ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    DFB3CE8A-D2C6-48AE-92BB-55634EF74C2E.jpeg

    การที่โยมไม่สวดมนต์หรือไม่ชอบร้องเพลงก็ตาม ฉันว่าบทสวดมนต์กับเสียงดนตรีโยมว่าคล้ายกันมั้ยจ๊ะ..เหมือนกัน แต่ฉันจะบอกให้ว่าต่างกันอย่างไร นั้นเอาบทสวดมนต์ก่อน ถ้าใครไม่สวดมนต์ หรือไม่เคยสวดมนต์ หรือไม่ชอบสวดมนต์..จะเป็นอย่างไร..จิตใจจะกระด้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ มีทิฏฐิอัตตาตัวตนมาก เห็นมั้ยจ๊ะ แม้นจะเป็นหญิงก็หยาบ แม้นจะเป็นชายก็กระด้างกระเดื่อง เป็นชายไม่สมชาย

    ดังนั้นการสวดมนต์ การชอบเสียงดนตรี ล้วนแล้วทำให้จิตใจนั้นมีเมตตาธรรม เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าโยมไม่ชอบสวดมนต์ คนที่สวดมนต์ได้เค้าต้องเป็นคนอ่อนน้อม..เพราะเค้าไปสวดคารวะใคร (ลูกศิษย์ : พระพุทธเจ้า) มันถูกต้องแล้ว แล้วคนที่ไม่ชอบสวดมนต์อย่างนี้เค้าเรียกยักษ์นอกศาสนา ก้มหัวให้ใครไม่ได้ อันนี้เค้าเรียกว่าลูกหลานพระเทวทัต บัดนี้ยังไม่ได้เกิดเลย แต่ลูกหลานมาเกิดมากมาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นถ้าโยมไม่สวดมนต์ โยมจะเข้าถึงความอ่อนน้อม เข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงทาน ศีล ภาวนา..ยาก หรือแม้โยมไม่มีเวลาสวด..แต่โยมต้องภาวนา บางคนบอกภาวนาไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่มีในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ไม่มีในอักขระธรรมในจารีตประเพณีของครูบาอาจารย์ แต่ว่าคำว่าภาวนานี้..คืออะไร ภาวนาคือตัวระลึกได้ นั้นจะภาวนาจะบริกรรมจะทำอะไร..มันเป็นสมถะเป็นอุบายแห่งธรรมทั้งนั้น

    ถ้าทำอะไรก็ตามแล้วทำให้โยมเข้าถึงความสงบสิ่งนั้นสมควรทำมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : สมควรค่ะ) เสื้อผ้าอาภรณ์โยมสำคัญมั้ย (ลูกศิษย์ : สำคัญ) ทำไมต้องใส่ขาว สีอื่นได้มั้ย อ้าว..จะเขียว เหลืองอะไรก็ตามถ้ามีศีลมีธรรม มีใจมุ่งมั่นศรัทธาในพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าแล้ว มันก็เหลืองอยู่ภายใน..คือสีทอง

    นั้นถ้าโยมยังคารวะกราบไหว้พระธรรมไม่ได้ โยมไม่ต้องไปบอกว่าศรัทธานับถือศาสนา เพราะคำสั่งสอนคือตัวแทนของพระศาสดา องค์พระปฏิมากร..นั่นคือธรรม มีคนบอกว่าการสร้างพระพุทธรูป รูปปั้นเกิดจากเศษอิฐเศษทราย..มีอานิสงส์อย่างไร แล้วตอนที่โยมกราบไหว้ โยมไปกราบไหว้ปูนหรือเปล่าจ๊ะ โยมไม่ได้เอาจิตกราบไหว้ปูน แต่โยมกราบไหว้สิ่งที่เป็นตัวแทนขององค์พระสัพพัญญู หรือตอบแทนในธรรมที่ท่านได้ทิ้งไว้ให้ หรือระลึกคำสั่งสอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันนั้นเค้าเรียกว่าวิญญาณ..เป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าบอกว่าจะลบหลู่ดูหมิ่นแล้วเป็นโทษหรือไม่..เป็นโทษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..ก็นั่นเป็นรูปกายหยาบของท่าน มันเป็นกฎของจิตโลกวิญญาณ ถ้าที่ใดมีองค์พระปฏิมากรที่นั่นต้องมีเทวดารักษาหรือต้องดูแล เพราะฉะนั้นพอโยมไปกราบไหว้ขอพร..บอกว่าหลวงพ่อลูกเดือดร้อน ๓ ตัวมีมั้ย อ้าว..มึงเอาไป..กูให้มึง..ถูก โอ้..หลวงพ่อองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์ นั่นเพราะเทวดาเค้าเมตตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ พระพุทธเจ้าท่านจะมาให้ได้ยังไง ก็เลยมีหลวงพ่อปากแดงบ้าง..ปากไม่แดงบ้าง เห็นมั้ยจ๊ะ

    นั้นฉันถึงบอกว่านี่มันเป็นอย่างนั้น ถ้ามีองค์พระปฏิมากรที่ใด..ที่นั่นต้องมีเทวดารักษา เพราะว่าเทวดาเค้าให้คำสัตย์อย่างนั้นกับพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นครูของเทวดา และพรหม และมนุษย์โลก นั้นเทวดายังต้องเป็นศิษย์ นั้นถ้ามีองค์เสมือนหรือรูป หรือรูปเหมือน นั่นเรียกว่าแทนกายหยาบ..รูปขันธ์ ๕ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แม้ว่ากายหยาบขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่อยู่แล้ว แต่เมื่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่ดินก้อนแรกนั้น..สำเร็จเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ใครก็ดีที่จะไปกราบหรือลบหลู่เท่ากับว่าลบหลู่ในธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นการที่โยมเห็นพระพุทธเจ้าหรือองค์พระปฏิมากรหลวงพ่อว่าชื่อนั้นทันใจหรือยังไม่ทันใจก็ตาม หลวงพ่อสมหวังหรือหลวงพ่อยังไม่สมหวังก็ตาม ลูกขอกราบนมัสการ..นี่แหล่ะจ้ะเทวดาที่เค้าไปกราบไหว้เค้าก็โมทนา แล้วนี่เค้าบังคับให้โยมเชื่อหรือเปล่าจ๊ะ..เปล่าเลย แต่ที่โยมควรรู้มันเป็นอย่างนี้

    ดังนั้นอย่าบอกว่า โอ๊ย..ไม่จริงหรอก การปฏิบัติธรรมน่ะไม่ต้องมีเคารพกราบไหว้รูปเหมือน..ไม่มีความสำคัญ ไม่มีอานิสงส์อันใด..ไม่มี ไอ้พวกแบบนั้นเค้าเรียกลบหลู่ครูบาอาจารย์ เพราะว่าไอ้พวกนี้ส่วนมากจะไม่ค่อยสวดมนต์ ไม่เชื่อโยมไปลองดูสิจ๊ะ งั้นขอให้เข้าใจตามนี้ว่าที่ไหน เห็นหลวงพ่อโสธรมั้ยจ๊ะ โอ้..ที่นั่นเทวดามากเลย เพราะอะไรรู้มั้ยจ๊ะ คนไปขอพรมากเทวดาเลยเยอะ เพราะอะไรจ๊ะ เพราะเทวดาเค้าก็ไปสร้างบารมีกับมนุษย์..เค้าก็ได้เป็นบารมีให้เค้าไปเกิด ไปแย่งกันอยู่เพราะมนุษย์มันเข้าไปมาก นั้นหลวงพ่อโสธรเลยมีเทวดามามากเลยทีนี้ เห็นมั้ยจ๊ะ

    แล้วที่ไหนบ้างล่ะ วัดร้างมีเทวดามั้ย วัดร้างก็มีเทวดาแต่น่าสงสาร เพราะเทวดาไม่ค่อยให้ทาน หยากไย่เลยเต็ม น้ำสักแก้วตรงหน้าพระพุทธยังไม่มี เพราะเทวดา..เค้าก็เป็นเทวดาเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยให้ทาน เลยต้องไปอยู่ตามวัดร้าง เห็นมั้ยจ๊ะ นี่เป็นอานิสงส์ มันเป็นอย่างนี้ นี่คือวิบากกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมอย่าไปลบหลู่นะพระพุทธน่ะ แม้แต่ดินก้อนแรกแม้แค่องค์เล็กน้อย ถ้าเค้าเจตนาสร้างขึ้นมาแล้ว..มีเทวดาทั้งนั้น มีธาตุกายสิทธิ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้กระทั่งตัวเราเองที่เกิดขึ้นมาเป็นธาตุขันธ์ของกายมนุษย์..ก็มีเทวดา นั้นร่างกายสังขารเรามีกายเทพ กายพรหม ยักษ์ มาร เปรตวิสัย เทวดา แม้กระทั่งจิตเป็นพุทธะก็ยังมีในตัว

    โยมอยากเป็นอะไร..โยมยึดสิ่งใดโยมก็เป็นสิ่งนั้น เทวดา..เมื่อโยมมีหิริโอตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาปทั้งที่ลับและที่แจ้งโยมก็เป็นเทวดา หมายถึงว่าทำไมถึงเป็นเทวดา เทวดาก็มากราบไหว้โยมได้ แม้โยมไม่ต้องบวชเป็นพระ โยมจะทำอะไรมีความศักดิ์สิทธิ์มีความขลัง ถ้าโยมกราบตัวเองได้ นี้คือคุณสมบัติของเทวดา..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    C37261A7-5973-4522-AA2D-E8107E288218.jpeg

    ลูกศิษย์ ๑ : หลวงปู่เจ้าคะ พระพุทธรูปเนี่ย เวลาที่เราเอาน้ำไปวางบนหิ้งพระ เปลี่ยนทุกวัน ทำทุกวัน การที่เอาน้ำไปวางไว้เนี่ยะเพื่ออะไรคะ

    หลวงปู่ : น้ำ..เมื่อโยมให้เค้าเรียกน้ำใจ ไม่แห้งแล้ง มีอานิสงส์ยังไง อ้าว..ทำให้เรานั้นสมบูรณ์ เมื่อมีน้ำมันจึงเป็นฮวงจุ้ยอย่างหนึ่ง ที่ไหนถ้าขาดน้ำเมื่อไหร่..เทพเทวดาเค้าจะไม่อยู่ เพราะเทพเทวดาเค้าต้องอาศัยน้ำเหมือนกัน เช่นตั้งจิตกรวดน้ำ บางทีกรวดน้ำลงไปไม่ได้จิตไม่เป็นสมาธิ เลยต้องเอาน้ำมาเป็นสื่อก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นพระแม่ธรณี น้ำคงคาทำให้เกิดความร่มเย็น เค้าเรียกว่ามีการถวายน้ำ เพราะว่าโยมขาดอาหาร ๓-๔ วันก็ยังไม่ตาย ขาดน้ำเพียงวันเดียว..ตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ น้ำจึงบอกว่าแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้

