ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “หลวงปู่ขาว อนาลโย พบพญานาคที่ภูถ้ำค้อ”

    (จากหนังสือประวัติ หลวงปู่ขาว อนาลโย)
    (วัดถ้ำกองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู)
    (จากหนังสือ “โครงการหนังสือบูรพาจารย์”)

    หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้

    คืนหนึ่งในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่า บรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว พากันเลื้อยออกมา จากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า

    “จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?”
    หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า
    “พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค”

    หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า
    “จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้?”

    งูตอบว่า “จะไปอยู่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้า
    มาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก”

    หลวงปู่จึงถามว่า “เพราะอะไร”

    งูตอบว่า “เพราะพวกข้าพเจ้าอยู่สูงกว่าพระคุณเจ้าผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้ร้อนไปทั่วร่างกาย จึงขอลงไปอยู่ในที่ต่ำๆจะได้ไม่เป็นบาป”

    ในบรรดางูเหล่านั้น มีนาคหนุ่มตัวหนึ่งถูกมัดปากโดย
    ให้คาบก้อนหินอยู่ หลวงปู่เห็นว่าแปลกกว่านาคตัว
    อื่น จึงถามหัวหน้าพวกเขาว่า “ทำไมจึงต้องมัดปาก
    เขาไว้ด้วย?” หัวหน้าตอบว่า “มันดื้อมาก เกรงมันจะ
    ทำอันตรายแก่พระคุณเจ้า”

    หลังจากออกจากสมาธิแล้ว หลวงปู่ได้ยกเรื่องของนาคขึ้นมาพิจารณาโดยละเอียด ท่านบอกว่าเรื่องของนาคนี้ไม่มีบรรยายไว้ในตำราเล่มใด ถ้าหากไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ถึงขั้นแล้ว จะไม่เห็นได้เลยเป็น สนฺทิฎฺฐิโก คือ รู้เห็นได้เฉพาะตนเท่านั้น

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “พวกพญานาค ยกทัพรบกัน”

    (จากประวัติปฎิปทา หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)

    เรื่องนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไปพักอยู่ที่วัดป่าบ้านม่วงไข่ อ.ภูเรือ จ.เลย

    หลวงปู่เล่าว่า ” พอตกกลางคืน เรากำลังนั่งไหว้พระสวดมนต์อยู่ ก็ได้ยินเสียงผู้คนส่งเสียงดังโหวกเหวก ทีเเรกนึกว่าชาวบ้านเขามาวัด

    เเต่พอเรากำหนดจิตออกไปเบิ่ง มันบ่เเม่นคนซะเเล้ว เป็นพวกพญานาค เขากำลังจะเตรียมทัพจะไปรบกันมีทัพช้างทัพม้า ไพรพลกองทหาร พร้อมทั้งอาวุธครบมือ พวกเขาเเต่งตัวเหมือนทหารสมัยโบราณ เหมือนกับมนุษย์เรานี่เเหละ เมื่อเรากำหนดจิตถามหัวหน้าเเม่ทัพไปว่า พวกโยมสิพากันไปไหน คือมีกองทัพใหญ่เเท้ สิไปรบกับผู้ใด๋ล่ะ ?

    หัวหน้าบอกว่า พวกข้าสิพากันไปรบกับพวกพญานาคคือกัน พวกมันมาหยามหมิ่นเกียรติพวกเรา พวกเรายอมบ่ได้ ต้องทำสงครามให้เเตกหักกันไปเลย เราได้ยินเเล้วกะขอเขาไว้ว่าอย่าไปรบกันเลยมันเป็นการเบียดเบีบดกันเป็นบาปเปล่าๆ เเต่ผู้เป็นหัวหน้าบ่ฟังคำที่เราขอพอตกดึกมาได้ยินเสียงดังมาจากภูเขาหลังวัดดังอึงคนึงก้องทีป เป็นเสียงคนไล่ตีกันมาเเต่ไกล ปรากฎว่าพวกพญานาคทางภูเขาเเพ้พวกพญานาคทางน้ำโขง ทัพเเตกมาทั้งพยุงทั้งหามพวกบาดเจ็บประคองกันหนีมา พอมาถึงห้วยก็พากันกระโดดลงน้ำเเล้วเงียบไป พวกพญานาคทางน้ำโขงที่ไล่ตามมาพอเห็นเรา พวกมันก็ร้องบอกว่า มีพระอยู่! มีพระอยู่! พอเเล้วๆบ่ต้องไล่ตามพวกเขาเราจึงถามพญานาคทางน้ำโขงว่า มีเรื่องราวอีหยังกันถึงได้รบรากันเเเบบนี้ ?

    เขาบอกว่า พวกพญานาคอยู่ที่นี่ไปทำร้ายลูกเต้ากับบริวารเขาก่อน พวกเขาให้อภัยไปเเล้วเเต่ยังบ่เลิกเเล้ว ยังเอากำลังทหารไปท้ารบกับพวกเขาอีก จึงต้องยกกำลังทหารออกมารบกันให้เเตกหัก เราบอกเขาว่า เเพ้ชนะกันเเค่นี้กะพอเเล้ว อย่าได้ทำอันตรายกันอีกเลยมันจะเป็นบาปกรรมจองเวรกันไปไม่สุดสิ้นในที่สุดพวกเขาก็เชื่อฟังที่เราห้าม จึงเลิกทัพกลับไป

    -พวกพญานาค-ยกทัพร.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เมื่อวานมีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งเข้ามากราบหลวงปู่บอกว่ามาทำบุญแถวอีสาน(เธอเป็นเจ้าของบริษัทที่มีตราเป็นดอกไม้) แล้วกราบเรียนถามหลวงปู่ถึงสถานะการณ์ปัจจุบัน ที่เธอกำลังทุกข์ใจ

