บารมี อจละวิทยราช

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 21 ธันวาคม 2019.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อจละ (สันสกฤต: अचल; อ่านว่า /อะ-จะ-ละ/, อักษรจีน: 不動明王; Bùdòng Míngwáng, ญี่ปุ่น: 不動明王 โรมาจิ: Fudō myō-ō ทับศัพท์: ฟุโดเมียวโอ) เป็นวิทยราชองค์หนึ่งในศาสนาพุทธฝ่ายวัชรยาน หรือนิกายชินงนของศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ของผู้ทำลายสิ่งลวงตาและปกป้องพุทธศาสนา รูปลักษณ์ของอจละแสดงถึงการอยู่นิ่ง การไม่เคลื่อนที่ ในขณะที่เกิดอารมณ์โกรธ ช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของการควบคุมตนเอง ตามนัยของคำว่า "อจละ" ในภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่า "ไม่เคลื่อนไหว" ถือเป็นเทพเจ้าที่ทำงานให้กับพระไวโรจนพุทธะ

    อจละนับเป็นวิทยราชซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางที่สุดในบรรดาวิทยราชทั้งห้าผู้สถิตในครรภโกษธาตุ นามอื่นๆ ของอจละในภาษาสันสกฤตได้แก่ "อจลวิทยราช", "อจลนาถ", "อารยาจลนาถ" และ "จัณฑมหาโรศนะ"

    รูปลักษณ์ของอจละในภาพวาดหรือตามรูปปั้น มีลักษณะเป็นรูปบุคคลถือดาบซึ่งมีปลายด้ามเป็นรูปวัชระในมือขวา ใช้การในปราบสิ่งชั่วร้าย มือซ้ายถือเชือกเพื่อการจับมัดสิ่งชั่วร้าย ด้านหลังล้อมรอบด้วยเปลวไฟเป็นประภามณฑล และมักปรากฏในท่ายืนหรือนั่งบนหินแสดงถึงการไม่เคลื่อนไหว ทรงผมมัดเป็นเปียอยู่เจ็ดปมและปลายผมวางบนไหล่ซ้าย เป็นสัญลักษณ์ของผู้รับใช้พระพุทธเจ้า ที่มุมปากมีเขี้ยวสองข้าง ด้านหนึ่งชี้ลงแสดงถึงการปฏิบัติตัวบนโลก และข้างหนึ่งชี้ขึ้นแสดงถึงการค้นหาความจริง

    FB_IMG_1576676654086.jpg
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    กระทู้นี้เป็นกระทู้ เสี่ยงตาย !

    ก็ด้วยอาศัยบารมีของอานุภาพยักษ์ จึงทำให้สามารถสร้างความหวาดกลัว เกลียดชัง เคียดแค้น และอีกสารพัดให้แก่บุคคลผู้หลงไม่รู้จริง

    แม้จะได้ยินเพียงชื่อ เห็นเพียงรูป ก็รู้สึกได้ไปทั่วสารทิศ

    ในสถานการณ์ความมั่นคงของบ้านเมืองในตอนนี้ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แน่นอนกระผมได้ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ ตามกรรมจัดสรร

    แต่อีกไม่กี่เวลานี้ความจริงจะเปิดเผยขึ้นมา จึงอยากให้ท่านสหธรรมิกทั้งหลายที่เป็นมิตรและมิใช่มิตรก็ดี ได้พิจารณาดูไว้เป็นตัวอย่างสอนใจและให้ประหลาดใจ

    ทุกๆอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    "ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลง"


    ติดตามชะตากรรมก่อนละสังขารได้ที่

    https://www.facebook.com/profile.php?id=100028436108943
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    IMG_20191221_073013.jpg
    "เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน"
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    FB_IMG_1573809946316.jpg
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เรื่องราวเกิดขึ้นจาก"นิรุตติญานทัสสนะ การดักใจสัตว์โลก" (ใครที่เคยอ่านบทสนทนาธรรมสากัจฉา ในกระทู้ พร่องศีลช่วงท้ายๆ "เรื่องไม่รู้และไม่อยากเห็นจักรวาล แต่บอกว่า เราออกนอกจักรวาล )
    แต่ตอนนี้พัฒนาขึ้นนิดหน่อย แค่รู้ว่า "มันจะเอาคำพูดเราไปทำอะไร ถ้ามันคิดไม่ดีไม่ซื่อ ย่อมคืนหอกปักอก"

    ที่คิดร้ายคิดไม่ดีต่อเจ้าหน้าที่ จึงนำไปสร้างเฟคนิวส์หลอกลวงประชาชน ให้หลงคิดว่า เป็นมือสังหารผู้บริสุทธิ์

    เรื่องคดีความตามกฎหมาย กำลังดำเนินการ

    แต่ก็ถือเป็นการประกาศตัวตนที่ดี

    ติดตามกันให้ดีๆจากเคสนี้ จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจต่อไปนะครับว่า ใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้พฤติกรรมของกลุ่มร่วมขบวนการ ที่จ้องดิสเครดิตเจ้าหน้าที่รัฐ ที่คอยขู่ฆ่าทำร้ายบุคคลผู้บริสุทธิ์ นั้นมีจำนวนมากมายขนาดไหน ซึ่งบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ได้ใช้พ่อแม่พี่น้องประชาชน เป็นเครื่องมือในการปลุกระดม ให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่ โดยการสร้างหลักฐานเท็จ ใส่ความหมิ่นประมาทบุคคลหนึ่งบุคคลใด ว่าไปก่อเหตุทำร้ายฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทั้งที่ไม่มีความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย หลักฐาน พยาน อะไรก็ไม่มี ไม่ทันไรก็หลงเชื่อเขาแล้ว ว่าผู้หนึ่งผู้ใดนั้นได้กระทำความผิด นั่นล่ะ! ความชอบธรรม ความถูกต้องก็จึงหมดไป บ่งบอกถึงสติปัญญาความเขลา การเรียนรู้ที่อ่อนประสบการณ์ในการพินิจพิจารณาวิเคราะห์ วินิจฉัย จึงเป็นได้แค่ พวกมากลากไป เขาหลอกแห่ไปตายที่ไหนก็ไป ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ที่เป็นอยู่จึงถูกชักจูงให้ไปกระทำผิดกฎหมายบ้านอาญาเมืองอยู่บ่อยครั้ง จนเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่จบไม่สิ้น ในพื้นที่ 3จชต. โดยไม่แยกแยะผิดชอบดีชั่ว สิ่งใดที่ทางบ้านทางเมืองเขาห้ามปฎิบัติ ก็มักจะฝ่าฝืนจนเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงแก่ ชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนความสุขสงบของบ้านเมืองอยู่บ่อยครั้ง

    #เมื่อความจริงปรากฎ ความเท็จย่อมต้องมลายไป


    DZY4tLJVMAA9fvx.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2019
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ข้อความข่าวจากเพจ haggai:15

    จากกรณีของเจ้าหน้าที่ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ยิงประชาชนเสียชีวิต จำนวน 3 ศพ บนเขาตะเวระหว่างบ้านอาแน กับบ้านโต๊ะอีแต ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มทำไม้เถื่อนแปรรูปเพื่อการค้า “ฝ่าฝืนคำสั่งของทางราชการ ซึ่งได้ติดประกาศห้ามประชาชนขึ้นภูเขา” ตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในสังคมโซเชียล คือกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ จอมภพ เจริญเบญจฤทธา กล่าวกันว่า เป็นผู้นำหน่วยทหารในวันนั้น และเป็นผู้ลั่นไกสังหารประชาชนอย่างเลือดเย็น ...เขาเป็นฆาตกรตัวจริงหรือแค่แพะรับบาปที่สังคมต้องการให้มีผู้ชดใช้กันแน่????...
    กลายเป็นกระแสไวรัลในสื่อสังคมออนไลน์ชั่วข้ามคืน ก่อนเจ้าตัวจะปิดเฟสไป...
    ล่าสุดจอมภพออกมาแสดงความบริสุทธิ์ “ไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหาร” ด้วยเหตุผลที่ตนเองอยู่ระหว่างปฏิบัติราชการในพื้นที่ กทม. โดยการทยอยโพสต์หลักฐาน เช่น ตั๋วรถไฟ หัวกระดาษแสดงสถานที่ฝึกอบรม หลักฐานเหล่านี้ชี้ชัดว่าตัวเขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ จชต. ในขณะที่เกิดเหตุจริง
    และหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนหมดข้อกังขา คือ ใบแจ้งความ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อเอาผิดบรรดาเกรียนคีย์บอร์ดและพวกโหนกระแสอย่างเด่นอยากดัง หวังจะแจ้งเกิดเป็นเน็ตไอดอลจากความคึกคะนองแบบผิดๆของจอมภพ และถือโอกาสดิสเครดิตกองทัพไปในตัว
    แต่จะมีใครบ้างเป็นผู้โชคดีจาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในครั้งนี้ บทเรียนราคาแพงของพวกลิงทโมนมือลั่นทั้งหลาย ก็ต้องคอยติดตามมหากาพย์กันต่อไป...
    #haggai15 #ชัยบดี #จอมภพ

    1577097544513.jpg
     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    To be coming soon. ...
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    รอยอดีตที่ไม่มีใครอยากให้เกิดในยุคปัจจุบัน

