ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    19FCDF48-201C-4225-A5DB-69585C87BDD0.jpeg

    ตอนไหนที่เราอยู่กับตัวเองมากที่สุด..ตอนที่โยมอยู่คนเดียว ตอนไหนที่มันน่ากลัว..ก็ตอนที่เราอยู่คนเดียว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่ล่ะจ้ะธรรมอกุศล ธรรมกุศล ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมทั้งหลายมันจะเข้ามาในขณะนั้น ตอนที่โยมอยู่คนเดียว เค้าบอกว่าน่ากลัวที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ไปพิจารณาให้มาก นั่นแหล่ะจ้ะ โยมว่ามันจริงมั้ยจ๊ะ ฉันขอฝากเอาไว้ถ้าอยู่กับตัวเอง..น่ากลัวมากที่สุด ถ้าโยมขาดหลักขาดที่พึ่งที่เป็นสรณะเมื่อไหร่..ผีมันชอบสิง จำเอาไว้..

    ที่ใดบ้างที่มีวิญญาณ วิญญาณผีตายโหงผีตายห่า ผีตายโหงคือจะผูกคอตายหรืออะไรก็ตาม ตายห่าเป็นโรคตายผีตายห่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ สถานที่ดังกล่าวนี้คือที่ไหน..ที่โยมอยู่แล้วเฮี้ยนที่สุด ฉันถามว่าสถานที่ใดที่มีวิญญาณสิงสู่มากที่สุด และเป็นสถานที่น่ากลัวที่สุด โยมย้อนกลับไปที่คำถามที่ฉันถามโยม โยมอยู่คนเดียวโยมอยู่ที่ใด ตอนที่โยมอยู่คนเดียวโยมอยู่ที่ใดจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ที่บ้าน) ที่บ้านโยมโยมอยู่ที่ใด อยู่ส่วนไหนของเรือน (ลูกศิษย์ : ห้องนอน) เออ..ถูกต้องห้องนอนจ้ะ

    ห้องนอนนี่แหล่ะจ้ะเป็นที่สิงสู่ของวิญญาณมากที่สุด จำไว้นะจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าเมื่อโยมอยู่คนเดียวก็รู้สึกกลัวหดหู่เศร้าหมอง หดหู่เศร้าหมองกลัว..นี่แลเรียกว่าวิญญาณผีตายโหง แล้วทำให้เราป่วยได้เค้าเรียกว่าผีตายห่า แล้วต้องทำยังไง เค้าจึงบอกให้เราเจริญสติ กำหนดรู้ นั่นก็คือรู้สึกว่าขนลุกขนพองสยองเกล้า..นี่เค้าเรียกสัมผัสกับเค้าได้

    ที่ที่เรานอนอยู่ที่เราว่าเป็นห้องนอนก็ดี..เป็นที่ๆเราตาย ถ้าที่ไหนที่เราตายที่นั้นก็ต้องมีคนอื่นตายทับถม เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นให้เรานั้นเจริญสติจนจิตเราตั้งมั่นแล้ว คลายจากความกลัวแล้ว มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้วให้แผ่เมตตาอยู่บ่อยๆ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ อ้าว..ก็ไอ้โรงทึงโยมกลัวโยมไม่ได้ไปไม่ใช่เหรอจ๊ะ วัดร้างโยมก็ไม่ได้ไปนอนไม่ใช่เหรอจ๊ะ แล้วโยมบอกโยมกลัวได้ยังไง เชิงตะกอนโยมก็ยังไม่ได้ไปนอนตอนนี้ แต่ที่นอนนั่นแหล่ะจ้ะห้องหับของโยม..โยมนอนอยู่ทุกวัน ใช่มั้ยจ๊ะ

    แล้วเมื่อโยมนอนก่อนโยมจะนอน..โยมก็คิดมากมายตั้งหลายอย่าง ฉันถามว่าไอ้พวกนั้นมันจะไม่เข้ามาได้ยังไง มันอยู่ในห้องโยมอยู่แล้ว เหมือนกายสังขารในจิตโยมมันก็มีมารอยู่ในนั้นอยู่แล้ว นั้นห้องนอนของโยมต้องทำให้สะอาด ไม่ได้บอกให้โยมไปถูปัดกวาดให้มันสะอาด..อันนั้นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สะอาดคืออะไร โยมต้องภาวนาจิตบ่อยๆ หรือเกือบทุกวันหรือทุกวัน ถ้าเรานั้นกำลังกายไม่ไหว ทำกำลังใจให้เกิด ก็คือจะนอนก็ดีกราบหมอนก็ดี..ภาวนาพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    พอเรียกว่าตั้งนะโม ๓ จบซะ นมัสการพระพุทธเจ้าแล้ว..ก็ว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นสรณะตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จงรักษากายสังขารของข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด..อันนี้เค้าเรียกว่าหลับเป็นมงคล

    ก่อนจะหลับจะนอนจิตเราไม่ได้ดับสงบหลับไปได้เลยทีเดียวโดยธรรมชาติของจิต เราจะมีวิตกอารมณ์ต่างๆมากมาย ทั้งดีและไม่ดีเหล่านี้ ให้เรานั้นตัดวงจรอารมณ์เหล่านี้ไปด้วยการนอนระลึกถึงองค์ภาวนากำกับจิตเข้าไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าทำให้บ้านเรานั้นในห้องเรานั้นสะอาด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าจิตของเรายังมีความคิดอกุศล หรือมีโทสะ โมหะเหล่านี้แล ถ้าโยมนอนอยู่ทุกวันมันเรียกว่าสะสมมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมบอกว่ามันเกี่ยวอะไรกับห้องนอนโยม พอโยมไม่ได้นอนแล้ววิญญาณพวกนี้ยังอยู่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : อยู่) มันมีธาตุอยู่ ไม่เชื่อโยมลุกขึ้นสิจ๊ะแล้วโยมลองไปจับดูที่พื้นโยมมีความรู้สึกมั้ย (ลูกศิษย์ : รู้สึกอุ่นค่ะ) อุ่นมั้ยจ๊ะ นั่นแหล่ะคือวิญญาณ วิญญาณมั้ยจ๊ะ แล้วโยมนอนมันทุกวัน ทับซากผีซากศพอยู่ทุกวัน โยมนอนกับซากผีซากศพ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คืนใดคืนหนึ่งมันก็มาหลอกโยม..

    เค้าถึงบอกว่าบางคนไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระจะนอนฝันไม่ดี บางทีก็มีผีบอกให้ไปช่วย ผีนั้นบอกให้ไปช่วยที เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วอย่ารอให้มันมาถามอย่างนั้นเลย เราไปช่วยเค้าทุกวันเลยจะดีกว่า แผ่เมตตาจิตทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดจิตอยู่บ่อยๆ แผ่เมตตาจิตอยู่บ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้ววิญญาณร้ายนั้นเมื่อเราแผ่บุญกุศลให้เค้าบ่อยๆแล้ว เค้าจะเป็นวิญญาณดี พอเป็นวิญญาณดีแล้วเค้าจะเป็นเทพเทวดามาคอยปกปักรักษาเรา พอเราจะเกิดอะไรที่ไม่ดีเค้าก็เรียกว่าจะมานิมิต มาสังหรณ์ มาดลใจเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ยิ่งบ้านเรือนใดสวดมนต์ภาวนาจิตอยู่บ่อยๆเป็นนิตย์นั่นแหล่ะจ้ะ จะมีเทพเทวดามาชุมนุมมารักษา เค้าบอกว่าห้องที่น่าอันตรายและมีวิญญาณมากที่สุดคือห้องนอนของตัวของโยมเอง ถ้าเรียกง่ายๆเค้าเรียกว่าเป็นห้องดับจิต ทำไมถึงบอกว่าห้องดับจิต อ้าว..ก็โยมนอนไปสักพักเดี๋ยวจิตโยมก็จะดับแล้วก็หลับลงไป ใช่มั้ยจ๊ะ งั้นโยมอย่าเพิ่งทำอย่างนั้นมันอันตราย โยมต้องมีสติก่อนที่โยมจะหลับลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ ระลึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้น..