    โยม:หลวงปู่เจ้าขาโยมทำบุญสนับสนุนกิจการพระศาสนาทุกอย่าง ตั้งแต่นิมนต์พระมาเทศน์ที่บริษัท ถวายรถ ถวายของ ถวายปัจจัย หลงเชื่อว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ตามที่เค้าโฆษณากัน แต่พอเรื่องจริงกลับเป็นเพียงคนในผ้าเหลืองที่เอาสวรรค์มาขาย นิพพานมาล่อ เพื่อความสุขสบายของตนเอง อย่างนี้โยมจะได้บุญหรือไม่เจ้าค่ะ แล้วโยมจะเป็นบาปที่สนับสนุนเขาทำความชั่วรึเปล่า

    หลวงปู่:เหอะๆ เจ้าคิดมากไปรึเปล่า

    โยม:ก็นั้นสิเจ้าค่ะโยมจึงทุกข์เหลือเกิน กลัวบุญที่ทำไปไม่ได้บุญ กลัวบาปที่ทำโดยไม่รู้ตัว

    หลวงปู่:ตอนถวายเขาไปนั้นมีความคิดยังไง

    โยม.ก็ศรัทธาท่านเจ้าค่ะ ถึงทุ่มเทถวาย

    หลวงปู่:คุณ ฉันอาศัยคำพระพุทธเจ้าดอกนะ ท่านว่า นัตถิจิตตังปะสันนัมหิ อัปกานามะปะทักขิณา แปลว่า เมื่อจิตของคุณเลื่อมใสแล้วบุญที่ชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี ตอนที่คุณถวายคุณมีศรัทธามาก นั้นเป็นเรื่องอดีต บุญที่เกิดขึ้นในอดีตมันเป็นบุญมหาศาลแต่ปัจจุบันคุณเสื่อมศรัทธาจากท่านแล้วมันเป็นปัจจุบันไม่ใช่อดีต เรื่องแล้วก็แล้วกันไป เป็นบุญแล้วเราไม่แก้ไขแล้ว ส่วนการสนับสนุนเขาทำบาปไหม อย่างนั้นยาสีฟันชุดนี้ที่โยมถวายมาโยมก็เอาคืนไป

    โยม:โยมไม่เอาคืนหรอกเจ้าค่ะ เพราะโยมถวายหลวงปู่แล้วนี่ เป็นของหลวงปู่แล้ว

    หลวงปู่:เอ้าก็คุณถวายมาแล้วอาตมาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของอาตมานี่ จะให้คืนโยมก็เป็นสิทธิ์ของอาตมา ถ้าคุณถวายมาแล้วยังตามมาบอกอาตมาว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็แสดงว่ามันยังเป็นของคุณอยู่ มันยังไม่ใช่ของอาตมา ของที่คุณถวายไปแล้วมันเป็นบุญแล้ว คนที่รับเขาจะเอาไปทำบาปหรือทำบุญมันเป็นเรื่องของเขา เราให้แล้วเราได้บุญแล้วขาดจากความเป็นเจ้าของของเรา เขาจะเอาไปทำดีมันก็ดีแก่เขา เอาไปทำชั่วมันก็ชั่วแก่เขา

    ในสมัยหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตใส่บาตรพระวันละ500รูป ท่านทำของท่านประจำ มีขี้เมาคนหนึ่งอยากหาอาหารง่ายๆจึงโกณหัวห่มผ้าเหลืองไปบิณฑบาต พระเจ้าพรหมทัตได้เห็นก็ศรัทธามากเหลือเกิน เพราะพระรูปนี้หน้าแดงเหมือนลูกตำลึง ดูราศรีเปล่งปลั่ง ก็ศรัทธาน้อมถวายอาหาร แล้วสั่งให้อำมาตย์ติดตามไปดูว่าท่านเป็นมนุษย์หรือเทวดา เพราะราศรีท่านผ่องใสเหลือเกิน ถ้าท่านเหาะไปแสดงว่าท่านเป็นเทวดา ถ้าท่านดำดินแสดงว่าท่านเป็นนาคราช ถ้าท่านเดินออกนอกเมืองแสดงว่าท่านเป็นมนุษย์หรือพระอรหันต์ อำมาตย์ก็ติดตามไปพบว่าพระรูปนั้นเปลื้องจีวรออกแล้วไปกินเหล้า เห็นดังนั้นก็กลัวพระราชอาญาจึงไปกราบทูลว่า พระรูปนั้นเหาะไปพระเจ้าข้า โอ้ได้ยินดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ยินดีมาก ปีติจนขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหลออกด้วยความดีใจ จากนั้นยิ่งถวายใส่บาตรพระวันละ1000รูป พอพระเจ้าพรหมทัตสวรรคตไม่มีใครสืบราชบัลลังค์ต่อ ชาวเมืองจึงยกอำมาตย์คนสนิทให้เป็นพระราชาแทน พระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ก็ยังใส่บาตรพระวันละ1000รูปเหมือนเดิม วันหนึ่งมีพระรูปหนึ่ง หน้าแดงยังกับลูกตำลึงสุก ผิวพรรณเปล่งปลั่งมารับบาตรด้วย พระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ก็นึกเฉลียวใจ จึงให้คนตามไปดูโดยอ้างตำราพระราชาองค์ก่อน พอพระท่านเดินไปที่ลับตาคนท่านก็เหาะขึ้นฟ้าแล้วหายไป คนตามไปดูก็กลับมารายงานว่าพระเหาะพระเจ้าข้า พระราชาแทนที่จะดีใจกลับโกรธเป็นฟื้นเป็นไฟหาว่าเขาโกหกตนจึงสั่งเอาตัวไปประหารแล้วเลิกใส่บาตรพระตั้งแต่วันนั้น คุณว่าพระราชาองค์เก่ากับองค์ใหม่องค์ไหนไปสวรรค์องค์ไหนไปนรก