    นั้นการถวายน้ำเพราะให้รู้ว่าเราได้บูชาท่านอยู่ เคารพท่านอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าไม่ให้น้ำแล้ว ถามว่าต้นไม้ถ้าไม่ให้น้ำ เมื่อมันยังไม่เติบโตแข็งแรง ยังหากินเองไม่ได้ โยมว่าจะตายมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ตายค่ะ) บางคนห้องพระห้องเจ้าน้ำไม่มีเลย ในบ้านมีน้ำเต็มไปหมดแต่ในห้องพระห้องเจ้าแห้งไปหมด ยังไม่พอแมงมุมหยากไย่ขึ้นอีก ท่านก็ยังไม่เป็นโทษเป็นภัยเห็นมั้ยจ๊ะ

    ที่สำคัญเมื่อโยมเข้าไปในห้องพระ โยมจะได้ความสงบ วันพระวันเจ้าโยมไปทำความสะอาดห้องพระห้องเจ้ามีอานิสงส์ ถวายน้ำพระ โยมไม่ได้บอกถวายน้ำอะไร เพราะน้ำอันใสบริสุทธิ์นี้พระแม่คงคา ข้าพเจ้าขอน้อมถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่ออะไร..ให้เราเข้าถึง จิตเราจะเบิกบานอิ่มเอม แช่มชื่น

    การที่เราปัดกวาเช็ดถูห้องพระห้องเจ้ามันเป็นกรรมฐาน มันเป็นสมาธิในตัว เพราะจิตเราจะสงบเยือกเย็น เพราะเราอยู่ใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเค้าถึงบอกไงห้องพระห้องเจ้า หรือในบ้านควรจะมีห้องที่ให้เทพเทวดาพรหมท่านได้สถิตได้ประทับฐาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมไม่ค่อยดูแล เทวดาก็ไม่ค่อยอยู่ ถ้าโยมสวดมนต์ภาวนาอยู่ประจำ เทวดาอยู่บ้านอยู่ช่องมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอโยมไม่อยู่ท่านก็ดูแลให้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นสิ่งสำคัญมันเป็นอย่างนี้ ว่าทุกอย่างมันเป็นอุบาย

    ดังนั้นน้ำนี้มันบ่งบอกถึงว่าความมีน้ำใจ เมตตา ดังนั้นแล้วถ้าเรายังบูชากราบไหว้อะไรอยู่ มีความเชื่อ นั่นไม่ใช่เป็นภาระ แต่มันควรกระทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนเรามีครูบาอาจารย์ น้ำสักแก้วจะให้ท่านคงไม่ลำบากหรอกจ้ะ

    ลูกศิษย์ ๒ : หลวงปู่เจ้าคะ ห้องนอนหนึ่งห้องแต่มีห้องพระอยู่ในห้องด้วยสมควรมั้ยเจ้าคะ เพราะว่าอยู่ห้องเช่าค่ะ

    หลวงปู่ : อยู่ห้องเดียวกันได้นี่จ๊ะ แต่ควรจะมีมิติแห่งภพ คือมีอะไรกั้นเป็นฉาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะบางครั้งโยมทำอะไรที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นควรมีภพมีภูมิ มีม่านมีฉากกั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้เป็นมิติ อะไรที่เป็นมิติที่ถูกกั้นแล้วย่อมมองไม่เห็นอีกมิติหนึ่ง ความมืดเป็นมิติมั้ยจ๊ะ..เป็นมิติ ความสูงความต่ำเป็นมิติมั้ยจ๊ะ..เป็นมิติ นั่นแหล่ะจ้ะ ดังนั้นภพมันซ้อนภพมากมายจนนับไม่ถ้วน นั้นถ้าบ้านเราจำกัดด้วยสถานที่ เราก็หาอะไรกั้นซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    E3835300-87FD-4BF4-A4FA-69451B738E8F.jpeg
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    5C8F3D0E-29D5-473D-B837-0DFFD1F10BA1.jpeg

    เมื่อโยมได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว ได้เกิดมาได้สดับฟังธรรม แสดงว่าโยมนั้นยังไม่ได้พ้นจากยุคขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าบอกว่าการเชื่อมต่อแห่งยุคของพระศรีอริยเมตไตรย ถามว่าก้าวเดียวโยมก็ข้ามไปถึงแล้วยุคนั้น แต่ก้าวเดียวของโยมนั้น..โยมมีความเชื่อความศรัทธาเพียงไร ถ้าโยมไม่เชื่อไม่ศรัทธาร้อยก้าว พันก้าว แสนก้าว หรือเกิดมาอีกสิบชาติ โยมก็ต้องก้าวอยู่อย่างนั้น ก้าวอยู่อย่างนั้นแต่นับก้าว

    เหมือนจิตทีเกิดดับก็จิตดวงเดียว แต่จิตเกิดดับ..โยมรู้มั้ยจ๊ะว่าจิตเกิดดับ เกิดดับ..กี่ครั้ง ดาวมันเลยเต็มท้องฟ้า เปรียบเหมือนแบบนั้น เม็ดทรายมันจึงมีมากกว่ามหาสมุทร เต็มมหาสมุทรมันเป็นเม็ดทราย..ถ้าเปรียบเป็นดวงจิตคนที่เกิดตาย เกิดดับ หรือพระผู้ที่สำเร็จไปแล้วก็มีมากมายเท่าเม็ดทรายเช่นเดียวกัน นั้นจึงประมาณไม่ได้เลย

    แค่ก้าวเดียวถ้าโยมศรัทธาโยมก็เข้าถึงในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ถ้าโยมไม่ศรัทธาร้อยก้าวพันก้าว..เกิดมาโยมก็เข้าไม่ถึง เพราะโยมไม่รู้จักก้าวว่าจะก้าวไปทำอะไร ที่ที่เราเดินนี้เราจะเดินไปทางเดินทางมรรคนี้ไปเพื่ออะไร ถ้าโยมไม่มีจุดมุ่งหมายความเพียรโยมมันก็อ่อนล้า..เป็นความอ่อนล้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้โยมมีความเชื่อความศรัทธาโยมก็หมดความเชื่อความศรัทธาได้

    นั้นความเพียรโยมต้องตั้งมั่นด้วยมีปัญญามีสติ..เป็นที่ตั้ง ว่าเราจะเดินในทางเดินแห่งมรรคนี้ไปเพื่ออะไร ไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ใช่ให้ถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ถึงยุคของพระศรีอริยเมตไตรย..ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้ถึงการหลุดพ้น ถ้าโยมหลุดพ้นได้โยมก็ถึงได้ ถ้ายังไม่หลุดพ้นแต่โยมยังเจริญในความเพียรในอิทธิบาท ๔ อยู่ ถ้าเดินในเส้นทางนั้นโยมก็ไปต่อเส้นทางได้ เพราะมันเส้นทางเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    หมายถึงว่าเส้นทางเดียวกันอย่างไร เรายังเดินไม่สุดทางแต่เรายังมีความเชื่อความศรัทธาตั้งใจอยู่ในเส้นทางนั้น โยมก็เดินต่อไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมหลีกหนีจากเส้นทางนี้ เมื่อเดินไปแล้วสุดทางแล้วโยมไม่เห็นว่ามีอะไร โยมก็ละจากความเพียรนั้น ไม่เชื่อมั่นในทางเดินแห่งมรรคนี้ อย่างนี้โยมก็ต่อยุคไม่ได้ แต่ถ้าโยมยังเดินกันอยู่อย่างนี้ สวดมนต์กันอยู่อย่างนี้ แผ่เมตตากันอยู่อย่างนี้ เจริญปัญญากันอยู่อย่างนี้ ยังฟังธรรมกันอยู่อย่างนี้ นี่แหล่ะเค้าเรียกว่าทางเดียวกัน แต่เรียกว่า"ยุคต่อยุค"

    เข้าใจยุคต่อยุคมั้ยจ๊ะ เหมือนภพต่อภพ เมื่อโยมภาวนาจิตอยู่..โยมตื่นมาจิตภาวนาต่อมั้ยจ๊ะ อ้าว..ก็มันทำหน้าที่ต่อกัน ก่อนที่โยมจะนอนโยมทำอะไรอยู่ เมื่อโยมตื่นเป็นภพใหม่ ในก่อนที่โยมจะนอนก่อนที่โยมจะตื่น..สิ่งนั้นแลจะมาเป็นที่ชี้วัดว่า กรรมที่โยมทำนั้นมันจะมาต่อกรรมกันได้หรือไม่ เค้าเรียกว่าภพที่เรากระทำอยู่ก่อนที่เราจะนอนตื่นมาเป็นภพใหม่..เราก็จะเสวย

    เสวยก็คือชาติ ชาติคืออะไร..คือสัมผัส สัมผัสว่าเราเมื่อภาวนาจิตแล้วตื่นมาจิตเราถึงมีองค์ภาวนาต่อ เพราะในขณะที่ภพที่โยมก่อนนอนโยมทำอะไรไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตโยมโทมนัสเสียใจอยู่ ตื่นมาจิตโยมจะเศร้าหมอง หดหู่ใจ เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นทุกครั้งที่โยมตื่นนอนมาแล้วจิตมีความรู้สึกหวาดกลัว ขอให้โยมตั้งจิตให้ตั้งมั่น..เข้าที่หลบภัยก่อน คือกำหนดลมเข้าลมออก ให้รู้อยู่ในกาย แล้วทำจิตให้สบาย ปล่อยวางกับอารมณ์นั้น แล้วระลึกถึงบุญกุศล ทำจิตให้ตั้งมั่นแล้วแผ่เมตตาออกไป

    ไม่ว่าอารมณ์นั้นเราจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม กลัวอะไรอยู่ก็ตาม ให้อธิษฐานขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยนี้จงดลบันดาล ปกปักรักษาคุ้มครองดวงจิตของข้าพเจ้า ขอบุญกุศลทั้งหลายจงมารวมเป็นหนึ่ง และขณะนี้ขอบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วในทาน ศีล ภาวนา ในบุญกุศลอันใดก็ตามขอให้สำเร็จประโยชน์กับดวงจิตวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าบ้านเจ้าเรือน เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าทุ่งเจ้าท่า เจ้าป่าหนองคลองบึงทั้งหลาย ให้แผ่เมตตาออกไปทั่วทิศ เทพยดาเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ดวงจิตวิญญาณที่เราเคยล่วงเกินอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ขอให้เขาเหล่านั้นจงเป็นสุขและโมทนากับคนผู้ทำความดี ผู้ถือศีล ผู้ถือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระสุปฏิปันโน พระที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี บุคคลที่กำลังทำประโยชน์ให้โลกนี้อยู่ก็ดี ให้โมทนาจิตเค้าไป..มีอานิสงส์มหาศาล

    และในขณะวิถีจิตในขณะที่โยมอธิษฐานแผ่เมตตาอยู่ มีขณะจิตนั้นมีญาณของจิตของผู้หนึ่งผู้ใดนั่งเข้าอยู่ในฌานสมาบัติอยู่ก็ดี แล้ววิถีนั้นของจิตนั้นเข้าถึงการหลุดพ้นอยู่ก็ดี..มีอานิสงส์มาก เหมือนเรานั้นได้โมทนากับผู้ที่อยู่ในการเจริญสมาบัติอยู่ก็ดี ออกจากสมาบัติก็ดี เข้าบรรลุถึงอรหันตผลแล้วก็ดี กระแสจิตดวงนี้มันจะเข้ามาสู่จิตโยม ให้เชื่อมต่อให้โยมเข้าถึงในธรรมอันวิเศษได้และพ้นทุกข์ได้..นี่ก็เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่ง