    กบฏมากัสซาร์(มักกะสัน) จลาจลนองเลือด อยุธยา
    ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในมหานครนานาชาติ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุด ของเอเชียอาคเนย์ ทำให้มีชนชาติต่างๆ เข้ามาพำนักอาศัยเป็นอันมาก ทว่าการมีชนต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
    แต่เดิม เมื่อต้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ กลุ่มชนต่างชาติที่มีอำนาจทางการเมืองสูงสุด คือ ชาวเปอร์เซียซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทว่าเมื่อ ชายชาวกรีก นาม คอนสตันนิโนส เจอราคีส หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน เข้ามารับราชการและกลายเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ อำนาจของมุสลิมในสยามก็เริ่มเสื่อมถอย โดยเฉพาะ หลังจากฟอลคอน ได้เป็นออกญาวิชเยนทร์แล้ว ตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการค้าและการดูแลเมืองท่า ก็ถูกเปลี่ยนจากชาวมุสลิมมาอยู่ในมือชาวยุโรป

    การสูญเสียอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้ขุนนางมุสลิมจำนวนมากไม่พอใจออกญาวิชาเยนทร์ขณะที่บางกลุ่มนั้น ถึงกับขัดเคืองในองค์สมเด็จพระนารายณ์ที่ไม่ทรงโปรดปรานพวกตนเช่นดังก่อน จึงทำให้ขุนนางกลุ่มหนึ่งวางแผนโค่นบัลลังก์ โดยยืมมือนักรบชาวมากัสซาร์ หรือที่เรียกตามสำเนียงอยุธยาพื้นว่า มักกะสัน ให้เป็นผู้ก่อการ

    แต่เดิม ชาวมากัสซาร์ เป็นพวกมุสลิมบนเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซีย เป็นชนชาติที่ดุร้ายและเชี่ยวชาญในการรบ ต่อมา ถูกชาวฮอลันดาเข้ารุกรานจนต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม พวกมากัสซาร์กลุ่มหนึ่งนำโดยหัวหน้าชื่อ เจ้าดาย ได้เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์จึงโปรดให้พวกนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวคลองตะเคียน นอกกำแพงพระนคร

    ตามบันทึกของชาวต่างชาติในสมัยนั้น กล่าวไว้ว่า พวกมากัสซาร์มีความแข็งแกร่งและทรหดกว่าชนชาติอื่นๆ ทั้งยังมีนิสัยดุร้าย เหี้ยมโหด โดยพวกนี้มีธรรมเนียมชนิดหนึ่งชื่อ ลาม็อก ซึ่งหมายถึง ทำการในยามที่จนตรอกอย่างที่สุด โดยเมื่อเข้าลาม็อกแล้ว พวกมากัสซาร์จะสู้อย่างบ้าเลือดและจะสังหารทุกชีวิตที่พวกเขาพบเห็นไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กหรือ คนชรา โดยพวกนี้เชื่อว่า ยิ่งสังหารคนได้มากเท่าใด วิญญาณของผู้ที่ถูกสังหารเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นทาสของพวกเขาบนสรวงสวรรค์

    การก่อกบฎครั้งนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1686 (พ.ศ. 2229) โดยกลุ่มขุนนางมุสลิมที่วางแผนก่อการ ได้ส่งคนไปติดต่อกับรองหัวหน้าพวกมากัสซาร์ให้ยุยงพรรคพวกให้กระด้างกระเดื่อง โดยทำเป็นบอกว่า ตนเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าแสดงสัญลักษณ์วิปริต เป็นนิมิตหมายว่า อาจเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อชาวมุสลิมทั้งปวงแลอาจเกิดเหตุร้ายต่อชาวมุสลิมทั้งหลายในสยาม ซึ่งที่รองหัวหน้าผู้นี้กล่าวดังนี้ ก็เพื่อทาบทามหาผู้ร่วมก่อการและก็สามารถระดมคนได้ดังตั้งใจ ทั้งหมดจึงตกลงนัดหมายวัน ที่จะบุกเข้าพระบรมมหาราชวังและปลงพระชนม์สมเด็จพระนารายณ์ จากนั้นก็จะยกเจ้าฟ้าอภัยทศ พระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์โดยบังคับให้นับถือศาสนาอิสลามและเปลี่ยนให้สยามเป็นรัฐอิสลาม

    ทว่าก่อนเวลาลงมือไม่นาน ได้มีขุนนางผู้หนึ่งในกลุ่มก่อการ คิดกลับใจนำความไปแจ้งออกญาวิชเยนทร์ จึงได้มีการจับกุมพวกขุนนางที่เป็นต้นคิด และได้เตรียมกำลังพลเพื่อพร้อมรับมือพวกมากัสซาร์

    ซึ่งเมื่อพวกมากัสซาร์รู้ว่าแผนก่อกบฎล้มเหลว จึงเกิดคร้ามเกรงและขอเจรจา โดยยื่นเงื่อนไขว่า รองหัวหน้ามากัสซาร์กับนักรบ 50 คนจะอพยพออกไปจากสยาม ขอเพียงเจ้าพระยาวิชเยนทร์จะไม่เอาโทษพวกญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในสยาม

    ออกญาวิชาเยนทร์ตอบตกลง พวกมากัสซาร์จึงลงเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นออกจากพระนคร ทว่าเมื่อเรือไปถึงป้อมที่เมืองบางกอก กลับพบว่าโซ่ที่ขึงขวางกั้นแม่น้ำนั้นยังไม่ได้ถูกนำออกไป เนื่องจาก ออกญาวิชาเยนทร์ได้ลอบสั่งการให้ ออกพระศักดิสงคราม หรือ เชอวาลิเอร์ เดอ ฟอร์แบง นายทหารชาวฝรั่งเศส จับกุมกบฏเหล่านั้นทั้งหมด

    เมื่อเห็นว่า ตนถูกหักหลัง พวกมากัสซาร์จึงชักกริชสู้กับกองทหารของฟอร์แบงอย่างบ้าเลือด ชาวมากัสซาร์ 20 คนถูกสังหารที่ป้อม ขณะที่ฝ่ายอยุธยาก็เสียทหารไปเกือบ 100 นาย ส่วนพวกที่เหลือได้หนีขึ้นฝั่งและไล่ฆ่าชาวบ้านทุกคนที่พบเห็นไม่เว้นพระภิกษุ เด็ก และสตรี บันทึกของชาวต่างชาติ เล่าว่า พวกมากัสซาร์บุกเข้าไปในวัดแห่งหนึ่งและฆ่าพระตายทั้งวัด จนเลือดนองทัั่วลานวัด
    ทางด้านฟอร์แบง หลังจากที่รวบรวมทหารที่เสียขวัญเข้าเป็นหมวดเป็นกองได้แล้ว ก็นำทหารออกไล่ล่าพวกมากัสซาร์ ซึ่งกว่าที่ กองทหารของฟอร์แบงจะจัดการกับพวกกบฏได้ทั้งหมด ก็มีชาวบ้านที่เมืองบางกอกถูกฆ่าตายไปเกือบ 400 คน

    แต่มีกบฏบางคนสามารถหนีกลับมาถึงอยุธยาได้และแจ้งกับพรรคพวกที่หมู่บ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พวกมากัสซาร์จึงระดมนักรบหลายร้อยเตรียมโต้ตอบ ทว่าเวลานั้นออกญาวิชาเยนทร์ได้ระดมทหาร 7,000 นาย พร้อมเรือ 200 ลำ และนายทหารชาวยุโรปอีก 60 นาย ยกมาโจมตีหมู่บ้าน

    บันทึกบาทหลวงฝรั่งเศสที่อยู่ในกรุงศรีอยุธยา เวลานั้น เล่าว่า เมื่อออกญาวิชเยนทร์นำกองหน้าของทหารหลวงขึ้นฝั่ง กัปตัน ยูดัล ชาวอังกฤษได้ขว้างระเบิดใส่หมู่บ้านมากัสซาร์เพื่อข่มขวัญ ทว่าอีกฝ่ายกลับกรูกันออกมาพร้อมหอกและกริชอย่างดุร้ายและเข้าโจมตีกองทหารหลวงที่เริ่มเสียขวัญเมื่อเห็นความดุร้ายของพวกมากัสซาร์ จากนั้น หลังปะทะกันไม่นาน พวกทหารก็แตกหนีลงเรือ บ้างก็โดดหนีลงน้ำ ส่วนกัปตันยูดัลปักหลักสู้ จนถูกพวกมากัสซาร์รุมแทงด้วยกริชจนตาย ขณะที่กัปตันโคทส์ นายเรืออังกฤษ คนสนิทของออกญาวิชเยนทร์หลัดตกเรือจมน้ำตายเพราะใส่เกราะ

    ออกญาวิชเยนทร์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นพวกมากัสซาร์บุกมา เเต่เคราะห์ดีที่ทหารคนสนิทจับโยนลงน้ำ จึงรอดตาย ทว่าพวกมากัสซาร์ก็ยังว่ายน้ำคาบหอกตามมา พวกทหารบนเรือเอาปืนยิงพวกนักรบที่ว่ายน้ำตามฆ่าออกญาวิชเยนทร์ ส่วนตัวออกญานั้นหมดแรงปีนขึ้นเรือไม่ไหว ได้แต่เกาะท้ายเรือแล้วให้พวกทหารเร่งพาหนีกลับค่าย