    นั้นคราใดที่เรามีความกลัวก็ดี ให้เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เมื่อเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งน้อมจิตเข้ามาเป็นที่พึ่งแล้ว จิตเรานั้นไม่มีความกลัว ไม่มีความสะดุ้งผวา จิตเราเป็นปรกติแล้วเท่ากับว่าศีลเราบังเกิด เราให้น้อมจิตแผ่เมตตาจิตออกไปให้สรรพวิญญาณดวงจิตทั้งหลายทั้งปวง ให้เค้าได้อาศัยในพระรัตนตรัยเป็นแสงสว่างนั้นให้เราเป็นสะพานเชื่อมต่อ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โยมแผ่เมตตาไปแล้วบุญนั้นจะรักษาโยมเอง คนที่แผ่เมตตาระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะแล้ว เค้าเรียกจะมีเทพเทวดามาคอยดุแลรักษา เค้าเรียกอารักขา หรือเรียกว่าจะมีท้าวเวสสุวรรณ จตุโลกบาลทั้ง ๔ มาอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เมื่อเป็นอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นแล้วเค้าเรียกว่าเทพเทวดาเค้าจะดลใจนิมิตสังหรณ์ให้รู้สึกตัวก่อน เพราะว่าสติเรานั้นเราหลับไปด้วยสติ มีความไม่หลงลืม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    A9AA7114-0376-448F-B3D3-A40887A55B77.jpeg

    ลูกศิษย์ ๑ : หลวงปู่คะ เชื้อไวรัสที่แพร่กระจายอยู่ตอนนี้ ประเทศไทยเอาอยู่มั้ยคะ
    หลวงปู่ : ประเทศไหนมันจะมาเอาอยู่ได้ยังไงจ๊ะ ถ้ามันเอาอยู่มันจะไปที่ทั่วประเทศได้ยังไง มันไปกับลม มันไปกับลมหายใจ มันสิงสู่คน สัตว์ มันไปกับอากาศไปกับลมหายใจ

    ลูกศิษย์ ๒ : เกิดมาจากอะไรน่ะครับ
    หลวงปู่ : อ้าว..มันเกิดมาจากคนไง เกิดมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจ อะไรที่มันติดจากลมหายใจต้องเกิดจากสิ่งที่มีชีวิตที่มีลมหายใจ ที่มันแพร่ไปที่มันกลายไป เค้าเรียกว่ามันกลายพันธุ์ นั้นคนที่ขาดศีลขาดธรรมมันก็จะกลายพันธุ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เกิดจากความโลภความหลงทั้งนั้น

    นั้นยาที่จะช่วยโยมปกป้องไวรัสตัวนี้ได้ โยมต้องสร้างภูมิต้านทานให้จิตโยม คือกำหนดลมหายใจ ทำจิตให้สะอาดนั่นแล เชื้อโรคมันไม่ชอบอยู่ที่จิตสะอาด หรือเชื้อโรคมันไม่ชอบอยู่ที่จิตนั้นว่าง เข้าใจคำว่าจิตว่างมั้ยจ๊ะ จิตที่ว่างคือจิตที่ว่างจากความคิด ว่างจากอุปาทานแห่งขันธ์ ว่างจากความฟุ้งซ่าน ว่างจากความอาฆาตพยาบาทมาดร้าย..

    ถ้าใครมีความอาฆาตพยาบาทมาก มีความกลัวมาก ไอ้พวกนี้มันรู้ เพราะมันมีวิญญาณเช่นเดียวกัน มันก็จะไปตามหา เค้าเรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร สงครามตอนนี้มันกำลังใช้สงครามไวรัส..

    ลูกศิษย์ ๓ : งั้นไวรัสตัวนี้คือคนทำขึ้นเหรอคะ
    หลวงปู่ : ถ้าคนมีศีลจะไม่ทำ อันนี้เค้าเรียกว่ามารนอกศาสนา ถ้าเป็นภาษาในทางวิชาเค้าเรียกว่าคุณไสยอย่างหนึ่ง เค้าเรียกว่าคุณมากับลม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ลูกศิษย์ ๓ : มันไม่ได้เกิดขึ้นเองใช่มั้ยคะ มีคนทำเพาะเชื้อขึ้นมา
    หลวงปู่ : ถ้าจะพูดไปตามกระแสแห่งธรรมเค้าเรียกวิบากกรรมของมนุษย์ มนุษย์ไปทำเค้าไว้ มันก็ต้องเอาคืน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าโลกนี้เริ่มอยู่ยาก แต่เราจะไปอยู่โลกไหนเล่าจ๊ะ อยู่โลกไหนก็ต้องตายอยู่ดี ก็อยู่ไปอย่างนี่แหล่ะจ้ะ

    เค้าถึงบอกว่าเวลาที่เราจะประพฤติปฏิบัติอย่าได้ติดในสุข เวลาจะหลับจะนอนก็ประพฤติปฏิบัติทำความเพียรเสียบ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ว่าจะหลับก็จะหลับเลย ให้ระลึกว่าก่อนเราจะหลับจะนอนเราลืมทำอะไรไปหรือเปล่า ลองไปหัดดูใหม่นะจ๊ะ แค่โยมกราบหมอน ๓ ครั้ง ว่านะโม ๓ จบ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ อย่างที่ฉันบอก

    แค่นี้ถ้าโยมทำได้ โยมจะเป็นเศรษฐี เข้าใจมั้ยจ๊ะ คนเป็นเศรษฐีจะมีบริวารมีข้ารับใช้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีค่ะ) เออ..ก่อนหลับนอนให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยแล้วเค้าเรียกว่ามีกุศลแล้ว ขอให้โยมแผ่เมตตาจิตออกไปมันจะเป็นบริวาร บริวารอย่างไร เมตตาจิตเหมือนเราให้ทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ กระแสบุญนี้จะไปถึงสำเร็จด้วยบริวาร

    เรียกว่าเทพเทวดาวิญญาณทั้งหลายเค้าได้กระแสบุญไปแล้ว ก็ทำให้เค้าเป็นสุข ทำให้กายทิพย์ของเค้านี้มีแสงสว่างหรือมีสุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำให้เค้าเกิดมีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจ เค้าจะคอยดูแลรักษาปกป้องเราได้อีก นั้นคนที่เรา..จิตที่เราแผ่เมตตาจิตออกไปอยู่บ่อย เค้าเรียกเจริญเมตตาอยู่มากๆจะมีแต่ความเจริญ บ้านเรือนนั้นจะมีแต่ความเจริญ

    แม้จะมีภัยพิบัติ ไฟไหม้ก็ดี เกิดภัยพิบัติอัคคีภัยก็ดี มันจะทำให้เกิดในสถานที่นั้นได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่ฉันบอกนี้ฉันได้เตือนโยมว่าอย่าได้ประมาทในการหลับนอน เพราะว่าเป็นเวลาที่โยมมีสุขที่สุดนั่นเอง เป็นเวลาที่ประมาทที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะคนเราทำอะไรนั้นมักจะทำตามความสุขทำตามความพอใจ เอาแต่ความพึงพอใจ แต่ไม่ได้ละความพอใจนั่นเอง..