    อย่าได้ดูถูกดูแคลนในการอธิษฐานจิตในการตื่นนอนมา แม้จิตโยมจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ขอให้โยมฝึกแบบนี้ เพราะในขณะที่โยมวิตกอยู่ในอารมณ์ที่เรานั้นจะแผ่เมตตาจิต ปรารถนาดีหรือครุ่นคิดอยู่ในจิตนี้ เรานั้นโสมนัสอยู่ก็ดี นั้นเรียกว่าฌานได้บังเกิด สมาธิ..ขณิกสมาธิมันกำลังก่อตัวขึ้นมา เพราะว่าสิ่งไหนที่เราฝึกไว้นั่นแลมันจะมารวมตัวกันในขณะนั้น

    เหมือนว่าที่โยมทำอะไรไม่ดีแล้วจิตโยมนั้นเศร้าหมอง แล้วเมื่อโยมนั้นได้เสวยกรรมในวิบากกรรมขณะนั้น ในอดีตกรรมที่โยมได้ทำไว้มันมารวมตัวให้ผลเหมือนเช่นเดียวกัน จากเบาก็เลยกลายเป็นหนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นขณะที่โยมอธิษฐานจิตแผ่เมตตาบุญมันเล็กน้อยก็จริงอยู่ แต่โยมอธิษฐานไปถึงบุญทั้งหลายที่โยมระลึกถึง ถึงพระพุทธเจ้าผู้เอ่ยนามหรือไม่รู้นาม พระอรหันต์เจ้า พระสาวก พระขีณาสพ ผู้กระทำความดีอยู่ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิปันโนอยู่

    ในขณะนี้เมื่อจิตเราเอ่ยไปถึงระลึกถึงจิตมันจะเชื่อมต่อ เค้าเรียกว่าเชื่อมต่อจักรวาล เพราะจิตนี่เป็นหนึ่งของจักรวาล เรานั่งอยู่ที่ใดเราก็นั่งอยู่ใจกลางของโลก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอย่าได้เห็นว่าไม่มีประโยชน์..มีประโยชน์อย่างมาก แล้วในขณะจิตโยมนั่งอธิษฐานจิตอยู่ เค้าเรียกว่าดวงตาสวรรค์ได้ถูกเปิดออก เค้าจะมองมาเห็นโยม เห็นนั่งอยู่มีกระแสจิตแห่งวิญญาณอยู่อย่างนั้น เทพยดาเจ้าเค้าจะโมทนาแผ่เมตตาในขณะที่โยมทำอะไรอยู่ เค้าจะโมทนาในคุณงามความดีและจะมาปกปักรักษา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    กระแสจิตกระแสดวงธรรมในครูบาอาจารย์ พระสุปฏิปันโนที่เค้าได้ฌานได้ญาณแล้ว เค้าจะประสาทประสิทธิ์วิชชาความรู้ถ่ายทอดให้ทางญาณสมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมไม่ต้องสงสัยว่าเมื่อเรานั่งสมาธิไปแล้ว ทำไมมี..เหมือนมีจิตนั้นมาสอน นั่นแหล่ะจ้ะ เป็นเพราะเรานั้นตั้งจิตอธิษฐานมีความศรัทธาต่อหลวงพ่อในครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตาม เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วท่านจะมาสอนกรรมฐานสอนสมาธิเราได้มั้ย..สอนได้ เพราะจิตไม่มีวันที่จะดับสลายไป ถ้าดับสลายไปธรรมธาตุในโลกนี้คงไม่มีอยู่ ถ้ายังไม่สิ้นถึง ๕๐๐๐ วัสสา คือ ๕๐๐๐ ปี ความศักดิ์สิทธิ์ในมนตรามนต์ขลังก็ยังคงอยู่ วัตถุมงคลก็ยังคงอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    EA2B227C-E589-44AB-8B82-A950032E2296.jpeg

    ในการสาธยายมนต์สวดมนต์ก็ดี เป็นการเปล่งวาจาแห่งความสัตย์แห่งพุทธมนต์แห่งสิริมงคลออกจากปาก ถ้าเอาวิวัฒนาการแห่งความทันสมัยในโลกอีกร้อยปีข้างหน้า ใครสวดมนต์ออกมาย่อมเห็นว่ามีอะไรลอยออกมาด้วย กระแสธาตุรังสีในขณะที่เราสวดมนต์มีรัศมีอย่างไร แสดงว่ามนต์นี้เป็นของสูงมั้ยจ๊ะ คนจิตใจต่ำจะสวดไม่ได้ เดี๋ยวก็บอกว่าคนจิตใจต่ำเป็นอย่างไร แล้วคนจิตใจสูงเป็นอย่างไร

    คนเราไม่มีต่ำมีสูงอยู่ได้ตลอดไป ในขณะจิตเรานั้นที่ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีเป็นกุศล..นั่นแหล่ะจิตเรานั้นเข้าถึงพรหมจรรย์ถือว่าสูง จิตเราพ้นจากเปรตวิสัยสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานอย่างนี้ เมื่อจิตเราเป็นเทวดาเป็นเทพเป็นพรหมได้ เราก็อยากจะสวดมนต์ เพราะเทพพรหมเค้าชอบฟังเสียงสวดมนต์ แต่สัตว์เดรัจฉานสัตว์นรกไม่ชอบเสียงสวดมนต์ แต่พอตายไปแล้วอยากได้แว่วเสียงสวดมนต์

    เพราะว่าขณะแว่วพาหุงมหากาอะไรก็ดี อิติปิโส ภะคะวาเหล่านี้ เค้าจะทำให้จิตนั้นเค้าคลายจากทุกข์เวทนา แต่ตอนที่มันยังเป็นอยู่มันไม่สรรหาอยากจะสวด เข้าใจแบบนี้มั้ยจ๊ะ นั้นขอให้โยมจงรู้อานุภาพแห่งบทสวดมนต์ว่าไม่ใช่ของเล่น เพราะถ้าโยมสวดจริงจิตโยมที่เร่าร้อนจะเยือกเย็น เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตที่โยมเศร้าหมองหดหู่อยู่ มีความง่วงอยู่จะถูกสลัดออกไป มนตรานี้แลมันจะขจัดออกไป ขจัดสิ่งที่ไม่ดีในกายของโยมออก

    ทำไมโยมสวดมนต์แล้วมีความง่วง อยากรู้มั้ยจ๊ะ พอเวลาจะสวดมนต์กลับจะง่วง ใช่มั้ยจ๊ะ..ไม่ยาก เค้าบอกว่าในขณะที่เราจะสวดมนต์ เรายังไม่ได้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ดวงจิตวิญญาณ เพราะบางดวงจิตดวงวิญญาณเค้ารับเสียงสวดมนต์ไม่ได้ พอสวดไปเค้าจะง่วง เราก็จะง่วงตาม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ให้เรานั้นรู้ก่อนว่าเราจะมาสวดมนต์ แล้วตั้งจิตแผ่เมตตาออกไปก่อน อธิษฐานจิตก่อน ไม่งั้นเค้าบอกสวดมนต์กันโยมก็สวด สวด..สวด..สวด สวดไปสวดมา สวดไปสวดมา สวดไปสวดมามนต์ไม่เข้า มนต์ออกหมดแล้ว สวดมนต์ต้องให้เข้า เข้าอะไร..เข้าใจในสิ่งที่เราสวด คือมีสติจดจ่อในบทอักขระคาถา

    บางคนสวดก็สวดว่าแต่ปาก อย่างนี้สวดอีก ๑๐ ปีโยมก็จำบทสวดไม่ได้ ก็ต้องดูหนังสือตำรับตำราอยู่อย่างนั้น มนต์มันออกมันไม่ได้เข้าตัวเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้โยมต้องอธิษฐานจิตแผ่เมตตาจิตก่อน ในขณะนี้กาลต่อไปนี้เหมือนที่ว่าโยมตั้ง..สัคเค กาเม จะรูเป..อัญเชิญเทวดา บ่งบอกว่าโยมบอกอะไรบ้าง บอกเทพเทวดาทั้งหลายเข้ามาสดับฟังธรรมเพื่อเป็นมงคลวิถีในการนี้ มาโมทนามารับรู้

    ในขณะนั้นแลก็เช่นเดียวกัน ดวงจิตวิญญาณสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่เค้าอยู่ในขณะนั้นในกายสังขารเราก็ดี จงแผ่เมตตาไป เพราะบุญกุศลไม่ใช่บอกว่าการแผ่เมตตาโยมต้องมีบุญแล้วทำบุญก่อนถึงจะแผ่ได้ ในขณะที่ตัวเรามีกายสังขารมีลมหายใจอยู่..นี่แหล่ะบุญเรารักษาอยู่

    ดังนั้นว่าเราสามารถแผ่เมตตาให้ได้ตลอดเวลา นั่นก็หมายถึงว่าเมื่อเรามีความปรารถนาดี นี่เค้าเรียกว่าจิตเราเป็นทานแล้ว ในขณะนั้นเรากำลังเจริญทานบารมีอยู่ ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย..มีความปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขานั้นมีสุขอย่างนี้ เมื่อจิตใจโยมเบิกบานแจ่มใสแล้ว ผ่องใสแล้ว โยมจะมีความปรารถนาจิตตั้งมั่นปรารถนาอยากสวดมนต์

    เพราะในขณะที่โยมมาสวดมนต์โยมยังไม่ได้คลายจากความหดหู่เศร้าหมอง หรือคลายจากสุข คลายจากสุขเป็นอย่างไร คือโยมยังติดสุขอยู่ บางคนก็ยังเพิ่งนอนตื่นมา เมื่อมันเป็นอย่างนี้เมื่อโยมมาสวดมนต์มันรู้สึกเหมือนว่าจะทรมาน โยมอย่าลืมว่ากายสังขารเรามีกายอะไรซ้อนอยู่บ้าง มีกายเทพ มีกายพรหม เปรต อสุรกาย ถ้าจิตโยมหดหู่เศร้าหมองในขณะนั้นเปรตอสุรกายมันสิงสู่อยู่ มันขี่คอโยมมาอยู่ พอขี่มากๆเข้าโยมสวดมากๆเข้ามันไม่ฟังเสียงสวดมนต์โยมหรอกจ้ะ เพราะที่โยมสวดโยมไม่ได้ตั้งใจสวด มันก็จะขี่คอโยมอยู่อย่างนั้นจนหนักคอคอตกคอหักไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นถามว่าผี เปรต ซาตานทั้งหลายมันเข้าวัดเข้าวาได้เพราะอะไร มันอาศัยอยู่ไหน มันก็อยู่ในกายเราทั้งนั้น เรานี่คือผีเดินได้ ซากศพเดินได้เพราะอะไร พอตายไปเรียกว่าผี ตอนที่เราอยู่นี่ก็คือผี นอนก็นอนกับผี กินก็กินกับผี สวดมนต์ก็สวดกับผี ทำความดีก็ทำกับผี..ผีอะไร ผีบรรพบุรุษ ผีตายาย ผีบิดามารดา ผีทั้งนั้นที่ล่วงลับไปแล้วเรียกผีหมด เค้าก็รอเราล่วงลับเป็นผีเหมือนกับเค้า