    หลังการโจมตีครั้งแรกล้มเหลว ฝ่ายอยุธยาจึงวางแผนใหม่ โดยส่งคนไปลอบวางขวากบนทางที่พวกมากัสซาร์จะออกจากหมู่บ้าน จากนั้นใช้กองเรือเข้าไปริมฝั่งใกล้หมู่บ้านตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง แล้วใช้ธนูเพลิงระดมยิงพร้อมกับขว้างลูกแตกเข้าไป จนเกิดไฟไหม้ทั่วหมู่บ้าน เมื่อพวกนักรบกรูกันออกมา ก็เหยียบขวาก ได้รับบาดเจ็บเป็นอันมาก จากนั้น ฝ่ายอยุธยาก็ยกพลเข้าล้อมหมู่บ้านและเข้าโจมตี
    การรบดำเนินไปอย่างดุเดือด ไพร่พลทั้งฝ่ายล้มตายหลายร้อยนาย เจ้าดายผู้นำพวกมากัสซาร์ถูกยิงตายระหว่างการรบ ส่วนพวกผู้หญิง เด็ก คนแก่ในหมู่บ้านถูกไฟคลอกตายเกือบหมด
    จากบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสเล่าว่า อยุธยาต้องสูญเสียไพร่พลไปเกือบ 1,000 นาย กว่าจะทำลายหมู่บ้าน มากัสซาร์ ได้

    เมื่อเหตุการณ์จบลง ราชสำนักได้นำนักรบมากัสซาร์ที่ถูกจับได้ มาลงโทษประหาร ด้วยการให้เสือกิน ซึ่งบาทหลวงฝรั่งเศสชื่อเดอเบสต์ ที่มาดูการประหารได้บันทึกว่า ชาวสยามนำพวกมากัสซาร์มาขึงพืดบนลานดินแล้วปล่อยเสือโคร่งหลายตัวที่ล่ามเอาไว้ออกมา โดยค่อยๆผ่อนโซ่ทีละน้อย ให้เสือเริ่มแทะกินเท้าและมือก่อน จากนั้นจึงให้ฉีกกินสะโพก หน้าท้องทั้งเป็นจนขาดใจตาย

    เหตุการณ์กบฏมากัสซาร์ หรือ กบฏมักกะสัน ทำให้ราชสำนักอยุธยาไม่ไว้วางใจกลุ่มขุนนางชาวมุสลิมอีกต่อไปทำให้อำนาจของเหล่าขุนนางมุสลิมในสยามที่เคยเฟื่องฟูมาแต่ครั้งต้นรัชกาล ต้องปิดฉากลง
    ส่วนออกญาวิชเยนทร์ที่เป็นผู้นำในการปราบกบฏครั้งนี้ ก็ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดโดยได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์ รั้งตำแหน่งสมุหนายก

    FB_IMG_1577118379117.jpg
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    "Timeline จับไต๋วิวาทะจอมภพ / ชัยบดี"
    - วันที่ 22 พ.ย.62 ทหารพรานแขนป้านเตือนห้ามขึ้นเขา
    - วันที่ 16 ธ.ค.62,10.00 เกิดเหตุการณ์
    - วันที่ 16 ธ.ค.62,22.04 จอมภพโพสข้อความที่เป็นประเด็น
    - วันที่ 17 ธ.ค.62,14.36 ชัยบดีโพสถึงจอมภพเป็นโพสแรก

    - วันที่ 17 ธ.ค.62,17.13 ชัยบดีอัดคลิปโจมตีจอมภพเป็นครั้งแรก

    - วันที่ 17 ธ.ค.62 21.09 จอมภพโพสหลักฐานแสดงว่าตนอยู่กรุงเทพเช่นหัวกระดาษ ตั๋วรถไฟ ฯลฯ ตีตกข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุยิง 3 ศพบนเขาตะเว
    - วันที่ 17 ธ.ค.62 21.30 จอมภพโพสหลักฐานใบแจ้งความกับ สน.ทุ่งสองห้อง
    - วันที่ 18 ธ.ค.62 ชัยบดีเข้าพูดคุยกับจอมภพ ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กรุงเทพ ฯ

    ไทม์ไลน์คร่าวๆ แบบนี้คงพอทำให้คนที่ไม่ตามข่าวเข้าใจได้พอสังเขปนะเว้ย เรื่องราวจะเป็นไงต่อไปกุก็รอติดตามพร้อมพวกมึงเนี่ยแหละ
    #จอมภพ #ชัยบดี #phatea

    FB_IMG_1577166651233.jpg



    ขอขอบคุณท่านสหธรรมกัลยาณมิตรยอดนักสืบ ผู้คอยตามแก้ไขปริศนาที่ผมไม่ทราบเลยว่าเป็นใคร? ที่มาคอยแก้ต่างให้ตามหลักฐานที่ปรากฎอยู่ให้กัน ไม่รู้ว่าเคยทำบุญร่วมกันแต่ใดมา อันผู้เคยมีพระคุณคนรักคนชังทั้งหลาย ที่เคยร่วมบุญร่วมกรรมสร้างกันมา ชาตินี้ถ้ามีโอกาสตอบแทน ข้าพเจ้าขอตอบแทน หากชาตินี้ไม่มีก็ขอตอบแทนในชาติหน้า

    สาธุธรรม โจทนาสูตร ฯ

    ขออนุโมทนาฯ

    FB_IMG_1577166651233.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2019
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ยาวหน่อยนะครับ