    ถ้าโยมสะอาดทั้งจิตและเรื่องในเรือนกาย ทั้งเรื่องห้องนอนถ้าสะอาดไปด้วยมันก็ยิ่งดี เพราะว่าไอ้พวกฝุ่น เลนไรพวกนี้มันก็เป็นไวรัสอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันจะมีตัว ตัวไร ตัวเหลือบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้นั่นก็เป็นพวกวิญญาณเป็นผีอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถึงแม้โยมไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่โยมรู้สึกมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : รู้สึกค่ะ) รู้สึกว่าคัดจมูก นั่นแหล่ะมันมาอาศัยเรา อาศัยลมของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าเบียดเบียนเราแล้ว มันจะทำให้เรานั้นเป็นภูมิแพ้

    เมื่อภูมิแพ้มันเกิดขึ้นมันเป็นการเปิดช่องทางให้โรคอื่นมันแทรก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วโยมต้องรักษา ที่ฉันเตือนคือรักษาที่โยมต้องนอน ไอ้พวกตัวนี้แหล่ะจ้ะที่มันจะไปติดเชื้อได้ง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะไปทำให้ร่างกายของโยมนั้นบกพร่อง แล้วไอ้พวกเชื้อตัวนี้แหล่ะจ้ะ เมื่อมันเข้าไปในร่างกายโยมมันจะแปรสภาพเป็นหวัดที่กำลังเกิดขึ้นมาได้ส่วนหนึ่ง เมื่อภูมิต้านทานโยมอ่อน แล้วโยมไปสมาคมกับสังคมก็ดี ในที่ชุมชนที่มีคนมากก็ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วต้องทำจิตให้เรานั้นแข็งแรง ทำห้องดับจิตให้เราสะอาด เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    6AA1C9F7-D76B-43F6-8573-42D744D2AF84.jpeg

    การที่เราจะออกรบ นักรบพอจะออกเค้าจะมีอะไรบ้างจ๊ะ มีชุดเสื้อเกราะ มีอาวุธมั้ยจ๊ะ นั้นก่อนที่โยมจะไปสร้างบารมีอะไรก็ตาม โยมจะเจริญพรหมจรรย์ก็ดี ออกรบเพื่อเรียกว่าจะมาฆ่าสังหารนิวรณ์ ฆ่าสังหารกิเลสตัณหาอุปาทานมันไม่เป็นบาป แต่มันจะเป็นบุญกุศลบารมีอย่างเดียว

    นั้นเสื้อที่โยมจะต้องใส่..โยมต้องมีศีล อาราธนาศีลให้ถือศีล ถ้าโยมรักษาศีลดีเสื้อเกราะโยมมันก็ดี ก็เป็นเกราะป้องกันภัย อาวุธก็คือสติ อ้าว..แล้วหมวกโยมต้องมีมั้ยจ๊ะ เอาไว้กันน๊อค เค้าบอกให้เรานั้นระลึกถึงมงกุฏพระเจ้า ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ รู้จักมงกุฏพระเจ้ามั้ยจ๊ะ..ให้เราอาราธนาเสกลูบหัวอย่างนี้

    ศีลให้เราระลึกถึงอธิษฐาน ในศีล ในทาน ภาวนาที่เรานั้นได้บำเพ็ญมา ขอจงโปรดรักษากายสังขารของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานเอากายสังขารนี้เพื่อจะเอาไปประพฤติปฏิบัติเจริญในพรหมจรรย์ เจริญบารมีให้เกิดขึ้นในบารมีทั้ง ๑๐ ก็ให้เราอธิษฐานไป

    แล้วให้อธิษฐานถึงครูบาอาจารย์ อธิษฐานบริวาร อธิษฐานบริวารเป็นอย่างไร คนที่มีบริวารมากๆทำอะไรมักประสบความสำเร็จได้ง่าย ไปอยู่ที่ใดก็เหมือนว่าเรานั้นมีกำลัง ไม่เหงา ไม่โดดเดี่ยว ไม่มีความกลัวสะดุ้ง โยมไปไหนคนเดียวถ้าไปเจอศัตรูไปคนเดียวโยมกลัวมั้ยจ๊ะ นั้นการอธิษฐานบริวารเป็นอย่างไร อธิษฐานบริวารคืออธิษฐานเมตตาจิต คือการแผ่เมตตาจิตออกไป ๑ ครั้งนั่นแหล่ะจ้ะ เค้าเรียกว่าอธิษฐานบริวาร

    "อธิษฐานบริวาร"คือ..อธิษฐานเมตตาจิต ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญภาวนา ถือศีลในพรหมจรรย์นี้จงขอสำเร็จกับดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เทพเทวดาเจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ภพใดอยู่ชั้นฟ้าใดวิมานใดก็ตาม ทั่วทุกจักรวาลพิภพแสนจักรวาลพิภพก็ดี หากได้รับรู้ในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญความเพียร ประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา

    หรือเราจะบวชเนกขัมมะ หรือจะทำการสิ่งใด..ยกสิ่งนั้นมาเป็นประธานแห่งกรรมแห่งกุศล และอธิษฐานจิตให้กับเจ้ากรรมนายเวรจิตวิญญาณทั้งหลาย เทพยดาเจ้าทั้งหลาย พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระเพลิงพระพาย พญายมราช ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ที่รู้นามไม่รู้นาม จงได้มาโมทนา มีผลส่วนในบุญกุศลของข้าพเจ้าที่พึงจะได้ประโยชน์ในขณะนี้ ขอบุญนี้จงบังเกิดกับทุกดวงจิตดวงวิญญาณ..อย่างนี้ ให้มาโมทนาบุญกับเรา อย่างนี้เค้าเรียกว่าอธิษฐานบริวาร..

    นั้นถ้าโยมอธิษฐานไปถึงกับผู้ที่เค้ามีบารมี เทพเจ้าองค์อินทร์เจ้าทั้งหลาย หรืออธิษฐานไปถึงพระอรหันต์ขีณาสพ พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายอย่างนี้ ถามว่าโยมจะมีกำลังมากมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่ามีกำลังมหาจักรพรรดิ์ อ้าว..การอธิษฐานนั้นมีอานิสงส์มาก ถ้าโยมอยากรู้โยมก็ลองอธิษฐานดู..

    ให้เราตั้งจิตอธิษฐาน แม้เราจะเดินก็ดี นั่งก็ดี ก็ให้อธิษฐานบุญกุศล เราจะอธิษฐานได้ตอนไหน..ที่จิตเรานั้นจะมีอานุภาพมหาศาล ไม่มีอะไรต้านทานได้ ก็จิตที่เรานั้นตั้งใจปรารถนาจะอธิษฐานแล้ว พร้อมแล้วที่เรานั้นจะรบ ก็อธิษฐานฟ้าดินได้ ถ้าจิตเรานั้นปราศจากเมฆหมอก ก็คือพ้นจากอนุสัยก็ดี พ้นจากนิวรณ์ทั้ง ๕ แล้วก็ดีนั้น เรียกว่า"จิตที่มีกำลังมาก"

    จิตเมื่อไม่มีนิวรณ์มาปกคลุม โลกธาตุทั้งปวงย่อมมองเห็นแสงสว่างในกายเรา นั้นขอให้เราตั้งจิต การตั้งจิตให้เราระลึกถึง ถ้าเราไม่ว่านะโม ๓ จบให้เราระลึกถึง ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยอันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่าได้ลืมอย่าได้ขาด..ก็คือบิดามารดา และครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหลาย..อย่างนี้เราอย่าได้ลืมหรือขาด ไม่งั้นมันจะไม่ครบองค์ประชุม เค้าเรียกว่าไม่ครบองค์ของครูบาอาจารย์

    เราอธิษฐานไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกอธิษฐานบารมี เค้าเรียกอธิษฐานบริวาร ทอดกฐินต้องมีบริวารมั้ยจ๊ะ คนบุญไม่พอไม่มีบริวารเลยก็อาจจะไม่รอด นั้นอธิษฐานบริวารทำอะไรมันไม่เหนื่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอเราอธิษฐานบริวารกำลังจิตบารมีโยมจะมีกำลังประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราจะเดินก็ดี นั่งก็ดี ก็ทำได้นานในความเพียร เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มันจะทำให้เรามีความสุข สิ่งไหนที่เรามีความสุขในสิ่งนั้น มันทำให้เราเหนื่อยล้ามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ค่ะ) มันทำให้เรามีความเพลิดเพลิน ในความเพลิดเพลินไม่ได้บอกว่าเรานั้นขาดจากสติ แต่ในความเพลิดเพลินนั้นทำให้เราคือมีสุข คนเมื่อมีสุขแล้ว..มันจะมีความพอใจตั้งมั่นในสิ่งนั้นได้นาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเราต้องอธิษฐานบารมีอธิษฐานบริวาร..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    362B141F-2A25-489F-90C6-9589F559CD2D.jpeg

    โยมอย่าประมาทในกุศลอยู่ ความตายไม่เลือกหน้า ผู้ดี ยาจก อะไรตายทั้งหมด จะเป็นสมณชีพราหมณ์ก็ต้องตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ชีวิตหลังความตายน่ะไม่เหมือนกัน เพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะก่อนตายโยมทำอะไรมา..