    โยม.องค์เก่าไปสวรรค์ องค์ใหม่ไปนรก เจ้าค่ะ

    หลวงปู่.เออ จะให้ตัวคุณไปสวรรค์หรือนรกหล่ะ

    โยม.สาธุๆๆๆๆ เจ้าค่ะหลวงปู่ เจ้าค่ะ โยมจะไปสวรรค์เจ้าค่ะ กราบๆๆๆๆๆๆๆๆ

    หลวงปู่หา สุภโร

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “สัตว์เดรัจฉาน”
    เขาก็มีสัญญา ปัญญา
    นามธรรม รู้เหมือนกับมนุษย์
    แต่เขาพูดไม่ได้

    – หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    หลวงปู่:ครูบา อาจารย์มิตซูโอะเป็นใคร

    ครูบาอุปฐาก:เป็นหยังครับผม องค์พ่อแม่ถามทำไมครับผม

    หลวงปู่:ก็เมื่อเช้าเห็นโยมในศาลามาเล่าให้ฟัง ผมก็อือๆออๆไปกับเขา แต่ผมไม่รู้เรื่องนี้

    ครูบาอุปฐาก:โอ๋ ขอโอกาสกราบเรียน ท่านอาจารย์มิตซูโอะท่านเป็นคนญี่ปุ่นที่มาเรียนกรรมฐานในสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง บวชมา๓๐กว่าปี แล้วท่านก็สึกกลับบ้านท่านที่ญี่ปุ่น เมื่อเช้าแม่ออกมาบอกว่าท่านสึกไปมีเมีย ที่ญี่ปุ่นครับผม

    หลวงปู่: โอ๋ มันก็ดีแล้วนี่แล้วเอามาเล่ากันทำไม

    ครูบาอุปฐาก:ขอโอกาสองค์พ่อแม่ ดียังไงครับผมพระกรรมฐานบวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วมาสึกไปมีเมีย

    หลวงปู่:โอ้ย ญาท่านสีทนศาลาพันห้องนั้น สึกตอนอายุ ๙๒ ไปเอาเมียอายุ ๑๖ นี่ผมก็ยังไม่ถึง ๙๒ เด้อ(พูดแล้วท่านก็หัวเราะ)

    คนบวชคนสึกมันเป็นธรรมดาโลก บางคนบวชมานานกว่าท่านอาจารย์มิตซูโอะก็ยังสึก ท่านอาจารย์หนูใหญ่ศิษย์หลวงปู่มั่น นั่งภาวนาได้ฌาณได้ญาณเห็นนู้นเห็นนี่ท่านก็ยังสึก พระอริยคุณาธาร ขอนแก่นท่านก็สึก ในวงพระกรรมฐานเราก็มีให้เห็นอยู่ ไม่แปลกดอก ถ้าเรายังไม่แน่นอนในพระสัทธรรมมันก็มีโอกาสสึกกันทุกคน

    เพิ่นสึกออกไปหน่ะดีแล้ว ถ้าวิบากกรรมที่แก้เป็นพระไม่ได้มันต้องสึกออกไปแก้ก็ต้องตามไปแก้มัน คุณเอ้ย คนสึกก็ใช่ว่าจะเสียหาย ใช่ว่าจะเลวไปซะหมด คนอยู่ก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ ใช่ว่าจะดีไปเสียหมด หยั่งกำลังว่าสู้ไม่ไหวก็สึกออกไปนั้นถึงจะเป็นการที่น่ายกย่อง มาสู้ทนหลอกชาวบ้านเป็นมหาโจรอยู่มันก็ตกนรกนั้นแหล่ว คนที่ทำกรรมฐานมาตั้ง๓๐ปีเพิ่นบ่ได้ปึกได้โง่เด้อ เพิ่นคิดเพิ่นตัดสินใจแสดงว่ากำลังของกรรมฐานที่สั่งสมมาประคับประคองอยู่ การที่เพิ่นตัดสินใจถือว่าคิดดีแล้วในแนวของเพิ่น

    ที่เอามาว่ามานินทากันนั้นเพราะมันขัดใจเรา มันเข้ากิเลสเรา ว่ากันคะนองปาก คุณเอ้ย เล่นกันพระเหมือนเล่นกับไฟ ว่าเพิ่นชั่ว ถ้าเพิ่นชั่วเราไม่ได้บุญนะเราเท่าตัว ว่าเพิ่นชั่วเพิ่นบ่ได้ชั่วเราเป็นบาปเราขาดทุน ว่าเพิ่นแล้วมีแต่เท่าทุนกับขาดทุนหากำไรไม่ได้ ลงทุนแบบนี้ไม่งอกไม่เงยนะ เอาใจไปคิดเรื่องคนอื่นมันก็ทุกข์เรื่องคนอื่น แต่เอาใจมาไว้กับสติมาไว้กับเรานี้มันบ่ทุกข์มันมีแต่กำไร เพิ่นไปดีแล้ว ก็แล้วกันไป

    คุณเอ้ยทุกคนหันหน้าเดินไปหาพระนิพพานกันหมดนั้นหล่ะ ถึงช้าถึงเร็วขึ้นอยู่กับเราเดินกับเราลงทุนดอก มาพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคำสั่งสอน พบครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์แล้วอย่าให้ขาดทุนเด้อให้เอากำไรจากเพิ่นเด้อ

    หลวงปู่หา สุภโร
    จากเพจหลวงปู่ไดโนเสาร์ค่ะ

    -อาจารย์มิต.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นบ่วงมาร”

    (คติธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    (วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี)

    “จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจ เสียใจ ที่มีความดีใจเสียใจนั้น ไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นบ่วงมาร การกระทำจิตให้สงบนั้น อย่าพึ่งเข้าใจว่ามาทำวันเดียวหรือสองสามวัน มันจะสงบได้
    ต้องพยายามทำเรื่อยๆ ไป ให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมา ต้องพยายามทำให้มาก ทำบ่อยๆ ยืนเดินนั่ง นอน ต้องมีสติอยู่เสมอ”

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “สามเณรน้อยอรหันต์สุมน ผู้มีฤทธิ์มาก”

