เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ขอลงรูปให้ผู้ที่ร่วมบุญร่วมอนุโมทนาบุญกันนะคะ
    2728.png วันนี้14กรกฎาคม2562เวลาประมาณ16.20น.
    2728.png พระเดชพระคุณหลวงปู่องค์น้อยเป็นประธานในการเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิปางพุทธลีลาประทานพรสูง2.09เมตร หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์วัดท่าซุงหน้าตัก30นิ้ว และหัวใจนาคราช2ตนค่ะ
    ณ สวนพุทธธรรมหลวงปู่ใหญ่ สุพรรณบุรี
    1f64f.png ขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ

    66784483_2067983739980025_7091290476585680896_n.jpg
    66863027_2067983803313352_2849828362740826112_n.jpg
    66851919_2067983876646678_6652616054709157888_n.jpg
    66526245_2067983946646671_4961108223869321216_n.jpg
    66496340_2067983996646666_3354156182984982528_n.jpg
    66595508_2067984073313325_2418596358979059712_n.jpg
    66586467_2067984173313315_4519054573263912960_n.jpg
    67340714_2067984236646642_933300443574960128_n.jpg
    67258353_2067984316646634_1656740736298647552_n.jpg
    67457065_2067984376646628_6241772020183334912_n.jpg
    67064540_2067984466646619_3710666136732303360_n.jpg
    66699230_2067984536646612_8224332673523384320_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f64f.png การอธิษฐานบารมีตั้งใจตรงต่อพระนิพพานมีความสำคัญ 2728.png 2728.png 2728.png 2728.png 2728.png 2728.png

    2728.png การบำเพ็ญบารมีใดๆ หรือสร้างความดีใดๆ
    เราจะตั้งมโนปณิธานความปรารถนาหรือไม่ก็ตาม
    ถ้าทำความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป
    เราก็เข้าถึงพระนิพพานตามเจตนา หรือไม่เจตนาเราก็จะต้องเข้าถึง
    ในเมื่อความชั่วถูกตัดเป็นสมุจเฉทปหาน

    “แต่ทว่าถ้าปราศจากอธิษฐานบารมี
    กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางก็รู้สึกว่า
    มันเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก”

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จึงทรงแนะนำบรรดาพุทธบริษัทให้มีอธิษฐานบารมี
    ในการที่ท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจกล่าววาจาว่า

    ” อิมาหัง ภควา อัตตะ ภาวัง ตุมหากัง ปริจจชามิ
    แปลเป็นใจความว่า
    ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ”

    นี่ก็หมายความว่า
    เราจะเอาชีวิตของเราเข้าแลกกับความดี ที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงแนะนำไว้
    อย่างนี้ อาศัยเจตนาและความตั้งใจ
    จัดว่าเป็น “อธิษฐานบารมี”
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเข้าถึงความดี
    ด้วยความรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง

    อธิษฐานบารมี เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า
    เราต้องการพระนิพพานอย่างอื่นไม่ไป
    ใครจะมายกยอปอปั้นอย่างไรเราไม่เอา
    เพราะว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรพระผู้มีพระภาคเจ้า

    พระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเรา เป็นกษัตริย์ และก็มีสมบัติมาก
    มีความดีมีปัญญาทุกอย่าง ทุกสิ่งสมบูรณ์
    พระองค์ยังไม่หลง

    ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วก็ไปจริงๆ
    เราเป็นพุทธบริษัทชายหญิงของพระพุทธเจ้า
    ในเมื่อพระองค์ทิ้งอย่างอื่นได้ เราก็ทิ้งได้

    เราจะเก็บมันไว้ทำไม
    เราตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน
    ใครจะชวนไปทางไหน ฉันไม่ยอมไป
    ไปที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น

    ตั้งใจไว้โดยเฉพาะ
    ทำอะไรนิดหน่อย เราก็ทำเพื่อพระนิพพาน”

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    66709017_2069442519834147_8236354634877239296_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f449.png มีเจ้าภาพแล้ว14เที่ยวยังต้องการอีก2เที่ยวค่ะ
    1f607.png บุญชำระหนี้สงฆ์…
    1f64f.png เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถมหินคลุก สำหรับถมพื้นที่บริเวณที่เพิ่งถมดินไปด้านหน้าหลวงปู่เทพโลกอุดร
    ซึ่งหากฝนตกก็จะช่วยบรรเทาความลำบากได้พอสมควร
    ………………

    1f607.png การถวายดิน หิน ถมที่วัด เป็นบุญใหญ่อเนกอนันต์
    จึงขอบอกบุญดังนี้ค่ะ
    1f449.png 1. กองบุญหินคลุก จำนวน 16 เที่ยว
    -หินคลุก ร่วมบุญตันละ 200 บาท
    -หินคลุก 1 คัน รถสิบล้อ(14ตัน) ร่วมบุญคันละ 2,800 บาท

    *** 2728.png ท่านที่เป็นเจ้าภาพหินคลุก 1 คันรถสิบล้อ
    มอบหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 1f33c.png เนื้อมหาชนวนรมดำ หน้าตัก 2.5 นิ้วเป็นที่ระลึก กรุณาช่วยค่าส่ง 100 บาทค่ะ
    1f4f2.png โอนร่วมบุญได้ที่ธ.ไทยพาณิชย์ 406-337594-3
    2728.png น้ำฝน บุญสิงห์
    1f603.png โทร091-5145635
    2728.png อานิสงส์การถมดินและ หินคลุก ถมลานวัด และสร้างถนนเข้าออกวัด 2728.png
    1.ส่งผลให้มี”ลู่ทางในการทำมาหากิน” มีช่องทางเสมอเดินทางก็ปลอดภัยแคล้วคลาดสะดวกสบายขึ้น ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ติดขัด
    2. มีหนทางโล่งเตียน เหมือนดั่งถนนที่ช่วยให้สาธุชนทั้งหลายได้เดินทางกันมาทำบุญในวัดได้ง่ายดาย
    3. เเละยังทำให้เดินทางไปไหนมาไหนไม่ค่อยหลงทาง
    4. ทำการงานใดไม่ค่อยมีอุปสรรค์
    5. มีคนนำพาไปในที่ต่างๆ อย่างปลอดภัย ไม่ค่อยมีอุปสรรค์
    6. เดินทางไปไหนมาไหน ก็สะดวกสะบาย เป็นต้น
    อนึ่ง..การอำนวยความสะดวกในผู้มีศีล มีธรรม ผู้มาบำเพ็ญบุญบารมี สะสมอริยทรัพย์ ผู้เเสวงหาทางพ้นทุกข์ ได้มีถนนหนทาง ได้มีสถานที่อันเอื้อเเก่การบำเพ็ญบารมี สั่งสมบุญอันสูงสุดในพระศาสนา
    ก็ได้ชื่อว่าผู้อำนวยความสะดวกได้รับผลเเห่งมหากุศลอันสูงสุดที่เกิดจากการอุปถัมภ์ผู้ปฏิบัติเช่นกัน
    1f353.png ขออนุโมทนาบุญทุกๆท่านทุกประการค่ะ

    66943516_2069439279834471_3778082696484356096_n.jpg
    66715384_2069439366501129_9119675673605046272_n.jpg
    66770606_2069439423167790_7789942846596841472_n.jpg
    66670195_2069439456501120_3650118239003869184_n.jpg
    66448705_2069439499834449_5122332830780620800_n.jpg
    64918588_2069439519834447_3767190195565232128_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f6a9.png 1f6a9.png เหตุที่ลูกลิง..ต้องขอขมาพระรัตนตรัย ทุกวัน!
    เรื่องเล่า…บทสนทนาระหว่าง “ท่านย่า” สุชาดา(คู่บารมีท่านปู่พระอินทร์) กับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)

    ‪ท่านย่า‬: “เวลาขึ้นไปข้างบนนะพระคุณเจ้า ลูกพระคุณเจ้าทั้งหลายไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเขาหรอก บางทีเขานั่งคุยกัน เดินผ่ากลางเข้าไป แหวกเข้าไปนั่งตรงกลาง องค์อื่นเขาก็ชี้ นั่นไงญาติคุณ ฉันก็นั่งอยู่ด้วยไม่รู้จะพูดยังไง ฉันละอาย‬‬‬

    ‪หลวงพ่อ‬: “เทวดาไม่มีมรรยาท เห็นคนขึ้นไปไม่หลีก” (หลวงพ่อแก้แทนลูกๆ) “ก็ไปหาย่า หาปู่ ไม่ได้ไปหาคนอื่น”‬‬‬

    หลานไม่ยอมแพ้ “ความจริงท่านย่าน่าจะภูมิใจว่า ลูกหลานมีฝีมือนะ”

    ท่านย่า: “ฝีมืออย่างเดียวไม่ไหวหรอกว่ะ อายเขาว่ะ แถมบางคนขึ้นไป ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ส่งเสียงดังอีกที่หน้าวิมาน หาย่าไม่เจอ มันก็เรียกท่านย่า ท่านย่า เทวดาองค์อื่นเขาก็แตกตื่นมาดูกันใหญ่ ดูลูกท่านซิพระคุณเจ้า ทั้งๆ ที่ฉันก็นั่งอยู่ข้างในนั่นแหละ มันมองไม่เห็นเรียกเสียงดังเชียว มีอย่างที่ไหนไอ้เรื่องเชย เรื่องเฉิ่ม ยกให้ลูกพระคุณเจ้า”

    หลวงพ่อ: “ไม่ได้เชย ไม่ได้เฉิ่ม เขาเรียกว่า นักแสดงปลุกใจ(ขึ้นไปไหนทีเทวดาแตกตื่นมามุงดู)” (หลวงพ่อแก้แทนลูกๆอีก)

    เรื่องเช่นนี้หลวงพ่อเคยเล่าว่า เวลาพวกฝึก(วิชามโนมยิทธิ)ใหม่ ขึ้นไปทั้งเทวดาทั้งพรหม ทั้งพระอริยะ ลุยแหลก คือจะไปหาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นั่งอยู่กี่องค์ไม่ได้ดู ขอให้ได้เห็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ทั้งนี้เพราะสมาธิแคบ ไม่เห็นทั้งหมด
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงได้แนะนำไว้ให้ลูกหลานขอขมาพระรัตนตรัยทุกๆวัน

    หลวงพ่อจึงต้องรับแทนว่า “เวลาลูกลิงขึ้นไป อย่าไปว่าอะไรมันเลยนะ”

    ถ้าสังเกตดี ไม่ว่าท่านย่าจะว่าอะไรลูกๆหลานๆมา หลวงพ่อก็จะแก้ให้หมดทุกอย่าง หรือจากหลายๆบทความที่ท่านย่าและท่านแม่มาบอกเล่าว่า องค์หลวงพ่อนั้นทั้งรักทั้งห่วงลูกๆ ยิ่งกว่าใครๆ ทั้งรักทั้งห่วง เป็นแบบนี้มาทุกๆชาติไม่ว่าชาติไหนๆ

    1f4d6.png ข้อมูลจาก : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๘ ปี ๒๕๒๗

    67314455_2069702579808141_7982270940945842176_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าอานิสงส์การถวายเทียน-หลอดไฟ ในวันเข้าพรรษา พร้อมบอกคาถาเสริมชีวิตดีรุ่งเรืองโชติช่วง

    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าถึงเรื่องราว อานิสงส์การถวายเทียนหรือหลอดไฟในวันเข้าพรรษาว่า “การถวายเทียนเข้าพรรษา หรือว่า ถวายกระแสไฟในพระพุทธ-ศาสนา เหมือนกัน อย่างนี้ถ้าเกิดเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างมาก
    ถ้าบรรลุมรรคผล จะเป็นบุคคลผู้เลิศใน ทิพจักขุญาณ อย่างพระอนุรุทธ”

    ท่านได้ถวายเทียนเข้าพรรษาตลอดมา ถวายพระประทีปโคมไฟวัดไหนมืดชอบถวายตะเกียงบ้างน้ำมันบ้างให้มีแสงสว่างต่อมาในชาติสุดท้าย เมื่อเป็น พระอรหันต์วิชชาสาม ท่านสามารถมี ทิพจักขุญาณสว่างกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด แม้แต่ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณก็ยังสู้ไม่ได้

    อีกประการหนึ่งถ้าท่านทั้งหลายไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดา นางฟ้า และพรหมเขาถือรัศมีกายเป็นสำคัญเขาไม่ถือเครื่องแต่งกายเป็นสำคัญ องค์ไหนถ้ารัศมีกายสว่างมากองค์นั้นมีบุญมาก เมื่อมีจิตใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาเช่นนี้ พระชินศรีตรัสว่าเป็นมงคลอันสูงสุด
    ดังพระบาลีว่า “ปูชาปูชะนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง” การบูชาบุคคลผู้ควรบูชาเป็นมงคลอันสูงสุด อนึ่งชื่อว่าได้ขวนขวายในกิจ อันปราศจากโทษความเดือนร้อนในภายหลังมิได้ ย่อมได้รับผลพิเศษทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
    การถวายเทียนพรรษานี้เป็นโบราณประเพณีที่ทำสืบๆ มาเป็นเวลาช้านาน เมื่อถึงฤดูเข้าพรรษา ภิกษุทั้งปวงต้องจำพรรษาในอาวาสของตน 3 เดือน พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงได้จัดทำให้เป็นกุศลพิธีขึ้น เมื่อได้นำเทียนไปถวายพระสงฆ์แล้ว ท่านก็จะได้จุดบูชาต่อหน้าพระประธานในพระอุโบสถ ส่งผลให้ผู้ถวายย่อมได้รับอานิสงส์ คือ

    1. ทำให้เกิดปัญญา ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งเทียน

    2. ทำให้สว่างไสวรุ่งเรือง ผู้ถวายย่อมทำให้มีความรุ่งเรืองด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ

    3. ทำให้คลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ที่มีปัญหาให้ร้ายกลายเป็นดี

    4. เจริญไปด้วยมิตรบริวาร

    5. ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย

    6. เมื่อจากโลกนี้ไปย่อมมีกายทิพย์อันสว่างไสว

    7. เมื่อลาลับโลกนี้ไปย่อมไปสู่สุคติสวรรค์

    8. หากบารมีมากพอ ย่อมทำให้เกิดดวงตาจักษุ คือปัญญารู้แจ้งเข้าสู่พระนิพพาน

    คำถวายเทียนพรรษา

    ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ปะฏิชานาตุ มะยัง ภันเต เอตัง ปะทีปะยุคัง สะปะริวารัง เตมาสัง พุทธัสสะ ปูชะนัตถายะ อิมัสมิง อุโปสะถาคาเร นิยยาเทมะ สาธุ โน ภันเต อะยัง เตมาสัง พุทธัสสะ ปูชะนัตถายะ ปะทีปะยุคัสสะ ทานัสสะ อานิสังโส อัมหากัญเจวะ มาตาปิตุอาทีนัญจะ ปิยะชะนานัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังวัตตะตุ ฯ

    คำแปล

    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงรับทราบ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอมอบถวาย เทียนคู่นี้ พร้อมกับของบริวารไว้ ณ พระอุโบสถนี้ เพื่อเป็นพุทธบูชาตลอดพรรษา ขออานิสงส์แห่งการถวายคู่เทียน เพื่อเป็นพุทธบูชาตลอดพรรษานี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ปิยชนทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้นด้วย ตลอดกาลนานเทอญ ฯ

    66784859_2072863096158756_4355090911089131520_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “….สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใจของเรา
    อย่าไปคบกับอารมณ์ร้ายเข้า ถ้าใจของเรา
    ไปคบกับอารมณ์ร้าย เห็นว่าการประหัตประ
    หารบุคคลอื่นเป็นของดี การทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นเป็นของดี การเบียดเบียนกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นมีความทุกข์เป็นของดี ถ้าใจมีอารมณ์คิดอย่างนี้ เรา
    ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
    พาลภายนอกคือคนพาล เขาจะมีสันดานชั่ว
    อย่างไรก็ตามที จะมีอำนาจมากอย่างไรก็
    ตามที เราพอหลีกพอหนีเขาได้
    แต่ถ้าว่าใจของเราเป็นพาลนี่ เรามันหนีไม่พ้น