    เค้าจึงบอกว่าทาน..ถ้าโยมยังไม่ทำโยมก็ให้ทำซะ จิตกุศล..มันมีน้อยโยมก็สร้างซะ ศีล..เมื่อไม่เคยรักษาหรือรักษายังไม่ค่อยได้ก็รักษาซะ ภาวนาฝึกอบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละ ให้รู้จักการให้หรือไม่ บางคนบอกไม่มีทรัพย์ จะเอาอะไรไปให้ สละความสุข สละอารมณ์ที่เป็นอกุศล ก็เรียกว่าอโหสิกรรม..เคยมีมั้ยจ๊ะ

    มีเคล็ดลับอยู่อย่างว่า ในทางโลกของมนุษย์ที่มีอุปสรรคมาก เป็นเพราะมนุษย์นั้นขาดการอโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวรหรืออารมณ์นั้นที่มันควบคุมไม่ได้นี้ มันเหนือกว่าเรานี้ มันจึงติดตามเป็นเงาหรือเป็นความมืด เมื่อมีความมืดโยมจะเห็นมันมั้ยจ๊ะ อ้าว..มันก็ย่อมบดบัง สิ่งที่ควรจะได้กลับไม่ได้ สิ่งที่ควรจะมีกลับไม่มี สิ่งที่มีแล้วมันถูกบังไป..เราก็มองไม่เห็น

    ดังนั้นแล้วถ้าต้องการให้อุปสรรคในทางชีวิตก็ดี ในทางธรรมก็ดีทางโลกก็ดี โยมต้องเจริญเมตตาภาวนาจิตด้วยการอโหสิกรรมเป็นอภัยทาน นี้เมื่อโยมมีทานแล้ว..ศีลมันก็เกิดเองโดยธรรมชาติโดยอัตโนมัติของมัน เมื่อศีลบังเกิด..ปัญญามันก็บังเกิด เมื่อปัญญาบังเกิด..วิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันต้องมีขั้นตอนมีองค์ประกอบของมัน

    ดังนั้นโยมต้องให้ทาน ทานคือการให้โดยไม่หวังผล ทานคือการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ถ้าทานนั้นให้แล้วหวังผลทานนั้นจะไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อทานไม่สัมฤทธิ์ผลทานไม่บริสุทธิ์ ศีลที่โยมจะรักษาและสัมผัสในความสงบระงับจากเวรภัย..ย่อมเข้าไม่ถึงได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ การจะเกิดทานที่เป็นมหาทาน ก็คือการให้อภัยทาน ที่มนุษย์นั้นมันให้กันยาก

    เหตุใดถึงให้กันยาก ก็เหตุเพราะว่ามนุษย์นั้นมีอัตตาจึงเข้าถึงอนัตตาไม่ได้..แห่งความปล่อยวางแห่งอารมณ์โทสะก็ดี ถือตัวถือตนก็ดี สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในจิตวิญญาณแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย แล้วจะทำอย่างไร..มันก็ต้องให้ทานเสียก่อน ให้เมตตา ให้กรุณา ให้มุทิตา คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายก็เกิดมาร่วมเกิดแก่เจ็บตายกับเรา มนุษย์ทั้งหลายก็มีอารมณ์แบบเดียวกับเราคือโทสะ คือโมหะ คือโลภะ คือมีความอยากได้ใคร่ดี..ก็แบบเดียวกัน

    ใครทำให้เรานั้นเหม็นขี้หน้า ไม่ชอบหน้า..ล้วนแล้วตัวเรานั้นแลทำให้เราเกิดกรรมขึ้นมา ไม่ต้องไปโทษใคร จงให้อภัยทุกคน เพราะเพียงลำพังกรรมของเค้าเค้าก็แย่อยู่แล้ว ฝึกจิตให้เกิดเมตตา เมื่อเราไม่พอใจใครให้เราเมตตา แผ่เมตตาส่งกุศลให้เค้า คืออภัยทานให้มาก นั่นแหล่ะจ้ะเค้าเรียกการ..ฝึกเมตตา

    เพราะถ้าโยมไม่ชอบหน้าใคร..แล้วมีการผูกใจเจ็บ ไม่มีทางหรอกจ้ะที่โยมจะต้องพ้นหน้ากัน โยมต้องเจออยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่เจอคนนี้ไอ้คนใหม่มันก็เข้ามา จำไว้นะจ๊ะ ถ้าโยมไม่อยากเจอคนแบบนี้คนพาลก็ดี โยมจงแผ่เมตตาให้มากๆ การแผ่เมตตามากๆมันจะทำให้เรานั้นห่างไกล แต่การผูกจิตมันทำให้ใกล้มั้ยจ๊ะ..

    อ้าว..ก็เราผูกจิตไปพยาบาทระลึกถึงมันทุกวัน..มันก็ใกล้สิจ๊ะ แต่ถ้าเราแผ่เมตตาให้เค้า..ใจเราจะสบาย คือไม่ผูกอาฆาตพยาบาท หมายถึงว่าเรานั้นเมื่อแผ่บ่อยๆอโหสิกรรมบ่อยๆ..อภัยทานบ่อยๆ กรรมเรานั้นยุติได้..หาย แต่ถ้าเค้านั้นไม่วาง ยังมีความอาฆาตพยาบาทของจิตกับเราอีก..มันก็เรียกว่าเผาตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าพยาบาทกับผู้ที่ไม่พยาบาทตอบ..อย่างนี้

    เมื่อเราไม่มีเชื้อแล้ว ไม่ว่าเค้าจะส่งทำคุณไสยคุณลมอะไรเราก็ดี ยิงธนูไฟมาก็ดี ถามว่ามันจะกลับไปที่ใคร มันก็ต้องกลับไปที่บุคคลที่ทำมา เพราะมันหาเป้าหมายไม่ได้ ไม่มีผู้ที่จะรับ มันต้องกลับไปที่เดิมมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ที่เดิม) แต่ส่วนมากไม่ค่อยกลับ ส่วนมากจะรับ..เออว่าของกู ตะกี้มึงว่ากูใช่มั้ย นี่เค้าเรียกว่ามีตัวตนมันเป็นอย่างนี้..

    ฉันขอเตือนไว้ให้โยมนั้นละตน เตือนตน เมื่อโยมมีตนมากเท่าไหร่โยมก็มีกรรมมากเท่านั้น โยมละตนได้มากเท่าไหร่กรรมโยมก็น้อยเท่านั้น เมื่อไม่มีตนเลยก็หมดกรรมเมื่อนั้น นั้นก็ต้องเตือนตนด้วยสติอยู่บ่อยๆ เตือนตนรักษาตน

    เมื่อเราเห็นโทษแบบนี้แล้วไซร้ กำหนดรู้ได้ เราจักเมตตาผู้อื่นเค้า เมื่อนั้นแลเราจักไม่มีเวรพยาบาทกับใคร จะไม่โทษใครว่าใครผิด นั่นคือการวางเฉยเสียได้แล้ว คือถ้าใครผิดให้ผิดนั้นเป็นเรา เราจะให้อภัยกับคนทั้งโลกได้

    ถ้าโยมให้อภัยตัวเองไม่ได้ ให้อภัยใครไม่ได้ นั่นคืออกุศล โยมย่อมเข้าถึงทาน เข้าถึงบุญ เข้าถึงศีล เข้าถึงพระรัตนตรัยไม่ได้ แม้โยมไปร่วมสร้างโบสถ์วิหารก็หาว่าเป็นสำเร็จเป็นโบสถ์วิหารเป็นหลังไม่ เพราะทานโยมไม่บริสุทธิ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้น ผู้ใดเจริญภาวนาจิต..สงบระงับจากเวรภัยภายนอก แล้วมีจิตที่เมตตาแผ่บุญกุศลออกไปที่การละความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ให้ผลแห่งบุญกุศลให้ทุกสรรพสัตว์ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณนั้น เขาพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวรพ้นภัย ให้เขาสำเร็จสุขทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ย่อมมีอานิสงส์มากเท่ากับการได้สร้างโบสถ์ ๑ หลัง โดยไม่ต้องลงทุนด้วยเงินตรา