    (พุทธสาวกอรหันต์ในครั้งพุทธกาล)
    (โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

    มีสามเณรอีกรูปหนึ่งประวัติความเป็นมาค่อนข้างน่าอัศจรรย์ อัศจรรย์อย่างไรลองอ่านดูก่อนนะครับสามเณรน้อยรูปนี้นามว่า สามเณรสุมน เรื่องราวบันทึกอยู่ในธัมมปทัฏฐกถาภาค ๘

    ในอดีตกาลอันนามโพ้น เมื่อครั้งพระพุทธเจ้า
    พระนามว่า ปทุมมุตตระ มาตรัสรู้

    คนใช้ทำหน้าที่ขนหญ้าให้เศรษฐีคนหนึ่งได้ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในเช้าวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้าออกนิโรธสมาบัติพอดี ซึ่งตำราบอกว่าเป็นทานที่อำนวยผลทันตาเลยทีเดียว

    เศรษฐีทราบเรื่องเข้าก็ขอ “ซื้อ” บุญทั้งหมดที่ขนหญ้าทำ นายคนนี้แกก็ไม่ยอมเศรษฐีจึงขอว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้แบ่งส่วนบุญให้ได้ไหม ฉันขออนุโมทนาด้วย

    นายคนใช้แกไม่ทราบว่าจะแบ่งส่วนบุญให้กันได้ไหมจึงขอไปปรึกษาพระท่านก่อนแกจึงไปเรียนถามท่าน

    ท่านยกอุปมาให้ฟังว่าเหมือนกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีหลายหลังคาเรือน หลังแรกจุดตะเกียงไว้ เพื่อนบ้านมาขอต่อไฟจากตะเกียงนั้นไป แสงไฟจากตะเกียงแรกก็ยังสว่างไสวอยู่เหมือนกัน ไม่ลดน้อยลงไปเลยแถมยังเพิ่มแสงสว่างให้มากกว่าเดิมอีก

    การทำบุญแล้วแบ่งส่วนบุญให้คนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกันกระทาชายนายขนหญ้าดีใจ รีบมาแบ่งส่วนบุญให้เศรษฐี พระราชาแห่งเมืองนั้นทรงทราบเรื่องอยากได้ส่วนบุญบ้าง จึงรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า ขอส่วนบุญด้วย แล้วพระราชทานทรัพย์สินจำนวนมากแก่เขา เพิ่มจากที่เศรษฐีเคยให้

    ผลทานที่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งเดียว บันดาลผลทันตาเห็นทำให้พระยาจกกลายเป็น “เสี่ย” ภายในสองสามวัน เขาได้รับสถาปนาจากพระราชาให้เป็นเศรษฐีใหม่อีกคนหนึ่งของเมืองและได้เป็นเพื่อนซี้กับเศรษฐี เจ้านายเก่าของตนต่อมาจนอายุขัย

    หลังจากเวียนว่ายอยู่ในภาพต่างๆ ตามแรงกรรมดี-ชั่วที่ทำไว้ ในชาติสุดท้ายเขาก็มาเกิดในราชสกุลศากยะ เป็นโอรสองค์ที่สองของเจ้าอิมิโตทนะ (เชษฐาคือ เจ้าชายมหานาม) ด้วยอานิสงส์แห่งทานที่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าคราวนั้น และด้วยแรงอธิษฐานที่คนขนหญ้าตั้งไว้ว่า เกิดชาติใดฉันใดอย่าได้พบคำว่า “ไม่มี” อีกเลย

    เจ้าชายน้อยองค์นี้ซี่งมีพระนามว่า “อนุรุทธะ” จึงไม่เคยได้ยินคำว่า ไม่มีเลย อยากได้อะไร อยากกินอะไร สั่งเดี๋ยวเดียวก็ได้มารวดเร็วทันใจ

    เจ้าชายน้อยมีพระสหายวัยเดียวกันหลายองค์ วันหนึ่งกำลังเล่นตีคลีกัน เอาขนมพนันกัน

    เจ้าชายอนุรุทธะเล่นแพ้จนขนมหมด ส่งคนไปขอขนมจากเสด็จแม่ เสด็จแม่ส่งมาให้หลายเที่ยว เพราะเล่นแพ้อยู่เรื่อย จนขนมหมด บอกว่าตอนนี้ขนมไม่มี เมื่อคนรับใช้มารายงานว่า เสด็จแม่บอกว่าขนม “ไม่มี” เจ้าชายน้อยจึงบอกว่า “ขนมไม่มีนั่นแหละเอามาเร็ว”

    เสด็จแม่ได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า ลูกเราไม่เคยรู้จักคำว่าไม่มี และมีพระประสงค์จะสอนให้โอรสรู้จักคำว่าไม่มีเสียงบ้าง จึงเอาถาดทองคำเปล่าใบหนึ่งมา เอาอีกใบครอบไว้แล้วให้คนนำไปให้เจ้าชาย

    ว่ากันว่าร้อนถึงเทพยดาต้องนำขนมทิพย์มาใส่ไว้เต็มถาด พอเจ้าชายรับถาดมาเปิดฝาครอบออกเท่านั้น ขนมทิพย์ส่งกลิ่นหอมหวนน่ารับประทานอย่างยิ่ง เจ้าชายน้อยเกิดน้อยพระทัยว่าเสด็จแม่ไม่รักตนขนม “ไม่มี” อร่อยปานนี้เสด็จแม่ไม่เคยให้เสวยเลยจึงไปต่อว่าพระมารดา

    พระมารดาก็แปลกพระทัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตรัสถามมหาดเล็กที่นำถาดเปล่าไปให้

    มหาดเล็กกราบทูลเรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนเห็นมา ให้ทรงทราบ

    พระมารดาทรงเข้าใจว่า คงเป็นเพราะบุญแต่ปางก่อน โอรสน้อยของตนเองจึงไม่เคยรู้รสชาติของ “ความไม่มี”