    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระทศพล จึงทรงแนะนำให้
    ควบคุมกำลังใจว่า จงอย่าทำใจของเราให้เป็น
    ใจพาล คิดอยากจะประหัตประหารทำร้ายบุคคลอื่น ถ้าใจของเราเป็นใจพาลแล้ว
    เราจะหาความสุขอะไรไม่ได้เลย
    แล้วเราก็จะหลีกจะหนีจะไปให้พ้นอารมณ์พาล
    นั้นไปไม่ได้ ร่างกายจะไปถึงไหนใจมันก็ไปถึงนั่น

    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้ให้ควบคุม
    กำลังใจเป็นสำคัญ สำหรับกำลังใจของเรานี้
    จะหลีกเลี่ยงจากความเป็นใจพาลได้ คือจะเป็นใจของบัณฑิต

    คำว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้รู้ หรือว่าแปลว่า ผู้ดี บัณฑิตนี่เขาแปลว่าผู้ดี คือมีอารมณ์ใจดี
    ไม่มีความโหดร้าย ไม่มือไว ไม่ใจเร็ว ไม่พูดปด
    ไม่หมดสติ มีอารมณ์แช่มชื่นเป็นที่น่ารัก…”

    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๘๗ หน้า ๕๕
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    67185370_2077733762338356_2318040754989039616_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f607.png กองบุญนี้จะเปิดรับตลอดนะคะ..
    และจะนำไปบริจาคทุกๆวันที่2ของเดือน(อาจมีเลื่อนบ้างนิดหน่อยตามวาระ)
    1f449.png ท่านใดจะร่วมบุญบริจาคโลงศพไร้ญาติ
    1f449.png รายละเอียดดังนี้ค่ะ..
    โลงปกติ500บาท
    โลง+ผ้าขาว+ชุด800บาท
    หรือร่วมได้ตามกำลังค่ะ..
    โอนธ.ไทยพาณิชย์712-244171-0
    น้ำฝน บุญสิงห์
    บริจากที่มูลนิธิร่วมบุญสุพรรณบุรี
    1f449.png เป็นความศรัทธาส่วนตัวและคณะญาติธรรมค่ะ

    67123909_2080128168765582_4600479070067621888_n.jpg
    67471996_2080128398765559_7743866892711886848_n.jpg
    67458739_2080128568765542_3233240273643372544_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #หลับในฌาน ลงนรกไม่ได้

    ผู้ถาม :
    หลวงพ่อคะ หนูไม่ค่อยจะมีเวลาทำสมาธิ
    เลยค่ะ จะทำยังไงดีคะ.?

    หลวงพ่อฯ :
    คนที่ไม่มีเวลา ไม่มี นอกจากขี้เกียจ

    ผู้ถาม :
    กลางวันทำงาน กลางคืนก็ติดธุระ บางที
    จะนั่งสมาธิ ลูกก็กวน

    หลวงพ่อฯ :
    จะนั่งทำไม ให้ลูกมันหลับ เวลาเรานอนน่ะ
    สมาธิทำทั้ง นั่ง นอน ยืน เดิน เขาไม่ได้ห้าม
    ต้องนั่งเสมอไป ใช่ไหม จริง ๆ แล้ว ถ้าเรา
    มีสมาธิก่อนหลับ สัก ๒ นาที ก็พอใจแล้ว
    สมาธิไม่ต้องมาก ที่พระพุทธเจ้า ตรัสกับ
    พระสารีบุตร ว่า…

    “สารีปุตตะ ดูก่อน สารีบุตร บุคคลใดมีจิตว่าง
    จากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง เราขอ
    กล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาน”

    เห็นไหม! ก็มัวเอาแต่เรื่องนั่งที่เขาว่า อีตอน
    นอนนั่นแหละ นอนสบาย หัวถึงหมอนปั๊บ
    นึกถึง “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต”
    นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    และภาวนา “พุทโธ”
    หายใจเข้า นึกว่า “พุท” หายใจออก นึกว่า “โธ”
    หายใจ ๒ ฟื้ด หลับไปเลย ใช้ได้เลย
    อย่าลืมนะ ตอนที่ภาวนา หลับเร็วเท่าไหร่
    ยิ่งดีนะ ว่า ถ้าจิตไม่ถึงฌานนี่ มันจะไม่หลับ
    ถ้าจิตถึงฌานปั๊บ มันจะตัดหลับทันที ทีนี้ว่า
    ถ้าภาวนา หรือ ว่านะโม อยู่ ถ้ามันหลับเวลานั้น
    มันจิตถึงฌาน ขณะที่หลับอยู่กี่ชั่วโมง
    เขาถือว่า ทรงฌานนั้นอยู่ระหว่างหลับ
    ถ้าตายระหว่างนั้น จะไปตามกำลังของฌาน
    ทันที เห็นไหม ที่ว่าไม่มีเวลา คนขี้เกียจนะ
    เวลามันมี ใช่ไหม

    ถ้าจะให้ดี เวลาตื่น เอาอีกนิด ไม่ต้องลุก
    ถ้าไม่ปวดอุจจาระปัสสาวะ นะ พอตื่นปั๊บ
    เอาอีกหน่อย จับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า
    นึกว่า “พุท” หายใจออก นึกว่า “โท” ๒ – ๓ ครั้ง
    ก็พอแล้ว จิตไม่นึกถึงใคร แค่นี้ใช้ได้ทุกวัน
    ขอยืนยันว่า ลงนรกไม่ได้..

    —————————-
    #หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    67281187_2080940035351062_587882595056877568_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คนที่จะให้ทานในระยะแรกๆ…
    ที่มี “บารมียังอ่อน” ถ้าไม่มี “ความเพียร” เข้าไปตัด “มัจฉริยะ”…ความตระหนี่หรือความขี้เหนียว ความหวงแหนในทรัพย์สินของตน อันนี้อาตมารับรองผลเลย ถ้าไม่มี “ความเพียร”..ตัดไอ้ตัวนี้ให้ทานไม่ได้ ต้องใช้ความเพียรเข้าไปตัดมัจฉริยะ คือความตระหนี่เหนียวแน่นให้สลายตัวไป ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้หรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท

    อีกประการหนึ่งคนที่ตั้งใจจะให้ทาน…
    หวังผลใน “ทานบารมี” ถ้าเราจะให้ทานด้วยวัตถุ เราก็ต้องเพียรหาวัตถุเข้ามา…นี่ “วิริยบารมี” ก็ตามมา

    ถ้าหากว่าเราจะให้ทานเป็น “อภัยทาน”…
    คือกำลังใจไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เราก็ต้องมีความเพียรตัดความโกรธ-ตัดความพยาบาท…นี่เป็นอันว่าการให้ทานครั้งเดียว “วิริยบารมี” วิ่งตามเข้ามาอีกแล้ว

    การให้ทานเป็นการสงเคราะห์…
    เป็นการผูกมิตร ทำจิตใจให้มีความสุข เราไปทางไหนก็ตาม ถ้าเรามีเพื่อนมาก มีคนเป็นที่รักมาก..เราก็มีความสุขเพราะอันตรายมันมีน้อย กล่าวคือช่วยป้องกันอันตรายได้ ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความอยู่เป็นสุข เพราะการให้ทานก็ด้วยอำนาจ “เมตตาบารมี” เป็นผู้นำ

    ทีนี้มีปัญญาสูงไปกว่านั้น เขาก็คิดว่า…
    การให้ทานนี่เป็นการทำลาย “ความโลภ” เป็นการทำลายการเกิดที่จะมาสู่คนให้รับผลของความทุกข์ต่อไปนี้ คนที่มีปัญญาใหญ่เขาก็จะพิจารณาอย่างนี้ ฉะนั้นการให้ทานสักทีก็ต้องอาศัย “ปัญญา” เป็นเครื่องประกอบ

    จาก…หนังสือ “พ่อรักลูก ๒” หน้า ๔๐
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    67112713_2083589878419411_3483609362029608960_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f449.png วันที่30กรกฎาคมไปงานนี้ค่ะ..
    1f607.png ท่านใดจะฝากร่วมบุญในงานครบรอบวันมรณะภาพหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคปีที่81..
    1f64f.png ร่วมบุญถวายเพลพระสงฆ์100รูป
    แจกทุนการษึกษาเด็ก50ทุนแจกข้างสารแก่ผู้ยากไร้ 1,000 ชุดทั้งหมดนี้ฝนจะนำไปร่วมบุญกับเจ้ฉันค่ะ(ประธานในการจัดงานที่วัดบางนมโค)น้อมถวายกุศลแด่หลวงปู่ปานค่ะ

    1f449.png ท่านใดจะฝากร่วมบุญ
    1f4f2.png โอนได้ที่ธ.กรุงเทพ388-0-56359-2
    น้ำฝน บุญสิงห์
    เปิดรับถึงเช้าวันที่30กรกฎาคมเวลา7.00น.หลังนี้ 274c.png ห้ามโอนค่ะ

    67627649_2084466141665118_117773260296290304_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าเรื่องหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
    คราวหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพไปแล้ว อาตมาก็ไปวัดหลวงพ่อจงบ่อยๆ เพราะหลวงพ่อจงท่านเคยพูดอยู่เสมอ ว่าพวกเราบวชอย่าหวังเกิดกันเลยนะ ปล่อยให้มันดับกันไปเลย อันนี้ชอบใจมาก สมัยที่เรายังมีชีวิตอยู่ ใช้หนี้เขาให้หมด หมายความว่า ไอ้หนี้ความชั่วใดๆ ที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติมานานจนชาติปัจจุบัน ใช้มันเสียให้หมด ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องใช้

    วันนั้นไปนั่งคุยอยู่กับท่าน มีแขกมาก ก็พอดีภรรยาของกำนันมาก ข้างวัดของท่าน เป็นลูกศิษย์ท่านนั่นแหละ กำนันมากก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจงไปซื้อยาสูบ ไอ้ยาตั้งน่ะ ทางจังหวัดเหนือไม่ทราบว่าจังหวัดอะไร เอาเรือยนต์ 2 ชั้นไป แกมีเรือยนต์ 2 ชั้นอยู่ลำหนึ่ง ไปแล้วก็กลับเกินเวลา ควรจะกลับถึงบ้านหลายวันแล้ว แต่หายไป ทางภรรยาก็สงสัยคิดว่าจะมีอันตราย ก็ไปหาหลวงพ่อจงดู ถามว่า

    หลวงพ่อเจ้าคะ สามีของดิฉันไปซื้อยาที่เมืองเหนือนานแล้ว น่าจะกลับนานแล้ว ทำไมจึงยังไม่กลับ เมื่อไรจะกลับ

    หลวงพ่อจงก็หยิบหนังสือพรหมชาติขึ้นมา เปิดปั๊บ ถึงพอดี ท่านก็ดู กำนันมาก ท่านอ่านว่ายังไง

    วิสิทธิการิยะ เวลานี้ชาวบ้านเขามาขอดูกำนันมาก ว่าเดินทางไปทำไมจึงยังไม่กลับ แต่วันนี้เป็นวันศุกร์ เป็นมหาฤกษ์ เป็นฤกษ์ใหญ่ ตามตำราท่านทายว่า เวลานี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว

    แล้วท่านก็วางหนังสือ บอกว่า

    นี่ ตำราเขาบอกว่ากำนันมากนะ เอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้วนะ ลองไปดูซิ ตำราเขาจะพูดถูกหรือพูดผิดก็ไม่ทราบ ไม่รู้นะ ฉันดูตามตำรา

    พอเขาไปแล้ว เวลาท่านวางก็เอากระดาษคั่นไว้ ท่านก็อาจจะรู้ว่าอาตมาเป็นคนขี้สงสัย เมื่อเวลาเมียกำนันมากไปแล้ว ก็หยิบหนังสือขึ้นมาดู ดูแล้วมันก็ไม่มีนี่ เขาไม่ได้เขียนไว้ตามนั้น เรื่องราวในหน้ากระดาษที่ท่านพลิกออกมาอ่านน่ะ มันเรื่องโน้น เรื่องปลูกผักปลูกหญ้าอะไรก็ไม่รู้ ท่านก็อ่านไปได้ว่า สิทธิการิยะวันนี้เป็นฤกษ์ดี ท่านกล่าวว่าวันนี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่บ้านแล้ว มันไม่มีนี่ ตำราที่ไหนจะไปรู้ว่ากำนันมาก กำนันน้อย เลยถามว่า หลวงพ่อ ตำราเขาไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นนี่ มันเรื่องอื่น

    ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเป็นคนแก่นี่ อ่านไปยังงั้น ตามันเห็นไปยังงั้น ก็อ่านไปยังงั้น ไม่รู้ว่าหนังสือมันเขียนว่ายังไง

    คุยกับท่านอยู่เดี๋ยวเดียว ลูกชาย กำนันมากก็มา บอกว่า

    คุณพ่อกลับมาแล้วขอรับ หลังจากคุณแม่มาหาหลวงพ่อประเดี๋ยวเดียว

    ยังไม่ทันจะกลับ ลูกก็มาบอกว่าเวลานี้พ่อเอาเรือมาจอดคอยอยู่หน้าบ้านจริงๆ

    เป็นอันว่าตำรานั้นแม่น นี่ท่านทราบไหมว่า หลวงพ่อจงท่านดูแบบไหน ก็ไม่ตอบดีกว่ากระมัง เป็นเรื่องของวิชาสามหรืออภิญญา 6 เท่านั้นที่จะรู้

    33. ให้หวยสังกะสี

    หลวงพ่อจงนี่ ความจริงให้หวยแม่น แต่คนรับหวยไปนั่นแหละ เอาไปเล่นได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ช่าง

    วันหนึ่งก็มีงานทำบุญกันที่ตลาดบ้านแพน ที่อำเภอเสนา เขาก็นิมนต์อาตมาไปด้วย หลวงพ่อจงด้วย อยู่กันคนละวัด แต่ความจริงหลวงพ่อจงท่านอยู่ไกลกว่ามาก ท่านไปถึงก่อนเสมอ เวลาที่เขาทำบุญ หลวงพ่อจงมีอาวุโสมากที่สุด นั่งข้างหน้า อาตมาก็มีอาวุโสน้อยที่สุด นั่งปลายแถว อย่างนี้เป็นปกติ และนอกจากนั้น พระคณาธิการก็มีอายุมากๆ กว่าอาตมาทั้งนั้น

    เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก่อนที่จะยถาสัพพี มีคนหนึ่งเข้าไปขอหวยหลวงพ่อจง เจ้าบ้านนั่นแหละ เป็นร้านค้า เข้าไปขอหวยหลวงพ่อจง แล้วเขาเองก็เป็นร้านค้าสังกะสีเสียด้วย เขาก็บอกว่า

    หลวงพ่อขอรับ การค้ามันไม่ค่อยดี อยากจะขอหวยสักสองสามตัว

    หลวงพ่อท่านก็บอกว่า หวยท่านไม่มีหรอก ท่านไม่รู้หรอก ไอ้เรื่องหวยน่ะ ที่วัดท่านน่ะขาดสังกะสีอยู่กี่แผ่นก็ไม่ทราบ

    ท่านพูดจำนวนร้อย แล้วก็มีเศษสิบ เศษหน่วยเสร็จ ไอ้เลขมันก็เป็น 3 ตัว ตามจำนวนนั้น

    อีตาแป๊ะนั่นก็เลยบอกว่า ถ้าผมถูกหวยนะขอรับหลวงพ่อ ผมจะซื้อสังกะสีจำนวนเท่านี้ไปถวายหลวงพ่อ เอาไปถวายโดยไม่ต้องเรี่ยไรใครขอรับ ขอให้หลวงพ่อให้หวย