    เพราะเงินตรานั้นเป็นของสมมุติ แต่ใจที่โยมมีความศรัทธานั่นแล เมื่อกระทำแล้ว สำรวมแล้ว เข้าถึงแล้วการสัมผัสด้วยความสงบด้วยใจ นั้นคือลงทุนด้วยบุญฤทธิ์ที่ได้เคยสะสมมา เมื่อเป็นแบบนั้นก็เรียกว่าใจนั้นเกิดฤทธิ์ เมื่อใจเกิดฤทธิ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อมสำเร็จด้วยใจ คือนะเมตตา...เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    31FA4DCE-DD04-40D1-9CFC-F1515576C24F.jpeg

    ที่โยมเดินกันเดินมีสติมั้ยจ๊ะ แล้วหาอะไรเจอกันบ้างจ๊ะ แล้วโยมรับกรรมฐานไปแล้ว ทำไมไม่สำรวมกาย วาจาให้มันดีล่ะจ๊ะ ในลานกรรมฐาน..ยิ่งโยมสงบมากเท่าไหร่ ศีลโยมก็บังเกิดมากเท่านั้น อันว่าสำรวมกาย วาจา ใจก็คือศีลให้เกิดขึ้น จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัย แล้วที่โยมเดินกันเดินได้อะไรบ้างจ๊ะ ถ้าโยมได้สติได้สมาธิโยมต้องมีกำลังจิต ความหดหู่เศร้าหมองใจย่อมจะไม่บังเกิดกับโยม หรือกับบุคคลใดที่ปฏิบัติได้แบบนั้น

    เดินเพื่อให้มันขับไล่สิ่งอัปมงคลหรือนิวรณ์ที่มันมาปกคลุมดวงจิต เดินให้พิจารณา..เมื่อเท้าเราสัมผัสพื้นก็จะเกิดความรู้สึก ไอ้ความรู้สึกนั่นแหล่ะคือผัสสะ จะทำให้เกิดสติเกิดตัวรู้ไปกระทบให้รู้รูปนาม แล้วถ้าโยมไม่เอารูปเอานามมาประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วโยมจะเอาอะไรปฏิบัติจ๊ะ..

    บางคนก็เดินทอดน่อง บางคนก็เดินทอดอารมณ์ รู้จักเดินทอดอารมณ์มั้ยจ๊ะ เคยทอดปลามั้ยจ๊ะ ทอดปลาก็อยากจะให้สุกอย่างเดียว ไอ้พวกเดินทอดอารมณ์ก็จะเดินอย่างเดียว คือการเดินทอดอารมณ์นั้นชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว คือเดินตามอารมณ์ชองกูน่ะ กูจะเดินยังไงก็เรื่องของกู

    นี้โยมไม่มีสติกับการเดิน การสำรวมกาย วาจา ใจ การเดินที่โยมเดินโยมก็ต้องรู้ เท้าโยมก้าวออกไปสัมผัสนั้น..ในขณะที่โยมสัมผัส โยมไปเหยียบลูกหินที่มันมีคมมีแหลม โยมรู้สึกอย่างไร บางคนสติไม่เท่าทัน..สะดุ้ง ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วถ้าคนมีสติน่ะเค้าสะดุ้งก็จริง..แต่เค้าจะไม่ยกเท้าหนี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะคนที่ยกเท้าหนีเค้าเรียกกลัว เกิดความกลัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วพอกลัวแล้วโยมก็ต้องคอยระวัง ไม่กล้าลงเท้าเต็ม เดินเขย่งเท้าเหมือนผู้ดีตีนแดง ตะแคงตูดเดินแบบนั้น โยมมาทำอะไรกันจ๊ะถ้าแบบนี้

    อันว่าการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงกรรมฐาน คือการละอารมณ์ ทีนี้โยมไม่สร้างอารมณ์ก่อน มันจะมีอารมณ์มั้ยจ๊ะ โยมจะรู้อารมณ์มั้ยจ๊ะ อารมณ์เหล่าใดก็ตามที่มากระทบมาสัมผัส เรียกว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งนั้นหรือเรียกเหตุแห่งธรรม

    ถ้าโยมไม่เห็นเหตุแห่งธรรมแล้ว โยมจะเอาธรรมที่ไหนมาพิจารณาให้เกิดปัญญาล่ะจ๊ะ แล้วโยมจะมองตับไตไส้พุงโยม แล้วโยมจะมองเห็นมั้ยจ๊ะ โยมก็ย่อมมองไม่เห็น ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยมยังหลงอยู่ว่าสวยว่างาม ว่านี่ตัวกูของกู บางคนเดินไปพิจารณาเล็บเท้า โอ้..เล็บไม่สวยซะแล้ว

    นั้นความกลัวเราจะกำจัดได้อย่างไร เราก็ต้องมีภาวนาจิต มีสติกำหนดรู้ ใช่มั้ยจ๊ะ นี้โยมยังไม่รู้สึก..ว่าถ้าเราเหยียบไปเต็มๆเท้า ลงน้ำหนักลงไปแล้วจะเป็นอย่างไร การเดิน การนั่ง การยืน อันที่จริงแล้วเมื่อโยมผ่านไปทางใด แม้ทางนั้นมีหนามโยมก็ต้องเดินถ้าเป็นผู้นักปฏิบัติจริง

    เพราะอะไรเล่า..นั่นแหล่ะคือวิบากกรรมของเรา แต่ถ้าคนมีปัญญามันคงไม่โง่ไปเหยียบหรอกจ้ะ ใช่มั้ยจ๊ะ มันก็เดินข้ามไปสิจ๊ะ แต่เดินทางเดียวมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ฉันบอกอย่างนี้ อ้อ..อย่างนี้ก็ต้องเหยียบลุยไปเลย ก็สมควรแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นโยมก็ต้องเดินข้ามเอาสิจ๊ะ อันนั้นมันเกินวิสัยของเรา

    แต่ถ้าโยมไปเหยียบลูกหินที่มันมีคม มันทำให้โยมสะดุ้ง ไอ้ตัวสะดุ้งนี่มันทำให้โยมมีสติขึ้นมา ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วถ้าโยมไปใส่รองเท้า..โยมมีสติมากน้อยแค่ไหนล่ะจ๊ะ นั้นการจะประพฤติปฏิบัติทำอะไรมันต้องสัมผัสให้ครบดิน น้ำ ไฟ ลม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ครบธาตุทั้ง ๔

    แต่ถ้าโยมจะนั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา โยมก็ต้องนั่งเอาขาคู้ เอาขาขวาทับเท้าซ้าย นิ้วโยมน่ะ..นิ้วโป้งก็ต้องชนกัน เพื่อให้ธาตุไฟเตโชนี้มันหมุนเวียนครบรอบ ไม่ต้องชนกันได้มั้ยจ๊ะ อ้าว..แบบนี้ไม่มีใครบัญญัติว่าไม่ได้ แต่ธาตุโยมจะเสีย สมาธิจะรวมตัวกันยาก เพราะเมื่อมันไม่เกิดพลังงานแล้ว มันไม่จดจ่อไม่ต่อเนื่อง พลังงานก็จะออกจากเราไป นี้เค้าเรียกว่าจะทำให้กายสังขารนั้นเสื่อมเร็ว

    แต่ถ้านิ้วโป้งชนกันนี้..พลังงานจะอยู่ในกายของเรา จะปรับธาตุ เมื่อมันออกกันไม่ได้..มันก็ไปออกทางรูขุมขน หรือรูกระหม่อม หรือทวาร ขับคราบเหงื่อคราบไคล เชื้อโรคหรือสิ่งอัปมงคล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้ามันไม่มีทางออกมันจะออกทางไหน มันก็จะผลักดันออกทางทวาร รูขุมขน กระหม่อม ก็เป็นทวารอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าให้ธาตุไฟเตโชครบองค์ประชุม