    ดังนั้นแล้วโยมอย่าได้ทะนงตัวว่าโยมไม่ตาย โยมวิเศษกว่าคนอื่น หรือวิเศษกว่าคนที่ตายไปแล้ว ทั้งที่แท้จริงโยมนั้นกำลังตายทั้งเป็น ถ้าโยมอยู่ในโลกนี้แล้วหาสุขไม่ได้ อยู่ในโลกนี้ต้องหาสุขให้เป็น คือทำจิตให้เป็นสุข ถ้าจิตมันมีทุกข์ทำอย่างไร..หาที่พึ่ง ภาวนาก็ดี ทำกุศลให้เกิดขึ้นก็ดีในจิต อย่าทำจิตให้เป็นทุกข์ คนทำจิตให้เป็นทุกข์นั้นแลเค้าเรียกว่าอดีตแห่งกรรมที่โยมทำไว้มันจะตามมาให้ผลเล่นงานได้

    นั้นโยมจะเสียอะไรก็ตาม จำไว้นะจ๊ะ ผิดพลาดอะไรก็ตาม แต่ถ้าจิตโยมเสียเมื่อไหร่..นั้นพลาดยิ่งกว่า แก้กู้จิตกลับคืนมา อะไรที่มันหมดไปยังไม่สู้ว่าตัวเรายังเหลืออยู่ได้ คือเริ่มต้นใหม่ได้ ไม่ท้อแท้ที่จะเริ่มต้นใหม่นี้แล..มันมีผลมีกำลังมากมายกว่ามีทรัพย์มากมาย เพราะตัวเราคือทรัพย์อันยิ่งใหญ่ ของที่เสียไปมันของนอกกาย แต่ของที่อยู่ในกายนี้มันสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    4058341F-B58C-41E5-9329-FA699BB337CA.jpeg

    การนอนภาวนาสวดมนต์ถามว่าผิดจริต..ได้บุญกุศลหรือไม่ มันก็ได้..แต่นั่นไม่ใช่การฝึกจิตการเจริญความเพียร การเจริญความเพียรต้องตั่งมั่นในกายที่มีสติและมีขันติธรรม อารมณ์ที่เกิดความสบายแล้วไม่เรียกว่าการเจริญสติ ไม่ได้เรียกว่าการเจริญความเพียร เพราะการนอนภาวนาของโยมไม่นานโยมต้องหลับมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : หลับเจ้าค่ะ) เพราะว่ามันเพลินมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เพลินเจ้าค่ะ) นี่แสดงว่านี่ไม่ใช่การเจริญความเพียรเจริญอิทธิบาท ๔

    อิทธิบาท ๔ ต้องรู้กายครบองค์ มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมว่าในขณะนี้กายเราเป็นยังไง โอนเอียงไปถึงขนาดไหน มีความง่วงมีความเคลิบเคลิ้มจิตเคลิบเคลิ้มใจอารมณ์ของนิวรณ์เข้ามาสิงสู่หรือไม่ ไอ้คำว่าสิงสู่นี้คือวิญญาณที่มันปลอมแปลงมันแทรกซ้อนขึ้นมาในจิต แสดงว่าอบายภูมิของจิตเรานั้นมันยังไม่ถูกปิด

    เมื่อไม่ถูกปิดต้องทำอย่างไร เราต้องแผ่เมตตาให้เป็นทานเสียก่อน แสดงว่าทานเราบกพร่อง เมื่อทานเราบกพร่องศีลเราก็ชำรุด เมื่อศีลเราชำรุดการภาวนาจะให้เกิดปัญญามันก็ยาก เพราะกำลังสติและทานและศีลนั้นมันไม่สมบูรณ์ เมื่อไม่สมบูรณ์เค้าเรียกว่ามันบกพร่อง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วทำไมมันถึงบกพร่อง จิตเรายังมีความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายอยู่ จิตเรายังมีความหดหู่เศร้าใจอยู่ จิตเรายังมีความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าคนพิการ รู้จักคนพิการมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าอาการไม่ครบ ๓๒ เมื่ออาการไม่ครบ ๓๒ อย่างนี้จะมาเจริญบุญบารมีอันใหญ่ในทาน ศีล ภาวนามันยาก แต่คนพิการแต่ครบ ๓๒ คือใจมีใจที่ตั้งมั่นและศรัทธา คือมีความพอใจในความเพียร
    รู้จักอิทธิบาท ๔ มั้ยจ๊ะ รู้จักฉันทะมั้ยจ๊ะ รู้จักวิริยะมั้ยจ๊ะ วิริยะนี้คือความเพียร ความอดทนอดกลั้นต่อทุกข์ก็ดี ทุกข์กายทุกข์ใจก็ดี เค้าเรียกว่าเป็นทางของผู้ละสุข เค้าเรียกว่าวิริยะ เมื่อเรามีฉันทะมีวิริยะแล้ว..เราต้องมีจิตตะ จิตตะคือจิตที่ตั้งมั่นจดจ่อในอารมณ์นั้นสิ่งนั้น นี่เค้าเรียกว่าการงานของจิต เราต้องไปตั้งมั่นที่ไหน ห้างร้านบริษัทโยมมีที่ตั้งมั้ยจ๊ะ จิตโยมก็ต้องมีที่ตั้ง

    ถ้ากายเป็นที่ตั้งของจิตของการงาน ถ้ากายโยมยังทุจริตอยู่ จิตที่โยมไปตั้งอยู่..มันจะบริสุทธิ์มั้ยจ๊ะ มันก็บริสุทธิ์ไม่ได้ เหมือนทานที่โยมเอาไปทำทาน โยมจะโมทนาอธิษฐานไปเท่าไหร่ก็ตาม มันก็ยังเป็นผลไม่ได้ เพราะทรัพย์ที่โยมได้มานั้นมันไม่บริสุทธิ์ แต่ถ้าว่าสลึงหนึ่งเฟื้องหนึ่งแม้ไม่ถึงบาท แต่จิตโยมเป็นกุศล โยมได้หามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ แล้วโยมตั้งจิตอธิษฐานไป มีความศรัทธาในบุญกุศลนั้น อย่างนี้เค้าเรียกว่าฟ้าดินนั้นย่อมเป็นพยานสะเทือนเลื่อนลั่นในบุญกุศลนั้น

    แสดงว่าการสร้างบุญกุศลไม่ได้วัดค่าเม็ดเงินว่าเท่าไหร่ มากน้อยเพียงใด แต่วัดค่าอยู่ที่ใจโยมมีกำลังศรัทธาเพียงใดต่างหาก เหมือนที่โยมมามีกำลังศรัทธาในความเพียรมาเจริญอิทธิบาท ๔ แล้วโยมตั้งจิตอธิษฐานขอเอากายสังขารจิตวิญญาณที่ข้าพเจ้ามีอยู่นี้ที่บิดามารดาได้ให้มานี้ ขอน้อมเอากายสังขารได้ประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาถวายต่อพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บิดามารดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี ถึงเจ้ากรรมนายเวรดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินอย่างนี้

    ถ้าโยมมีความตั้งจิตตั้งใจอย่างนี้ พระแม่ธรณีสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมดถ้าอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันอยู่ที่โยมมีความตั้งใจแค่ไหน เมื่อโยมมีจิตตะจดจ่อในสิ่งที่โยมทำอยู่ โยมต้องรู้จักพิจารณาเสียบ้าง ว่าจิตเรานี้ในขณะนี้นั่งแล้วเป็นอย่างไร วิมังสาคือการพิจารณาตรวจทาน เป็นผู้ที่ว่าไม่ได้คล้อยจากความหลง คือมีสติตั้งมั่นในการงาน งานเมื่อโยมทำเสร็จแล้วโยมต้องตรวจสอบมั้ยจ๊ะ จิตก็เช่นเดียวกัน

    เมื่อโยมระลึกรู้จิตแล้ว กระทำอะไรอยู่แล้ว โยมก็ต้องรู้ว่าจิตตอนในขณะนี้ไปถึงไหนแล้ว อารมณ์เป็นอย่างไร จิตหดหู่เป็นอย่างไร จิตไม่หดหู่เป็นอย่างไร จิตคลายจากความหดหู่แล้วเป็นอย่างไร จิตผ่องใสเป็นอย่างไร จิตคลายจากความง่วงเป็นอย่างไร อาการเหล่านี้แลเรียกว่ากิริยา เรียกว่าสภาวธรรมหรือสภาวะอารมณ์

    เหล่านี้เมื่อโยมรู้อย่างนี้โยมไม่ต้องไปถามใครเลยว่าหลวงพ่อนั้นหลวงพ่อนี้..ว่าจิตฉัน การเจริญสมาธิภาวนาวิปัสสนาฉันไปถึงไหนแล้ว ขั้นไหนแล้ว ถ้าโยมประพฤติปฏิบัติแล้วโยมยังไม่รู้นี่..แสดงว่าโยมยังหลงอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือยังไม่รู้จิตของตัวเองว่าปฏิบัติแล้วไปถึงไหน
    อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจิตเราเมื่อประพฤติปฏิบัติในกรรมฐานฌานวิถีแล้วเราละอะไรได้บ้างหรือยัง ในโมหะ โทสะ โลภะเหล่านี้ จิตเรานั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่บ้างหรือยัง ถ้าจิตยังหดหู่ ยังคิดเล็กคิดน้อย ยังไม่ปล่อยวาง ยังยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้อยู่ อย่างนี้เรียกว่ากรรมฐานที่โยมเข้านี้ยังไม่ถึงในกรรมฐานนั้น เพราะยังไม่ละถึงที่สุด อย่างนี้เค้าเรียกว่าอัตตาตัวตนมันยังมีมากอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แสดงว่าเรายังปฏิบัติไม่ถึง แต่ถามว่าการที่ปฏิบัติไม่ถึงนี้..ไม่ถึงอะไร แสดงว่ามันไม่ถึงในความเพียร มันยังไม่ถึงในศรัทธา แสดงว่าเรานั้นยังสงสัยอยู่ ถ้าเมื่อยังสงสัยอยู่ ความเคลือบแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์นั้นก็ยังไม่ถึงในครูบาอาจารย์

    ถ้าโยมสิ้นสงสัยแล้ว การประพฤติปฏิบัติของโยมนั้นจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้สถานที่มันไม่ใหญ่โต แม้ในเคหสถานบ้านเรือนโยม หากโยมมีจิตศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มีหลักแล้ว ได้หัวใจของกรรมฐานแล้ว อันว่าหัวใจของกรรมฐานก็คือการงานที่ตั้งในจิตที่ตั้งในการเพียรละอารมณ์ในขันธ์ ๕