    ท่านก็บอก ไม่มีหวย หวยท่านไม่มี แต่สังกะสีเท่านี้ ท่านยังซื้อไม่ได้ แล้วท่านจะรู้หวยได้ยังไง

    อาตมาอยู่ข้างท้ายก็รำคาญปากเต็มที เลยเรียกเถ้าแก่คนนั้นมาบอก นี่มานี่แน่ะ

    แกก็มาหา ก็พูดดังๆ บอก ไอ้เรื่องหวยน่ะ อย่าไปขอหลวงพ่อท่านเลย ถามว่า จำได้ไหมว่าหลวงพ่อท่านขาดสังกะสีอยู่กี่แผ่น

    เถ้าแก่ก็จำได้ว่าขาดอยู่ 600 แผ่นเศษๆ

    ถามว่า เศษเท่าไร

    แกจำได้ ก็เขียนเลขลงไป ก็เลยบอกว่า

    เอายังงี้ก็แล้วกัน เมื่อหลวงพ่อท่านต้องการสังกะสี เราก็เอาเลขสังกะสีนี่แหละไปซื้อหวย ถ้าหากว่าเราจะได้สังกะสีไปถวายหลวงพ่อจริงๆ เลขสังกะสีอันนี้มันก็เป็นหวย มันก็บันดาลให้ถูก เพราะว่าเราจะทำบุญ เราจะซื้อเท่าไหร่ก็ช่าง แต่เมื่อได้สตางค์แล้วก็เอาไปซื้อสังกะสีถวายหลวงพ่อตามจำนวนที่ท่านต้องการ

    หลวงพ่อจงก็หัวเราะคิกๆ คิกๆ ตามปกติท่านแบบนั้น ในที่สุด พอยถาสัพพีเสร็จก็กลับ

    รุ่งขึ้นหวยก็ออก ปรากฏว่าชาวอำเภอเสนาถูกหวยกันเป็นตับ เลขท้ายสามตัว

    พอถูกหวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อเจ้าประคุณอีตาแป๊ะก็ขนสังกะสีในบ้านแกนั่นแหละ ตามจำนวนที่หลวงพ่อจงบอกไว้ เอาไปถวายหลวงพ่อจง พอไปถึงขนขึ้นวัด ไอ้วัดของท่านก็ใกล้เมื่อไหร่ เดินตั้งสองสามเส้นจากท่าน้ำกว่าจะถึงวัด มีถนนยาว ขอโทษไม่ใช่สองสามเส้น เห็นจะเป็นห้าเส้นเศษ หรือจะกี่เส้นก็ไม่ทราบ มันไกลจริงๆ

    ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่บอกว่า วัดท่านไม่ได้มุงสังกะสี วัดของท่านมุงกระเบื้อง เอาสังกะสีมาทำไม

    ตาแป๊ะแกก็เลยบอกว่า ก็หลวงพ่อบอกว่าต้องการสังกะสี

    ท่านก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ถามว่าเถ้าแก่ขออะไรฉันล่ะ

    เขาบอกว่า ขอหวย

    ท่านก็ถามว่า ไอ้สังกะสีน่ะมันจำนวนกี่แผ่น

    เขาก็บอกเป็นจำนวนหกร้อยแผ่นเศษ

    ท่านก็ถามว่า มันตรงกับอะไร

    เขาก็เลยบอกว่า ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1

    ท่านก็หัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่า ฉันไม่ได้ให้หวยนะ ฉันพูดเรื่องสังกะสี แต่สังกะสีที่เถ้าแก่เอามาฉันไม่เอาหรอก เพราะว่าที่วัดนี้ไม่ได้มุงสังกะสี

    ท่านผู้ฟัง เวลาเหลืออีก 2 นาที สำหรับวันนี้เป็นอันว่ายุติลงแค่หวยสังกะสีของหลวงพ่อจงนะ สำหรับวันต่อไปคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ผู้ที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    34. หวยเรือ

    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 วันนี้มาคุยกันถึงเรื่องหลวงพ่อจงใหม่ ต่อจากเรื่องเก่า เมื่อวานนี้มาจบลงแค่หวยสังกะสี วันนี้ก็ต่อเรื่องหวย

    เรื่องหวยของหลวงพ่อจงตอนนี้ก็มีอยู่ว่า

    วันหนึ่งพวกชาวจังหวัดพระนครเขาพากันไปทอดผ้าป่าถวายหลวงพ่อจง ดูเหมือนว่าคราวนั้นจะได้เงินหมื่นกว่าๆ แล้วเขาก็เช่าเรือ บ.ข.ส. อะไร ของบริษัทสุพรรณขนส่ง เช่าเรือลำนั้นไป ก็ไปด้วยกันมาก เอาเรือจอดไว้หน้าท่า ความจริงหลวงพ่อจงไม่ได้ลงมาท่าเรือและจากกุฏิท่านก็มองไม่เห็นเรือ

    เวลาเขาทอดผ้าป่าเสร็จ ตามธรรมเนียมของคนไทย เรียกว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็แล้วกัน ตามธรรมเนียม ถ้าทำบุญแล้วก็อยากจะเห็นผลบุญในชาติปัจจุบัน ก็เลยขอหวยหลวงพ่อจง

    หลวงพ่อจงท่านตอบว่ายังไง

    ท่านตอบว่า พระไม่มีหวยหรอก ตั้งแต่ฉันเกิดมานี่ พ่อแม่ฉันไม่ได้แจกหวยมาให้เป็นมรดก ฉันไม่มี

    ฟังคำพูดของท่านนะ แต่ท่านพูดเสียงเบาๆ ฟังไม่เกะกะหูเหมือนเสียงอาตมาหรอก อาตมาน่ะมันเสียงเกะกะหู

    ท่านบอกว่า ไม่มีหวย มรดกที่เป็นหวย พ่อแม่ไม่ได้ให้ไว้ เวลาที่มาบวช พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้ให้หวยไว้เป็นมรดก ไม่มี แต่ว่าฉันเห็นไอ้เรือ บ.ข.ส. มันมาตายอยู่หน้าวัดลำหนึ่ง ก็ไปเอาที่เรือ บ.ข.ส. ซี

    ท่านพูดเท่านั้น แล้วก็เป็นอันว่าพวกชาวผ้าป่าก็ลากลับ ไม่ใช่ลากลับด้วยความผิดหวัง

    ดีใจ

    เขาว่า วันนี้หลวงพ่อจงให้หวย

    อาตมาเดินสวนทางเห็นเขายิ้ม ถามว่า หลวงพ่อให้อะไรล่ะ

    ไปขอหวยท่าน เขาว่ายังงั้น ท่านบอกว่าเรือ บ.ข.ส. มันมาตายอยู่ที่หน้าวัดลำหนึ่ง ท่านพูดเท่านี้

    ก็เลยถามว่า เรือของคุณหมายเลขอะไร

    เขาบอกว่า เช่ามา ยังไม่ได้ดูเลข ก็เลยย้อนทางลงไปดูกับเขาว่ามันเป็นเลขอะไร ก็จดหมายเลขเรือเข้าไว้

    ถึงเวลาหวยออกจริงๆ ปรากฏว่าเลขท้าย 3 ตัวของเรือ ตรงกับรางวัลที่ 1 พอดี ไม่กลับ เรียกว่าไม่ย้อนไปย้อนมา เรียงกันตามลำดับ

    เป็นอันว่าวันนั้นชาวจังหวัดพระนครถูกหวยเพราะเรือ บ.ข.ส. หลายสตางค์

    หลังจากหวยออกแล้วไม่กี่วัน ปรากฏว่าเจ้าภาพคณะนั้นมาอีก เอาผ้าป่ามาถวายหลวงพ่อจงใหม่ แล้วก็ถามว่า

    ท่านบอกว่า คราวนี้เรือ บ.ข.ส. มันไม่ตายเสียแล้ว มันไม่ตาย ก็ไม่รู้จะเอาที่ไหน ไม่รู้จะไปเอาเลขที่ไหน

    เลิกกัน

    พวกนั้นก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าได้มากแล้ว ดูเหมือนว่าได้กันคนละมากๆ คนที่มาทอดผ้าป่าคราวนั้นที่ได้ไปจากหวยคราวนั้นน้อยกว่า 1 หมื่นบาทไม่มีทุกคน แล้วก็คนมาตั้ง 100 คนกว่านี่ คงล่อเข้าไปหลายสตางค์

    เรื่องนี้ก็ขอผ่านไป

    35. ให้หวยคนลูกมาก

    ความจริงผู้หญิงคนนี้แกมีลูกมากจริงๆ มีลูกตั้ง 7 คนหรือ 8 คนไม่ทราบ ผัวไม่มี ความจริงผัวแกมีแต่แกตายเสีย แล้วแกก็ต้องรับภาระเลี้ยงลูก แกเป็นคนจน ไร่นาสาโท ก็ไม่มี น่าเห็นใจมาก ต้องรับจ้างเขา แต่ว่าการอยู่บ้านนอกก็รู้สึกว่าเบาหน่อย เพราะว่าน้ำไม่ต้องซื้อ ผักหญ้าไม่ต้องซื้อ ปลาไม่ต้องซื้อ หาได้เอง เหลือแต่ข้าว ข้าวแกก็เกี่ยวข้าวจ้าง ลูกคนโตก็เกี่ยวข้าวจ้าง รับจ้างเขา ลูกคนเล็กๆ ก็เก็บข้าวตก หรือว่าข้าวตามลานที่เขาไม่ต้องการ คือว่าข้าวปลายลานเขากวาดไปติดแกลบ เด็กก็ไปกวาดแล้วร่อนๆ พอได้ข้าวมาหุงสำหรับกิน

    มาปีหนึ่งน้ำท่วมมาก เป็นฤดูน้ำมาก บ้านของแกน้ำจะท่วมพื้นอยู่แล้ว เป็นโรงกระต๊อบเล็กๆ อยู่แบบยัดเยียดกัน

    วันหนึ่งแกมาหาหลวงพ่อจง แกบอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ เวลานี้ก็เดือนสิบแรมๆ แล้วใกล้จะเดือน 11 ทุนรอนก็หมด จะเลี้ยงลูกเต้าก็ไม่มีทุน เงินที่จะซื้อข้าวก็ไม่มี สำหรับกับข้าวก็หาเอา บางอย่างเท่านั้นที่ต้องซื้อ เช่น พริก กะปิ หอม กระเทียมไว้

    เจ้าพริกนี่ ความจริงฤดูแล้งแกปลูกของแก ผักหญ้าแกปลูก ลูกมากต้องขยัน เวลานั้นมันถึงเวลาเครียดมาก ระหว่างเดือน 10 ต่อเดือน 11 นี่ชาวนาแย่ ข้าวใหม่ยังไม่ออก ข้าวเก่าก็หมดไป แกไปขอหวยหลวงพ่อจง บอก

    ฉันขอหวยสักคราว ขอหลวงพ่อให้ให้ถูกด้วย สตางค์ฉันมีอยู่ไม่มาก

    หลวงพ่อจงสงสาร เลขเขียนเลขให้ 3 ตัว บอก เอาไปเล่นคนเดียวนะ อย่าให้คนอื่นเขา จะได้เอาเงินเลี้ยงลูก

    พอแกไปแล้วเห็นจะนึกขึ้นมาได้ ตอนค่ำ นึกขึ้นมาได้ว่ายายผู้หญิงคนนี้แกคงจะมีลาภไม่มาก หลวงพ่อจงก็ลงเรือพายไปเองคนเดียว ตาท่านดีมาก กำลังก็ดี ไปถึงหน้าบ้านยายคนนั้น ก็เรียก

    อีหนูเอ้ย อีหนู

    ยายคนนั้นแกก็ออกมา

    ถามว่า หวยที่หลวงพ่อให้มาน่ะเอ็งเล่นแล้วหรือยัง

    ยายคนนั้นก็บอกว่า ฉันไปหาหลวงพ่อกลับมาก็ยังไม่ว่าง ต้องหาอาหารเลี้ยงลูก ยังไม่ได้ซื้อ เข้าใจว่าจะซื้อในวันพรุ่งนี้

    ท่านก็บอกว่า ดีแล้วลูก ยังไม่ซื้อน่ะดีแล้ว คราวนี้ลาภของเอ็งไม่มีมากนะลูกนะ ถ้าจะซื้อละก็ซื้ออย่าให้เกิน 5 บาทนะ ถ้าเกิน 5 บาท มันเกินวาสนาบารมีละก็ ไม่ถูกหรอก ต้องเล่นเพียงแค่ 5 บาท มันจึงจะถูก

    ยายคนนั้นก็รับคำแล้วก็กราบท่าน

    พอท่านจะกลับท่านก็สั่งว่า อย่าไปบอกใครเขานะ เลขนี้บอกใครเขาไม่ได้ มันเป็นลาภของเอ็งคนเดียว แล้วเล่นได้เพียง 5 บาท เท่านั้น ถ้าซื้อเกิน 5 บาท ถ้าเลขออกเอ็งจะถูกโกง คือว่าลาภของเอ็งมันมีน้อย ไอ้ลาภเก่าก็จะหมดไป ลาภใหม่มันจะไม่ได้ก็ช่างเถอะ เราเล่นตามบุญวาสนาบารมี

    ยายคนนั้นก็รับคำ ท่านก็กลับ

    ปรากฏว่าเวลาหวยออกจริงๆ ยายคนนั้นถูกพอดี แล้วก็เล่น 5 บาท ตรงตามท่าน แล้วก็มารายงานให้ทราบ เอาเงินบางส่วนมาถวายให้ท่าน ท่านบอก

    ไม่ต้องๆ เอ็งตั้งใจมาขอหวยข้านี่ ตั้งใจจะเอาเงินไปเลี้ยงลูก เอาเงินไปเลี้ยงลูกเถอะไป กว่าน้ำจะยุบ ข้าวใหม่จะออกมันก็อีกนาน เอาไปทำทุนเข้าไว้ แล้วก็อย่าพูดไปนะว่าเราถูกหวย ประเดี๋ยวใครเขาจะมาแย่งเอา

    เรื่องก็มีเท่านี้ เรื่องต่อไปหลวงพ่อจงให้หวยเด็ก

    36. ให้หวยเด็ก

    คือเจ้าเด็กคนนี้ เมื่อเรียนจบ ป. 4 แล้วก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน แค่ ป. 4 นี่พ่อแม่ยังไม่มีธุระจะใช้ ก็ปล่อยให้มาอยู่กับหลวงพ่อจง เป็นเด็กขยันมีนิสัยดีมาก จริยาเรียบร้อย ใครไปใครมาก็ต้อนรับขับสู้ดี จัดอาสนะที่นั่งให้ดี เรียกว่าสนใจกับแขกผู้ไป รู้สึกว่าเป็นเด็กดี หลวงพ่อจงใช้ให้นวดทุกวัน

    วันหนึ่งเห็นท่าว่าเด็กคนนี้กับพ่อแม่ของเด็กจะมีลาภ ขณะที่เด็กนวดๆ อยู่ ท่านก็ถามเด็กว่า

    เอ็งเรียนชั้นไหน

    เจ้าเด็กก็บอกว่า เรียน ป. 4

    ถามว่า คิดเลขออกไหม

    เด็กตอบว่า พอคิดได้

    ท่านก็บอกว่า ฉันซื้อซุงมานะ ราคาจริงๆ มันเท่านี้นี่ แล้วก็ฉันชำระเงินเขาไปแล้วเท่านี้ นี่มันเหลือเท่าไหร่

    ความจริงมันก็เหลือเป็นจำนวนหลักร้อย เด็กมันคิดได้มันบอกว่า เงินเหลือเท่านี้ครับ หลวงพ่อ ยังเป็นหนี้เขาเท่านี้

    เออ เงินเท่านี้ก็หายากนะ พ่อน่ะไม่ได้เรี่ยไรอะไรกับเขา เขาเรี่ยไรกัน เขาบอกบุญกัน พ่อก็ไม่ได้บอกบุญเรี่ยไร สุดแล้วแต่ใครเขาให้ เขาให้มาก็กินบ้างใช้บ้าง เหลือก็ใช้หนี้เขาไป