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    C376E858-0F3C-4958-AD44-D00E7E20E373.jpeg

    อาการ ๓๒ อาการใดอาการหนึ่ง..เมื่อโยมพิจารณาแล้วเห็นสภาวะความไม่เที่ยง ไอ้ความไม่เที่ยงมันต้องพิจารณาให้ถึงความเบื่อหน่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ายังไม่เบื่อแสดงว่ายังไม่ถูกจริต ให้พิจารณาเรื่อยไปอีก เรื่อยไปอีก..จนมันแคบลง แคบลง เค้าถึงบอกว่ามันอยู่ที่ปัญญาอยู่ที่สติเรา ถ้าสติเรายังไม่ตั้งมั่น อย่าเพิ่งไปพิจาณาอะไรที่มันกว้างๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ความไม่เที่ยง..คืออะไร ก็อารมณ์ใดที่เรายกขึ้นมาเค้าเรียกปรารภธรรม ตรึกตรองในธรรม อารมณ์เหล่าใดธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ดี เมื่อเราพิจารณาแล้วเห็นสภาวะไม่เที่ยง เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..แล้วดับไปนั่นแล แล้วถ้าเห็นแล้วมันทำให้เราสลดเกิดความสังเวช ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในกายสังขารนี้ เกิดความละความพอใจ อย่างนี้แล้วให้เราพิจารณาอารมณ์นั้นเป็นหลัก

    พอเราพิจารณาอารมณ์นั้นเป็นหลักแล้ว แล้วเข้าถึงอารมณ์นั้น เข้าถึงความสงบ ก็เอาความสงบนั้นเจริญวิปัสสนาญาณเป็นวิปัสสนาได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าสมถะที่เรายกขึ้นมาเป็นอาการ ๓๒ ก็ดี..เอามาพิจารณาอสุภะก็ดี เพื่อแก้อาการจริตของเรา บางคนมีโทสะจริต มีโมหะจริต มีราคะจริตเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    จริตพวกเหล่านี้มันทำให้จิตเรามันฟุ้ง จิตเราไม่รวมเป็นหนึ่ง จิตเราไม่สงบ จิตเราไม่ตั้งมั่น จิตเราไม่เป็นเอกัคคตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าเค้าทำให้เรานั้น..อุบายทั้งหลายทำให้เรานั้นได้เข้าถึงความสงบ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ บางคนก็พุทโธ บางคนก็ยุบหนอ พองหนอ, สัมมา อะระหัง, พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พวกเหล่านี้มันเป็นองค์บริกรรม องค์ภาวนา เป็นอุบายให้จิตนั้นเข้าถึงความสงบ

    เพราะการเราเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในการดูองค์ภาวนาก็ดี ดูองค์บริกรรมก็ดี เค้าเรียกว่าจิตเป็นฌาน เพราะการเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เช่นว่าภาวนาพุทโธ..ก็พุทโธอย่างเดียว อย่างนี้เค้าเรียกว่าวิตก วิจาร อยู่ในปฐมฌานแล้ว ดังนั้นแล้วอาการใดอาการหนึ่งก็ดีใน ๓๒ ที่โยมได้พิจารณา ยกมาข้อหนึ่ง..

    บางคนก็ถูกจริตสัณฐานในกระเพาะอาหาร มีอาหารเก่าอาหารใหม่คั่งค้าง บางคนก็พิจารณาสัณฐานในน้ำเลือดน้ำหนองอย่างนี้ บางคนก็พิจารณาร่างกายสังขารเป็นท่อน เป็นชิ้น เป็นอัน แยกออกจากกัน ขาขาด หัวขาด บางคนก็พิจารณาสัณฐานคือความอืดเน่าพองว่าศพ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วันอย่างนี้มีสัณฐานสีเขียวสีแดง ช้ำเลือดช้ำหนอง ไหลคลุ้งแบบอย่างนี้ก็พิจารณาอย่างนี้ แล้วพิจารณาแล้วมันเข้าถึงจริตเรา มันทำให้จิตเราตื่นรู้ ทำให้เรานั้นคลายจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจากความกำหนัดเสียได้นั่นแล..อย่างนี้แลเค้าเรียกว่าเราถูกจริต ให้เราพิจารณาให้บ่อยๆ เมื่อพิจารณาเข้าถึงความสงบได้นั่นแลเราก็เจริญวิปัสสนา

    ถ้าโยมเจริญวิปัสสนาเจริญปัญญาอยู่ขณะนั้น แม้มีความง่วงก็ดี..ความง่วงมันจะค่อยๆสลัดหายออกไปหายออกไป เพราะว่าอะไรรู้มั้ยจ๊ะ เพราะว่าแสงปัญญาเมื่อสาดส่องไปที่ใด..อวิชชามันจะอยู่ไม่ได้ ก็เหมือนว่าที่ไหนมันรกร้าง มันเป็นป่าชัฏ เมื่อโยมไปถางมันเตียนแล้ว โยมเห็นทุกอย่างแล้ว..ความกลัวโยมจะมีมั้ยจ๊ะ มันก็ไม่มีความกลัว

    แสงสว่างที่เราสาดไปนั่นแล เมื่อเห็นแล้วมันทำให้จิตเราเบิกบานสว่าง อะไรที่ถูกปกปิดก็จะเห็นตามความเป็นจริงมั้ยจ๊ะ ไอ้ที่เรายังมีความลังเลสงสัย แสดงว่าจิตเรายังไม่สว่าง จิตเรายังไม่ตื่นรู้ มันจึงเห็นแจ้งแทงตลอดไม่ได้ ดังนั้นอาการเหล่านี้ ธรรมเหล่านี้ เค้าเรียกธรรมสังเวช ทำให้เราเกิดธรรมสังเวชเกิดขึ้น

    ธรรมสังเวชเมื่อเราพิจารณาแล้วทำให้เราเกิดความสลดหดหู่ หดหู่นี่ไม่ได้บอกทำให้จิตเราหดหู่ แต่หดหู่หมายถึงว่าทำให้จิตเราตื่นรู้ เห็นตามความเป็นจริงว่าอะไรมันปกปิดซ่อนอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ปกปิดซ่อนอยู่ที่ใต้สิ่งที่เราหลง ยึดมั่นถือมั่นมาเนิ่นนาน บางคนก็ยึดมั่นถือมั่นมาเนิ่นนานในกายสังขารนี้ว่าเป็นของกู ใช่มั้ยจ๊ะ ไปหลงพิถีพิถันบำรุงบำเรอมาเนิ่นนาน จนมาบัดนี้ก็ยังเหี่ยว ก็ยังหย่อน ก็ยังยาน ก็ยังคล้อย ก็พิจารณาไป..

    ดังนั้นแล้วอะไรก็ตามที่โยมพิจารณาแล้วมันเป็นไปในทางเพื่อการละ เพื่อทำให้โยมนั้นเกิดความสลดหดหู่เศร้าหมอง ความไม่เที่ยง..นั่นเรียกว่ากรรมฐานทั้งนั้น โยมจะยกข้อใดข้อหนึ่งก็ดีเอามาพิจารณา แสดงว่าโยมกำลังเจริญพระกรรมฐานอยู่ ถ้าอารมณ์เหล่าใดนั้นโยมเกิดความพอใจ เกิดความเคลิบเคลิ้มใจ เหล่านั้นไม่เรียกว่ากรรมฐานเลย แบบนั้นเค้าเรียกว่าจิตเรานั้นอยู่ภายใต้ของกามคุณอยู่

    ไอ้พวกกามคุณนั้นต้องทำอย่างไร ต้องแก้ด้วยอะไร ถ้ายังแก้ไม่ได้ ยังพิจารณาธรรมอะไรยังไม่ได้ ปัญญามันยังไม่มากพอที่จะไปพิจารณาในธรรม ให้เรามีภาวนา คำว่าภาวนาเหมือนว่าเป็นหลัก เหมือนไม้ไปปักหลักไว้ ให้จิตเรานั้นจับไว้ แสดงว่าอารมณ์นั้นจิตมันยังไม่สงบ แสดงว่ามีอารมณ์มาพัดพาทำให้จิตเราฟุ้ง