    ขันธ์ ๕ มันมีอะไรที่มันเป็นบ่อเหตุแห่งอารมณ์ที่เราต้องไปละ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ..ที่จิตเรานั้นยังไปข้องแวะในอกุศลกรรม นั่นก็คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้เรียกว่ากามคุณ ๕ ที่เป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์ แต่นิวรณ์นี้เป็นข้าศึกของสมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    รูป รส กลิ่น เสียงนี้เป็นข้าศึกของพรหมจรรย์ แต่นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้เป็นข้าศึกของสมาธิ แล้วทำไมสมาธิมันคืออะไร สมาธิมันคือเมื่อฝึกไปมากๆเข้าแล้วมันจะทำให้เกิดอำนาจแห่งจิต ถ้าพูดง่ายๆเค้าบอกว่าจิตนี้เรียกว่าเป็นอณูของจักรวาล เข้าใจมั้ยจ๊ะ มีพลังเป็นปรมาณูอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นธาตุรู้ ใครฝึกจิตถึงที่สุดแล้วในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรที่บอกไม่รู้ เช่นพระสัพพัญญู..ไม่มีอะไรปกปิดได้ รู้แม้กระทั่งว่าจักรวาลเกิดมาอย่างไร ดับอย่างไร สิ้นสุดเพียงใด กว้างแค่ไหน นี่จิตบอกได้ ถ้าโยมเข้าถึงตัวรู้แล้ว แล้วมีเฉพาะพระสัพพัญญูเท่านั้นที่ถึงจะรู้ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    016581A0-A32B-445D-8FE8-D9B84F47BF00.jpeg
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    9B4886B0-9803-4E12-8540-1DFB93677E25.jpeg

    อันว่าศีล ๕ นี้โยมนั้นแม้จะมีพื้นฐานของศีล ๕ แต่ว่าศีล ๕ เรานั้นก็ยังไม่บริบูรณ์เลย ดังนั้นแล้วการที่เราจะทำให้มันบริบูรณ์ทำอย่างไร..คือทำรักษามันอยู่บ่อยๆ คอยปะแก้ชุนมันอยู่บ่อยๆ อันไหนรั่วอันไหนมันร้าวเราก็ค่อยมาซ่อมแซมมันดู เมื่อมาดูแล้วว่ามันชำรุดอย่างนี้ ก็ให้เรานั้นสำรวมและตั้งใจเสียใหม่

    ก็ใจเมื่อตั้งขึ้นมาใหม่เสียแล้วนี้ อะไรที่มันเสียไปแล้วนั้นก็ถือเป็นโมฆะกรรมกันไป ให้เราดูที่ปัจจุบันของจิตเรา ที่เรามีกุศล ที่จะตั้งมั่นในคุณงามความดี เมื่อเรารักษาอยู่บ่อยๆจนจิตมันตั้งมั่นในศีลได้ ระวังได้ สำรวมได้ การจะบกพร่องในศีลในธรรมนั้นก็เป็นเรื่องของธรรมดา เพราะเรายังมีวิบากกรรมอยู่ แต่เมื่อเรารู้เท่าทันในอารมณ์อยู่บ่อยๆเสียแล้ว..ศีลเราก็จะแข็งแรง

    นั่นก็เหมือนว่าถ้าเรานั้นมีสติอยู่บ่อยๆ มันก็เรียกว่าเราจะเติบโตและเป็นผู้รู้ แล้วสิ่งที่ผ่านมานั้นคือความโง่เขลา คือความไม่รู้ ความไม่รู้ทั้งหลาย..ผู้นักปราชญ์ก็ดี ผู้ที่มีปัญญาแล้วก็ดี เค้าจะไม่ถือสาหาความอันใด แม้ตัวเราเองก็ควรจะวางในสิ่งนั้น ไม่ควรยึดถือว่าเรานั้นทำผิดอะไร แต่ควรระลึกได้ว่าโทษภัยที่เราทำลงไปแล้ว..ควรจะมีความละอายและเกรงกลัวระวังสำรวมในคราวต่อไป เมื่อเราระวังสำรวมอยู่บ่อยๆแล้วนี้ ย่อมทำให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีศีล สำรวมอินทรีย์ได้ เมื่อเราทำได้อย่างนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด เราจะมีความองอาจผ่าเผย อยู่ในที่มืดมันก็มีความสว่างไสว

    ดังนั้นแล้วผู้ที่มีศีลย่อมไม่ต้องกลัวภัยใดๆ คนที่ยังมีความกลัวอยู่ย่อมบ่งบอกได้ว่าผู้นั้นยังบกพร่องในศีลในธรรม แต่ถ้าผู้มีศีลเสียแล้ว..คนที่มีศีลจะไม่มีความกลัวตายอีกต่อไป เพราะคิดว่าศีลนี้ย่อมรักษา เพราะผู้ใดรักษาศีล..ศีลย่อมรักษาผู้นั้นเป็นธรรมดา..นั้นขอให้โยมพิจารณา

    ถ้าเรามีความกลัวอันใด..ขอให้เรานั้นระลึกถึงคุณงามความดี บุญกุศลในทาน ศีล ภาวนาที่เรานั้นได้กระทำ ได้เคยประพฤติปฏิบัติ และที่หลบภัยที่สำคัญ..ก็คือในฐานอานาปานสติ อยู่ในสติในฐานที่เราเคยได้ประพฤติปฏิบัติมานั้นแล อยู่ในกาย วาจา ใจ เมื่อนั้นศีลเราก็จะเกิดขึ้นมาอีก

    เมื่อศีลเราเมื่อเราระลึกถึง..ศีลมันก็บังเกิด เมื่อบังเกิดแล้วศีลมันก็จะให้คุณในขณะนั้น คนที่มีศีลนี้เค้าเรียกว่าคุณวิเศษ คุณวิเศษคืออะไร เมื่อเราระลึกถึงสิ่งใดในคุณนั้น..การจะทำการสิ่งใดมันก็ย่อมเกิดมรรคเกิดผล ให้คุณให้ประโยชน์ ดังนั้นโยมควรรักษาศีล..ในขณะที่โยมนั้นยังมีสติ อะไรที่มันไม่มีสติก็คือตอนไหน..ตอนที่เราหลับนอนไปแล้ว สิ่งนั้นแลมันจะหาว่าการเจริญสตินั้นให้สมบูรณ์ก็ทำได้ยาก การที่เราพร่องด้วยกิเลสตัณหามาครอบงำก็ดี..เหล่านี้ก็ทำได้ยาก

    แต่ตอนไหนที่เราทำได้..ก็คือการที่เราได้มาเจริญมนต์ก็ดี เจริญภาวนาอยู่ก็ดี กำหนดรู้อยู่ในกายในลมหายใจก็ดีเหล่านี้ ในขณะที่เราได้ฟังธรรมอยู่ก็ดี ขนาดแม้ขณะการฟังธรรมก็สามารถทำให้บุคคลนั้นบรรลุธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรมคือความเข้าใจ หาใช่ว่าต้องมานั่งหลับตาอย่างเดียวไม่

    แต่การนั่งหลับตาคือการฝึกจิต จะลืมตาก็ดีนั้น..เพื่อให้กำหนดรู้ระลึกรู้ว่าในขณะนี้เราทำอะไรอยู่ เราอาศัยกายนี้ทำอะไรอยู่ แต่การได้สดับฟังธรรมนี้ก็ดี เพื่อให้เราเกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ ให้เกิดตัวรู้ ให้เกิดความเข้าใจ เมื่อโยมเข้าใจ..ถึงในสิ่งใด เมื่อโยมเข้าถึงในสิ่งนั้นแล้ว สติปัญญาโยมมีกำลังมากพอ โยมก็จะตัดละอารมณ์ที่เป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์ของกิเลสตัณหาอุปาทาน..อย่างนี้มันก็สามารถให้โยมนั้นเข้าถึงในการบรรลุธรรมได้

    แต่ถ้ามันยังไม่เข้าถึง แสดงว่าการประพฤติปฏิบัติของเรานั้นมันยังไม่สมควรยังไม่พอกำลังที่เราจะรู้ได้ในความคิดในปัญญาที่เราจะพิจารณาตาม แต่ต่อเมื่อเราลงมือประพฤติปฏิบัติลงไปแล้ว ในความสงสัยลังเลทั้งหลาย..มันก็จะถูกตัดละลงไปจนถึงความเข้าใจด้วยการลงมือประพฤติปฏิบัติเอง อย่างนี้..ก็เรียกว่าสิ้นสงสัย เมื่อสิ้นสงสัยแล้วก็ถึงในตัวรู้ถึงตัวปัญญา..ก็บรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน

    คนเมื่อยังมีความสงสัยในธรรมทั้งหลายอยู่ ในปัญญามันจะรู้แจ้ง..มันก็ทำได้ยากในการรู้แจ้งแทงตลอด นี้เค้าถึงบอกว่าถ้าโยมนั้นข้ามสมมุติบัญญัติไปได้ ไม่ลังเลสงสัยใดๆแล้ว ตัวปัญญาโดยธรรมชาติของจิตนั้นมันก็จะบังเกิดของมันเองอยู่แล้ว ที่มันเข้าถึงในตัวปัญญาที่แท้จริงยังไม่ได้ ก็เพราะเรายังไม่มีความเชื่อมั่นในสิ่งนั้น ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งใดมีความศรัทธาในสิ่งใด..ปาฏิหาริย์มันก็บังเกิดได้ไม่ว่าในสิ่งใดในโลกนี้..ไม่มีอะไรเกิน"ใจ"ของมนุษย์ เพราะฤทธิ์ทั้งหลายก็สำเร็จด้วยใจดวงเดียว ที่เราไม่สามารถสำเร็จได้..เพราะเรายังเชื่อไม่ถึง ศรัทธาไม่ถึงในสิ่งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    CAC9DCAE-FE20-4175-9A3F-2B1CB69B2AA4.jpeg

    เมื่อคนมันจะตายธาตุดินมันก็จะแปรปรวนก่อน จะแปรปรวนเป็นอะไร อ้าว..ก็ต้องแปรปรวนเป็นน้ำสิ ใช่มั้ยจ๊ะ พอมันแปรปรวนเป็นน้ำแล้วทีนี้น้ำจะแปรปรวนเป็นอะไรทีนี้

    ดิน น้ำ..มันก็จะแปรปรวนเป็นไฟละทีนี้ คราวนี้ไฟมันแปรปรวนเป็นอะไรต่อ (ลูกศิษย์ : เป็นลม) แล้วลมมันแปรปรวนเป็นอะไรทีนี้ แปรปรวนเป็นอะไรจ๊ะ (ลูกศิษย์ : อากาศค่ะ) อ้าว..แล้วพอลมมันแปรปรวนเป็นอากาศ อากาศแปรปรวนเป็นอะไรทีนี้ (ลูกศิษย์ : ไม่มีอะไรแล้วค่ะ) มันต้องมีสิจ๊ะ ไม่มีมันจะประชุมเพลิงทำให้โยมมีชีวิตจิตวิญญาณได้ยังไง