    ความจริงหลวงพ่อจงก็เป็นยังงั้นจริงๆ เวลาจะสร้างอะไร หลวงพ่อนิลน้องชายเป็นช่าง แล้วเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน เขตวัดติดกัน สร้างทั้งสองวัด หลวงพ่อนิลก็ไปสั่งของมา แต่ว่าหลวงพ่อจงเป็นหนี้ หนี้มาตกอยู่กับหลวงพ่อจง หลวงพ่อนิลสั่งของมาสร้างวัด

    ความจริงพระในอยุธยานี่ หรือจังหวัดสุพรรณ อ่างทอง หรือจังหวัดสิงห์บุรี นครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงครามอะไรก็ตาม รู้สึกว่าเป็นพระนักเสียสละมาก โดยมากไม่ค่อยเก็บเงินกัน รวยมาก แต่ว่ารวยหนี้ แต่ว่าที่เขาแอบๆ เอาก็มีเหมือนกันนา เป็นธรรมดา ไอ้เจ้าพวกแกะดำนี้มันอดสิงเข้ามาในฝูงแกะขาวไม่ได้ มันก็มีอยู่มั่ง แต่ไม่มาก ฉะนั้นวัดในเขตนั้นๆ จึงเจริญมาก เป็นอันว่า สังเกตได้ว่า วัดไหนถ้าสมภารรวย วัดแย่ ถ้าวัดไหนแน่ๆ คือวัดสวย สมภารอาน สังเกตได้นะว่าวัดไหนถ้าสวยก็ไปเถอะ ประเป๋าสมภารแย่ ถ้าหากว่าวัดแย่ สมภารรวย แต่ก็มีบางวัดเหมือนกัน ท่านสมภารเอาเปรียบชาวบ้านก็มี สร้างทันตาเห็น แต่ทว่าเงินส่วนตัวไม่ออก เก็บหมด แนะนำให้ชาวบ้านเขาทำบุญ อย่างนี้ก็พอมีอยู่บ้าง แต่ไม่มาก มีปริมาณน้อย ในเขตตามที่กล่าวมาน่ะ อ้าว นี่พูดเรื่องอื่นเพลินไปอีกแล้ว เป็นอันว่าหลวงพ่อจงไมใช่นักก่อสร้าง แต่ว่าเป็นนักชำระหนี้ หลวงพ่อนิลน้องชายก่อสร้างดี แต่หนี้ไม่ปรากฏ เพราะอะไร เพราะหนี้ไปอยู่กับหลวงพ่อจงหมด หลวงพ่อนิลเลยไม่มีหนี้

    ทีนี้เมื่อเด็กได้ฟังอย่างนั้นมันก็คิดว่า ไอ้เจ้าเลขที่เหลือน่ะ มันเป็นเลขหวย เพราะหนี้สินมันเหลือเป็นหลักร้อย พอนวดเสร็จก็กลับเข้าบ้าน ไปรายงานกับพ่อและแม่ ท่านพ่อท่านแม่ก็เอาเงินไปจ้ำหวยใต้ดินเข้าให้ สองร้อยบาทตามหมายเลขที่ลูกชายมาบอก ก็เป็นอันว่าถูกหวย แล้วก็เอาเงินมาใช้หนี้ให้หลวงพ่อจง

    หลวงพ่อจงถามว่า ใช้หนี้อะไร

    เขาก็บอกว่า เห็นหลวงพ่อบอกลูกชายบอกว่า ซื้อซุงมาแล้วก็ชำระหนี้ไปเท่านี้แล้ว ยังเป็นหนี้อยู่เท่านี้ กระผมก็เอาเงินมาใช้หนี้ค่าซุง

    ท่านก็เลยบอกว่า ซุงฉันยังไม่ได้ซื้อนี่ ซุงที่วัดนี้ไม่มีหรอก ยังไม่ได้ซื้อมา แล้วราคามันเท่าไรก็ไม่รู้

    เขาบอกว่า วันนั้นเห็นบอกกับลูกชายเขา ลูกชายเขานวด

    ท่านก็เลยบอกว่า ท่านเป็นคนแก่นี่ ก็พูดไปส่งยังงั้นแหละ บางทีจะเผลอไปน่ะ พูดเรื่อยเฉื่อยไปคิดว่าจะซื้อซุง แต่ว่ายังไม่ได้ซื้อ แล้วก็ธุระที่ใช้ซุงมันก็ยังไม่มี เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาเงินกลับไปบ้านก่อน ถ้าหากว่าฉันซื้อซุงเมื่อไร ถ้าสตางค์เหลือละค่อยมาให้ฉัน

    เป็นอันว่าวันนั้น หลวงพ่อจงตั้งใจให้หวยเด็ก

    37. ให้หวยคนที่สีกุก

    สีกุกกับวัดหน้าต่างนอกไม่ไกลกันนัก ห่างกันประมาณครึ่งกิโล นี่จะได้รู้กันว่าคนที่ไม่มีบุญวาสนาบารมีในการเล่นหวยน่ะ ถ้าไม่มีลาภสักการจริงๆ ที่จะพึงได้ มันก็ไม่ได้

    เรื่องการให้หวยและการรู้หวยนี่ มีนักวิพากษ์วิจารณ์กันมาก สำหรับอาตมาเอง เมื่อก่อนนี้ก็เป็นนักต่อต้านเหมือนกัน ไม่เชื่อเขา เมื่อสมัยที่เลขท้าย 3 ตัวออกมาใหม่ๆ ได้ยินข่าวว่าพระวัดนั้นให้หวย พระวัดนี้ให้หวย ก็สงสัยว่าเขาจะรู้ได้ยังไงเมื่อเลขหวยยังไม่ออก ก็อุตส่าห์วิ่งเรือตระเวนไปทั่วทิศทั่วทาง ไปในที่ต่างๆ ว่าพระอาจารย์องค์ไหนให้หวย ก็ไปขอท่าน ขอให้เขียนเลขมา บางอาจารย์ก็ถูกเพียง 2 ตัวบ้าง บางอาจารย์ก็ถูกตัวเดียว บางอาจารย์ไม่ถูกเลย บางรายก็ให้มาเป็น 2 ชุด 3 ชุด นี่แสดงว่าไม่รู้จริง ก็เลยเอาเรื่องแน่นอนอะไรไม่ได้

    ในที่สุดก็ไปพิสูจน์หลวงพ่อเขียน หลวงพ่อเขียนวัดบางขุนเณร ท่านให้มา 20 งวด รางวัลที่ 1 เขียน 6 ตัว ตรงหมดทุกงวด แต่ว่ารับปากกับท่านว่าจะไม่เล่นก็ไม่เล่น เอามาดู นี่เรื่องหลวงพ่อเขียนยังไม่ถึง ทิ้งไว้ก่อนนะ มาว่ากันถึงหลวงพ่อจง

    เรื่องการให้หวยนี่นะ บรรดาท่านผู้ฟัง พระที่ได้อตีตังสญาณ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่ากันง่ายๆ ก็คือทิพยจักขุญาณ ถ้าได้แล้วนะ เขารู้หวยได้ แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่าคนที่มาขอเขาน่ะ จะถูกหรือไม่ถูก จะมีลาภหรือไม่มีลาภ ในเมื่อรู้หวยได้ ก็ต้องรู้ใจคนได้ รู้วาสนาบารมีของคนได้ ถ้าคนที่ไม่มีลาภให้ไปตรงๆ เสร็จ พระมีความผิด ถ้าเป็นคนที่มีลาภ ให้ได้ แต่ว่าถ้ารู้ว่าเขาจะเล่นมากเกินไป ก็ต้องให้แบบพลิกแพลง ต้องให้คิด แล้วให้หลายๆ แบบ ต้องไปซื้อหลายๆ แบบ เงินจะได้น้อยลงมา หรือถ้าหากรู้ว่าเขาจะเล่นไม่เกินกำหนดกฎชาก็ให้ตรงๆ ได้

    แล้วก็ถ้าหากว่าท่านสงสัย ว่าพระทำไมถึงไม่เล่นเอง อย่าลืมนะ ว่าการรู้หวยจะต้องตัดโลภะ ความโลภในจิตของตนออก ถ้าตัวเองมีความโลภทะเยอทะยานอยากอยู่ รู้ไม่ได้ แบบเดียวกับคนเห็นทรัพย์ใต้ดินเหมือนกัน ถ้ายังอยากจะขุดทรัพย์ใต้ดินอยู่ ก็ไม่มีทางเห็นได้ ถ้าหากว่ามีปฏิญาณในใจ มีสัจจะในใจว่าเราจะไม่รบกวนทรัพย์สินของเขา มันอยู่ที่ไหนเราก็จะเห็นได้ตามอัธยาศัย ที่ต้องการจะเห็น บางทีไม่ต้องการจะเห็นก็เห็นเลย เขาก็ชี้อวดเสียด้วยว่ามีทองเท่านั้นมีเงินเท่านั้น มีเพชร มีพลอยเท่านี้ นี่เป็นเรื่องของจิตบริสุทธิ์

    เรื่องการเห็นหวยเขาก็เห็นได้ หลักสูตรในพระพุทธศาสนามี เคยเห็นลงหนังสือพิมพ์บ้าง พูดกันบ้าว่าถ้าพระรู้หวยจริงๆ แล้วก็จะต้องเรี่ยไรทำไม ทำไมไม่ซื้อหวยเล่นเสียเอง จะได้สร้างวัดให้มันสวย นี่ก็ว่ากันประเภทคนไม่มีความรู้ในเรื่องราวของพระพุทธศาสนาจริง ถ้าจะรู้ก็รู้ตามตำราว่าดะไปยังงั้น ศีล 5 ก็ไม่ครบ สรณาคมน์ก็ไม่ครบ คนประเภทนี้รู้จริงไม่ได้ คนจะรู้จริงได้ต้องเป็นคนมีศีล 5 ครบ มีสรณาคมน์ครบถ้วน แล้วก็มีอะไร มีนิวรณ์ 5 ระงับได้ตามอัธยาศัย สามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏ แต่ว่าการจะทำแบบนี้ได้ จิตโลภะ โทสะ โมหะ มันต้องบาง ถ้ายังหนาอยู่ ไม่มีทาง ถ้ากิเลสยังท่วมตัวอยู่ เลยหัวไปนิดๆ ไม่มีทาง เพราะกิเลสมันทับลูกตา บังลูกตาเสีย เหมือนกับคนเราเอาตัวจมลงไปในดินเลยศีรษะแล้วก็กลบเสียด้วย จะมองเห็นคนเดินบนภาคพื้นดินได้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าของเล็กๆ แล้วยิ่งไม่เห็นใหญ่ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คนเราถ้ามีกิเลสเลยศีรษะ มันทับลงมาหมด เหมือนกับดินที่มาทับคนหนาทึบไปหมดจะมองเห็นหวยได้ยังไง ตานี้ คนที่จะเห็นหวยได้ก็ต้องเป็นคนดีมีกิเลสบาง จิตนะอาด ไม่มีความโลภ ไม่คิดว่าจะทำลายทรัพย์สินของเขา นี่ว่ากันถึงคนที่รู้จริงนะ แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวควรจะซื้อหรือไม่ซื้อ ควรจะเล่นหรือไม่เล่น ถ้าคิดว่าจะเล่น เจ๊ง เพราะความโลภมันเกิด ต่อไปรู้เหมือนกัน รู้ใหม่ คราวนี้รู้ชัดกว่าเก่า แต่กินหมดไม่ตรงตามความเป็นจริง นี่เล่าสู่กันฟัง

    ทีนี้มาว่ากันถึงคนเล่นหวยสีกุก ตาคนนี้แกชื่ออะไรจำไม่ได้ อาตมาเคยเห็นหน้าแก เคยคุยกัน แต่เวลานี้นึกชื่อไม่ออก วันหนึ่งแกไปหาหลวงพ่อจง อาตมานั่งอยู่ที่นั่น ไปกราบๆ บอก ขอหวยสัก 3 ตัว บอกตรงๆ

    เวลานั้นเป็นเดือนเมษา คือเดือน 5 แกบอกว่า เดือน 6 คือเดือนพฤษภาจะบวชลูกชาย แล้วตั้งใจจะซื้อหวยเลขที่หลวงพ่อจงให้ไปสัก 200 บาท

    บอกราคาเสร็จ บอกว่า จะเอาเงินบวชลูกชาย

    หลวงพ่อจงบอก ให้ ก็ไม่เล่น

    แกบอกว่า เล่นขอรับ

    ท่านก็บอกว่า เอาเถอะน่า ถึงให้ไปก็ไม่ซื้อหรอกหวยของฉันน่ะ แกไม่ซื้อ แกยังไม่มีลาภ

    แกก็เลยบอกว่า ขอให้หลวงพ่อให้ก็แล้วกัน ผมต้องซื้อแน่

    ท่านก็ยืนยันว่าตาคนนี้ไม่ซื้อ ในที่สุดอาตมาก็ยกมือขึ้นพนม กราบเรียนท่านว่า

    หลวงพ่อ ให้เขาเถอะขอรับ เขาจะซื้อหรือไม่ซื้อก็เป็นเรื่องของเขา เพราะตั้งใจจะไปทำบุญ

    ท่านก็มองๆ หน้าอาตมา แล้วบอก ให้ได้ แต่ไม่ซื้อ คนนี้ยังไม่มีลาภ

    เขาก็ถามว่า เลขอะไร

    ท่านก็เลยบอก เขียนให้ก็ได้

    ท่านก็เขียนให้สามตัว แล้วท่านบอก ไม่ต้องกลับนะ หวยรางวัลที่ 1 คราวนี้ออกตามนี้

    ตาคนนั้นได้แล้วก็เอาใส่กระเป๋าไป อาตมาก็ขอลอกเขาไว้ อยากจะรู้ว่าหวยออกจริงตามนั้นไหม

    เมื่อเวลาหวยออกจริงๆ ตรงเป๋งไม่ต้องกลับ แล้วไปฟังข่าวว่าตานั่นแกรวยเท่าไหร่ มีเรือยนต์อยู่ลำหนึ่งชาวบ้านเขาซื้อให้ ก็วิ่งไปหน้าวัดสีกุก พอไปถึงวัด ก็ไปถามพระปลัดเที่ยง ถามว่า

    รู้จักโยมคนนั้นไหม

    ท่านบอกว่า รู้จัก

    ถามว่า บ้านนั้นเขารวยหวยเท่าไร รู้ไหม

    โดยมากคนที่ถูกล๊อตเตอรี่ใต้ดินมักจะมีข่าวไม่ยาก ประเดี๋ยวเดียวข่าวก็กระจายไปทั่วทุกทิศ เพราะเสมียนผู้จ่ายเขาเป็นคนโฆษณา เพราะเขาจะได้ขายได้คล่องๆ พระปลัดเที่ยงก็บอกว่า

    ถูกที่ไหนล่ะ จะยิงตัวตายถึงกับต้องห้ามกัน

    ถามว่า ทำไมล่ะ

    ก็ปรากฏตามเรื่อง ท่านบอกว่า

    แกไปขอหวยหลวงพ่อจงมา ได้เลขมา 3 ตัว หลวงพ่อจงบอกว่าเล่นไม่ต้องกลับ แต่ว่าที่ไหนได้ เมื่อเวลาหวยออกเข้าจริงๆ เสมียนเขามาจด แกไม่ได้ซื้อหวยของหลวงพ่อจง ลืมเลขไปเล่นหวยอาจารย์อื่นเสียเพลินไป หมดไปหลายร้อยบาท แกเขียนไว้แล้ว เลขของหลวงพ่อจงจะซื้อ 200 บาท แต่ลืมหยิบออกมา พอหวยออกปรากฏว่าแกไม่ถูก ไปเห็นเลขของหลวงพ่อจงเขียนทิ้งไว้ในกระเป๋า ไม่ได้ซื้อไปกับเสมียนผู้จด เสียใจ วิ่งเข้าห้อง คว้าปืนจะยิงตัวเอง ชาวบ้านต้องห้ามกันถึงเอาปืนไปเก็บไว้ เวลานี้ก็ต้องมีคนคุม ไม่กล้าห่างแก เกรงว่าจะทำลายชีวิตตัวเอง

