมงคลพระเครื่อง พระบูชา รูปหล่อ เหมือนหลวงปู่ใบ และยังมีพระเครื่อง ชนิดผงและชนิดเหรียญด้วย จากการร้องขอของลูกหลาน บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ และผู้คนที่เคารพรักศรัทธาในตัวท่าน เพื่อเก็บไว้กราบไหว้บูชาตลอดไป
    ขอขอบพระคุณ
    อาจารย์หนุน ทำนอง
    ร้านเมืองพรหม ๒/๓ ถ.ประชาวิถี อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี โทร ๐๓๖๔๔๑๕๑๙
    จากหนังสือที่ระลึก งานประชุมเพลิง หลวงตาใบ ฐิตธมฺโม วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ณ วัดตึกราชา ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
    คณะผู้จัดทำหนังสือประวัติหลวงตาใบ ฐิตธมฺโม
    คุณสมเกียรติ เหลืองดิลก
    อ.ดำรงค์ ปิ่นทอง
    อ.หนุน ทำนอง
    อ.นิด
    อ.หน่อง
    คุณสำราญ ทรงเดชะ
    เฮียเลิศ
    เฮียสุข
    เฮียหม่าน
    เพจ ตาใบ พรหมวงศ์
    ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลในการเผยเเพร่ มาณ.ที่นี้ด้วยครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อหิน วัดตึก หลวงพ่อใบเสก
    ให้บูชา300บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.หิน.jpg ลพ.หินหลัง.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...