    ในโลกนี้ที่โยมมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามันมีอะไรซับซ้อนตั้งมากมาย เมื่อลมมันแปรปรวนเป็นอากาศ อากาศมันก็แปรปรวนเป็นอากาศธาตุได้ มันก็คืออากาศมันเป็นธาตุอย่างหนึ่ง มันแปรปรวน แปรแล้วย้อนกลับมาเป็นลมหายใจโยม

    อ้าว..แล้วพออากาศธาตุมันแปรปรวน มันแปรปรวนเป็นอะไรอีกทีนี้ อ้าว..มันก็มีวิญญาณทีนี้ แล้วถ้าโยมไม่มีสังขารน่ะ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุนั้นมันเต็มไปหมดทีนี้ เห็นมั้ยจ๊ะ มันได้สูญหายไปที่ไหนล่ะจ๊ะ แล้วอะไรที่มันสูญน่ะ..มันไม่มีสูญ ถ้ามันยังไม่ดับสูญ..ถ้ายังไม่ดับอัตตาตัวตนน่ะ กิเลสตัณหาอุปาทานนี้มันไม่ดับน่ะ..มันสูญไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านดับสูญน่ะ "ดับสูญ"นั้นดับกิเลสตัณหาอุปาทานสูญ แต่วิญญาณธาตุอากาศธาตุท่านก็ยังคงอยู่ อ้าว..แล้วพระธาตุท่านไม่ใช่อากาศธาตุเหรอ ไม่ใช่วิญญาณธาตุเหรอ..ใช่มั้ยจ๊ะ ที่แปรเป็นรูปเป็นพระธาตุขึ้นมา เป็นอัฐิธาตุน่ะ นี่ก็ยังมีให้เห็น ใช่มั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมระลึกถึงพุทโธ พุทธ-เข้า โธ-ออก จิตรู้สึกจิตตื่นเบิกบานแจ่มใส คลายจากความกลัว ความเศร้าความหมอง ความหดหู่ใจ อ้าว..โยมไประลึกถึงท่านน่ะ เห็นมั้ยจ๊ะ เมื่อระลึกถึงแล้วเป็นไงจ๊ะ ก็รู้สึกโล่งสบาย เหมือนมีหลักยึดอยู่ อบอุ่นกายอบอุ่นใจ เหมือนอยู่ใกล้บิดามารดา แล้วท่านหายไปไหน ท่านไม่ได้หายไปไหนเลย ใช่มั้ยจ๊ะ

    แต่ท่านจะมาคอยดูแลโยมตลอดได้มั้ยจ๊ะ..ไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่โยมจะทำให้ได้นั้น และโยมดำเนินรอยตามนั้น และโยมนั้นพึ่งพาตัวเองนั้น นั่นคือการเจริญรอยธรรมที่ท่านทิ้งคำสอนไว้ เราอยากเห็นท่าน เราอยากพ้นทุกข์อย่างท่าน เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามทางที่ท่านทิ้งไว้ หรือแนวทางที่ท่านบอกให้เดิน

    "ธรรม"เมื่อท่านตรัสออกมาแล้วก็เรียกว่าเป็นธรรม เป็นอมตะธรรม คือไม่มีการตาย ไม่มีกาล เป็นความจริง เมื่อใครประพฤติปฏิบัติได้ตามจริงอย่างนั้น ธรรมก็ปรากฏชัดแก่บุคคลผู้นั้น มันจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะสภาวะธรรมเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะเหมือนกันหมด ถ้าปฏิบัติประพฤติในแนวทางเดียวกัน ที่ไม่เกิดขึ้นก็เพราะว่าผิดแนว ผิดทาง ผิดคำสอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โยมจะประพฤติปฏิบัติธรรมยังไงก็ตาม ถ้าโยมเห็นทุกข์ รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นแต่ของว่าง ไม่มีตัวตน ที่มีตัวตนเพราะเราไปยึดไปถือว่าเป็นรูปเป็นร่าง เป็นอัตตา เป็นตัวกูของกู สิ่งเหล่านี้น่ะเมื่อพิจารณาย้อนไปย้อนมา ขึ้นลงอย่างนี้จะเห็นชัด เห็นอยู่บ่อยๆ เมื่อนั้นโยมจะเห็นความเบื่อหน่าย ดังนั้นจะทำอย่างไร พิจารณาในกายสังขารให้เห็นทุกข์ชัดจะทำอย่างไร ถ้าโยมเห็นชัดน่ะ..ความเบื่อหน่ายโยมก็จะชัด ถ้าโยมเห็นทุกข์ หรือว่าเบื่อหน่ายยังไม่ชัด เค้าเรียกว่ายังเห็นทุกข์ไม่จริง ถ้าบอกว่าเป็นนักปฏิบัติก็เรียกว่าปฏิบัติยังไม่จริง หรือปฏิบัติยังไม่ถึง ไม่ถึงความเพียรความอดทน..ยังไม่ถึงใจ

    "หัวใจพระศาสนา" หัวใจในคำสอนน่ะ มีใจหลักใหญ่คืออะไร หลักใหญ่ทำอะไร ตัวพระปาฏิโมกข์ท่านบอกว่าอะไร การทำความดีให้ถึงพร้อม ถึงพร้อมด้วยอะไร ถึงพร้อมด้วยกายวาจาใจให้สงบตั้งมั่น..ก็คือถึงพร้อมด้วยศีล ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าทำความดีให้ถึงพร้อม แล้วอะไรอีกล่ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ทำบาปทั้งปวง) อ้าว..ทำความดีให้ถึงพร้อม ไม่ทำบาปทั้งปวง อะไรที่เป็นอกุศลใช่มั้ยจ๊ะ แม้ความคิดนั้นก็เรียกเป็นการกระทำอย่างหนึ่ง..เป็นมโน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอันนี้มันเป็นการใหญ่ เพราะเราคิดบ่อยๆน่ะ มันย่อมนำพาให้เรานั้นไปกระทำได้ ดังนั้นในความคิดนี้ถ้าเรา"ละ"มันทัน มันจะนำกายเราไปทำความชั่วไม่ได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมันต้องตัด..ต้องตัดที่ใจ ตัดกรรม แม้มันมีกรรมเป็นอกุศลเป็นวิญญาณอยู่ในจิตเราแล้ว เราไปดำริแล้ว แต่เราละมันทัน ห้ามมันทัน มันยังฟังเราได้ เพราะมันเป็นแค่มโน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เป็นแค่ความคิด มันยังไม่มีตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันยังล่องลอยในอากาศอยู่

    แต่เราไปคิดมัน ไปดำริมัน ไอ้พวกนี้มันเป็นวิญญาณ เราคิดชั่ว..ไอ้ตัวความชั่วมันก็รู้ มันก็เข้ามา มันเป็นพลังงานดูดกันเข้ามา ถ้าโยมคิดดีไอ้พลังงานดี อากาศธาตุดีมันก็เข้ามาเหมือนกัน เขาถึงบอกว่าจักรวาลน่ะ พลังงานจักรวาลน่ะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเมื่อโยมน่ะ..ถ้าโยมรู้จักใช้มันเป็นน่ะ โยมจะมีแต่สิ่งดีๆ สิ่งประเสริฐทั้งนั้น เมื่อโยมมีพลังงานดีๆมากๆแล้วตรงนี้แหล่ะ มันจะเป็นเกราะป้องกัน เมื่อโยมมีสิ่งดีมากๆเข้า ไอ้ความชั่วทั้งหลายทั้งปวงมันก็เข้าแทรกได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่มันก็ถือว่าเป็นกำลังอย่างหนึ่ง..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    E6B4A10D-93D4-4F55-B5E4-7E6110EB34BA.jpeg

    "พรหมจรรย์"คืออะไร (ลูกศิษย์ : ความบริสุทธิ์ของจิตเจ้าค่ะ) คำว่าพรหมจรรย์ คือความบริสุทธิ์ของศีลของจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่าพรหมจรรย์

    พรหมจรรย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อจิตเรารวมตัวเป็นหนึ่ง สำรวมกาย วาจา ใจตั้งมั่นนั่นแล แล้วอะไรเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์รู้มั้ยจ๊ะ อะไรบ้างที่เป็นข้าศึก มันมีศัตรูคู่แค้นกันอยู่ (ลูกศิษย์ : รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) อ้าว..เมื่อเราจะเจริญโมกขธรรมอยากจะหลุดพ้น มันก็ต้องมีตัวขัดขวาง ก็โยมอยากจะฝ่าวงล้อมที่จะออกไปเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสอยู่ใต้อาณัติของที่มันมีอำนาจบังคับบัญชาโยมมากกว่า ก็คือ"พญามาร"

    โยมก็ต้องฝ่าฟันลูกมันเข้าไป ถ้าโยมจะฝ่าวงล้อมมันไป ลูกพญามารน่ะ ไม่ต้องถึงตัวพ่อมันนะ เอาแค่ลูกมันก็พอ ไอ้นางกัณหาอรดีคือตัวราคะนี่มันควบคุมโลก ๓ โลกนี้หมดแล้ว มันยึดไปหมดแล้ว รากมันไปถึงไหนก็ไม่รู้ตอนนี้ แต่ถ้าโยมจะออกไปประกาศศักดา..จะออกตีฝ่าล้อมศัตรูนี้ออกไป โยมก็ต้องมีของดี อย่ามาอวดดี โยมจะเข้าป่าเข้าไพรเพื่อไปเจริญโมกขธรรม ไม่มีของดีก็อยู่ไม่ได้ เพราะนางมารมันก็ตามมาอยู่ทุกหนแห่ง

    แค่โยมก้าวย่างออกไปที่อยากจะหลุดพ้น แค่มันรู้ความคิดโยม มันตามโยมทุกหนทุกแห่ง โยมนั่งในโบสถ์มันก็นั่งได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมันฝังรากลึกอยู่ในร่างกายสังขารเรา เพราะกายสังขารเรามันเป็นของมัน อ้าว..โยมเกิดมาจากไหนล่ะ (ลูกศิษย์ : เกิดจากความอยาก) อ่ะ..โยมเกิดมาจากรากเหง้าอกุศลไม่ใช่เหรอจ๊ะ ถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้นโยมจะหนีไปไหนในโลกนี้..โยมหนีมันไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ

    เมื่อหนีมันไม่ได้ทำยังไง นี่คือตัวทุกข์ ตัวชรา ตัวพลัดพราก เวทนาในความรู้สึกเหล่านี้..เราหนีมันไม่ได้ ทำยังไง โยมต้องเรียนก่อน เรียนวิชาให้มีวิชาก่อน เมื่อมีวิชาแล้ว มั่นใจในวิชาแล้ว มั่นใจในครูบาอาจารย์แล้ว มั่นใจในพระพุทธเจ้าแล้ว มั่นใจในธรรมแล้ว มั่นใจในทางเดินแล้ว โยมประกาศเลย แต่บางคนประกาศไปแล้ว..ปิดประกาศพรุ่งนี้ทันที ประกาศจะปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน วันนี้ประกาศพรุ่งนี้ปิดประกาศเลย นั้นอย่าอวดดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่ามารมันตามรู้ทุกหนทุกแห่ง มารมันรู้ความคิดโยม