    เรื่องกบฏแขกมักกะสัน (Makassar)
    เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นำโดยเจ้าดาย ซึ่งถิ่นเดิมอยู่แถวเกาะซีเลเบส(Celebes) หรือซูราเวซี (Sulawesi)เข้ามาพึ่งพระบารมีสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาจจะถูกยุแยงหรือมักใหญ่ใฝ่สูง วางแผนจะจับตัวพระนารายณ์แต่ข่าวรั่วเลยถูกปราบปราม และอนุญาตให้กลับถิ่นเดิมแถวอินโดนีเซีย แต่เจ้าพระยาวิชเยนทร์หวังจะยืมมือแขกมักกะสันฆ่าฟอร์บัง จึงสั่งให้ฟอร์บังจับเพราะรู้ว่าแขกมักกะสันจะสู้จนตาย ฟอร์บังไม่น่าจะรอด
    ———-//////———-///////—-/——-///
    ส่วนเชวาลิเออร์ เดอ ฟอร์บัง
    ผู้เขียนบันทึกเรื่องการต่อสู้กับแขกมักกะสันเรื่องนี้เป็นผู้หนึ่งในคณะทูตฝรั่งเศสซึ่งสมเด็จพระเจ้าหลุยส์มหาราชทรงแต่งตั้งเข้ามาเจริญทางพระราช ไมตรียังสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในพระนครศรีอยุธยาเมื่อคราว แรกในพ.ศ. 2227 คณะนั้นเชวาลิเอร์เดอโชมองต์เป็นราชทูต ฟอร์บังเปนนายเรือโท เป็นข้าราชการวัยหนุ่มและเป็นผู้มีสกุล ขุนนาง นัยว่าเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องว่องไวแต่โทโสร้ายปากร้าย เมื่อท่านราชทูตจะกลับออกไปสมเด็จพระนารายน์ตรัสขอฟอร์บังไว้รับราชการ แล้วทรงตั้งให้เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ต่อมาเกิดผิดใจกัน กับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ๆ อ้างว่าทำการนอกเหนือคำสั่ง ฝ่ายฟอร์บัง ก็ทนงตัวไม่ยอมอ่อนน้อม วิชเยนทร์ให้ไปรักษาบางกอกไว้แต่เมื่อ เกิดกบฎแขกมักกะสันในราชธานี เจ้าหน้าที่ปราบปรามได้แล้วแขกหนี ล่องเรือลงไป วิชเยนทร์ให้ฟอร์บังจับไว้โดยละม่อมแต่กลับเกิดต่อสู้ กันเป็นโกลาหล เป็นเหตุให้ฟอร์บังถูกตำหนิอย่างแรงอีก คราวนี้ ฟอร์บังขอลาออกจากราชการ วิชเยนทร์เลยสั่งไห้ออกไปไห้พ้นภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ฉะนั้นจดหมายเหตุนี้จึ่งเขียนด้วยความเคียดแค้น ถ้าอ่านจดหมายเหตุนี้ด้วยวิจารณญานและโดยรู้พื้นเรื่องฉะนี้แล้วก็น่า จะเป็นประโยชน์ไม่น้อย
    จาก คำนำของเจ้าภาพผู้จัดพิมพ์หนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่๘๐
    เจ้าภาพพิมพ์แจก ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ
    พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทวะวงศวโรทัย
    ณ พระเมรุวัดเทพสิรินทราวาส
    วันที่ ๗ เมษายน ๒๔๘๖
    บันทึกของฟอร์บังเล่าถึงตอนแขกมักกะสันขอผ่านป้อมบางกอก แต่เขาได้รับคำสั่งจากวิชาเยนทร์ให้จับแขกมักกะสัน ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราวปีพ.ศ2231
    “เราว่าเมื่อพวกแขกมักกะสันผ่านตำบลที่เราจัดทหารซุ่มไว้ ไห้ตรง เข้าล้อมปลดอาวุธ และจับตัวไว้จนกว่าจะมีคำสั่งมาใหม่ นายทหารโปรตุเกสผู้นั้นตกใจที่ได้ยินฉันพูดดังนั้น จึงตอบว่า ขอรับประทานโทษ ที่ท่านสั่งเช่นนั้น ไม่มีไครจะปฏิบัติตามได้ ท่านไม่รู้จักแขกมักกะสันเหมือนตัวฉันรู้จักมัน ฉันเกิดมาในบุรพทิศประเทศ รู้จักมันดี ขอให้เชื่อถ้อยคำฉันเถิด คนเหล่านี้หายอมแพ้ ง่าย ๆ ไม่ ต้องฆ่ามันเสียก่อนจึงจะจับตัวมันได้ ฉันขอเรียนให้ทราบ ด้วยว่า ถ้าท่านทำท่าทางที่จะจับต้นหนที่อยู่ไนปะรำนั้นเขาและคนของ เขาจะฆ่าพวกเราไม่ไห้มีเหลืออยู่สักคนเดียว
    ฉันไม่ได้ตริตรองคำเตือนของนายทหารโปรตุเกสผู้นั้นตามควรแก่กาล ขืนที่จะทำตามแผนการที่ฉันได้ดำริไว้ นึกเสียว่าคงจะไม่ ยากลำบากอะไรเลย จึงสั่งซ้ำไปว่าให้ไปบอกทหารตามคำสั่งของฉัน ฉันเชื่อว่าก่อนที่แขกมักกะสันจะถูกฆ่าตาย มันควรจะต้องทวนคิดเสีย หลายหนแล้ว นายทหารโปรตุเกสผู้นั้นเดินไป สีหน้าเศร้าหมอง พูด ว่า " ขอให้ท่านระมัดระวังตัวให้มาก มันคงฆ่าท่านเป็นแน่ เชื่อฉัน เถิด ฉันเตือนโดยความหวังดีแท้ ๆ " คราวนี้ฉันทำตามคำเตือนของนายทหารผู้นั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่งอย่างใด ฉันเลือกทหารไทยได้ยี่สิบคน สั่งให้ ตามฉันมาทางด้านที่จะเข้าไปไนหอรบ ให้ถือหอกเป็นอาวุธสิบคน และอีกสิบคนถืออาวุธปืน ฉันได้รูดม่านที่กั้นปะรำอยู่นั้นแล้ว เดินเข้า ไปสั่งให้ขุนนางไทยผู้หนึ่งไปบอกต้นหนแขกมักกะสันว่าฉันมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคำสั่งให้จับตัวเขา แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าฉันจะ เลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดีตลอดเวลาถูกคุมขัง ขุนนางไทยอันน่าสมเพชผู้นั้น ซึ่งเปนล่ามของฉัน ได้ปฏิบัติ ตามคำสั่งของฉัน พออ้าปากพูดคำแรก แขกมักกะสันหกคนนั้น โยนหมวกลงที่พื้น ชักกริชออกจากฝัก กะโจนเข้ามาดุจมัจจุราชแทง และฆ่าล่ามกับขุนนางไทยอีกหกคนซึ่งอยู่ไนปะรำนั้น ฉันถอยออกมาสมทบทหารไทยที่มีอาวุธอยู่ในมือ ฉันฉวยหอกได้เล่มหนึ่งแล้ว สั่งให้ทหารยกปืนขึ้นยิงกราดไป แขกมักกะสันคนหนึ่งวิ่งตรงมาจะทำร้ายฉัน ฉันเอาหอกแทงท้องของมัน มันหารู้สึกเจ็บไม่ ดันเข้ามาทั้งปลายหอกทิ่มติดอยู่ไนตัว เช่นนั้น มันพยายามโดยสุดกำลังที่จะเข้ามาแทงฉันไห้จนได้ มันคง แทงฉันตายเปนแน่ ถ้าทหารไทยคนหนึ่งไม่ป้องกันไว้ได้ ฉันได้ แต่ถอยหลังไปและเอาหอกทิ่มท้องกันมันไว้ ไม่กล้าที่จะถอนหอก ออกมาแทงมันอีก ไนที่สุดทหารหอกคนอื่น ๆ ได้มาช่วยกัน และ ฆ่าแขกมักกะสันคนนั้น
    ในจำพวกแขกมักกะสันบ้าหกคนนั้น เราฆ่าเสียสี่คน อีกสองคนถึงแม้ว่าบาดเจ็บมากได้กะโดดลงจากป้อมหนีไปได้ ความกล้าหาญ หรือจะเรียกว่าความบ้าของแขกมักกะสันหกคนนั้นพิสูจน์ได้เห็นว่า คำพูดของนายทหารโปรตุเกสมีมูลความจิง มันไม่ยอมให้จับเป็น ได้ง่าย ๆ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ฉันหวาดหวั่นว่าพวกแขกมักกะสันอีก 47 คนที่ขึ้นบกมาแล้วนั้น จะอาละวาด
    อย่างไรอีก เมื่อมีความวิตก
    เช่นนั้นฉันเปลี่ยนคำสั่งที่ไห้จับเป็น ตกลงให้ฆ่ามันเสียทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีทางอื่นใดที่จะดีกว่านั้น คิดเช่นนั้นแล้วฉันสั่งไห้ไปตามทหารและตัวเองก็ไปตามด้วย มาสมทบรวบรวมเป็นกองขึ้น