    นี่แหละท่านผู้ฟัง ไอ้เรื่องหวยเรื่อลาภน่ะมันเป็นยังงี้นา กฎของความเป็นจริงมันมี คนที่ไม่มีลาภมันก็ไม่เล่นหรอก ของดีไม่เอา เขาไม่ชอบกัน แต่คนที่มีลาภจริงๆ ถึงแม้ไปพบอุจจาระเข้าก็ยังคิดเป็นหวยได้เลย

    นี่จะพูดให้ฟัง เมื่อปี พ.ศ. 2497 หรือ 98 นี่ อาตมาจำไม่ได้นะ ไปเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอบ้านแพ้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นตำบลโรงเข้ มีเจ้าเด็กหนุ่มๆ 2 คน เข้ามาหาแล้วมาขอหวย ถามว่า

    หลวงพ่อขอรับ มีหวยไหม ผมขอสัก 3 ตัว หรือ 2 ตัวก็เอา

    ก็เลยบอกแกว่า

    ฉันไม่รู้หรอกเรื่องหวยนี่น่ะ เรื่องหวยนี่ฉันไม่พยายามรู้จริงๆ เพราะถ้ารู้แล้วมันยุ่ง เวลานี้ไม่รู้ เมื่อก่อนนี้เคยรู้เหมือนกัน แต่ว่ารู้แล้วไอ้คนเล่นมันเสียสัจจะ ก็เลยไม่กล้ารู้ต่อไป แล้วอีกประการหนึ่งถ้ารู้หวยเข้าแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอน หาความสุขไม่ได้ คนไปคนมาไม่มีเวลา ดึกๆ ดื่นๆ ก็มาหาพระ ฉันร่างกายไม่ดีก็เลยเลิกรู้เสีย ไม่รู้เสียแล้วมันสบายใจ

    ในเมื่อแกผิดหวัง แกก็ทำหน้าเสีย ถามว่า

    ผมจะทำยังไง นึกว่าจะได้ลาภจากหลวงพ่อ

    ก็เลยบอกแกว่า

    ทางราชบุรีน่ะ วัดจุฬาเขาให้หวยเป็นปกติ ใครอยากจะรวยก็ไปขอท่านก็แล้วกัน เลขตัวท้ายน่ะท่านให้ตรงทุกทีนะ ตัวที่อยู่ท้ายสุด แต่ตัวอื่นไม่แน่นักว่าจะตรง ถ้าหากว่าเธอเล่นตัวเดียวละ ได้ทุกงวด ถ้าเป็นคนฉลาด

    เจ้าเด็ก 2 คนก็ลาไป หลังจะไปวัดจุฬา แต่ว่าเดินออกจากบ้านไปไม่นานนัก ไม่ถึงกิโล เจ้าคนหนึ่งไปเห็นอุจจาระซึ่งชาวบ้านเขามาถ่ายใหม่ๆ แล้วก็มีไม้ชำระอยู่ 3 อัน เขาก็ยืนมองก้อนอุจจาระกับไม้ชำระ เจ้าเพื่อนเดินเลยไปแล้ว เดินเลยไป เห็นเจ้าเพื่อนคนนี้ยังไม่ไป ก็เดินกลับมาถามว่า

    เฮ้ยทำไมไม่ไปเล่า

    เพื่อนก็เลยเรียกเข้ามา บอกว่านี่ไง ข้าเจอะหวยแล้วว่ะ

    เจ้าเพื่อนก็เดินเข้ามาถามว่า อะไร

    ก็ชี้ให้ดูอุจจาระกับไม้ 3 อัน เฮ้ย นี่แหละหวย

    เพื่อนก็ว่า ไอ้บ้า นั่นมันขี้นี่หว่า ขี้คนเขาขี้ไปใหม่ๆ เห็นเป็นหวยไปได้

    ไอ้เจ้านั่นก็ยังบอก เฮ้ย นี่แหละหวยละ ข้าได้แล้วละ ข้าไม่ไปแล้วโว้ยวัดจุฬา ข้าจะเอา 1 , 3 ไปเล่น 13 หรือ 31 แล้วคนขี้นี่ก้นมันอยู่ข้างล่าง ไอ้ 2 ตัวนี่มันต้องออกข้างล่าง

    เขาว่ายังงั้น ไอ้เจ้าเพื่อนก็ด่าเอา บอก

    เอ๊ นี่มันบ้ามากไปเสียแล้วโว้ย ขี้แท้ๆ เห็นเป็นหวยไปได้

    เจ้านั่นก็บอกว่า

    ช่างข้าเถอะ เอ็งจะหาว่าข้าบ้าข้าบอยังไง ข้าก็ไม่ว่าละ ข้าได้แล้วข้าไม่ไปละ เอ็งอยากไปวัดจุฬาเอ็งก็ไป ข้าไม่ไปละ ข้าจะเอาหนึ่งสาม สามหนึ่งนี่ ไปเล่น

    เป็นอันว่าเจ้านั่นไม่ไปจริงๆ แต่ว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งไป ไม่เชื่อ ไปถึงวัดจุฬาท่านก็ให้มา 3 ตัว แล้วพอดีมีเลข 3 ห้อยอยู่ข้างหลัง แต่เลขข้างหน้า 2 ตัวไม่รู้ว่าเป็นเลขอะไรไม่ตรงกับหวย เขาได้มาก็เอามาให้ อาตมาดู ว่า

    หลวงพ่อวัดจุฬาให้แบบนี้

    ก็เลยชี้ให้เขาดูว่า ไอ้เลขตัวห้อยท้ายสุดน่ะเคยออก วัดจุฬาเคยให้ทุกงวดถูกทุกที อีก 2 ตัวข้างหน้านี่ท่านไม่มีเจตนาจะให้ โดยมากมักเขียนผิดๆ เข้าไว้ แต่ว่าเลข 3 คราวนี้อยู่หลังแน่ ท่านเขียนไว้ห้อยท้าย ตัวต่อไปจะเป็นเลขอะไรแกไม่รู้ ตัวกลางกับตัวหน้า ก็พอดีเจ้าคนนั้นมา เพื่อนเขาก็บอกว่า

    ไอ้นี่มันไม่ได้ไปกับผมหรอกครับ มันไปเห็นก้อนขี้มีไม้ 3 อัน มันหาว่าเป็นหวย

    ก็เลยถามเจ้าคนมาทีหลังบอกว่า

    เอ็งเห็นก้อนอุจจาระน่ะ ไอ้ก้อนขี้น่ะเอ็งคิดว่ามันเป็นเลขอะไร

    มันว่า ผมเห็นว่าเป็นก้อนเดียวครับเลยคิดว่าเป็นเลข 1 แล้วไม้ 3 อันคิดว่าเป็นเลข 3

    ก็บอกว่า ดีแล้ว เลข 3 คงจะมีแน่ เพราะว่าวัดจุฬาให้มาเลข 3 อยู่ท้าย เอ็งก็เอาเลข 1 ของเอ็งวางไว้ข้างหน้าก็แล้วกัน เล่นแค่ 2 ตัว อย่าเล่นมาก ถ้าเล่นมากมันจะกิน ถ้าเล่นน้อยมันจะกินหรือไม่กินก็ไม่รู้ แต่เลข 3 คงจะมีแน่ เพราะท่านวัดจุฬาท่านให้ไม่เคยผิดตัวท้าย

    ความจริงท่านรู้ทุกตัว เป็นอันว่างวดนั้นเจ้านั่นเล่น 13 เล่นไป 200 บาท แล้วเจ้าเพื่อนนั้นไม่ยอมเล่น 3 น่ะ มีแต่เล่นตามเลขของวัดจุฬา

    เมื่อเวลาล๊อตเตอรี่ออกจริงๆ เลขท้ายรางวัลที่ 1 สองตัวท้ายมีเลข 13 เป็นอันว่าหลวงพ่อขี้ หรือหลวงพ่ออุจจาระให้หวยแม่น สำหรับท่านวัดจุฬาท่านก็ให้แม่นเหมือนกัน แต่ว่าท่านให้ตัวเดียว ประวัติของท่านวัดจุฬาน่ะเคยล้มเจ้ามือมาแล้ว เพราะท่านให้แบบนี้แหละ ให้แบบผิดๆ เรื่อยมา ใครไปขอท่านก็ให้ส่งเดช แต่ว่าตัวท้ายห้อยถูกเสมอ

    มีคราวหนึ่ง ท่านมาเป็นอุปัชฌาย์บวชพระที่ดำเนินสะดวก เห็นจะเป็นวัดโชติยาราม เวลาท่านออกจากโบสถ์มีเจ้ามือไปหาท่านยกมือไหว้ บอกว่า

    หลวงพ่อขอรับ หลวงพ่ออย่าให้หวยเลยขอรับ ผมจะแย่เสียแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อเล่นหวยถูก ผมเกือบจะจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว

    แต่ความจริงไม่มีใครถูก ท่านก็เอามือป้องหน้า เรียกชื่อว่า

    เจ้านั่นใช่ไหม

    ไม่ออกชื่อนะ เวลานี้เขายังมีชีวิตอยู่เป็นคนใหญ่โต เรียกว่าเป็นคนกว้างขวาง มีลูกน้องมาก ฐานะดี ถามว่า

    เจ้านี่ใช่ไหม

    เขาก็บอกว่า ใช่

    บอก เออ ถ้ายังงั้นละก้อ พรรษานี้ข้าขอ 2 ครั้งนะ แล้วเอ็งอย่าไปว่าข้านะ ข้าต้องขอ 2 ครั้ง ในเมื่อเอ็งมาเยาะเย้ยข้าอย่างนี้นี่ ไม่เป็นไร ต่อแต่นี่ไปในพรรษานี้แหละ ตั้งแต่วันเข้าพรรษาถึงออกพรรษาขอ 2 ครั้ง ตั้งท่าไว้ให้ดีนะ

    เขาก็ยิ้ม เพราะไม่เคยถูก คนไปขอหวยจากท่านไม่เคยถูกเลย

    พอกลับไป วันเข้าพรรษา ท่านก็เอากระดานแผ่นใหญ่ทาสีดำ แล้วเขียนเลขตัวเบ้อเร่อเชียว ขาวขนาดสักศอก 3 ตัว เอาไว้ที่ศาลาการเปรียญห้อยเอาไว้ เวลาคนเขาไปขอหวย ท่านก็บอก

    งวดนี้ฉันไม่รู้หรอก ฉันให้ใครไม่ได้ แกไปขอกับศาลาการเปรียญเขาก็แล้วกัน ถ้าเขาให้ได้ แกก็เอาไปเหอะ ถ้าเขาให้ไม่ได้แกก็อย่าเอา ถ้าเขาให้ได้ก็ถูกตรง ไม่ต้องกลับ ถ้าเขาให้ไม่ได้ก็เป็นกรรมของแก

    คนทุกคนก็เฮกันไปที่ศาลาการเปรียญเพราะทราบข่าวอยู่แล้วว่า หลวงพ่อจะจัดการกับเจ้ามือสัก 2 งวด เขาก็คิดว่ายังไงไอ้ 2 งวดนี้ต้องเอาทุนคืนให้ได้ ทุกคนไปท่านก็บอกแบบนั้น งวดนั้นเจ้ามือจ่ายเท่าไรรู้ไหม ขอลดลงมาจ่ายบาทละ 16 บาท ในที่สุดระหว่างเจ้ามือกับคนเล่น เสมียนกับคนเล่น ตีกันหลายวาระ เพราะเวลากินกินเขาเต็ม เวลาถูกจะมาขอลด บาทละ 600 บาท ขอลดเป็นบาทละ 16 บาท ล่อเสีย 500 กว่า ตีกันหลายรอบ

    นี่ไอ้เรื่องพระที่ท่านรู้จริงๆ น่ะมี แล้วกลางๆ พรรษาท่านล่อแบบนั้นเข้าอีกครั้ง เจ้ามือไปขอร้องท่าน ท่านบอก

    ไม่ได้หรอก ฉันบอกแล้วนี่ ฉันขอ 2 งวด ยังไงๆ ฉันก็ต้องบอกให้เขาถูกกันให้ได้ 2 งวด ถ้าแกเกรงว่าเขาจะถูกแกก็เลิกเป็นเจ้ามือไป

    นี่พระที่ท่านรู้จริงๆ น่ะมี แต่ว่าท่านที่เคยวินิจฉัยว่าพระรู้ไม่ได้นี่ก็สงสัยเหมือนกัน คงจะไม่ได้ศึกษาวิชาหลักสูตรของพระพุทธศาสนาครบถ้วน ท่านที่ทรงวิชชาสาม อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ พวกนี้รู้ได้จริงๆ แต่ว่าถ้าเรารู้กันแต่ตำราละก็เจ๊งละ เก่งพระพุทธศาสนาเพียงแค่ตำราอย่างเดียว เปิดหนังสือเล่มโน้น เปิดหนังสือเล่มนี้ เวลาจะคุยละก็อ้างหนังสือกันเป็นสำคัญ แล้วมันจะเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ยังไง เรารู้เรื่องของต่างประเทศทุกประเทศ แต่ไม่เคยไปประเทศนั้นเลย แล้วเราจะรู้ความเป็นจริงได้ยังไง นี่ซีนะ ลองวินิจฉัยกันดูก็แล้วกัน เอ้า เรื่องนี้ผ่านไป

    38. ผีวัดช่างเหล็ก

    เห็นหัวข้อเรื่องเขียนไว้ว่าผีวัดช่างเหล็ก คือเรื่องราวเป็นอย่างงี้

    วัดช่างเหล็กนี่น่ะ ก็อยู่เขตอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถ้าเราวิ่งเรือตามกระแสน้ำไปทางจังหวัดพระนคร จะอยู่ใต้จากหลวงพ่อจงไปไม่มากนัก

    วัดช่างเหล็กวันนั้นเขาจะรื้อกุฏิหลังหนึ่ง เป็นกุฏิเก่าแข็งแรงมากยาว 9 ห้อง แต่ว่าเป็นกุฏิเก่าๆ ประตูหน้าต่างก็ไม่กว้าง อากาศก็ไม่ดี สมภารเขาจะรื้อแล้วจะทำใหม่ ก็ตั้งท่ารื้อกันตั้งแต่ตอนเช้า พระฉันข้าวเสร็จก็นั่ง ทำพะองขึ้นไปก่อน ทำนั่งร้านขึ้นไปเพื่อขึ้นหลังคา กำลังจะรื้อกระเบื้อง ความจริงพึ่งจะรื้อกระเบื้องได้แถบเดียว หรือยังไม่เต็มแถบดีก็ไม่ทราบ มันหลายคนด้วยกัน พระด้วยฆราวาสด้วย ก็พักถึงเวลาเพล ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าอาวาสก็สั่งพระพัก ว่าสักบ่ายโมงค่อยทำ ไปนั่งฉันน้ำร้อนน้ำชากันในโบสถ์

    ระหว่างนั้น ปรากฏว่ามีลมพัดมา เสียงลมอู้ แล้วก็ด้านหลังวัดมีกอไผ่มาก เหลียวไปดูที่ไหน ความจริงไม่ใช่ลม มันเป็นเสียงควงกระบองของผีน่ะ กลางวันนะ เวลากลางวัน ปรากฏผีตัวใหญ่สูงกว่ายอดไผ่ เดินข้ามยอดไผ่มา เข้ามาถึงบริเวณนั่งร้านที่เขากำลังรื้อหลังคา มาถึงกระชากๆ นั่งร้านพังหมดเสร็จแล้วก็เดินกรายมาทางโบสถ์

    ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทั้งลูกวัด ทั้งสมภาร บอกว่าเกือบไม่หายใจ กลัวตกใจเกือบช๊อคตาย แกเดินไปเดินมา เดินมาเดินไปแล้วก็เดินหายไป กลางวันแท้ๆ นะ พอเรื่องราวผ่านไปทุกคนไม่กล้าขึ้นกุฏิแล้ว ลงเรือข้ามฟากมาหาหลวงพ่อจง

    พอดีวันนั้นอาตมานั่งอยู่ที่นั่นพอดี เพราะไปหาหลวงพ่อจงบ่อย ถ้าหากว่ามีธุระอะไรก็ ท่านมักจะให้คนมาตาม ถามว่า มีธุระไหม ถ้าไม่มีธุระกลางวันให้ไปคุยกัน แล้วความจริงคุยกับท่านก็ได้ประโยชน์มาก เพราะผลของการปฏิบัติ หลวงพ่อจงปฏิบัติพระกรรมฐานได้ดีมาก ท่านแนะนำอะไรบ้างตามสมควรในจุดที่สำคัญๆ พูดถึงอารมณ์ของจิต ก็มีประโยชน์ แต่เรื่องนั้นไม่นำมาพูดในที่นี้

    พอเขาไปกันเขาก็ไปไหว้หลวงพ่อจง เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง หลวงพ่อจงก็ชี้มา บอก

    ถามท่านมหาเขาดูซิว่าผีมีไหม

    เขาก็หันหน้ามามอง ความจริงเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็กก็ชอบกัน ก็เลยบอกว่า

    เรื่องผีนี่ผมโดนมาจนเข็ดแล้วขอรับ หลวงพ่อปานเคยสั่งว่าอย่าอวดเก่งกับผีอย่าอวดดีกับพระ ไอ้นี้เรื่องจริงครับ ไม่ไหว ถ้าผีจะให้ผมสู้ ผมไม่สู้แน่ ถ้าผีเล็กยอมสู้ ผีใหญ่สู้ไม่ได้

    เขาก็เลยถามว่า ผีตัวโตๆ แบบนั้นเป็นแบบอะไร

    ก็เลยบอกว่า ถ้าไม่ใช่ยักษ์ ก็เป็นกุมภัณฑ์ ท่านเวลาที่จะรื้อกุฏิคงไม่ได้บอกเจ้าของเขาก่อนกระมัง

    เขาก็เลยบอกว่า ไม่ได้บอก เห็นมันเก่าก็อยากจะรื้อซ่อมแซม แล้วจะทำ

    ก็เลยบอกว่า ไอ้ของนี่เรารื้อได้ แต่หากว่าเจ้าของเดิมเขายังหวงแหนอยู่ เขาอาจจะไม่ยอมให้รื้อ หรือถ้าอยากจะรื้ออย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีใครขัดคอ ก็เคยเห็นหลวงพ่อปานบวงสรวงก่อนเสมอ ว่าเจ้าของจะให้หรือไม่ให้ ถ้าให้ท่านก็รื้อ ไม่ให้ท่านก็ไม่รื้อ

    หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า นั่นเป็นความจริง ผีที่มาเป็นยักษ์ ลูกศิษย์ท้าวเวสสุวรรณ

    เขาก็ถามว่า ทำยังไงถึงจะรื้อได้

    หลวงพ่อก็บอกว่า ให้ไปตั้งศาลเพียงตาบอกเขาเสียก่อน บอกเขาให้รู้เรื่องว่า เราจะทำอะไร ถ้ารื้อมาแล้วต้องทำให้ดีกว่าเก่านะ จะไปยุบของเขาให้เล็กไม่ได้นะ กุฏิหลังนั้นยังแข็งแรงอยู่ ไม้ไร่ยังดี ต้องทำให้สวยกว่าเก่า ดีกว่าเก่า แข็งแรงเท่าเดิมหรือยิ่งกว่านั้น อย่าไปหากำไรจากการรื้อเอาไม้เอาไร่เขามาขาย ไม่ได้นะ

    เขาก็รับรอง แล้วเขาก็เลยนิมนต์หลวงพ่อจงให้ไปบวงสรวง หลวงพ่อจงก็ชวนอาตมาไป ก็ไปด้วยกัน พอไปถึงแล้วเวลาหลวงพ่อจงท่านก็ถามว่า

    จะทำยังไงดีล่ะ ไอ้ฉันเสียงมันก็ไม่มี

    ก็เลยบอกว่า เอางี้ก็แล้วกันขอรับ บวงสรวงผมทำได้ แต่ว่าหลวงพ่อนั่งเป็นประธาน การตกลงกับเขาเป็นเรื่องของหลวงพ่อจง แต่ว่าการบวงสรวงเชิญมาเป็นเรื่องของผม ดีไหม

    ท่านบอกว่า ดี

    ก็เลยตั้งพิธีบวงสรวงกัน

    ขณะที่บวงสรวงนั่นเอง ความจริงตอนนี้ไม่ได้เล่าให้ใครฟังนะ ก็ปรากฏว่าท่านผู้ใหญ่ 4 ท่าน ใหญ่เท่าที่เคยมา ปรากฏกายขึ้น 4 องค์ ตานี้หลวงพ่อจงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตัวของเขามันสูงมากเลยศาลา หัวนะ นี่ทำให้ปรากฏแก่คนทุกคนหมด คนทุกคนเห็นกันหมด โดยเฉพาะเจ้าวัดกับทายกที่รื้อกุฏิถึงกับนั่งก้มหน้านิ่ง เห็นจะคร้ามกระบอง แต่ละท่านมีกระบองเหมือนกับพลองลูกเสือ ปรากฏชัด นั่นเป็นอานุภาพของหลวงพ่อจงนะ หลวงพ่อจงท่านทำให้เห็น หลวงพ่อจงนี่เป็นพระอภิญญา แค่ลำพังอาตมาละก็เจ๊งละ ไม่มีทาง เห็นคนเดียวเห็นได้ คนอื่นเห็นด้วยไม่ได้

    พอเสร็จแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามให้เขาตอบ หัวหน้าเขาก็ตอบว่า

    การทำอะไรไมได้ปรึกษาหารือแล้วที่จะทำนี่นะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ดีกว่าเดิมหรอก ทำให้เลวกว่าเดิม จะยุบลงเป็นหลังเล็กๆ ไม้ของสงฆ์ก็จะเหลือแล้วในที่สุดก็จะทอดทิ้งไป หรือเอาเข้าบ้านเข้าช่องไป จึงไม่ต้องการให้รื้อ ถ้าหากว่าต้องการจะทำให้ดีกว่าเก่าใหญ่เท่าเก่า อย่างงี้ทำได้ รื้อได้ ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามนั้นเป็นอันว่า คนทุกคนที่รื้อหรือที่จัดการก็ต้องถึงกับทุพพลภาพทุกคน แต่ไม่ถึงตาย

    เรื่องนี้หลวงพ่อจงก็หันมาถามเจ้าอาวาสกับทายก ทุกคนยกมือขึ้นพนม รับปากว่าจะทำตามนั้น นี่เป็นอันว่าเรื่องของวัดช่างเหล็กก็ขอผ่านไป

    นี่เล่าให้ฟังนะ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ได้ว่าอะไร

    39. ผีวัดไทรใหญ่

    ทีนี้มาคุยกันถึงวัดไทรใหญ่ วัดไทรใหญ่นี่อาตมาจำไม่ได้นะ ว่าเป็น พ.ศ. เท่าไหร่ ปีนั้นเขาฝังลูกนิมิต เขานิมนต์ไป เอารูปหล่อหลวงพ่อปานไป แล้วก็นิมนต์หลวงพ่อจงไป แล้วก็มีอาจารย์เกิด แกไปหุงน้ำมัน อยู่จังหวัดนนทบุรี ไปหุงน้ำมันแจก แกคุยว่าน้ำมันของแกเดือดแล้วไม่ร้อน ความจริงเครื่องสมุนไพรมันค่อนกระทะ ตามปกติเท่าที่เคยสังเกต ถ้ามีสมุนไพรมากๆ ไอ้เจ้าน้ำมันนี่มันเดือดง่าย ไม่ทันจะร้อนเท่าไรก็มีเดือดปุดๆ ถ้าเราเอามือจุ่มลงไปละก็มันจะเพียงแค่อุ่นๆ ร้อนไม่มาก แต่ห้ามเอามือถูกก้นกระทะ ก้นกระทะมันจะร้อนมาก แต่ว่าท่านว่ามันเป็นวิชาการของท่าน ก็เป็นเรื่องของท่านไป

    ขณะที่เขานิมนต์ไป เอารูปหล่อของหลวงพ่อปานไปตั้งไว้ มีคนไปปิดทอง ปีนั้นปรากฏว่าได้เงินหมื่นแปดพันบาท กว่าจะหมดเวลา นี่รูปหล่อหลวงพ่อปานนะ หลวงพ่อจงนั่งลงนะหน้าทอง ก็ได้เงินหมื่นแปดพันเหมือนกัน ได้เท่ากัน หลวงพ่อจงหัวเราะชอบใจใหญ่ บอกว่า

    หลวงพ่อปานนั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้หมื่นแปดพันบาท ฉันลงนะหน้าทองเกือบตาย ได้หมื่นแปดพัน ฉันสู้หลวงพ่อปานไม่ได้

    ท่านว่ายังงั้น

    ทีนี้ ในระหว่างที่พักอยู่ด้วยกัน เขาให้อยู่กุฏิ 2 ชั้น อยู่ชั้นสอง คืนหนึ่งอาตมานอนตื่นขึ้นประมาณตีสอง งานเขาก็เงียบไปแล้ว ลิเกละครก็เลิกหมดแล้ว ไฟฟ้าจุดสว่างก็เดินไปส้วม ส้วมอยู่ไกลกุฏิสักหน่อย ผ่านหน้ากุฏิร้างหลังหนึ่งไป ความจริงเป็นกุฏิสะอาดสวยและเป็นกุฏิใหม่ แต่ไม่รู้ว่าร้าง ขณะขาเดินไปก็ไม่มีอะไร ขากลับมา ทั้งๆ ที่ไฟฟ้าสว่าง ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางคล้ายกับเจ็บหนักอยู่ในกุฏิ ก็เดินเข้าไปดู เห็นกุฏิใส่กุญแจ

    พอไปถึงหน้าประตู เสียงนั้นก็เงียบไป แต่พอถอยห่างออกมา เสียงนั้นก็ครางอีก เป็นเสียงผู้หญิง เห็นกุฏิใส่กุญแจก็นึกในใจว่า เอ๊ะ ใครมันจะเอาผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายในนี้กระมัง คนเลวๆ ก็มีอยู่เหมือนกัน เห็นกุฏิพระว่างๆ อาจจะทำปู้ยี่ปู้ยำก็ได้ ก็เลยหาทางเข้า เดินไปดูรอบๆ นอกเห็นหน้าต่างเปิดอยู่บานหนึ่ง ก็เลยเอาไม้พาดปีนขึ้นไปดูบนหน้าต่างแล้วก็เข้าไปในห้องนั้น ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย หาคนสักคนก็ไม่มี สิ่งที่มีชีวิตไม่มี ของที่มีค่าก็ไม่มี เป็นกุฏิว่าง ก็สงสัยว่า เอ๊ กุฏิว่างอยู่ทั้งหลัง มีงานใหญ่ๆ แบบนี้น่าจะจัดให้คนพัก ทำไมเจ้าอาวาสไม่จัดให้คนพัก ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน

    ทีนี้เมื่อลงมาห่างกุฏิ ได้ยินเสียงครางอีก ก็เลยเข้าใจว่าอีคราวนี้ไม่ใช่คนแน่ ผีแน่ ก็เลยไม่สนใจ เดินกลับมาที่นอน พอขึ้นไปถึงชั้นบนปรากฏว่าหลวงพ่อจงตื่นขึ้นแล้ว ลุกขึ้นมานั่งคอย พอขึ้นไปท่านก็ถามว่า

    นี่ เมื่อกี้นี่พบนักเลงโตใช่ไหม

    ก็ถามว่า อะไรขอรับหลวงพ่อ

    เมื่อกี้นี้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ใช่ไหม

    ความจริงกุฏินั่นอยู่ไกลกันมากนะ แกร้องไม่ดังนัก ถ้าจะคิดว่าหลวงพ่อจงได้ยินละ ไม่ได้ยินแน่ แต่ว่าท่านรู้และท่านได้ยิน ก็เลยบอกว่า

    ขอรับได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง กระผมเข้าไปดูแล้วขอรับ ไม่เห็นมีผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่มีผู้หญิงก็ไม่มี คนก็ไม่มี กุฏิใส่กุญแจ แต่ว่าหน้าต่างเปิดไฟฟ้าสว่าง ถ้าบังเอิญคนจะลงไปผมต้องเห็น พอผมเห็นกุฏิใส่กุญแจผมก็เดินออกมา ยังได้ยินเสียงครางอยู่ เดินอ้อมไปทางหลัง ถ้าเขาจะลงตอนนั้นผมต้องเห็นแน่ เพราะไฟฟ้าสว่าง

    ท่านก็บอกว่า

    ดูไม่พบหรอก เพราะว่าคนที่ร้องนั่นไม่ใช่คนเป็นนางไม้ กุฏินั้นก็มีเสาตกน้ำมันไม่มีพระกล้าอยู่ เขากลัวกัน

    ก็เลยถามว่า

    หลวงพ่อทราบได้ยังไง

    ท่านก็เลยบอกว่า

    เมื่อกี้นี้เธอไปส้วม ฉันก็เลยตามไปด้วย

    ก็เลยสงสัยไม่เห็นท่านตามไปสักนิดหนึ่ง เห็นท่านนอนหลับสนิท แต่ความจริงอาจจะไม่หลับก็ได้ หลับตาไว้ แต่ไอ้ตอนเดินตามนี่ไม่มีแน่ ก็เลยกราบเรียนท่านว่า

    หลวงพ่อตามผมไปยังไงขอรับ ผมเห็นหลวงพ่อนอนอยู่นี่ แล้วก็ไฟฟ้าสว่างคนทั้งคนถ้าตามผมไปผมต้องเห็น

    ท่านก็บอกว่า

    ฉันไม่ได้เอาตัวไปหรอก ฉันเอาใจไป ฉันเอาใจตามเธอไป ฉันจึงรู้เรื่อง

    ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า

    เรื่องเสาตกน้ำมันนี่จะแก้ไขได้ไหม

    ท่านบอก

    ไม่ยากเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเจ้าวัดเขาโง่ ปล่อยให้กุฏิร้างเฉยๆ ได้ ทำเสียนิดเดียว รับรองเขาเสียหน่อยเดียว พูดกันให้รู้เรื่องพระเจ้าก็จะอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าใครปฏิบัติชอบเขาอาจจะสนับสนุนให้รวยก็ได้

    เอาละเรื่องนี้ผ่านไปนะ เท่านี้แหละ ไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเล่าสู่กันฟัง

    40. หลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโค

    ในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ วันนั้นท่านจะทำงานอะไรอาตมาจำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะฉลองศาลา เป็นงานใหญ่มาก งานที่หลวงพ่อปานจัดไม่มีมหรสพ ปี่พาทย์ก็ไม่มี ท่านบอกว่า ท่านหนวกหู แล้วพระอื่นก็มาหมดแล้ว ถึงเวลาบ่าย 3 โมงเย็น พระมาหมด เวลาที่จะลงมือสวดมนต์เย็นก็ประมาณบ่ายสี่โมง หลวงพ่อจงยังไม่มา ท่านก็ให้อาตมาไปตาม

    นายปั๋งเป็นคนญวน เข้ามารับอาสาเอาเรือเร็วให้นั่งไป เขาเป็นคนขับ

    เมื่อไปถึงหลวงพ่อจง ปรากฏว่าหลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ผู้ชาย 5 คน อยู่ที่วัดก็ขึ้นไป เรียนท่านว่า