    มารจะไม่รู้ความคิดตอนไหนรู้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ตอนภาวนาค่ะ) อ้าว..ภาวนาโยมยังคิดอยู่เหมือนกันนะจ๊ะ จิตเมื่อโยมมีศีลแล้ว อยู่ในห้อมล้อมของศีล มารมันก็ยังเกรงกลัว แต่ถ้าใครไม่มีศีล แม้อยู่ในพุทธาวาส ในสังฆาวาส ในโบสถ์ก็ดี มีองค์พระปฏิมากรศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน เพียงใดก็ตาม..มารก็อยู่ได้ เพราะมารเป็นผู้สร้างโลกนี้ โบสถ์วิหาร..มารสร้างทั้งนั้น สร้างด้วยความอยาก..อยากพ้นทุกข์ สร้างอยากได้บารมี สร้างอยากได้อำนาจ ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นศีลเท่านั้น เมื่อใครเจริญแล้ว..ภาวนาก็ดี สำรวมอินทรีย์ สำรวมกาย วาจา ใจให้มันตั้งมั่นนั่นแหล่ะจ้ะ จิตโยมจะเป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งไม่มีสอง อารมณ์เหล่าใดเข้ามาแทรกก็ไม่ได้ ถ้าอารมณ์ยังเข้ามาแทรกอยู่ ยังคิดอยู่ ยังฟุ้งอยู่..เหล่านี้มารรู้ความคิดหมด.. แสดงว่าศีลโยมไม่แข็งแรง ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นถ้าโยมจะตีฝ่าห้อมล้อมมาร มารมันมีพักมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่) โยมรู้ได้ยังไงมารไม่พัก โยมไม่นอนรึยังไง โยมนอนมารมันก็นอน พอโยมตื่นมาก็หิว หิว หิว หิว อยาก อยาก อยาก อยาก ใช่มั้ยจ๊ะ มารมันนอนตอนนี้

    ทำไมถึงบอกว่ามารมันนอนตอนนี้ อ้าว..ก็องค์พระสัพพัญญูตื่นขึ้นมาจากบรรทม ตื่นมาเจอนางสนม เกิดสลดสังเวชใจ เพราะพอมารมันไม่มีสติมันแสดงสภาวะความเป็นจริงให้เห็น ท่านก็เห็นสภาวะความเป็นจริง ตื่นจากมายา ตื่นจากฝันที่หลับมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เห็นมั้ยจ๊ะ พอละออกจากลูกมารเท่านั้น ออกจากประตูวัง เจอพญามารตัวพ่อทีนี้ พ่อห้าม..อย่าไปเลยลูก อีกไม่นานก็จะเสวยราชบัลลังก์แล้ว สุขทั้งหลายทั้งปวงก็จะมาหาแล้ว เห็นมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อท่านสร้างบารมีมาถึงแล้ว เห็นตามความเป็นจริงว่า..เกิดมาทำอะไร ทีนี้พญามาร เมื่อประกาศว่าจะไปหาทางหลุดพ้น พญามารก็ประกาศเหมือนกันจะขอตามไปทุกที่ที่ท่านไปเช่นเดียวกัน ถ้างั้นอย่ามาอวดดี..ไม่ได้ ประกาศจะปฏิบัติเท่านั้นเท่านี้ อย่ามาประกาศ ให้ตั้งอธิษฐานภายใน..มารไม่รู้

    นั้นถ้าโยมไม่แน่ใจ คนดีถ้าเค้าจริง..เค้าจะไม่พูด แต่เค้าจะกระทำให้เห็น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วเมื่อเรายังออกจากวงล้อมมันไม่ได้ โยมก็ต้องอาศัยมารนี้แลมาเป็นกำแพงป้องกันภัยของเรา ทำตัวให้กลืนกับมัน..แต่ไม่ติดมัน ดังนั้นโยมต้องพิจารณาให้ดี คือต้องฝึกวิชาให้มาก วิชาคือตัวปัญญาตัวรู้ ฝึกใจให้มีฤทธิ์ก่อน ให้มีความกล้าหาญก่อน กล้าจะเผชิญความเป็นจริงว่าทุกข์มันมีอยู่จริง ทนนิดทนหน่อยทนไม่ได้ แล้วโยมจะไปทนอะไรได้ ใช่มั้ยจ๊ะ ทนได้น้อยโยมก็ทนไป ทนเท่าที่โยมทนได้

    การที่โยมทนแล้วมีสติอยู่ในขณะนั้น ไม่เรียกว่าการทรมานสังขาร แต่เอาสังขารมาเป็นการฝึก ถ้าโยมไม่มีกายสังขาร โยมจะเอาจิตที่ไหนไปฝึกอะไรได้ แต่ถ้าโยมฝึกแล้ว แล้วเมื่อโยมดับกายสังขารนี้ไป เหลือแต่จิตดวงเดียว จิตตัวนี้ยังฝึกของมันได้ เพราะมันเคยเรียนรู้มาแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    7AD4BD3E-E912-441C-81CB-0767AFCFC77E.jpeg

    ใครนั่งสมาธิไป..บอกว่ามันทุกข์ไม่เกิดจะทำยังไง ทุกข์ไม่เกิดไม่ต้องทำยังไง ทุกข์ไม่เกิดแล้วมันเกิดอะไร ถ้าไม่เกิดแล้วมันเกิดอะไร ถ้ามันมีความว่างก็ดูความว่างเป็นอารมณ์ไป ถ้ามีความคิดเข้ามาก็พิจารณาเรียกว่าวิตกในความคิดนั้นไป อย่างนี้เค้าเรียกว่าวิตกวิจาร เรียกว่าเป็นปฐมฌาน แต่ยังไม่เข้าถึงฌาน มันยังแค่เฉียดฌาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเรียกว่าขณิกสมาธิ มันยังไม่เข้าถึงฌาน เป็นแค่เฉียด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าเป็นฌานแล้วมันจะละวิตกละวิจารลงไป นั่นเค้าเรียกว่าปฐมฌานเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันต้องละวิตกวิจาร ดังนั้นคำว่าเฉียดฌานมันเป็นธรรมดา เรียกว่าจิตมันตั้งขึ้น..เดี๋ยวก็ล้มอีก เดี๋ยวก็สงบ..เดี๋ยวก็ไม่สงบ เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นก็ต้องมีอุบายให้จิตมีหลักยึด หลักยึดยังไง..เช่นว่าองค์ภาวนาพุทโธกำกับ สัมมาอะระหังก็ดี พุทธังสะระณังคัจฉามิก็ดี หรือกำหนดรู้ที่ลม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้มีสติอยู่ที่ลม อยู่ในกาย..อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นอุบาย เป็นการเจริญสมถะวิปัสสนาก็ดี มันเป็นอุบาย สมถะกรรมฐานก็ดีอย่างนี้

    ดังนั้นแล้วถ้าเรายังวิตกวิจารอยู่..เราก็ทำมันให้อยู่บ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ วิตกวิจารบ่อยๆ ไม่ต้องไปสนใจมัน เขียนก.ไก่ให้มันคล่อง ให้มันคุ้นกับอารมณ์ เมื่อเราต้องการความสงบเดี๋ยวมันก็สงบเอง อย่าไปอยากได้ความสงบ พอนั่ง..นั่งเมื่อไหร่จะสงบ เมื่อเราไปวิตกอย่างนี้แล้วมันจะสงบยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าไปอยากได้อยากดีอะไร

    สมาธิไม่ได้อยากนั่งเพื่อให้ความสงบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ สมาธิไม่ได้บอกว่าให้โยมนั้นนั่งแล้วให้ได้ความสงบ..ไม่ใช่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะไอ้ว่าสมาธินี่มันเป็นสากลของมันอยู่แล้ว เพราะคำว่าสมาธิคืออะไร คือว่าใจตั้งมั่น..ใช่หรือเปล่าจ๊ะ ใจถ้าโยมตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว เช่นว่าโยมเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งมาวิตกวิจารอยู่ในอารมณ์นั้นนั่นแล..นั่นเรียกชื่อว่าสมาธิมันเกิดแล้ว เมื่อสมาธิบังเกิด..ปัญญามันก็บังเกิดในนั้น โยมก็เอาปัญญานั้นละอารมณ์นั้นลงไป จนวิตกวิจารมันหายไป อย่างนี้ฌานมันก็บังเกิดทีนี้

    ไม่ได้บอกว่านั่งเพื่อเอาความสงบ เพราะไอ้ความสงบของโยมมันก็เป็นตัวอยากอยู่ เป็นมิจฉาสมาธิอยู่ ใช่มั้ยจ๊ะ พอเมื่ออารมณ์มันสงบได้ ไม่นานพอมีอารมณ์มากวนจิตมันขุ่นอีก มันก็ฟุ้งซ่านอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วไอ้ความสงบมันก็ไม่เที่ยง ดังนั้นที่เราไปหาสรรหาที่สัปปายะ ที่สันโดษก็ดี ที่วิเวกก็ดี ใต้ต้นไม้ก็ดี เรือนว่างก็ดี เพราะอะไร..เพราะอาศัยที่เราจะฝึกจิต แต่ถ้าจิตโยมมันสงบระงับแล้วจากอกุศลแล้ว มันก็เหมาะกับการบำเพ็ญจิตได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นนั่งไม่ได้นั่งให้โยมสงบ แต่นั่งสมาธิเพื่ออะไร เพื่อให้รู้เท่าทันในอารมณ์ เมื่อโยมรู้เท่าทันในอารมณ์..อารมณ์มันก็ดับของมันเอง นั่นก็หมายถึงว่านิโรธมันก็บังเกิด ถ้าโยมรู้เท่าทันอารมณ์เหมือนเท่าทันความคิด ความคิดห้ามไม่ได้ แต่เมื่อโยมรู้เท่าทันมัน ตัวเท่าทันน่ะคือตัวสติ เมื่อมีสติอยู่ในอารมณ์ที่รู้ โยมว่ามันหยุดรู้มั้ยจ๊ะ มันก็จะไมฟุ้งซ่านปรุงแต่งต่อไปไหนอีก ใช่มั้ยจ๊ะ

    ที่มันปรุงแต่งฟุ้งซ่านเพราะอะไร เพราะสติเราไม่เท่าทัน เพราะเราไม่ได้ฝึก ใช่มั้ยจ๊ะ อาศัยแต่ว่าหลงอยากให้มันสงบ อยากให้มันสงบ ตัวความอยากได้นั่นแลมันเป็นกิเลส ใช่มั้ยจ๊ะ มันจึงหาความสงบไม่ได้ โยมลองไม่อยากได้ความสงบสิจ๊ะ ที่เค้าบอกให้เรานั้นรู้เท่าทันอารมณ์ เช่นว่าเอาพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธังสะระณังคัจฉามิ มากำกับจิต เพื่อให้จิตมีหลักยึด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อนั้นมันจะสงบของมันเอง เพราะจิตนี้มันดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่ตลอดเวลา เหมือนลิงเหมือนค่าง ใช่มั้ยจ๊ะ