    ในขณะนั้นแขกมักกะสันที่ขึ้นมาบนบกแล้ว เดินตรงมายังป้อมปราการ ฉันสั่งให้นายทหารชาติอังกฤษผู้หนึ่งเป็นชั้นนายร้อยเอก ซึ่งวิชเยนทร์ตั้งให้เป็นผู้บังคับการกองทหารโปรตุเกส 40 คน ให้ไป กั้นทาง อย่ายอมให้แขกมักกะสันเดินมา ถ้ามันขืนเดินมาได้เอาปืนยิง ฉันจะรีบนำทหารที่ระดมได้เท่าไรตามไปช่วยในเวลาไม่ช้า เมื่อนายทหารอังกฤษได้ห้ามแขกมักกะสันไม่ให้เดินต่อมา มันก็หยุด อยู่นิ่ง ๆ ในขณะนั้นฉันนำทหารเดินไปเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหอก และปืนเป็นอาวุธครบมือ แต่จะไว้วางใจทหารพวกนี้นักก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นทหารที่เกณฑ์มาใหม่ ๆ และยังไม่เคยชินกันกับการ สงคราม เราหยุดอยู่ห่างจากพวกแขกมักกะสันประมานหนึ่งเส้น ต่างฝ่ายต่างเจรจาซักถามความประสงค์ซึ่งกันและกัน ฉันสั่งให้บอกมันว่า ถ้าอยากจะกลับไปลงเรือสำเภา ก็กลับไปได้ ฉันคิดไว้ว่า ถ้ามัน ยอมกลับไปลงเรือแล้ว เราจะยิงเสียให้ตายทุกคนก็ได้ง่าย เพราะ ว่ามันไม่มีที่กำบัง และไม่มีอาวุธปืนสักกะบอกเดียว มันตอบว่ามัน ยินดีจะกลับไปบนเรือ แต่ก่อนอื่นขอให้ส่งตัวต้นหนเรือของมันลงมา ด้วย ถ้าไม่ได้ตัวคืนมาแล้ว ก็จะไม่ขึ้นไปบนเรือ
    นายทหารอังกฤษไม่ชอบพูดกันไปพูดกันมาอันเป็นการช้าเสีย เวลาจึงใช้คนมาบอกฉันว่า เมื่อแขกมักกะสันไม่ยอมฟังเหตุผล ของเรา เขาจะจับมันมัดไว้ และยังไม่ทันรอฟังคำสั่งของฉัน เขานำ ทหารตรงเข้าไปโดยที่ไม่ไช้ปัญญาตริตรองให้รอบคอบ พอนายทหารอังกฤษกระดิกตัวจะก้าวหน้าไป แขกมักกะสัน 47 คน ซึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ตามขนบทำเนียมของมัน ลุกขึ้นยืนทันที แก้ผ้ารัดพุงของมันออกแล้วเอาพันแขนซ้ายของมันเปนโล่ห์ มันยก แขนซ้ายนั้นบังตัว มือขวาชักกริชออกจากฝักแล้ว กระโจนเข้าหาพวกทหารโปรตุเกส ก้มหัวลงวิ่งถลันเข้าไปโดยแรง แทงทหาร โปรตุเกส เนื้อขาดเปนชิ้น ๆ ไป ก่อนที่พวกเรารู้ตัวว่ามันคิดสู้ จากที่นั้นไม่ทันพักหยุดหายไจ มันแหวกทางวิ่งตรงมายังกองทหาร ที่อยู่ในบังคับบัญชาของฉัน ถึงแม้ว่าฉันมีทหารกว่าหนึ่งพันคนถือหอกและปืน แต่ทหารเหล่านั้นไม่ทันรู้ตัว แขกมักกะสันเอากริชแหวะท้อง ทหารเหล่านั้น พบคนใดก็ฆ่าคนนั้นดะไปทั้งซ้ายและขวา ล้มตาย ทับถมกันน่าสยองพองขน ในขณะที่ประชาชนพลเมืองแตกตื่นกันอยู่นี้ พวกเราถูกดันมา จนถึงกำแพงป้อมที่สร้างขึ้นใหม่ แขกมักกะสัน ซึ่งบ้าเลือดมากกว่า คนอื่น ๆ ได้ไล่ตามคนที่วิ่งหนี มันตามไปจนถึงคูที่อยู่ริมแม่น้ำไกล้ ป้อมรูปสี่เหลี่ยมแล้ว ข้ามไปอีกข้างหนึ่งของป้อม ฆ่าใคร ๆ ที่ ขวางทางมัน ไม่เลือกว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย ผู้ใหญ่หรือเด็ก เลือดนองไป น่าสพึงกลัว
    ในภาวะอันยากลำบากเช่นนี้ ฉันไม่สามาถที่จะควบคุมทหารไว้ได้ และโดยเหตุที่ฉันมีหอกเปนอาวุธอยู่แต่เล่มเดียว ฉันจึงเดินเลียบริมคูไป ตั้งไจไว้ว่าจะกระโดดลงไปในคู ถ้าแขกมักกะสัน ติดตามฉันมา ที่คิดดังนี้เพราะทราบว่าคูนั้นเต็มไปด้วยเลน มัน จะลุยโคลนมาเร็วไม่ได้ ฉันจะต้องสู้มันก็ได้เปรียบกว่ามันมาก แขกมักกะสันวิ่งผ่านฉันมาห่างประมานสี่วา ไม่เห็นฉัน เพราะว่ามันมุ่งแต่จะค่าคนที่หยู่ใกล้มันเท่านั้น ไม่มีคนอื่น ๆ สักคนเดียว คิดจะประชันหน้าเพื่อต่อสู้มันเลย เพราะว่าตกไจเกินไป ไนที่สุด ไม่เห็นทางหนึ่งทางใดที่จะเรียกทหารให้มารวมกันต่อสู้มันได้ ฉันจึง วิ่งไปทางประตูที่จะเข้าไปไนป้อมปราการที่สร้างขึ้นไหม่ ซึ่งมีรั้วกั้นไว้ เท่านั้น กะโดดข้ามรั้วแล้ว ฉันขึ้นไปบนป้อมหยิบปืนมายิงพวกแขก มักกะสัน ซึ่งอาละวาดอยู่ข้างล่าง เมื่อไม่มีไครที่มันจะฆ่าได้อีกแล้ว มันก็ถอยไปริมฝั่งแม่น้ำ มันปรึกสาหารือกันอยู่สักครู่หนึ่ง โทมนัส ที่ไม่เห็นทางที่จะหนีรอดไปได้ มันจึงตกลงที่จะรบราฆ่าฟันกันต่อไป มันขึ้นไปบนเรือสำเภา เอาไฟเผาเรือแล้ว ต่างคนต่างฉวยโล่ห์และ หอกกลับขึ้นมาบนบกอีก พบใครก็ฆ่าเสียสิ้น มันเอาไฟเผาโรงทหาร ซึ่งเป็นเรือนทำด้วยไม้ไผ่ แล้วเดิน เลียบฝั่งแม่น้ำขึ้นไป ฟันและฆ่าใคร ๆ ไม่เลือกหน้าที่ขวางทางมัน ฆาตกรรมนี้ทำให้ประชาชนพลเมืองตัวสั่นขวัญหายมาก ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้ฉันสลดใจมาก แค้นเคืองที่ได้เห็นพื้นดิน เต็มไปด้วยซากศพคน ฉันจึงรวบรวมทหารปืนได้ยี่สิบคน นำลงไปในเรือกันยาลำหนึ่ง ให้พายเรือตามพวกแขกมักกะสัน ได้ไปทันมัน ที่หนทางห่างจากป้อมปราการประมานร้อยเส้น ฉันสั่งได้เอาปืนยิงมัน มันหลบไปห่างจากฝั่งแม่น้ำแล้ว เดินเข้าไปไนที่รกชัชฉันเห็นว่า ไม่มีทหารมากพอที่จะติดตามมันไป เพราะว่าพวกแขกมักกะสัน มากกว่าพวกเรา จึงไม่กล้าที่จะเข้าไปท้ารบใกล้ ๆ
    เหตุฉะนั้นจึงตกลงใจกลับมายังป้อมปราการ ครั้นกลับมาถึงมีคนมารายงานว่าแขกมักกะสันหกคนที่ข้ามคูไปอีกฟากหนึ่งนั้น ได้บุกรุกเข้าไปไนวัด ๆ หนึ่ง ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ที่ จำพรรษาอยู่ในวัดนั้นทั้งหมด กับขุนนางผู้ใหย่อีกคนหนึ่ง ซึ่งมัน เอากริชแทงคาติดตัวไว้ คนที่มารายงานฉันนั้นได้นำเอากริชมาไห้ฉัน เป็นพยานด้วย ฉันจึงรีบไปที่วัดนั้น นำทหารไปด้วยแปดสิบคน ให้ ถือหอกทุกคน เพราะว่าทหารพวกนี้ยังไม่ชำนาญการใช้ปืน เมื่อฉัน ไปถึงวัดนั้น ได้ทราบว่าคนไทยที่อยู่ไนบริเวนวัดนั้นไม่มีอาวุธจะต่อสู้ ได้ จึงต้องเอาเพลิงเผาวัดนั้น มีคนมารายงานฉันว่าพวกแขกมักกะสันได้หลบไปจากวัดนี้หนี เข้าไปหมอบอยู่ไนทุ่งซึ่งเต็มไปด้วยหญ้ารกสูงเกือบสองศอกและทึบ มาก ฉันนำทหารเข้าไปไนทุ่ง แยกออกเป็นสองแถวให้ร้องตะโกน ขู่ไปว่าจะฆ่าคนใด ๆ ที่พยายามกะดิกตัวจะวิ่งหนี ทหารหอกของฉัน นั้นเดินแหวกทางเข้าไปช้า ๆ แต่เมื่อเห็นฉันเดินประชิดเข้ามา ก็มีไจ กล้าขึ้น