    เพราะว่าจิตนี้จะว่าเป็นจิตก็ยังไม่ได้ มันจะเป็นสภาวะธรรมสภาวะหนึ่ง ถ้าเราไม่มีหลักแล้ว..จิตนี้เลื่อนลอยมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เลื่อนลอยค่ะ) เราต้องจับไว้ ไอ้การที่ไปจับจิตเลย..เอาอะไรไปจับมัน เอามือไปจับมันได้มั้ยจ๊ะ จับมันก็ไม่ได้ ก็เรียกว่าจิตนี้มันก็ไม่ใช่จิตเลยทีเดียว แต่ไอ้สิ่งที่จับได้ก็คือ..คือการไปจับใจ ใจเราไปยึดไปพอใจอะไร เราเอาสติไปรู้อยู่ตรงนั้น คือไปรู้อารมณ์ตรงนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นจิตนี้เราจึงต้องมีองค์ภาวนา เพื่อให้จิตมันอยู่กับภาวนา จิตอยู่กับภาวนา จิตอยู่กับพระรัตนตรัย ก็เหมือนที่ดวงจิตสุดท้ายที่โยมจะไป จิตที่โยมทำอะไรจิตที่โยมระลึกถึงอะไรอยู่..จิตโยมก็อยู่ที่ตรงนั้นก่อนที่โยมจะไป ก่อนที่โยมจะหลับนอน เข้าใจแบบนี้มั้ยจ๊ะ นั้นฝึกให้มันเคยชิน..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    21EC1B3A-9E19-4DDD-AADD-D644BDDDA22F.jpeg

    ลูกศิษย์ ๑ : หลวงปู่คะ เชื้อไวรัสที่แพร่กระจายอยู่ตอนนี้ ประเทศไทยเอาอยู่มั้ยคะ
    หลวงปู่ : ประเทศไหนมันจะมาเอาอยู่ได้ยังไงจ๊ะ ถ้ามันเอาอยู่มันจะไปที่ทั่วประเทศได้ยังไง มันไปกับลม มันไปกับลมหายใจ มันสิงสู่คน สัตว์ มันไปกับอากาศไปกับลมหายใจ

    ลูกศิษย์ ๒ : เกิดมาจากอะไรน่ะครับ
    หลวงปู่ : อ้าว..มันเกิดมาจากคนไง เกิดมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจ อะไรที่มันติดจากลมหายใจต้องเกิดจากสิ่งที่มีชีวิตที่มีลมหายใจ ที่มันแพร่ไปที่มันกลายไป เค้าเรียกว่ามันกลายพันธุ์ นั้นคนที่ขาดศีลขาดธรรมมันก็จะกลายพันธุ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เกิดจากความโลภความหลงทั้งนั้น

    นั้นยาที่จะช่วยโยมปกป้องไวรัสตัวนี้ได้ โยมต้อง"สร้างภูมิต้านทาน"ให้จิตโยม คือกำหนดลมหายใจ ทำจิตให้สะอาดนั่นแล เชื้อโรคมันไม่ชอบอยู่ที่จิตสะอาด หรือเชื้อโรคมันไม่ชอบอยู่ที่จิตนั้นว่าง เข้าใจคำว่าจิตว่างมั้ยจ๊ะ

    จิตที่ว่างคือจิตที่ว่างจากความคิด ว่างจากอุปาทานแห่งขันธ์ ว่างจากความฟุ้งซ่าน ว่างจากความอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ถ้าใครมีความอาฆาตพยาบาทมาก มีความกลัวมาก ไอ้พวกนี้มันรู้ เพราะมันมีวิญญาณเช่นเดียวกัน มันก็จะไปตามหา เค้าเรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร.
    .
    ลูกศิษย์ ๓ : หลวงปู่ครับ..แล้วโรคที่เกิดอยู่ตอนนี้จะรักษาได้มั้ยครับหลวงปู่
    หลวงปู่ : ก็รักษาใจ โยมรักษาใจได้โรคทั้งหลายมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้ารักษาใจไม่ได้โยมไม่ต้องรอเป็นไข้หวัดนี้หรอกจ้ะ ใช่มั้ยจ๊ะ โยมเป็นไข้ธรรมดาโยมก็ตาย นั้นรักษาใจให้เป็นปรกติ ศีลจะคุ้มครองเอง

    ศีลนี้เมื่อมันเป็นปรกติแล้วเลือดโยมก็เป็นปรกติ ถ้าศีลโยมผิดปรกติเม็ดเลือดเซลเลือดโยมจะผ่าเหล่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ และนี่เป็นการเปิดช่องว่างที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของโยมนั้นบกพร่อง อะไรที่มันบกพร่อง..คือศีลที่บกพร่อง กำแพงที่ว่ามันจะเข้ามามันรั่ว..มันก็เข้ามามั้ยจ๊ะ

    มันเข้ามาทางไหนบ้าง ทางลมหายใจ สัมผัส ถ้ามองตากันคงไม่เป็นแน่นอน เพราะนั้นลมหายใจจึงสำคัญ นั้นโยมจงเปลี่ยนลมหายใจโยมเสียใหม่ เปลี่ยนลมหายใจโยมให้เป็นลมดี อย่าให้เป็นลมร้อน ลมร้อนคืออะไร..อย่าให้อารมณ์มันร้อน อย่าให้อารมณ์มันเสีย ทำให้อารมณ์มันเย็น

    ลมมันเย็นมันเป็นอย่างไร ไม่ได้กินน้ำเย็นแล้วบอกว่าลมจะเย็น เค้าบอกว่าลมเย็นคือ..ทำลมให้มันสงบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อลมมันสงบแล้วไอ้พวกเชื้อนี้มันก็แพร่กระจายไม่ได้ เรียกเป็นต้นเหตุมั้ยจ๊ะ เรียกเข้าถึงเหตุมั้ยจ๊ะ อ้าว..เลือดลมมันไม่กระจาย มันจะแพร่ได้มั้ยจ๊ะ

    คนทุกวันนี้ที่มันตื่นกันไปหมดเพราะมันกลัวตาย กลัวนั่นกลัวนี่ มันแพร่เร็วมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เร็วค่ะ) นี่แหล่ะจ้ะ มันแพร่เร็วก็เพราะมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันขาดจากสติ คนที่มีสติเค้าจะมีภูมิต้านทานร่างกายที่แข็งแรง คนที่ขาดสติภูมิต้านทานก็จะอ่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั่นหมายถึงว่าถ้าโยมยอมรับความเป็นจริงว่า ไม่ว่าโยมไม่เป็นโรคนี้ ไม่ใช่ว่าโยมจะไม่ทันสมัยกับเค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือโยมไม่เป็นโรคนี้โยมก็ต้องเป็นโรคอื่นตายอยู่ดี ใช่มั้ยจ๊ะ

    เออ..เพราะฉะนั้นให้โยมระลึกถึงความตาย ยิ่งโรคพวกนี้มันมาแล้วก็ให้ระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ เมื่อเราระลึกถึงความตายแล้ว..เราก็จะพ้นโรคพวกนี้ได้ แต่ถ้าโยมกลัวตายเมื่อไหร่ โรคนี้มันจะมาหาโยม..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    DD7DE3EC-2BC8-46C7-9C6B-03DB7BA46F57.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ การปฏิบัติธรรมจะทำยังไงให้เหมือนกับดูหนังดูละครครับ จะทำยังไงให้การปฏิบัติธรรมมีจิตเหมือนกับตอนดูหนังดูละครน่ะครับ