    เวลานี้พระที่สวดมนต์เย็นมาครบแล้วครับ หลวงพ่อปานให้มาตาม

    ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน ฉันรดน้ำมนต์ก่อน เดี๋ยวฉันไปทัน

    ก็เลยกราบเรียนถามว่า หลวงพ่อไปเรือจ้างน่ะ ช้าครับ กระผมเอาเรือเร็วมารับ

    ท่านก็บอก ไม่ต้องหรอก ฉันจะเดินไป เรือมันช้ากว่าเดิน

    แหม แต่ความจริงไปทางเรือไกลกว่าทางเดินประมาณครึ่งเท่า แต่ว่าถ้าจะเดินจริงๆ จากวัดบางนมโคไปวัดหน้าต่างนี้ประมาณ 4 กิโล แล้วเรือวิ่งประมาณ 10 นาทีเศษๆ เดิน ถ้าเดินจริงๆ ก็ถึงชั่วโมง หรือเกือบชั่วโมง เพราะไม่ใช่มีทาง ต้องเดินลัดทุ่ง เดินไม่ถนัดนัก

    ท่านก็บอกว่า ไม่ไปเรือมันช้า ฉันจะเดิน

    ก็บอกว่า เรือเร็วขอรับ

    ท่านบอกว่าเร็วก็สู้ฉันเดินไม่ได้ ไปก่อน

    ในที่สุดท่านก็ขับให้มา เมื่อท่านขับให้มา ก็ต้องกลับ

    เมื่อกลับมาถึงวัดบางนมโค แล้วก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปานบอกว่า

    หลวงพ่อจงท่านกำลังจะรดน้ำมนต์คนอยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง หรืออาจจะเย็นหน่อย เพราะต้องเดินลัดทุ่งมา

    พอหลวงพ่อปานฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่า นี่ เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้วละ แกไปดูบนศาลาซิ

    ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก พวกพระครูพระราชาคณะที่ไปในที่นั้น ไม่มีใครนั่งหน้าหลวงพ่อจง เพราะถืออาวุโสเป็นสำคัญ เว้นไว้แต่เข้าวัง เขาถือพัด พัดยศ ถือยศเป็นสำคัญ แต่ข้างนอกนี่เขาไม่ถือยศเป็นสำคัญ เขาถืออาวุโสเป็นสำคัญ ไปถึงก็กราบๆ

    ท่านถามว่า มาถึงนานแล้วรึ

    ก็กราบเรียนท่านว่า พึ่งมาถึงขอรับ…
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f342.png วันนี้วันที่ ๒๖ กรกฎาคม 1f342.png
    เป็นวันคล้ายวันมรณภาพครบปีที่ ๘๑
    ของหลวงพ่อปาน โสนันโท 1f647-1f3fb.png2640.png 1f49b.png
    พระผู้ทรงคุณอภิญญาแห่งวัดบางนมโค
    พระอาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    (อ่านแบบยาวๆ 1f60a.png )
    .
    2728.png 1f338.png ประวัติ 1f338.png 2728.png
    ชาติภูมิ ของหลวงพ่อปาน ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่าน
    วัดบางนมโค เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๑๘ โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์ โดยอาชีพทางครองครัว คือ ทำนา สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า “ปาน” เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือปานแดงอยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้าย ตั้งแต่โคนนิ้วถึงปายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว
    .
    หลวงพ่อปานในวัยเด็ก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า “…ท่าน (หลวงพ่อปาน) บอกว่า สมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก ๓-๔ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปาน ท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้น ไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อย สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส
    .
    ท่านบอกว่า ท่านวิ่งเล่น อยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฏว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก ๒-๓ โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านบอก เห็นร้องดังๆ บอก แม่ แม่ อรหันนะ อรหัน ภาวนาไว้ อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดังๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟัง เขาว่าอรหันกันทำไม
    พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน พอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฏว่า ผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่ อรหันนะ อรหัน แต่ว่าพอผู้ใหญ่เขามองเห็นท่านเข้าไป เขาก็ไล่ท่านไป เขาจะหาว่าไอ้เจ้าเด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น
    .
    พอมาถึงตอนเย็น เวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์คือเรียกลูกกินข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเผ็ด ท่านบอกว่า ไอ้แกงฉู่ฉี่แห้ง ท่านชอบ เขาใส่มาให้ เรียกว่า ไม่ต้องหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง เวลาที่ท่านกินเข้าไปแล้วมานั่งนึกว่า กับข้าวมันอร่อยถูกใจ ก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่าเขาบอก อรหัง อรหัง นึกถึงคำว่า อรหัง ขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจอย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดังๆว่า อรหัง อรหัง ว่า ๒-๓ คำ
    .
    ท่านแม่ที่มองตาแป๋วลุกพรวด จับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกน “เอ้า มึงจะตายโหง ตายห่าก็ตายคนเดียว มันจะมาว่า อรหัง ที่นี่ได้รึ? คำว่า อรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่า อรหัง ที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย”
    .
    ท่านแปลกใจ คิดว่า นี่เราว่าดีๆ นี่แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกัน ในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้น จะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่า พอท่านพูดถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หัวเราะบอกว่า “คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้ว อรหังหรือพุทโธนี้ ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้…แต่ว่าแม่ของฉัน นี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหังเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน….”
    .
    สมัยก่อน เมื่อลูกชายมีอายุครบบวช ก็จะทำการอุปสมบท ทางบิดามารดาจะต้องส่งบุตรของตนไปอยู่วัดเพื่อรับการอบรม และท่องขานนาคเป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน เป็นอย่างน้อยท่านเองมีความสงสัยในใจว่า เหตุไฉนสตรีเพศจึงดึงดูดบุรุษเพศมากมายนัก ทำให้หลงใหลใฝ่ฝัน ตัวท่านเองก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมาก่อน จึงคิดว่าจะหาวิธีลองของจริงดูว่าเป็นอย่างไร ถ้าดีจริงบวชครบพรรษาจะสึกออกมา ถ้าไม่เป็นจริงตามวิสัยโลกก็จะไม่สึก ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่งเรียกกันว่าทาส ชื่อว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกันสองคน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงได้อยากกันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยว่าจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็จะไม่สึกละ
    .
    เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัว เป็นทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่าตัว ยกมือไหว้ บอกว่า “พี่เขียว ขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่า เนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไง เขาถึงชอบกันนัก”
    .
    พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกว่า กล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษ อยู่ที่กล้ามเนื้อ ๒ กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊! มันคล้ายกัน
    .
    บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่า ทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเราๆนะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน
    .
    แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียวบอกว่า “ขอโทษ ที่ขอจับเนื้อนี่ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร” เมื่อท่านหมดความสงสัยในใจแล้ว ก็ตกลงใจว่าจะบวช คราวนี้จะไม่ขอสึกหาลาเพศ ก็สมจริงกับที่ท่านตั้งใจทุกประการ
    .
    2728.png 1f338.png สู่ร่มกาสาวพัสตร์ 1f338.png 2728.png
    หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับหลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๘ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะแม โดยมี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์
    มีฉายาว่า “โสนันโท”
    .
    2728.png 1f338.png หลวงพ่อปานเรียนวิชา 1f338.png 2728.png
    หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว หลวงพ่อปานท่านก็ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสุ่น ด้วยความสนใจใคร่ศึกษา เพราะว่าในสมัยนั้น หลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระที่แก่กล้าทางคาถาอาคม และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
    .
    เมื่อตามไปเล่าเรียนเป็นศิษย์แล้ว หลวงพ่อสุ่นเห็นลักษณะของหลวงพ่อปานว่ามีลักษณะดี จะได้เป็นครูบาอาจารย์ต่อไปภายภาคหน้า จึงได้ให้สติหลวงพ่อปานเบื้องต้นในการเบื่อหน่ายกิเลสว่า
    ๑.อย่าอยากรวย อยากมีลาภ ได้ทรัพย์มาแล้วดีใจ ตั้งหน้าสะสมทรัพย์
    ๒.เป็นอย่างต้นแล้ว เมื่อทรัพย์หมดก็เป็นเหตุให้เสียใจ
    ๓.อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ
    ๔.เมื่อหมดยศไปแล้วก็เสียใจ
    ๕.ได้รับคำสรรเสริญแล้วยินดี
    ๖.เมื่อถูกนินทาก็ไม่พอใจ
    ๗.มีความสุขความเพลิดเพลินในกามารมณ์
    ๘.เมื่อมีความทุกข์ก็หวั่นไหวท้อแท้ใจ
    .
    จากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตแล้วอย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ พระต้องรวยด้วยบุญญาบารมี เงินที่ได้มาอย่าติด จงทำสาธารณประโยชน์เสียให้สิ้น เหลือกินเหลือใช้แต่พอเลี้ยงอาตมา อย่าหวังในยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับยศไม่ได้แล้ว ก็อย่าเมายศฐาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเครื่องถ่วงกิเลส ยศ ลาภ สรรเสริญ ความสุขในกามารมณ์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นโลกธรรม ต้องตัดออกให้หมด ถ้าพอใจในสี่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่พระ จะพาให้สู่ห้วงนรก
    .
    จงระลึกอยู่เสมอว่า เราบวชเพื่อนิพพาน อย่างที่กล่าวในตอนขออุปสมบทครั้งแรกว่า “นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตะวา” อันหมายความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    .
    จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ท่องสวดมนต์ตลอดจนคาถาธาตุทั้งสี่ คือ นะ มะ พะ ทะ ให้ว่าถอยหลังแล้วเป่า ให้กุญแจหลุด ถ้าเจ้าเป่าหลุดแล้วบอกพ่อ จะให้วิชาต่างๆ ให้หมดไม่ปิดบัง นี่คือการฝึกสมาธิจิตที่หลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานทางอ้อม คือถ้าจิตไม่มีสมาธิแล้วอย่าหวังเลยว่า ด้วยคาถาเพียงสี่ตัวจะดีกว่าลูกกุญแจได้
    .
    หลวงพ่อปานท่านก็มีความอดทน หมั่นฝึกเป่ากุญแจนานเป็นเดือน เป่าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด มาหลุดเอาตอนที่ท่านทำใจสบายเป็นสมาธิ นึกถึงคาถาเป่ากุญแจได้ จึงลุกขึ้นมาเป่ากุญแจ คราวนี้กุญแจหลุดหมด ทดลองกับลูกอื่นๆ ก็หลุด เพิ่มกุญแจขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๔๐ ดอก แขวนไว้บนราว ก็หลุดหมด แล้วจึงทดลองให้หลวงพ่อสุ่นดูจนพอใจ หลังจากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สอนวิปัสสนาให้แก่หลวงพ่อปาน ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงที่สุด ด้วยความเมตตาหลวงพ่อปาน ในตอนท้ายว่า เมื่อมีฤทธิ์แล้วอย่าแสดงให้คนอื่นเขาเห็นเป็นการอวดดี จะเป็นโทษตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้
    .
    จบจากวิปัสสนาแล้วหลวงพ่อสุ่นยังได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้ ซึ่งหลวงพ่อปานก็ได้อาศัยใช้ช่วยชีวิตผู้ได้รับทุกข์ทรมานให้หายมามากต่อมาก จนท่านได้ชื่อว่าเป็น “พระหมอ” หลวงพ่อสุ่น สอนว่า “การเป็นหมอนั้น บังคับไม่ให้คนไม่ตายไม่ได้ หมอเป็นเพียงช่วยระงับทุกข์เวทนาเท่านั้น” จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็ถ่ายทอดกสิณต่างๆ ให้หลวงพ่อปานจนกระทั่งสิ้นความรู้
    .
    2728.png 1f338.png องค์อาจารย์ของหลวงพ่อปาน 1f338.png 2728.png
    การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานนั้น
    พอจะรวบรวมได้ดังนี้
    เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาแพทย์จาก หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เรียนวิชาปริยัติธรรมที่ วัดเจ้าเจ็ด กับ พระอาจารย์จีน ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสุ่นท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงแนะนำให้มาเรียนปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ด กับพระอาจารย์จีน จากปากคำของชาวบ้านแถบวัดเจ้าเจ็ด และผู้ที่เคยไปเรียนกับพระอาจารย์จีนได้ให้ปากคำตรงกันว่า พระอาจารย์จีนเป็นคนโมโหร้าย เวลาโมโหแล้วยั้งไม่อยู่ ปากว่ามือถึง ดังนั้น เวลาสอนใคร ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถูกต้องตามใจที่สอนไปแล้ว กลัวว่าจะไปทำร้ายลูกศิษย์เข้า ท่านจึงได้สร้างกรงใหญ่ขึ้นสำหรับขังตัวท่านเอง เวลาสอนหนังสือ โดยให้ลูกศิษย์เป็นคนใส่กุญแจขังแล้วเก็บกุญแจไว้ เวลาสอนหนังสือ ลูกศิษย์คนใดไม่ตั้งใจเรียนหรือตอบคำถามไม่ถูกต้อง ทำให้อาจารย์จีน ท่านก็จะโมโหโกรธา เอามือจับลูกกรงเหล็กเขย่า จนลูกศิษย์ที่เรียนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอท่านคลายโทสะลงแล้ว ท่านก็กลายเป็นพระอาจารย์จีนรูปเดิม
    .
    หลวงพ่อปานท่านมีความมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ท่านต้องพายเรือมาเรียนหนังสือที่วัดเจ้าเจ็ดทุกวัน เวลาพายเรือไปเรียนท่านก็จะท่องพระปาฏิโมกข์ และบทเรียนที่อาจารย์สอนจนขึ้นใจ พอเวลาเรียน อาจารย์ถามอะไร ก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจแก่อาจารย์ยิ่ง
    ในที่สุดพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่าน ท่านจึงหยุดเรียน และเตรียมตัวสำหรับที่จะหาสำนักเรียนใหม่
    .
    หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ ตามคำบอกเล่าของพระภิกษุเลี่ยมว่า หลวงพ่อปานได้เรียนรู้วิชามาหลายอย่าง เคยพิมพ์คาถาออกแจกด้วย
    .
    เมื่อเห็นว่าพระอาจารย์จีนไม่มีความรู้ที่จะสอนได้อีกต่อไป ท่านจึงคิดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ ท่านจึงได้ไปเรียนให้โยมมารดาของท่านได้รับทราบว่า จะขอลาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่นี่หาอาจารย์สอนไม่ได้อีกแล้ว
    .
    โยมมารดาท่านเป็นห่วงว่าท่านเป็นบุตรคนเล็กที่มีอยู่ นอกนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งไม่มีญาติโยมทางกรุงเทพฯ จึงขอร้องไม่ให้ไป ท่านจึงลากลับวัด ด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านตัดสินใจนำจีวรแพรที่โยมมารดาถวายไว้นำไปขาย ได้เงินแปดสิบบาท แล้วตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่บอกให้โยมมารดารู้ จะให้รู้ก็กลัวจะลงเรือไปแล้ว จึงเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่คล้าย (เจ้าอาวาสวัดบางนมโคสมัยนั้น) ว่าจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลวงปู่คล้าย จึงแนะนำให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เจิ่น สำนักวัดสระเกศ โดยมอบเงินช่วยเหลือไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการศึกษาเล่าเรียน ตลอดเวลาท่านจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เจิ่น ท่านได้พยายามหาความรู้เพิ่มเติม ในด้านคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาเมื่อท่านกลับมาวัดบางนมโค ปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกที่เทศนาได้เพราะจับใจ และดึงดูดศรัทธายิ่งนัก
    .
    นอกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านยังได้มาเรียนเพิ่มเติมที่วัดสังเวช และที่อื่น จนมีความรู้ทางด้านแพทย์แผนโบราณแตกฉานอีกด้วย
    .
    จากข้อความในหนังสือ อนุสรณ์ครบ ๑๐๑ ปีหลวงพ่อปาน เขียนไว้ว่า หลวงพ่อปานเคยเล่าให้ฟังว่า ระหว่างอยู่ที่วัดสระเกศนั้น อัตคัตมาก บิณฑบาตบางครั้งก็พอฉัน บางครั้งก็ไม่พอ ได้แต่ข้าวเปล่าๆ จ้องเด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำปลา น้ำพริก ฉันแทบทุกวัน แต่ท่านก็อดทน ด้วยรับการอบรมเป็นปฐมมาจากพระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
    .
    ท่านว่าอยู่กรุงเทพฯ ๓ ปี ได้ฉันกระยาสารทเพียงครั้งเดียว โดยนางเฟือง คนกรุงเทพฯ นำมาถวาย ได้รับนิมนต์ไปบังสกุลครั้งหนึ่งได้ปัจจัยมาหนึ่งสลึง เจ้าหน้าที่สังฆการีก็มาเก็บเอาไปเสียเลยไม่ได้ใช้ เงินที่ติดตัวไป ท่านก็ใช้จ่ายไปในการศึกษาจนเกือบหมด ท่านเหลือไว้หนึ่งบาท เอาไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นสุดยอดเท่านั้น
    .
    ด้วยความอดทนของท่าน ในปีสุดท้ายที่ท่านจะกลับวัดบางนมโคนั้นเอง คืนหนึ่งท่านได้ยินเสียงคนเคาะหน้ากุฏิ ท่านเปิดออกไปก็เจอเทวดามาบอกหวย แล้วเขียนให้ดู แล้วย้ำว่าจำได้ไหม ท่านก็ตอบว่าจำได้ ท่านนอนคิดจนนอนไม่หลับ พอรุ่งเช้าแทนที่ท่านจะแทงหวย ท่านกลับเห็นว่านั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ ตามที่หลวงพ่อสุ่นได้อบรมไว้ ท่านก็ไม่แทง ปรากฏว่าวันนั้นหวยออกตรงตามที่เทวดาบอก ถ้าท่านแทงหวย ก็คงจะรวยหลาย
    .
    ท่านอาจารย์แจง ฆราวาสชาวสวรรคโลก จากบันทึกของท่านฤาษีลิงดำว่า ท่านอาจารย์แจง เป็นฆราวาสสวรรคโลก ได้เดินทางล่องลงมาทางใต้ ถึงวัดบางนมโค มาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อปาน จึงได้สอนให้รู้ถึง วิธีการปลุกเสกพระและวิธีสร้างพระตามตำราซึ่งเป็นของพระร่วงเจ้า ได้รับการสืบทอดมาจากอาจารย์ซึ่งเขียนไว้ว่า.. “ข้าพเจ้าได้รักษาตำราของพระอาจารย์ไว้แล้ว ก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกอย่าง วิชาต่างๆ มีผลดีทุกประการ ถ้าบุคคลใดได้พบแล้วจะนำไปใช้ ให้บูชาพระอาจารย์ของท่าน แต่มิได้ระบุว่าเป็นใคร”
    .
    ท่านอาจารย์แจงได้นิมนต์หลวงพ่อปานไปในโบสถ์ตามลำพัง เพื่อถ่ายทอดวิชา ซึ่งนอกจากวิชาการปลุกเสกพระ และทำพระแล้ว ยังได้มหายันต์เกราะเพชร ซึ่งท่านก็ได้ใช้ยันต์เกราะเพชรนี้สงเคราะห์ผู้คนได้มากมาย
    .
    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน บันทึกโดยท่านฤาษีลิงดำ เขียนไว้ว่า “หลวงพ่อปานนิยมพระกัมมัฏฐาน หมายความว่า สิ่งที่ท่านต้องการที่สุดและปรารถนาที่สุด คือ พระกัมมัฏฐาน
    .
    เรื่องพระกัมมัฏฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริงๆ ท่านเทิดทูนพระกัมมัฏฐานมาก ทั้งๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกัมมัฏฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีความปรารถนาจะเรียนพระกัมมัฏฐานให้มันดีกว่านั้น
    .
    สมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษ ในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบ ก็มีหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ทว่าทางเดินสะดวกกว่า เดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์ สมัยนั้นวิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียกว่าใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาเลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว
    .
    ท่านบอกว่า เวลาที่ถึงวัดน้อยเขาร่ำลือกันว่า หลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอก ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก นุ่งสบง จีวร เป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉยๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ก็หลับขยิบๆ เรียกว่าหลับ ไม่สนิทล่ะ คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง ที่นี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริง หลวงพ่อเนียมก็เดินคว้างๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบน้ำ ๑ ผืน ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง ผ้าอีกผืนแบบเดียวกันคล้องคอเดินไปรอบวัด
    .
    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นนะ ก็ไม่รู้หลวงพ่อเนียม เห็นพระแก่ๆ ผอมๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่ง เข้าไปถึงก็กราบๆ หลวงพ่อปานบอกว่า “เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับ กระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกัมมัฏฐาน”
    .
    หลวงพ่อเนียมก็ทำท่าเป็นโมโห บอกว่า ไม่มีวิชาอะไรจะสอน พร้อมทั้งกล่าวขับไล่ไสส่งออกจากวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่อง ก็เลี้ยวหาพระในวัดไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามว่า พระองค์นั้นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่า องค์นี้แหละชื่อ หลวงพ่อเนียม ล่ะ
    .
    พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อปานก็เข้าไปหา ก็ถูกด่าว่าอีกอย่างหนัก ท่านยืนยันจะเรียนให้ได้ หลวงพ่อเนียม เลยสั่งว่า ๒ ทุ่ม ให้นุ่งสบงจีวรคาดสังฆาฎิไปหาในกุฏิ
    .
    พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำ ผอมเกร็งแบบเก่า ไม่มี ท่านนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่ามผิวกายสมบูรณ์ ร่างกายก็สมบูรณ์ หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส สวยบอกไม่ถูก
    .
    หลวงพ่อปานตรงเข้าไปกราบ ๓ ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้มๆ แล้วท่านก็ถามว่า “แปลกใจรึคุณ” หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสการ บอกว่า “แปลกใจขอรับหลวงพ่อ รูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน”
    .
    ท่านก็บอกว่า “รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้ มันไม่มีอะไรห้ามได้เลยนี่คุณ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ”
    .
    หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนนี้ล่ะเริ่มสอนกัมมัฏฐาน อธิบายไพเราะจับใจฟังง่ายจริงๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้ายๆ ว่าจะบรรลุพระอรหันตผลไปพร้อมๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกัมมัฏฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอก “คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้” นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก
    .
    ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือน แล้วจึงกลับ ก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า “ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน”
    .
    หลวงพ่อปานได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อช่วงตอนปลายของชีวิต คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ท่านไปเรียนกับ ครูผึ้ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
    .
    ตอนนั้นครูผึ้ง เป็นฆราวาส อายุ ๙๙ ปี เพราะได้ข่าวว่าครูผึ้งเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอ ให้คนละ ๑ บาท สมัยนั้นเงิน ๑ บาท มีค่ามาก เงิน ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท สามารถสร้างบ้านได้ ๒ หลัง มีครัวได้ ๑ หลัง เวลาทำบุญแกจะช่วยรายละ ๑๐๐ บาท ไม่ใช่เงินเล็กน้อย เมื่อทราบข่าว หลวงพ่อจึงไปขอเรียนกับแก คาถาปัจเจกพุทธเจ้านี้ เรียกว่า คาถาแก้จน ท่านได้เรียนมาและพิมพ์แจกเป็นทานแก่สาธุชนนำไปปฏิบัติ และมีผลดีจบสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้
    .
    2728.png 1f338.png กลับมาตุภูมิ 1f338.png 2728.png
    หลังจากที่หลวงพ่อปานได้เสร็จสิ้นการเรียนจากกรุงเทพฯ แล้วท่านก็หวนคิดถึงโยมมารดาที่ท่านจากมาถึง ๓ ปี จึงเดินทางกลับวัดบางนมโค พร้อมกับความรู้ที่ได้รับมา
    .
    ท่านได้ระลึกถึงว่า การเล่าเรียนของท่านลำบากมาก จึงอยากจะจัดสอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณรและบุตรธิดาชาวบางนมโค ให้มีความรู้ จึงนิมนต์พระภิกษุเกี้ยว ที่อยู่สำนักเดียวกับท่านมาด้วย เพื่อจัดสอนหนังสือ เมื่อมาถึงแล้วท่านก็นำมากราบนมัสการหลวงปู่คล้าย และได้ไปหาโยมมารดาให้ได้ชมบุญ
    .
    2728.png 1f338.png อุปนิสัยและปฏิปทาของหลวงพ่อปาน 1f338.png 2728.png
    จากปากคำของผู้ทราบเคยอยู่ใกล้ชิดกับท่าน และเรื่องเล่าสืบต่อกันมา พอจะอนุมานได้ดังนี้ จากบันทึกของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกไว้ว่า… “หลวงพ่อปานท่านมีลักษณะของชายชาตรีที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ลักษณะสมส่วน เสียงดังกังวานไพเราะ มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนให้ศรัทธาปสาทเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาบ่งบอกถึงความเมตตาปรานีในสัตว์โลกทั้งหลาย ต้อนรับผู้คนที่มาหาไม่เลือก เศรษฐี ผู้ดี ไพร่ ใครไปก็ไต่ถาม ว่ากันว่าถ้าหลวงพ่อพูดจากับผู้ใดแล้วนั้น มักจะจับจิตจับใจ ที่ใจชั่วมัวเมามาก็กลับตัว แม้แต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนาก็ยังหันมานับถือพระพุทธศาสนา”
    .
    ตลอดเวลาท่านจะไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยหรือทำให้ผู้ที่มาหาเสื่อมศรัทธาเลย วันหนึ่งๆ จะมีคนมาหาท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือนับเป็นจำนวนร้อยๆ คน ไหนจะให้รดน้ำมนต์ ไหนจะต้องพ่น ไหนจะขอยา ไหนจะมาปรึกษาถึงเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ
    .
    บางคนก็เรียกว่าหลวงพ่อ บางคนเรียกว่าหลวงปู่บ้าง เป็นเราๆท่านๆ น่ากลัวจะนั่งไม่ทน เพราะตั้งแต่เพลจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ ๔ หรือ ๕ ทุ่มนั่นแหละท่านถึงจะพักผ่อน และเป็นอย่างนี้อยู่ประจำทุกวัน จนกระทั่งท่านมรณภาพ
    .
    ท่านไม่ยินดียินร้ายในทางโลกธรรมแต่ประการใด คงปฏิบัติธรรมเหมือนพระแก่ๆ รูปหนึ่งที่ไม่ต้องการยศบรรดาศักดิ์ หรือชื่อเสียงดีเด่นแต่อย่างใด ท่านคงหวังแต่ทำหน้าที่ให้ความสุขสบายแก่พระสงฆ์และชาวบ้านทั่วไป ตามกำลังความสามารถเท่านั้น
    .
    หลวงพ่อปาน โสนันโท 1f333.png 2728.png
    ท่านมรณภาพลงเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๘๑ สิริอายุ ๖๓ ปี พรรษา ๔๓
    .
    ขออนุญาตเจ้าของบทความ 1f4da.png
    .
    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ 1f337.png
    #การให้ธรรมะเป็นทานย่อมชวง