    เมื่อเจ้าชายโตขึ้น ได้ออกผนวชพร้อมกับเจ้าชายจากศกยวงศ์ 6 องค์ พร้อมกับอุบาลีนายภูษามาลาอีก 1 คน รวมเป็น 7 หลังจากอุปสมบทแล้วก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น “เอตทัคคะ” (เลิศกว่าผู้อื่น) ในทางมีทิพยจักษุ (ตาทิพย์)

    พระอนุรุทธะผู้ตาทิพย์ วันดีคืนดีก็นั่งเข้าฌานดูว่า เศรษฐีสหายเก่าของตนเมื่อครั้งกระโน้นบัดนี้เกิดเป็นใครอยู่ที่ไหน ก็ทราบว่า นิคมชื่อ มุณฑนิคม อยู่เชิงเขาแห่งหนึ่ง หัวหน้านิคมชื่อมหามุณฑะ มีบุญชายอยู่ ๒ คน ชื่อ มหาสุมน กับ จูฬสุมน สหายเก่าของท่านเกิดเป็นจูฬสุมน หวังจะสงเคราะห์สหายเก่าจึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังนิคมนั้น

    หัวหน้านิคมเห็นพระเถระก็นิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่นิคมของตน เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้าน ท่านก็รับนิมนต์ เพราะมีความประสงค์เช่นนั้นอยู่แล้ว

    ถึงวันออกพรรษามหามุณฑะก็นำไทยธรรม (ของถวายพระ) จำนวนมากมายถวายพระเถระบอกว่า จะให้อาตมารับได้อย่างไรอาตมาไม่มีสามเณรผู้เป็น “กัปปิยการก”

    นายนิคมจึงว่าถ้าอย่างนั้นผมจะให้บุตรชายคนโต บวชดีกว่า ผู้เป็นพ่อก็ยินยอมให้จูฬสุมนบวชในขณะนั้นเธอมีอายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น

    อ้อ คำว่า “กัปปิยการก” แปลว่าผู้ทำให้ควร ทำให้ถูกตามพระวินัย เช่น เวลาเอาส้มถวายพระแล้ว จะต้องปอกเปลือกหรือไม่ก็แกะเฉพาะตรงขั้วก่อน เพื่อป้องกันมิให้พระท่านผิดวินัยข้อห้ามทำลายพีชคาม (พืชพรรณ) ผู้มีหน้าที่อย่างนี้แหละเรียกว่า “กัปปิยการก”

    แปลกันง่ายๆ ว่าเด็กรับใช้ หรือเด็กวัด

    สามเณรสุมนได้บรรลุพระอรหัตผลคือ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทันทีที่บวชเสร็จไม่ใช่แค่หมดกิเลสอย่างเดียว ยังบรรลุอภิญญา ความสามารถพิเศษ เช่น อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อีกด้วย

    ท่านพระอนุรุทธะพาสามเณรสุมนไปอยู่ในป่าหิมพานต์ (เขาหิมาลัย) บังเอิญโรคลมจุกเสียด ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของพระเถระกำเริบทำให้ได้รับทุกขเวทนา

    พระเถระบอกสามเณรสุมนไปเอาน้ำจาก สระอโนดาตมาให้ดื่มเพื่อระงับโรคลม สั่งว่าพญานาคชื่อ ปันนกะ รู้จักกับท่านให้ไปขอน้ำจากพญานาค

    สามเณรเหาะไปด้วยอิทธิฤทิ์มุ่งตรงไปยังสระอโนดาต ขณะนั้นปันนกะกำลังจะพาประดาอีกหนูทั้งหลายลงเล่นน้ำในสระอโนดาตพอดี เห็นสมณะน้อยเหาะข้ามศีรษะมาก็โกรธ หาว่าสมณะโล้นน้อยนี้มาโปรยฝุ่นที่เท้าลงบนศีรษะตน

    แกคงโกรธที่มาขัดจังหวะกำลังจะเล่นโปโลน้ำกับอีหนูทั้งหลายมากกว่าจึงหาว่าสามเณรโปรยขี้ตีนใส่หัวทั้งๆ ที่ไม่มีแม้แต่นิดเดียว

    สามเณรอ้างนามพระอุปัชฌาย์ซึ่งพญานาครู้จัก ขอน้ำไปทำยาเพราะท่านกำลังป่วย พญานาคไม่สนใจ ไล่กับท่าเดียวแถมยังแผ่พังพานใหญ่ปิดสระน้ำทั้งหมด ดุจเอาฝาปิดหม้อข้าวฉันใดฉันนั้น ร้องท้าว่า ถ้าสามเณรเก่งจริงก็มาเอาได้เลย

    สามเณรถือว่าได้รับอนุญาตแล้ว จึงแปลงกายเป็นพรหมสูงใหญ่ เหยียบลงตรงพังพานของพญานาค พังพานยุบลงเปิดช่องให้สายน้ำพุ่งขึ้นมาเป็นลำสามเณรเอาบาตรรองน้ำจนเต็มแล้วก็เหาะกลับไป

    พญานาคทั้งเจ็บทั้งอาย ที่ถูกสามเณรน้อยเหยียบหัวแบน จึงตามไปทันที่สถานที่อยู่ของพระเถระ ฟ้องว่าสามเณรเอาน้ำมาโดยไม่ชอบธรรม

    พระเถระหันมามองสามเณร สามเณรกราบเรียนท่านว่า น้ำนี้กระผมนำมาโดยชอบธรรมแล้ว พญานาคร้องบอกอนุญาตแล้วพระเถระเชื่อว่าพระอรหันต์ย่อมไม่พูดเท็จจึงฉันน้ำนั้น และโรคในกายท่านก็สงบระงับ

    พระเถระขอให้พญานาคขอโทษสามเณรเสีย พญานาคก็ยอมขอขมาและปวารณาว่าถ้าสามเณรต้องการน้ำเมื่อใด เพียงแต่สั่งเท่านั้นตนนจะนำมาให้เอง