    แขกมักกะสันคนแรกที่เราพบนั้น ยืนขึ้นเงื้อกริชดุจคนบ้าฉะนั้นตั้งท่าจะกะโจนเข้าแทงทหารหอก ฉันป้องกันไว้ได้ เอาปืนยิงถูกหัว มันล้มตายคาที่ ทหารของฉันเห็นดังนั้นไม่หวาดหวั่น ต่างคน ต่างช่วยกันเอาหอกแทงแขกมักกะสันตายอีกสี่คน แขกมักกะสัน อันน่าสมเพชเหล่านี้ต่อสู้ทำนองเดียวกัน คือมันวิ่งรี่เข้ามายอมตาย ดีกว่าถอยหลังหนี ในขนะที่ฉันคิดจะกลับมาที่ป้อมปราการ มีคนมาบอกว่ายังมี แขกมักกะสันคนที่หกยังเหลืออยู่ มันเป็นคนเด็กหนุ่มที่ได้ฆ่าขุนนาง ไทยและทิ้งกริชคาไว้กับซากศพ เราจึงย้อนกลับเข้าไปไนพงหญ้ากกอีกเพื่อเอาตัวมันไห้ได้ ฉันได้สั่งทหารอย่าให้ฆ่ามัน ให้จับเป็นเพราะว่า มันไม่มีอาวุธ แต่ทหารเหล่านั้นเหี้ยมโหดมากไม่ฟังคำสั่งของฉัน ใหทราบชัดเจน เอาหอกแทงมันตั้งพันแห่ง กลับมาถึงป้อมแล้วฉันเชิญขุนนางไทยมาประชุมปรึกษาหารือ กันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราได้พร้อมกันตกลงว่าจะระดมทหารทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ติดตามศัตรูไปจนถึงที่เราทราบว่ามันหลบซ่อนอยู่ ฉันใคร่ทราบว่าจะมีจำนวนคนคนตายสักกี่คน สอบสวนได้ความว่าไนวัน เคราะห์ร้ายนั้นมีคนของเราเสียชีวิตไป 366 คน พวกมักกะสันตาย เพียง 17 คน คือถูกฆ่าบนป้อม 6 คน ทีวัด 6 คน และในสมรภูมิ หน้าป้อม 5 คน เวลาฉันเดินเข้าไปในปะรำ เพื่อพักผ่อนสักครู่หนึ่ง เพราะว่า ได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาก ฉันได้พบภาพที่ทำให้เเศร้าสลดไจอย่างยิ่ง ด้วยว่าไม่ได้คิดว่าจะได้เห็นเช่นนั้นเลย นอกจากซากศพ แขกมักกะสันและคนไทย ซึ่งไม่มีเวลาจำหามไปจากป้อมได้ ฉันได้ พบนายทหารหนุ่มผู้หนึ่ง นอนนิ่งอยู่ข้างเตียงนอนของฉัน นายทหารหนุ่มชาวฝรั่งเศสผู้นี้ ชื่อ โบเรอะคารท์ ซึ่งเดินทางมาพร้อมกัน กับฉันและสมัครอยู่ในประเทศนี้ ฉันได้ตั้งไห้เป็นนายพันตรีไนกอง ทหารไทย เมื่อฉันเห็นเขานอนนิ่งอยู่เช่นนั้น ก็เชื่อว่าตายแล้ว จึงมี ความเศร้าโศรกสลดใจเป็นอันมาก แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ผู้อ่านคงจะไม่เชื่อถ้อยคำของฉัน เพราะว่าแท้จริงมันเป็นเรื่องที่คล้ายกันกับนิทานมากกว่าอย่างอื่น ฉันขอ ปฏิญานให้คำมั่นสัญญาว่าฉันไม่ได้ต่อเติมแต่งขึ้นตามอำเภอใจเลย จะเขียนแต่ความจริงแท้ ๆ เมื่อฉันเข้าไปไกล้เตียงนอน และตรวดดู ร่างกายของนายทหารหนุ่มผู้นั้นแล้ว ฉันเห็นว่ายังมีลมหายไจหยู่ แต่ พูดไม่ได้เสียแล้ว ที่ปากของเขานั้นมีน้ำลายเป็นฟอง ท้องแหวะไส้พุง และกระเพาะอาหารทะลักออกมาข้างนอกห้อยหยู่ที่ตะโพก ไม่ซาบว่า จะช่วยเหลืออย่างไร เพราะว่าไม่มียาและไม่มีแพทย์ ฉันจึงลองช่วย ชีวิตของเขาตามสติปัญญความสามาถของฉัน ฉันเอาไหมมาสนเข็มสองเล่มแล้ว ยกไส้พุงและกะเพาะเข้าไป ไนที่เดิมของมันในท้อง ฉันได้เย็บแผลตามทำนองที่ได้เคยเห็นมา และขมวดสองทบไห้ติดกันไว้ เอาไข่ขาวมาตีแล้วเอา เหล้า รัค(รัม?)ซึ่งเป็นเหล้า โอเดอะวี ชนิดหนึ่ง ผสมเข้าแล้วชะล้างคนบาดเจ็บ ชะล้างอยู่ดังนี้ต่อมาสิบวัน การรักษาพยาบาลของฉันเป็นผลสำเร็จ
    โบเรอะคารท์รอดชีวิตมาได้ ความจริงเขาไม่มีไข้และไม่มีอาการที่ทำ ไห้วิตกเลย ฉันสังเกตเห็นว่าเมื่อเวลาฉันยกไส้พุงและกะเพาะของเขา เข้าไปไนท้องนั้น มันแห้งเหมือนกะดาษหนังสือฉะนั้น และมีเลือด เข้าไปไนท้องนั้น และมีเลือด ข้น ๆ ติดหยู่ดัวย แต่ถึงเช่นนั้นก็หาเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างไรไม่ ไม่กี่วันเขาก็หายเจ็บได้ รุ่งขึ้นฉันได้รับรายงานว่ามีแขกมักกะสันอีกคนหนึ่งในจำนวนหกคนที่มาอาละวาดอยู่ไนปะรำนั้นยังไม่ตาย ทหารไทยจับตัวมันได้ และ เกรงว่ามันจะหนีไป จึงเอาเชือกมัดมันแน่นจนกะดิกตัวไม่ได้ ฉันลง จากป้อมปราการไปซักถามปากคำของมัน เพื่อจะได้ทราบข้อความ ชัดเจนว่ามีสาเหตุอะไรที่มันไปเกี่ยวข้องกันกับการฆาตกรรมครั้งนี้และกับ พวกกบฎที่จะก่อการจลาจลที่เมืองละโว้ และกรุงศรีอยุธยา มัจจุราชผู้นี้ถูกแทงด้วยหอกตามร่างการถึง 17 แผล แต่มันไปหมกซ่อนอยู่ ในโคลนได้ตลอดคืนอย่างไจเย็นจนน่าพิศวง ฉันเรียกมันว่ามัจจุราช เพราะว่ากำลังกายและใจของมนุษย์ชาติหาทนได้เท่านี้ไม่ ฉันซักถาม มันคำสองคำแล้วมันตอบว่ามันจะไห้การเป็นที่พอไจฉันไม่ได้ ถ้าฉัน ไม่ไห้คนแก้เชือกที่มัดมันไว้ ฉันไม่เกรงว่ามันจะหนีไปได้ จึงสั่งไห้ นายสิบชาติฝรั่งเศสซึ่งไปกับฉันให้แก้เชือก นายสิบผู้นี้เอาง้าวของ เขาพิงไว้ต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่งที่อยู่ไกล้ตัวแขกมักกะสันคนนั้น นึกว่า มันไม่มีกำลังที่จะทำอะไรได้ จึงวางไว้ไนที่นั้นแล้วแก้เชือกที่มัด ตัวมันไว้
    พอมันหลุดจากเชือกที่มัดไว้แล้ว มันยืดขาและยืดแขน เพื่อ ไห้หายเหน็บ ฉันได้สังเกตุเห็นว่าเวลามันตอบคำถามของฉันนั้น มัน หันหน้าไปรอบ ๆ ตัวและทำท่าทางที่จะหนีและค่อย ๆ คลานเข้าไปจะ หยิบง้าว ฉันรู้เลศนัยของมัน จึงร้องบอกนายสิบว่าให้เข้ายืนใกล้ง้าวของเขายังไม่รู้อีกหรือว่าคนบ้าเลือดเช่นนี้มุทะลุเพียงไร พอมันเข้าไปไกล้ง้าว มันก็พยายามจะหยิบง้าวนั้นจิง ๆ แต่มันมีความทรหดมากกว่า มีกำลัง มันจึงล้มลงหน้าฟาดลงกับพื้นดินจวนจะขาดใจตาย ในทันใดนั้น ฉันเห็นว่ามันไม่มีอาการที่จะรอดชีวิตได้จึงสั่งไห้ฆ่ามันเสีย ฉันรู้สึกสังเวชใจมากที่เห็นคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นคนที่ผิดแผกกว่า คนอื่น ๆ ถูกฆ่าตาย จึงใคร่ทราบว่าเหตุไฉนชนชาตินี้จึงมีความกล้าหาญหรืออีกนัยหนึ่งความดุร้ายมากนัก ฉันถามชนชาติโปรตุเกส ที่เคยอยู่ไนบุรทิสประเทศตั้งแต่เด็กมา เขาบอกฉันว่าคนเหล่านี้มา จากเกาะ เสลีเบส หรือ เกาะมักกะสันเคร่งในศาสนามะหะหมัดและ ถือลาง เชื่อคาถาอาคมที่พวกอิหม่ามแจกจ่ายให้ มียันต์ผูกไว้ ที่แขน เพราะได้รับคำสั่งสอนว่าถ้ามีไว้ติดตัวก็ไม่มีไครทำอัน ตรายได้ คำสั่งสอนอีกข้อหนึ่งที่ทำไห้คนเหล่านี้เป็นคนดุร้ายไม่ท้อถอยนั้นคือความเชื่อมั่นว่าคนทั้งปวงที่เขาฆ่าตายในพิภพนี้นอกจากพวกมะหะหมัดแล้ว จักไปเป็นทาสรับใช้เขาไนปรโลก ตั้งแต่เด็ก ๆ มา แขกมักมะหมัดได้รับความอบรมได้ถือว่าการไม่ยอมแพ้นั้นเปนเกียรติคุนที่เลิศที่สุด ยังไม่มีไครละเมิดคำสั่งสอนนี้เลย