    67410118_2086822621429470_1454785721863766016_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #อารมณ์ของพระโสดาบัน

    “ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้
    นั่นคือความเป็นทิพย์ของจิต

    และมโนมยิทธิ ทำได้แล้วหมดความสงสัย

    ตัดสินใจปฏิบัติตามคำขององค์
    สมเด็จพระจอมไตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    น้อยที่สุดอารมณ์ของพระโสดาบัน

    ประจำใจไว้เสมอ นั่นคือ

    1.มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะต้องตาย
    2.ไม่สงสัยความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีความมั่นใจในพระองค์
    เชื่อถือและเคารพ
    3.ทรงศีลตามสถานะให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง

    ประการสุดท้ายตัดสินใจไว้เสมอว่าชีวิตนี้เราไม่ต้องการอีก มนุษย์โลก เทวโลก เราไม่ต้องการ จุดต้องการคือจุดเดียว
    คือพระนิพพาน”

    ……..

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    67458036_2089404187837980_5130210634025140224_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อานิสงส์ของการสวด’อิติปิโส’

    หลวงพ่อ : วันนี้เมื่อกี้พอเขาสวด ก็เริ่มจิตสบาย ใจก็จับอยู่ที่พระใช่ไหม เป็นธรรมดา ได้ยินเสียงสวดมนต์นี่ไม่ได้หรอกได้ยินเสียงสวดมนต์ปั๊บ จิตจะเข้าสู่ปกติของมันทันที จะเห็นอะไรทั้งหมด ได้เห็นบัญชี ๒ บัญชี มายืนอยู่ข้างหลัง”

    ผู้ถาม : “อะไรบ้างครับ..?”

    หลวงพ่อ : บัญชีนรก และก็บัญชีสวรรค์ บัญชีนรกน่ะ ลุง (พยายม) ใช่ไหม บัญชีสวรรค์คือท่านปัญจสิกขเทพบุตร จดเหมือนกันว่า ทุกคนที่เจริญ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติกรรมฐาน

    การสวดนี่เขาถือกันว่าเป็นสมาธิในกรรมฐานในอนุสสติ ๓ อย่าง อานิสงส์สูงมาก นี่ฉันรู้วันนี้นะ เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้ อานิสงส์มากจริงๆ และก็ลุงก็เลยล้อว่า… “ไอ้พวกนี้มันแกล้งไม่ไปนรก มันนึกว่ามันสวดให้พ่อมันความจริงมันได้” (หัวเราะ) ..”

    ผู้ถาม : “ผมนึกว่าได้หลวงพ่อองค์เดียว”

    หลวงพ่อ : “ที่ไหนได้ล่ะ เขาสวดยาวเหยียดเลยทำมากี่ปีแล้ว เท่าไหร่แล้ว อานิสงส์เป็นยังไงแล้ว แล้วก็การสวดอิติปิโส สรรเสริญทั้งคุณพระพุทธเจ้า สรรเสริญคุณพระธรรม พระอริยสงฆ์ระดับ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
    สุปฏิปันโน นี่ พระโสดาบัน
    อุชุปฏิปันโน นี่ พระสกิทาคามี
    ญายะปฏิปันโน นี่ พระอนาคามี
    สามีจิปฏิปันโน นี่ พระอรหันต์
    สามี ผัว (หัวเราะ) ความจริงภาษาบาลีเรียก “ปติ”
    “ปติ” นี่เขาแปลว่า ผัว “สามี” นี่แปลว่านาย คือผู้เป็นใหญ่ เราใช้ผิด

    คือว่าท่านบอกว่า ไอ้บทท้ายนี่ให้ใช้ทุกวัน อย่าลืม ที่บอกว่า ให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด ท่านบอกว่า “ถ้าคนไหนถ้าตัวหนังสือที่จดไว้เป็นแก้ว คนนั้นไปนิพพานชาตินี้แน่” มันจะเปลี่ยนสีทุกวัน มันจะค่อยๆ ใสทุกวันๆ ขึ้นไปนะ”

    ผู้ถาม : “แสดงว่าทุกคนที่นั่งอยู่นี่ ก็ใสเป็นแก้วหมดแล้ว”

    หลวงพ่อ : “บางคนก็เป็นแก้วเหล้า บางคนก็เป็นแก้วเบียร์ แก้วน้ำชา นี่ยังดีดีกว่าแก้วปลาร้า แต่ว่าเอาส่วนใหญ่กันจริงๆ นะ มีหวัง เมื่อกี้นี้เขาบัญชีมาให้ดูตัวใสขึ้นมาก ท่านบอกตัวใสๆแบบนี้มีหวังทุกคน ให้ดูสีตัวหนังสือที่เขียนนะ”

    **จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๐๑ หน้า ๘๐ โดยหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    67574004_2090861194358946_8492141974831235072_o.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...