    เมื่อพระอนุรุทธะพาสามเณรสุมนไปพระวิหารเชตวัน พระภิกษุอื่นๆ เห็นสามเณรน้อยน่าเอ็นดูก็จับหูบ้าง ลูบศีรษะบ้าง ด้วยความเอ็นดู หยอกล้อว่าเจ้าเด็กน้อย บวชแต่อายุยังน้อยเจ้าไม่คิดถึงแม่ดอกหรือ หย่านมหรือยังจ๊ะ อะไรทำนองนี้

    พระพุทธองค์ทรงเกรงว่าพระปุถุชนจะละลาบละล้วงล่วงเกินพระอรหันต์มากกว่านี้เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ ทรงต้องการให้พระสงฆ์ทราบว่าสามเณรเป็นใครจึงรับสั่งให้ประชุมสามเณร น้อยว่ามีถึง ๕๐๐ รูป ตรัสว่าพระองค์ต้องการน้ำจากสระอโนดาตในเร็วพลัน สามเณรรูปใดจะอาสาเหาะไปเอามาถวายได้

    สามเณรอื่นที่เป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญามีอิทธิปาฏิหาริย์ก็มี แต่ทราบว่า “พวกดอกไม้” นี่พระพุทธองค์ทรงร้อยไว้เพื่อสามเณรสุมนเท่านั้น (เป็นสำนวน หมายความว่า เรื่องนี้ต้องการให้เป็นหน้าที่ของสามเณรสุมน) จึงไม่เสนอตัว

    เมื่อไม่มีใครอาสา สามเณรสุมนก็รับอาสาถวายบังคมพระพุทธองค์แล้ว ถือบาตรเหาะลิ่วๆ ไปในอากาศบ่ายหน้าไปยังป่าหิมพานต์ทันที ว่ากันว่าแสดงตัวให้พระสงฆ์เห็นกับตาเลยทีเดียว ต่างก็ร้อง โอ้โฮๆ น่าออนซอนแท้ๆ ว่ากันอย่างนั้น

    ขากลับก็ปรากฏตัวให้เห็นกลางนภากาศลิ่วๆ ลงมายังลานพระวิหารแล้วก็นำน้ำไปถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสถามเธอว่าอายุเท่าไหร่ สามเณรกราบทูลว่าอายุ ๗ ขวบ พระเจ้าข้า พระพุทธองค์ตรัสว่าตั้งแต่วันนี้ไปเธอเป็นพระภิกษุได้

    คัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า การอุปสมบทที่ทรงประทานให้สามเณรครั้งนี้เรียกว่า “ทายัชชอุปสมบท” เป็นกรณีพิเศษที่บวชเณรอายุ ๗ ขวบ เป็นพระ

    เรื่องราวของสามเณรสุมนค่อนข้างพิลึกกว่ารูปอื่น คือ เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ความจริงเรื่องนี้มิใช่เรื่องประหลาด หรือลึกลับอะไร ผู้สำเร็จพระอรหัตผลพร้อมอภิญญาย่อมสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้นับว่าเป็น “ธรรมดาของพระอรหันต์ ผู้ทรงอภิญญา” ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร

    ถ้าท่านเข้าใจคำว่า “ธรรมดา” ก็จะหมดสงสัย ธรรมดาของนกมันย่อมบินได้ธรรมดาของปลาย่อมแหวกว่ายในน้ำได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามพิเศษอะไร

    เวลาเราเห็นนกบิน เห็นปลาแหวกว่ายออยู่ในน้ำทั้งวันเราอัศจรรย์ไหม เปล่าเลย เห็นเป็นของธรรมดาฉันใด พระอรหันต์ที่ท่านได้อภิญญา อรหันต์บางประเภทก็ไม่ได้อภิญญา ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ เช่น เหาะได้ดุจนก เพราะนั่นเป็น “ธรรมดา” ของท่าน

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “นักโทษในวัฏฏะ ธรรมชาติโลกและจักรวาล”

    (จากหนังสือ : นักโทษแห่งวัฏฏสงสาร lotus)

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า แท้จริงแล้วโลกและจักรวาลก็คือ คุกขังสรรพสัตว์ที่ใหญ่โตมหาศาลสุดประมาณ จนกระทั่งนักโทษไม่เฉลียวใจว่า ตนกำลังติดคุกอยู่ นอกจากใหญ่โตจนเกินประมาณแล้ว คุกนี้ยังมีความสลับซับซ้อนมากมาย เพราะไม่ได้มีแต่เฉพาะโลกมนุษย์เท่านั้นที่เป็นคุก ยังมีสวรรค์ มีนรก ที่เป็นคุกซ้อนคุกอยู่อีกด้วย มิหนำซ้ำยังไม่ได้มีแค่จักรวาลเดียว แต่มีอนันตจักรวาล คือนับได้ไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย

    นั่นคือ ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่ติดคุก แม้แต่เทวดา นางฟ้า ก็ติดคุกเหมือนกัน แต่เป็นนักโทษชั้นดี พอหมดบุญบนสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องติดคุกเหมือนกับพวกเราอีกสัตว์นรกก็ติดคุกเช่นกัน แต่นรกเป็นคุกที่มีทุกข์สาหัส เพราะสัตว์นรกเป็นนักโทษชั้นเลว จึงมีวิธีการลงทัณฑ์แบบทรมานทรกรรมที่หนักหนาสาหัสกว่าคุกอื่น ๆ และหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความทุกข์ใด ๆ ในโลกมนุษย์รวมกันเสียอีก ยิ่งกว่านั้น คุกนี้ยังมีกฎเกณฑ์ซ่อนเร้นเป็นความลับอยู่มากมาย โดยไม่มีการเปิดเผยให้เรารู้เกี่ยวกับกฎประจำคุก ชนิดของเครื่องพันธนาการ วิธีการลงโทษ วิธีการควบคุม และไม่ปรากฏว่าคุกนี้สร้างมานานเท่าไร ใครเป็นผู้สร้าง อีกทั้งไม่มีอาหารเลี้ยงอีกด้วย

    จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงตรัสรู้หยั่งถึงความลับทั้งหมด จึงทรงนำมาเปิดเผยโดยย่อ ดังนี้

    ๑. กฎประจำคุก

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า โลกและจักรวาลมีกฎประจำคุกอยู่ ๒ ประการ คือ

    ๑) กฎแห่งกรรม

    กฎแรกของคุกนี้ คือ กฎแห่งกรรม ใช้ควบคุมมนุษย์อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยอมให้รู้ตัว กฎนี้มีหลักการสั้น ๆ ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

    แต่อย่าได้หลงคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติกฎแห่งกรรมขึ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้น

    เจ้าของคุกนี้ ไม่เคยบอกให้นักโทษรู้เลยว่า มีกฎแห่งกรรมเป็นกฎเหล็กประจำคุก ถ้าใครทำผิดกฎจะต้องโดนลงโทษสถานหนัก

    สิ่งที่เจ้าของคุกนี้กลัวที่สุดก็คือ กลัวนักโทษจะรู้ว่ามีกฎแห่งกรรมซ่อนอยู่ เพราะถ้านักโทษพากันรู้ความจริงนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะหาทางหนีออกจากคุกไปได้ เขาจึงพยายามปิดบังความจริงนี้ไว้ ไม่ยอมให้นักโทษรู้อย่างเด็ดขาด

    ๒) กฎไตรลักษณ์

    กฎที่สองของคุกนี้ คือ กฎไตรลักษณ์ ใช้ควบคุมในลักษณะแอบซ่อน มีเนื้อความที่เราท่องกันได้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน ความไม่จีรังยั่งยืน

    ทุกขัง คือ ความเป็นทุกข์ ถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายบีบคั้น จนกระทั่งอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้

    อนัตตา คือ ความไม่เป็นตัวตนของตัวเอง ไม่มีใครควบคุมบังคับบัญชาได้

    กลไกของกฎไตรลักษณ์นี้อยู่ที่ “เวลา” สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นก็คือ เร่งเวลาเดี๋ยววันเดี๋ยวคืน ให้รีบแก่ รีบเจ็บ รีบตาย

    ยิ่งแก่ก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเจ็บก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งจะตายก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งกลับมาเกิดใหม่ก็ยิ่งทุกข์ ทุกข์กันต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้คำสรุปว่า “ชีวิตนี้เป็นทุกข์”

    กฎไตรลักษณ์จึงเป็นเครื่องมือบีบคั้นให้นักโทษเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วทำผิดกฎแห่งกรรม เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎแห่งกรรมและกฎไตรลักษณ์ ก็ทรงรีบตรัสสอนชาวโลกให้รู้ความจริงนี้ เพื่อมิให้ประมาท ตั้งใจระมัดระวังความประพฤติของตัวเอง แต่มนุษย์ก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง พระพุทธองค์ก็ทรงต้องจำใจปล่อยให้มนุษย์เป็นนักโทษอยู่ในคุก คือ โลกและจักรวาลนี้ต่อไป ถ้าได้คิดกันเมื่อไร ก็คงจะตะเกียกตะกายหาหนทางออกจากคุกเหมือนกับพระองค์ เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่

    ๒. ร่างกายเป็นคุกเคลื่อนที่ประจำตัวนักโทษ

    นอกจากโลกและจักรวาลที่เป็นคุกขังสรรพสัตว์แล้ว ยังมีคุกอีกประเภทหนึ่งเป็น คุกเคลื่อนที่ติดตัวนักโทษไปตลอดเวลา ได้แก่ รูปแบบของกายสัตว์ต่าง ๆ ที่ครอบเอาไว้ เช่น เสือ ช้าง กวาง เก้ง สุนัข สุกร เป็นต้น

    ในทางพระศาสนามีศัพท์เรียกร่างกายของสรรพสัตว์ว่า “ขันธโลก” ส่วนโลกและจักรวาลมีศัพท์เรียกว่า “โอกาสโลก”

    โลกทั้งสองประเภทนี้ ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นคุกคุมขังสรรพสัตว์ไว้ในวัฏสงสาร เพราะยังตกอยู่ในสภาพแตกดับตามกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ต่างกันตรงที่ว่า ขันธโลกเป็น คุกเคลื่อนที่ประจำตัวนักโทษ ไม่ว่านักโทษไปที่ใด คุกก็ติดตามตัวไปด้วย ส่วนโอกาสโลกเป็น คุกสำหรับอยู่อาศัยของนักโทษ ที่มีความกว้างใหญ่จนดูไม่ออกว่าเป็นคุก

    ขันธโลกหรือรูปกายของสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อยังถูกคุมขังให้ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ นอกจากขาดอิสรภาพในการทำความดีแล้ว ยังต้องประสบทุกข์จากสภาพแตกดับของร่างกายอีกด้วย ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทำให้เวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จบสิ้น

    ยิ่งกว่านั้น เมื่อรูปกายในชาตินี้แตกทำลายไปแล้ว การไปเกิดในภพภูมิใหม่ด้วยรูปกายใหม่ ก็ยังไม่พ้นสภาพกฎไตรลักษณ์อยู่ดี อาจจะเปลี่ยนเป็นเลวทรามลงหรือประณีตขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมดีและชั่วที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป

    ลองนึกเปรียบเทียบดูด้วยสติปัญญาอย่างที่เรามีอยู่ขณะนี้ว่า ถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้รูปร่าง ที่เป็นมนุษย์ แต่ได้รูปร่างเป็นควายเสียแล้ว ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร อย่างดีที่สุดเราก็ เป็นได้แค่ควายแสนรู้ แต่จะฉลาดแสนรู้มากเพียงแค่ไหน ข้อจำกัดก็คือยังเป็นควายอยู่ดีนั่นเอง ทำอะไรอย่างมนุษย์ไม่ได้