    นั้นการที่เรามีสายชนวนมีภาวนากำกับอยู่ พอมันหลุดไปเราก็ดึงกลับมาอีก จิตมันจะส่งออกไปภายนอก..ส่งออกไปได้ทางไหนบ้าง ส่งไปในทางความคิดก็ดี ส่งไปในสัญญาก็ดี สัญญาความจำมั่นหมายในอดีตก็ดี ในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ดี นี่เค้าเรียกว่าออกไปทางความคิด

    ดังนั้นไอ้ความคิดนี้แลทำให้จิตเราไม่สงบ จิตที่เราฟุ้งซ่าน ดังนั้นเราต้องกำหนดรู้ให้มีสติเท่าทันในอารมณ์ในความคิดนั้น เมื่อเรารู้เท่าทันมันอยู่บ่อยๆ จิตมันจะตั้งมั่นของมันเอง คำว่าจิตตั้งมั่นคือจิตที่มันจดจ่อ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตมันยังตั้งมั่นไม่ได้ มันจะไปจดจ่อไม่ได้ เมื่อมันจดจ่อไม่ได้ทีนี้แล้วมันก็จะไปเพ่งไม่ได้ ไปเพ่งอารมณ์ไม่ได้ เมื่อเพ่งอารมณ์ไม่ได้..มันก็จะดิ้น แต่ถ้าเพ่งได้แล้วจิตสติมันตั้งมั่นมันก็จะอยู่อย่างนั้น เมื่ออยู่อย่างนั้นแลมันจะเป็นเอกัคคตา..จิตเป็นอารมณ์เดียว

    อารมณ์เดียวเป็นอะไร..ก็มันมีอารมณ์เดียว อารมณ์เดียวตรงนั้น ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาปนมาแทรก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นต้องฝึกตัวนี้ให้บ่อยๆ ฝึกรู้..รู้คือตัวสติ ตัวเท่าทันนี่แหล่ะจ้ะ เท่าทันในความคิด เท่าทันในกองอกุศลทั้งปวง ทำมันอยู่บ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    คู่ขนาน

    ปัจจัย๔ คู่กับ อริยสัจ๔

    อาหาร ๕ หมู่ คู่กับ ศีล๕
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    F2181423-6FB4-485F-BA58-B77204DE106F.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ หนูมีเรื่องทุกข์ใจอยากจะขอความเมตตาค่ะ คือหลานสาวหนูเค้าไม่สบายค่ะ แล้วหนูก็เลยคิดว่ามีหนทางใดบ้างที่หนูพอจะช่วยหลานหนูให้หายได้บ้าง

    หลวงปู่ : ก็ดูแลไงจ๊ะ หรือว่าโยมอยากจะเป็นโรคแทนเค้า อันนั้นมันทำได้ยาก แต่สิ่งที่ทำได้คือการดูแลเท่าที่โยมจะทำได้ แล้วรู้จักปล่อยวางซะ แล้วก็ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเด็ก แก่ชราเพียงใด..โรคภัยไข้เจ็บนั้นไม่เลือกวัย แม้ความตายก็เช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมคิดว่าโยมเป็นห่วง..โยมก็เจริญบุญกุศล เอาบุญกุศลนี้แลไปรักษาเค้าให้เป็นทิพยมนต์ อย่างน้อยมันก็ช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย นี่ก็เรียกว่าเราได้ช่วยแล้ว นั่นก็หมายถึงว่าที่ฉันจะบอก ให้โยมช่วยเหลือตัวเองให้ได้เสียก่อน ให้มีบุญกุศลบารมีก่อน โยมถึงจะไปช่วยผู้อื่นเค้าได้ เช่นการอธิษฐานจิต

    ถ้าจิตโยมยังไม่เข้าถึงในพระรัตนตรัย ยังไม่มีกำลังมีบารมี แม้ตัวเราเองก็ช่วยตัวเองยังไม่ได้ แล้วถามว่าโยมจะไปช่วยบุคคลอื่นเค้าได้มั้ยจ๊ะ ตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้โยมจะไปช่วยคนอื่นเค้าได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้) เออ..นี่แหล่ะที่ฉันจะบอกโยม นั้นก็ต้องช่วยตัวเองก่อน เอาตัวเองให้รอด

    นั้นทุกคนแล้ว ถึงเวลาก็ต้องเอาตัวเองให้รอด เมื่อเราเอาตัวเองรอดได้ เราก็จะเป็นที่พึ่งพาของคนอื่น เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ ดังนั้นโยมต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อน โยมถึงจะช่วยเหลือผู้อื่นเค้าได้ ถ้าโยมยังไม่เข้มแข็ง ยังมีวิตกจริตอย่างนี้ โยมจะไปช่วยเหลือใครได้

    การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นของธรรมดา ถ้าไม่เจ็บสิจ๊ะก็ถือว่าบุญรักษา ดังนั้นแล้วคนที่เกิดมีเภทภัยเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเกิดจากเวรกรรม แล้วถามว่าเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมันมีวันหายมั้ยจ๊ะ หนึ่งอย่างที่จะหายได้คือหายด้วยโรคด้วยยารักษา อันที่สองเกิดขึ้นเองแล้วหายขึ้นเองหายไปเอง อันที่สามเกิดขึ้นแล้วหายได้ยากเพราะมีเจ้าของ

    คำว่าไข้มีเจ้าของเป็นอย่างไร ก็ต้องให้คนที่เป็นเจ้าของไข้มารักษาถึงจะหาย เหมือนกับที่ว่าโยมมาปฏิบัติธรรม ถ้าโยมไม่ถูกครูบาอาจารย์ ให้อาจารย์คนนั้นเก่งเพียงใดก็สอนโยมไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ เพราะไม่มีวาสนาบารมีต่อกัน ดังนั้นถ้าโยมมีความเมตตาปรารถนาให้เค้านั้นพ้นทุกข์ โยมก็ต้องอธิษฐานบุญกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การที่โยมจะอธิษฐานบุญกุศลได้โยมก็ต้องมีกำลังแห่งจิตปรารถนา ดังนั้นโยมต้องช่วยกู้จิตตัวเองให้ตื่นก่อน ตื่นจากอะไร ตื่นจากความเศร้าหมองหดหู่ก่อน ทำจิตให้เบิกบานก่อน จิตเมื่อโยมเบิกบานแล้ว..หลุดพ้นจากอำนาจเป็นทาสของอารมณ์ได้เมื่อไหร่ บุญกุศลและจิตของโยมจะบริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์แล้วนั่นแลมันเหมือนน้ำทิพย์ชโลม เมื่อนั้นโยมจะได้เห็นถึงปาฏิหาริย์ในบุญกุศลที่โยมได้มาปฏิบัติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเรียกว่ากรรมฐานรักษาโรคได้ก็ว่าได้ จิตเมื่อเราระลึกถึงใคร..กระแสจิตนั่นแลคือกระแสบุญที่เราจะเชื่อมต่อได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    94A16BCC-574E-47F7-A24C-1048F8151309.jpeg

    โยมต้องอธิษฐานบุญเก่าโยม บุญเก่าโยมทำมาอย่างไร เช่นเดียวกับกรรมเก่า..วาสนามันก็ตามส่งผลให้เป็นอย่างนั้น หากว่าโยมอธิษฐานบุญเก่าเมื่อไหร่ ถ้าโยมเชื่อในบุญนั้น นั่นแหล่ะจ้ะมันจะส่งผลให้โยมสามารถ..นั้นเรียกว่าโยมมีความเชื่อศรัทธาในสิ่งที่โยมทำ

    เมื่อโยมเชื่อสิ่งใด..โยมจะทำสิ่งนั้น นั่นเรียกว่าบุญเก่ามันมาหนุน ก็สิ่งไหนที่โยมทำไว้แล้วมันก็ยังอยู่ เพราะว่าภพปัจจุบันมันสามารถกำหนดได้หมด..เพียงโยมระลึก แต่โยมต้องดูว่าบุญที่โยมจะทำนั้นจะเอาไปทำอะไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นจึงต้องมีอธิษฐานจิตถึงบุญบารมี หากว่าบุญบารมีที่โยมทำไว้ในปัจจุบันแล้วที่โยมจะกระทำนั้นมันให้ผล แสดงว่าโยมเคยทำมาเก่า ถ้าโยมอธิษฐานไปแล้วมันไม่เกิดขึ้นจริง แสดงว่าบุญโยมนั้นทำมาไม่พอ ยังไม่ถึงในบารมีนั้น หรือเรียกว่าเวลามันยังไม่ถึง อย่าไปเร่งเวลา จงเร่งสร้างมันขึ้นมาอีก

    แต่เมื่อถึงเวลามันให้ผล ทั่วฟ้าจบดินมันก็ต้านไม่ได้เช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นสิ่งใดที่โยมอธิษฐานแล้วมันยังมาไม่ถึง สังเกตไม่ยากหรอกจ๊ะบุญบารมีถ้าโยมทำถึง..ไม่เกิน ๓ เดือน ไม่เลยกว่า ๑ ปี ช้าสุดไม่เกิน ๓ ปี เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่โยมต้องทำกรรมในปัจจุบันในการสร้างความดีต่อเนื่อง เช่นสาธยายมนต์อยู่เป็นนิตย์ ปาฏิหาริย์จะบังเกิด แล้วไม่ต้องร้องขอ เพราะสิ่งที่โยมสาธยายมนต์ไปนั้น จิตโยมนั้นมันบอกอยู่แล้วว่าโยมต้องการอะไร

    เพราะการที่ร้องขอมันไม่ต่างอะไรกับไปอ้อนวอน ดังนั้นการสาธยายมนต์ไปนั้นยังไม่บริสุทธิ์ พุทธคุณยังเป็นมลทิน เพราะเรานั้นจะทำอะไรเรามีความปรารถนาแล้วเราจึงทำ แสดงว่าความปรารถนานั้นมันถูกฝังลงไปแล้วในสัญญา ในความจำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมันเป็นกรรมแล้วที่โยมกระทำลงไป เพราะโยมกระทำลงไปจริง มันจึงเกิดการกระทำขึ้นมา เรียกว่ามีเหตุขึ้นมาแล้วโยมจึงไปทำให้เกิดผล

    แต่ว่าโยมไปทำแล้วผลมันไม่ยังไม่เกิดเพราะเหตุอะไรเล่าจ๊ะ..ไปดูที่เหตุโยมทำเหตุมากแค่ไหน เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่แหล่ะจ้ะ โยมไปปลูกต้นเหตุมากแค่ไหน ดูแลเหตุมันมากแค่ไหน ถ้าโยมทำครั้งเดียวผลเกิดเลยมั้ยจ๊ะ โยมไปลักขโมยของเขาครั้งแรกเขายังจับไม่ได้นะจ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ กรรมชั่วก็เช่นกัน ใช่มั้ยจ๊ะ มันอยู่ที่การสะสม พอมันถึงเวลาแล้วทุกอย่างเทพเทวดาอะไรก็ปิดไม่ได้...

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...