    เมื่อแขกมักกะสันมีความเชื่อเช่นนี้ ก็ย่อมไม่ขอพึ่งหรืออุปการะ ผู้หนึ่งผู้ได เขามีแต่กริชเปนอาวุธก็สู้คนตั้งแสนคนได้ คนที่มีลัทธิ เช่นนี้ย่อมไม่มีความกลัว และเป็นคนที่โหดร้ายมาก ชาวเกาะพวกนี้ รูปร่างปานกลาง เนื้อสีดำแดง เป็นคนแคล่วคล่องว่องไวมาก มี เครื่องแต่งกาย คือกางเกงขาสั้นแนบกับเนื้อ เสื้อแขนสั้นสีขาวหรือ สีเทาคล้ายเสื้ออังกฤษ หมวกชนิดหนึ่งมีผ้าพันกว้างประมานสามนิ้ว ไม่สวมถุงน่องมีแต่รองเท้าแตะ มีผ้ารัดพุงสอดกริชอาวุธของมัจจุราช นี่แหละคือคนที่ฉันได้ประชันหน้า มันพึงฆ่าฉันได้เหมือนคนอื่น ๆ โดยปราศจากควาเมตตากรุณา โบเรอะคารท์ ซึ่งฉันยกไส้พุงกลับเข้าไปไนท้อง และพยาบาล รักษาแผลตลอดมานั้น มีอาการดีขึ้นมากและพูดได้แล้ว ฉันจึง สอบถามว่าถูกทำร้ายได้อย่างไร เพราะว่าในขนะที่เราต่อสู้กับแขก มักกะสันหกคนบนป้อมปราการนั้น ตัวเขาอยู่นอกป้อม โบเรอะคารท์เล่าว่าเขาได้เห็นคนสองคนพลัดตกลงมาจากป้อม สีสะพุ่งลงมา และนึกว่าคน ๆ หนึ่งไนสองคนนั้นคงเป็นต้นหนของ เรือสำเภา เขาจึงวิ่งเข้าไปเพื่อกันไม่ไห้คนไทยฆ่าแขกมักกะสันคนนั้น เมื่อมันเห็นเขาวิ่งเข้ามาใกล้ดังนั้นมันมารยานอนนิ่งเหมือนคน ตาย ครั้นเขาเข้าไปใกล้ตัวมัน มันเอากริดแหวะท้องของเขาเปน แผลยาวดังที่ฉันได้เห็น ไม่ทราบว่าจะวิ่งไปทางไหน จึงเอามือประคอง ไส้พุงไว้แล้วขึ้นบนปะรำ ไม่เห็นมีไครที่จะช่วยเหลือได้ หมด
    ต่อมาอีกสิบห้าวันฉันได้ทราบว่ามีคนพบแขกมักกะสันที่ตำบล หนึ่งห่างจากเมืองบางกอกสองร้อยเส้น ฉันถึงรวบรวมทหารได้แปดสิบคนลงเรือกันยาติดตามขึ้นไป เพราะว่าเวลานั้นยังเป็นฤดูน้ำท่วมอยู่ ฉันได้ ไปถึงตำบลนั้นทันช่วยเหลือราษฎรในท้องที่ เมื่อฉันไปถึง พวกแขกดุร้ายเหล่านี้ทิ้งเรือกันยาที่มันยึดไว้ ได้แล้ว กะโดดลงไปไนแม่น้ำว่ายน้ำหนีไป ฉันสั่งไห้เอาปืนระดม ยิงมัน แต่มิช้ามันก็ว่ายน้ำไปไกลจากระยะปืน และเข้าไปซ่อนอยู่ใน ที่รกชัฏฉันเห็นว่าไม่มีทางที่จะจับมันได้ จึงกลับมาเมืองบางกอก เมื่อมาถึงเมืองบางกอก ฉันพบแขกมักกะสันสองคนบาดเจ็บ มากหนีไปกับพวกของมันไม่ได้ คนไทยจึงจับตัวมันส่งลงมา ผู้สั่งสอนศาสนารูปหนึ่งชื่อ มานูเอล ซึ่งอยู่กับฉัน เห็นว่าควรแผ่เมตตาจิต แก่มัน จึงช่วยรักษาพยาบาลและสั่งสอนมันในที่สุดมันยอมเลื่อมใส คริสตศาสนา แต่พอทำพิธีเข้ารีดได้ไม่ช้ามันก็ตาย ล่วงมาอีกสองสามวันคนไทยจับแขกมักกะสันมาได้อีกคนหนึ่ง ผู้สั่งสอนสาสนาได้ไห้โอวาทมันยืดยาว แต่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย อ้ายคนสถุลนั้นถามว่าถ้าเข้ารีตเปนศาสนิกชนแล้ว มันจะรอดชีวิต หรือไม่ เราตอบว่าไม่รอดไปได้ มันจึงพูดว่าไหน ๆ จะต้องตาย แล้ว จะไปสวรรค์หรือไปนรกก็เหมือน ๆ กัน ฉันจึงสั่งให้ตัดคอ มันเสีย คนไทยคนหนึ่งเห็นฉันจะเอาหัวแขกมักกะสันเสียบหอก ประจานไว้ วิงวอนขออย่าให้ทำเช่นนั้น บอกเวลากลางคืนคงมี คนมาลักศีรษะนั้นไปทำเสน่ห์เป็นแน่ เพราะว่ามีคนนิยมทำกันมาก ฉันรู้สึกขันมากที่เขาพูดเช่นนั้น ฉันได้สั่งให้เสียบศีรษะแขกมักกะสัน คนนี้ประจานไว้ไนตำบลที่มีคนเห็นได้มาก เพื่อเปนตัวอย่างให้แขก มักกะสันคนอื่น ๆ เกรงกลัว แปดวันภายหลังชาวสวนสองสามคนมีความตระหนกตกใจ พา กันมารายงานฉันว่าแขกมักกะสันมาที่ริมฝั่งแม่น้ำอีก ได้เข้าปล้นสวน ลักผักและผลไม้ไปเป็นอันมาก ฉันจึงไปที่ตำบลนั้น นำทหารหอกและปืนไปด้วยประมาณร้อยคนฉันได้พบราษฎรมากกว่าสองพันคนไปชุมนุมกันอยู่ที่นั่น บอกตำบลที่อยู่ที่กินของแขกมักกะสันให้ฉันทราบชัดเจน เมื่อที่ต้องเสียเวลาติดตามศัตรูจำนวนนิดเดียวเท่านี้เรื่อยไป ฉันจึงต้องตกลงแก่ไจว่าจะต้องปราบให้ราบคาบลงเสีย ฉันได้แบ่งราษฎร สองพันคนนั้นออกเป็นสองหมู่ ให้แยกกันไปทางขวาหมู่หนึ่งและทาง ซ้ายหมู่หนึ่ง ตัวฉันและทหารไทยร้อยคนเที่ยวไล่ตามแขกมักกะสัน ฉันเดินลุยน้ำไปตามทางที่ผ่านไปไนพงกกนั้น โดยเหตุที่พวกแขก มักกะสันต้องอดอาหารแทบจะตายอยู่แล้ว เพราะว่าเวลาตลอดหนึ่งเดือนมันมีแต่ผักและหญ้าเปนอาหารเท่านั้น ฉันจึงเห็นว่าถึงเวลาเหมาะ ที่จะไม่ยอมให้หลุดหนีไปได้อีก ทั้งมีทหารที่สดชื่นแข็งแรงมาด้วย ก็ย่อมมีทางได้เปรียบมาก คิดเช่นนั้นแล้วฉันสั่งทหารให้เร่งฝีเท้าให้ เร็วขึ้น เดินไปได้ราวห้าสิบเส้นก็เห็นสศัตรู เราจึงรีบจะเข้าไปไห้ใกล้มัน ฉันเข้าไปเกือบถึงตัวมันแล้ว มันหลบเข้าไปไนที่รกชัฏที่อยู่ข้างซ้าย ไปพบพลทหารของฉัน ทหารเหล่านั้นเห็นมันแต่ไกล ก็ไช้ปืนยิงมัน
    แต่กระสุนปืนไปไม่ถึง ก็ไม่ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด ฉันเดิน กระชั้นเข้าไป และสั่งไห้ทหารเตรียมตัวเข้าประจันบาน น้ำที่เราลุยไป นั้นท่วมขึ้นมาถึงน่องของเรา พวกแขกมักกะสันเห็นว่าจะลุยน้ำมาไม่ได้เร็ว มันจึงปีนขึ้นไปบนเนินดินซึ่งมีคูล้อมรอบ น้ำไนคูนั้นลึกถึงคอ ฉันล้อมมันไว้บนเนินดินนั้น และเข้าไปไกล้ราวสี่ถึงสี่วาครึ่งแล้วไห้ล่ามร้องตะโกนไปว่าไห้มันยอมแพ้ ถ้าจับได้แล้วไห้คำมั่นสัญญา ว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษไห้ทุกคน มันได้ยินถ้อยคำดังนั้นแล้ว มันโกรธเคืองมาก มันพุ่งหอกตรงมาที่เรา เพื่อเป็นพยานว่ามันเห็น ว่าเป็นการเสียเกียรติคุณ มันเอาปากคาบกริชแล้วกระโดดลงในน้ำ ว่ายมาสู่เรา ทหารไทยได้ฟังถ้อยคำของฉัน และเห็นฉันออกหน้าเป็นตัวอย่างก็ยกปืนขึ้นยิงคนอันน่าสงสารเหล่านั้นจมน้ำตายไม่มีเหลือสักคนเดียว เลย คนที่ตายไปนั้นมากกว่าสิบเจ็ดคน นอกนั้นตายอยู่ไนที่รกชัฏ เพราะอดอาหารหรือบาดแผลเป็นพิษ ฉันพลิกศพบางคนดู มันแห้ง เหมือนศพชาวอัยคุปต์ที่ไส่ยาไห้แห้ง มันมีแต่หนังหุ้มกะดูกเท่านั้น ที่แขนซ้ายมียันต์ดังที่ฉันได้เล่ามาข้างบนนี้ เป็นเครื่องลางที่มันถือว่า ถ้ามีติดตัวไว้แล้วไม่มีไครสู้ได้ อุบัติเหตุอันน่าเสียใจ ซึ่งทำไห้ฉันได้รับความเหน็ดเหนื่อยเป็นอันมากตลอดเวลาหนึ่งเดือน ตัวเองเกือบเสียชีวิต และประชาชน พลเมืองตายไปหลายคนนั้น จบลงด้วยประการฉะนี้
    ป.ล ฟอร์บัง สรุปว่าการฆาตกรรมนี้จะไม่เกิดถ้าไม่ใช่เพราะวิชเยนทร์จะยืมมือแขกมักกะสันเพื่อกำจัดเขา