    ในขณะที่มีความฉลาดเท่าเดิม แต่ได้เกิดในรูปร่างที่เป็นกายมนุษย์ เราย่อมสามารถใช้ความฉลาดที่มีอยู่ไปประกอบคุณงามความดีต่าง ๆ ได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน และยังทำประโยชน์ต่อส่วนรวมได้อย่างมากมายมหาศาล

    ด้วยเหตุนี้ การเกิดมาเป็นนักโทษที่ถูกครอบหรือถูกพันธนาการด้วยรูปร่างของกายสัตว์นั้น แม้จะฉลาดปราดเปรื่องเท่าไร ก็จะไม่สามารถทำความดีได้ มิหนำซ้ำยังมีโอกาสถูกธรรมชาติของร่างกายบังคับให้ทำความชั่วได้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกด้วย

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปเกิดเป็นเสือ ก็ต้องล่าเนื้อเป็นอาหาร ต้องก่อวิบากกรรมปาณาติบาต ตามประเภทอาหารที่ร่างกายบังคับเจาะจง เพราะถ้าเสือจะต้องกินหญ้าเป็นอาหาร เสือก็คง มีชีวิตอยู่ไม่ได้

    เพียงแค่การถูกพันธนาการด้วยรูปร่างของสัตว์เดรัจฉาน ยังถูกบีบคั้นปิดกั้นจนยากที่จะมีโอกาสทำความดีได้ คงไม่ต้องเสียเวลากล่าวถึงการถูกพันธนาการด้วยรูปกายของสัตว์อื่น ๆ ในอบายภูมิอีก ๓ ประเภท คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ซึ่งนอกจากจะสุดแสนอัปลักษณ์แล้ว ยังต้องถูกทารุณกรรมให้ทุกข์ทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์แทบไม่มีเวลาหยุดหย่อน จะมีโอกาสทำความดีได้อย่างไร

    ๓. ความพิการเป็นเครื่องทรมานนักโทษ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบอีกว่า นักโทษทุกคนมีเครื่องลงทัณฑ์ทรมานที่ไม่มีใครรู้และมองไม่ออกติดตัวอยู่ด้วยกันทุกคน นั่นคือ ความพิการต่างๆ ของร่างกาย เช่น อ้วนไป ผอมไป ตาบอด หูหนวก ขาเป๋ เป็นต้น ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้ว่าสารพัดความพิการในร่างกายเหล่านั้น เป็นเสมือนหนึ่งโซ่ตรวนที่ตนมองไม่ออก จึงไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นนักโทษ ที่ถูกล่ามโซ่อยู่กับเครื่องทรมาน

    ๔. ไม่มีอาหารเลี้ยงนักโทษ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบอีกว่า คุกนี้ไม่มีอาหารเลี้ยงนักโทษ คุกหรือเรือนจำในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ล้วนมีอาหารเลี้ยงนักโทษอย่างทั่วถึง แต่คุกขังสรรพสัตว์คือโลกนี้ ไม่มีอาหารเลี้ยง นักโทษต้องหากินเอง ใครอยากจะหากินอย่างไรก็ได้

    ตามความพอใจ ไม่เคยบอกวิธีหรือกฎกติกา แต่มีข้อแม้ว่าห้ามผิดกฎแห่งกรรม ถ้าพลั้งพลาด ทำผิดกฎแห่งกรรมก็มีโทษทันที ยิ่งทำผิดมากเท่าไรโทษก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่ามีกฎก็ไม่มีการละเว้นโทษ

    เมื่อมนุษย์ทั้งโลกตกอยู่ในสภาพที่มีแต่โทษเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนี้แล้ว สัตวโลกจะต้องติดคุกไปอีกนานเท่าไร เมื่อไรจึงจะได้ออกจากคุก เราต้องรู้จักสงสารตัวเองให้มาก ๆ ต้องรีบตั้งสติให้รอบคอบ ก่อนจะทำอะไรต้องพิจารณาให้มาก ๆ ด้วยว่า จะต้องทำอย่างไรทุกลมหายใจเข้าออกจึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทำผิด กฎแห่งกรรม มิฉะนั้นเราจะไม่มีวันได้ออกจากคุกเลย จำต้องเป็นนักโทษรอประหารไปตลอดกาล

    ๕. วิธีการลงทัณฑ์นักโทษ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบอีกว่า นอกจากคุกนี้จะไม่ยอมให้อาหารเลี้ยงนักโทษแล้ว ยังไม่เคยบอกวิธีการลงโทษให้นักโทษทราบในระหว่างที่ติดคุกอีกด้วย พยายามปิดบังทุกอย่างให้อยู่ในความมืดมิด

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นวิธีการลงโทษต่าง ๆ นานาแล้ว ก็ทรงเอาความจริงมาบอกให้ทราบ ครั้นแล้วพระอรหันต์ต่างก็ช่วยกันนำความจริงเหล่านั้นมารวบรวมเป็นพระไตรปิฎก เมื่อความรู้นี้ตกทอดมาถึงบรรพบุรุษไทยของเรา ท่านก็พยายามถ่ายทอดวิธีลงโทษผู้ทำ ผิดกฎแห่งกรรมสืบต่อ ๆ กันมา

    ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ทำผิดศีลข้อห้า คือดื่มสุราเมรัย จะต้องถูกน้ำทองแดงกรอกปาก ถ้าทำผิดศีลข้อสาม คือคบชู้สู่สาวหรือคบชู้สู่ชาย ต้องไปปีนต้นงิ้วในนรก ถูกอีกาปากเหล็ก จิกตีจนเนื้อหลุด เป็นต้น

    เหล่านี้คือสภาพของคุกขังสัตวโลกที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาจากปู่ย่า ตายาย ซึ่งเป็นความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ และนำมาเปิดเผยให้เราทราบถึงวิธีการลงโทษ ต่าง ๆ นานาที่ผู้สร้างคุกปิดบังเอาไว้ แต่คนเรามักไม่เชื่อเรื่องนี้กัน

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...