    FB_IMG_1577179847982.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204



     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เหมือนจะรู้จริง! แต่ยังมีความสามารถในการคาดการณ์เอาไปรวมกับพวกเฉพาะทางในเรื่อง"หัวรุนแรง" อันนี้ ประเมินต่ำเกินไป

    ภัยพิบัติระดับมหาพรหมาล้างโลก ยังจะฟังดูดีกว่าว่าไปนั่น!

    (เมื่อ4วันก่อน ได้นิมิตในหมู่คณะผู้มีวิชาอาคมจำนวนหนึ่ง ที่มีวิชาระบุตำแหน่งบุคคลที่คนโบราณส่วนหนึ่งสามารถค้นหาใครก็ได้ ว่าอยู่ตรงตำแหน่งใด ระบุตัวตนชัด ชัดเจนแม่นยำยิ่งกว่าดาวเทียม แยกสีสันเหมือนสีเปลวเพลิงชัดเจนจากเบื้องสูงฟากฟ้า ที่สำคัญ ฝั่งนั้นดันรู้ตัวด้วย ไม่รู้ว่าจงใจให้รู้หรือว่า พอมีวิชาติดตัวมาเหมือนกัน คนโบราณแบบนั้นมาเกิดใหม่กี่คนในชาตินี้)

    จริงๆเมื่อมีกระแสจิตโต้ตอบกลับมา อย่างเจาะจงพุ่งเป้ามาทางตนเองอย่างนานาจิตตัง ก็ยังรู้สึกว่า ยังสามารถมีอะไรสักอย่างที่สามารถ "ทำลายล้าง"ชนิดกวาดราบเรียบล้มตายเกลื่อนกันเลยทีเดียว เพราะสภาวะจิต

    "ไพรีพินาศ"


     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ไอ้"จอมภพ"นี่มันโหดจริงๆ กระจายไปไกลถึงเมืองนอกเมืองนายาวๆไปเลย ครั้งหนึ่งในชีวิต ติดโผ "แพะ" น่าจะไปสมัครเป็นนักแสดงวาทะศิลป์ท่าทางจะรุ่ง!

    เพจ Media_Informasi_News
    และอีกหลายเพจเป็นเพจในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่แสดงถึงขบวนการต่างแดนที่เข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย เข้าออกสะดวกสองสัญชาติไปเลย ก่อเหตุแล้วก็หนีข้ามประเทศ แบบนี้เป็นประจำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2019
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ความรู้ความสามารถที่ตกทอด


    เหตุการณ์นองเลือด พฤษภาคม พ.ศ.2541

    โศกนาฎกรรมในอินโดนีเซียในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2541 ชาวจีนในอินโดนีเซียต้องอยู่อย่างระแวงระวัง เนื่องจากภาพการเผาบ้านเรือน ปล้นฆ่าข่มขืนคนจีนยังเป็นภาพที่ตราตรึงน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาความโกรธแค้นที่มีต่อคนจีนในอินโดนีเซียนั้นมีรากเหง้ามานานเนื่องจากคนจีนกลายเป็นกลุ่มชชชั้นกลางที่มีความเป็นอยู่อย่างร่ำรวยสะดวกสบาย เป็นชนชาติที่มีอำนาจด้านการค้า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2541 ผู้คนชาวอินโดนีเซียก็เดือดร้อนกันอย่างมาก ธนาคารต้องปิดตัว บริษัทล้มละลายคนว่างงานจำนวนมาก ผู้คนเริ่มอดอยากในวันที่ 12 พฤษภาคม นักศึกษาจำนวน 6000 คน ทำการชุมนุมประท้วกอยู่ในมหาลัยตรีศักติ ผลก็คือนักศึกษามหาวิทยาลัยเสียชีวิตทันที 4 ราย และบาดเจ็บอีกนับสิบ การต่อต้านประธานาธิบดีซูฮาร์โตและรัฐบาลเข้าสู่จุดสูงสุด และในที่สุดนำอินโดนีเซียเข้าสู้ภาวะการจลาจลที่ไม่สามารถจะควบคุมได้อีกต่อไป พวกชนชั้นล่างที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจได้เริ่มก่อการจลาจลขึ้นในวันที่ 12 พฤษภาคม กลุ่มคนชนชั้นล่างก็เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง สถานการณ์ดังกล่าวดำเนินไปด้วยความตึงเครียดกระแสความต้องการให้ประธานาธิบดีซูฮาร์โตลาออกจากตำแหน่งรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้นไปทั่วประเทศเกิดการ ปล้นสะดม เกิดการจลาจลที่ไม่สามารถควบคุมได้ และมีการเผาบ้านเรือน ห้างร้านต่างๆมีผู้หญิงจีนเป็นจำนวนมากถูกกระทำทารุณกรรม และข่มขืน เกิดการปล้นฆ่านับร้อยรายทั่วกรุงจาการ์ตา ฝูงชนบ้าคลั่งได้บุกเข้าไปย่านคนจีนและตั้งด่านตรวจจับคนจีนที่หนีไปสนามบิน เหตุการณ์นี้มีคนจีนเสียชีวิตประมาณ 1,200 คน สตรีชาวจีนถูกข่มขืนประมาณ 170 ราย การที่คนจีนในอินโดนีเซียถูกปฏิบัติเหมือนไม่ใช่คนแบบนี้ นอกจากความรู้สึกอคติที่มีมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมแล้ว ยังมีสาเหตุสำคัญสองประการคือ ประการแรก เกิดจากความล้าหลังทางการเมืองและความล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจ อินโดนีเซียภายหลังเอกราชตกอยู่ใต้การปกครองเผด็จการของซูการ์โน และซูฮาร์โต นานเกือบครึ่งศตวรรษในช่วงเวลายาวนานนี้ไม่เคยมีการปลูกฝังและการปฏิบัติที่เป็นจริงเกี่ยวกับแนวคิดประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของคนอื่น การยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีแทนการใช้ความรุนแรง ส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจ แม้อินโดนีเซียจะประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภค แต่ต้องถือว่าล้มเหลวในการกระจายรายได้ โภคทรัพย์ของประเทศตกอยู่ในมือนายทหารและนักการเมืองเพียงไม่กี่กลุ่ม รวมทั้งนายทุนใหญ่ชาวจีนที่เป็นหุ้นส่วนธุรกิจของพวกเขา ในขณะที่ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่มีฐานะยากจนไม่ต่างกับสมัยอาณานิคม

    พวกเขาจึงง่ายต่อการถูกชักนำให้ระบายความอัดอั้นด้วยการใช้ความรุนแรงกับคนจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องการ เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความไม่พอใจต่อรัฐบาลและหาคะแนนนิยมจากคนเหล่านี้

    สาเหตุอีกประการหนึ่งคือท่าทีของรัฐบาลจีนต่อปัญหานี้ รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเป็นมิตรสนิทของรัฐบาลอินโดนีเซียสมัยซูการ์โน รัฐบาลจีนแทนที่จะใช้ความสัมพันธ์นี้เจรจาให้อินโดนีเซียปฏิบัติต่อคนจีนให้ดีขึ้นหรือไม่ให้บีบคั้นกลั่นแกล้งคนจีน แต่กลับวางเฉยไม่สนใจไยดี และยังทำข้อตกลงเกี่ยวกับสัญชาติของคนจีนกับรัฐบาลอินโดนีเซียในปี 1955

    ข้อตกลงนี้กำหนดให้คนจีนต้องเลือกระหว่างถือสัญชาติจีนกับสัญชาติอินโดนีเซีย เมื่อเลือกสัญชาติหนึ่งจะต้องสละอีกสัญชาติหนึ่ง คนจีนส่วนใหญ่เลือกสัญชาติอินโดนีเซีย รัฐบาลจีนจึงถือว่าคนจีนในอินโดนีเซียเป็นพลเมืองของประเทศอื่นที่ตนไม่มีหน้าที่ให้การคุ้มครอง ต่อมาอินโดนีเซียได้ตัดความความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนภายหลังการรัฐประหารปี 1965 จีนยิ่งไม่ให้ความสนใจต่อความทุกข์ยากของคนจีนเหล่านี้ คนจีนในอินโดนีเซียจึงเหมือนถูกลอยแพ ต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายตามลำพัง การไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนจีนโพ้นทะเลที่เป็นเสมือนเครือญาติร่วมสายโลหิตของรัฐบาลจีนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลและคนพื้นเมืองอินโดนีเซียเกิดความย่ามใจ พวกเขาจึงปฏิบัติต่อคนจีนตามความพอใจโดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะถูกแทรกแซงจากจีนซึ่งเป็นมหาอาจทางการเมืองและการทหารประเทศหนึ่งของโลก จากเหตุการความวุ่ยวายในครั้งนี้ ในจาการ์ตาพบศพ 250 ถูกเผา ที่ตังเกอรัง พบศพ 119 ศพ และที่เบอกาซี่ พบศพ 90 ศพ สิ่งก่อสร้างถูกเผาทำลายอย่างน้อย 5,000 หลัง รถยนต์ถูกเผา 1,119 คัน รถโดยสารถูกเผา 66 คัน และรถจักรยานยนต์ถูกเผาอีก 821 คัน ชาวต่างชาติและคนจีนอพยมออกนอกจาการ์ตาประมาณ 150,000 คน แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ แต่ซูฮาร์โตยังพยายามยื้อเวลาทางการเมืองออกไปให้นานที่สุด แต่ก็ต้านแรงกดดันจากนักศึกษาไม่ไหว ในที่สุดเขาก็ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2541

    เอามาจากบทความมติชนบางส่วน

    FB_IMG_1577232341136.jpg
     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ควรให้มีวิชาการต่อสู้ติดตัวทุกคน ควรมีอาวุธติดบ้านติดมือไว้บ้าง เพราะถึงเวลานั้น อาจจะตกใจกลัวจนตัวสั่น! เหมือนครั้งอดีตสมัยที่ต้องเผชิญกับความป่าเถื่อน

    y2qCkJ7-RHlo1ReFFs1q9HEva_XSQNAYjyr79XUAABbRplf9dBjN8w==.jpg
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204


    FB_IMG_1577276484740.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...