    หลวงปู่ : มันจะยากเย็นตรงไหน ก็ตอนที่โยมดูโยมก็ปฏิบัติไปด้วยสิจ๊ะ อ้าว..ปฏิบัติก็นั่งปฏิบัติ นั่งเพ่งดูจิตไปด้วย เอาหนังเอาละครเป็นเพื่อนไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ เห็นหนังมันเล่นอะไรเราก็พิจารณาตามมัน โยมอย่าไปเคลิบเคลิ้มตามมัน ถ้าเคลิบเคลิ้มตามจะทำให้เรานั้นเพลิดเพลิน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อะไรเมื่อดูอะไรแล้วเรามีสติมันก็ไม่เพลิดเพลิน

    ดังนั้นเมื่อเราดูเราก็อาศัยมันดู เรานั่งประพฤติปฏิบัติเราไปด้วย เพ่งดูจิตของเราไปด้วย เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างน้อยมันก็ให้ประโยชน์บ้าง แต่ถามว่าให้นั่งประพฤติปฏิบัติก็เหมือนเราชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องดูว่าสิ่งที่เราทำ เราต้องทำให้เพลิดเพลิน ก็คือการเจริญประพฤติปฏิบัติธรรม อย่าไปเกร็งตึงเครียดกับมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำแบบประพฤติปฏิบัติธรรมก็คือธรรมชาติของจิต

    นั่งไปแล้วถ้ามันง่วง ง่วง..ก็นอนสิ นั่งหาอะไร..นอนเข้าไป นอนเราก็นอนให้มีสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เออ..เราก็นอนให้มีสติ นอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมาเดินอยู่อย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำให้เราชอบ อย่าไปฝืนธรรม ง่วงเราก็นอน แต่ก่อนจะนอนขอให้เรามีความเสียก่อน ดูความง่วงให้เป็นเวทนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ บางคนไม่ได้ดูเลย กลับเข้ามาก็นอนเลย ใช่มั้ยจ๊ะ มันต้องดูก่อนหรือว่าชิมก่อนว่ามันมีพิษมั้ย มันมีโทษมีภัยยังไง ดังนั้นทำให้เรามันชิน เกิดความพอใจ

    นั้นการประพฤติปฏิบัติธรรมมันเป็นของที่ไม่ได้ทำกันง่ายๆ ต้องอาศัยความพอใจความศรัทธา นั้นการเจริญอิทธิบาท ๔ นั้นมีความพอใจ มันอะไรบ้างล่ะจ๊ะ ที่โยมต้องสะสมให้มันเกิดขึ้น มีความเพียร มีความวิริยะ ใช่มั้ยจ๊ะ มีจิตจดจ่อตั้งมั่น มีการตรึกตองในธรรม สิ่งเหล่านี้มันต้องทำให้เกิดขึ้น คือโยมต้องมีความพอใจยินดี อ้าว..มันยินดีพอใจตอนไหนเราก็ทำตอนนั้น ทีนี้ความยินดีพอใจของโยมนั้นทำเสมอต้นเสมอปลายรึเปล่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมทำเสมอต้นเสมอปลายไม่ต้องกลัวหรอกจ้ะ โยมก็ทำได้ตลอดเวลาที่โยมจะพอใจ

    อิทธิบาท ๔ เป็นอย่างไร มีความพอใจในสิ่งที่ทำในความเพียรในกุศลก็ดี รู้จักอิทธิบาท ๔ มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) โยมรู้จักรึเปล่า ไม่ใช่สักแต่ว่าท่องแต่ไม่เข้าใจในความหมาย โยมต้องรู้จักก่อนว่าฉันทะ..คือความพอใจ เรามีความพอใจหรือไม่ เช่นว่าเราพอใจจะให้ทาน เรียกว่าเป็นการเจริญอิทธิบาท ๔ อย่างหนึ่ง

    แล้วคนที่เจริญอิทธิบาท ๔ น่ะ มันจะให้มันก็ให้โดยง่าย ก็เรียกเป็นการอบรมบ่มจิต รู้จักการสละ..จะไม่เสียดาย มีความฉันทะมีความพอใจเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ย่อมต้องมีความเพียร มีความเพียรแล้วก็ต้องมีอะไร อ้าว..โยมทำความเพียรอะไรอยู่ โยมก็ต้องจดจ่อในสิ่งนั้น จิตที่ตั้งมั่นและจดจ่อนั้นแล..เค้าเรียกว่าสมาธิมันก็บังเกิด ฌานมันก็บังเกิด

    บุคคลใดกำหนดสมาธิได้ก็เรียกว่าฌานก็บังเกิดขึ้นมาพร้อมกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..ถ้าสมาธิเกิดขึ้นไม่ได้ฌานก็เกิดขึ้นไม่ได้ นั้นผู้ใดมีสมาธิผู้นั้นผู้มีฌาน และผู้ใดผู้ทรงสมาธิเจริญสมาธิเป็นผู้ว่าผู้นั้นทรงฌานหรือทรงความดี เมื่อบุคคลทรงความดีจะตกนรกหมกไหม้ก็ทำได้ยาก แล้วบุคคลใดที่เจริญทรงฌานทรงกุศลอยู่ใดก็ตาม ถ้ามีใครไปปรามาสก็ดี..บุคคลนั้นก็อาจจะร่วงอเวจีได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมไม่ควรไปปรามาสผู้ใดเลยที่เขาเจริญความเพียรอยู่ เขาจะมีความเพียรมากน้อยเพียงใดก็ตาม เรียกว่าเขามีความเพียรในทางฝ่ายดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ เขาถึงบอกว่าไอ้พวกที่ทำบาป..แต่มาโมทนากับคนที่ทำบุญก็ไปกุศลไปสวรรค์ ไอ้คนทำความดีแต่จิตนั้นไปคิดถึงคนไม่ดี..จิตก็เป็นอกุศล ดังนั้นแลมันอยู่ที่จิตของโยมเป็นกุศลหรืออกุศล เรียกว่ามีความพอใจจดจ่อตั้งมั่นหรือไม่ ไม่ให้อกุศลมาข้องแวะหรือมารบกวนในกุศลที่เราทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าอกุศลที่มารบกวนจิต ให้โยมรู้ได้เลยว่าในขณะนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยพยาบาทมาดร้ายไว้ เขาได้มาขอส่วนบุญ ให้สำรวมจิตตั้งมั่นแผ่เมตตาออกไปหนึ่งครั้ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าจะได้ไม่กวนเรา พอเค้าอิ่มแล้วเค้าก็ไปของเค้า นั้นการที่จะเข้าถึงศีลได้เราต้องเจริญทาน ทาน..ไม่ใช่บอกว่าไม่มีเวลาไปให้เลย ทานสละด้วยการให้อภัยทาน อโหสิกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    871D8014-3A0D-4529-B305-503043465488.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ เรื่องโรคระบาดน่ะค่ะ ที่มันระบาดแบบมากมาย มันรู้สึกขยายเป็นวงกว้างมาก แล้วมันจะแก้ไขได้มั้ยคะ

    หลวงปู่ : ก็ทำให้มันแคบลงสิจ๊ะ เราอย่าไปที่มันเป็นชุมชน ที่มันเป็นชุมนุม เราอยู่ในที่ของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อยู่ที่มันสงบ เค้าจะไม่แพร่กระจาย อะไรที่มันไม่สงบมันแพร่กระจายได้ไว เหมือนอารมณ์ของจิต ถ้าจิตโยมไม่สงบ..มันจะแพร่กระจายไปยังที่คนอื่น มันไปสร้างเวรสร้างพยาบาท แต่ถ้าจิตเราสงบแล้ว เยือกเย็นแล้ว อารมณ์เหล่านั้นจะแพร่กระจายได้มั้ยจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ แล้วอย่างบางคน..อย่างสมมุติอย่างเรานี่ เราไม่ไปที่ไหนที่เป็นที่แออัด หรือว่าที่ๆมันทีคนเยอะ แต่ถ้าอย่างแบบคนทำงาน หรือว่าลูกต้องไปเรียนหนังสือต้องไปโรงเรียน มันต้องไปสัมผัส ต้องไปในที่ๆเป็นแบบชุมชน อย่างเช่นตอนเดินทางรถเมล์หรือว่ารถไฟฟ้าอย่างนี้ มันต้องเจอะเจอผู้คน เราจะช่วยเค้ายังไงคะที่ไม่ให้เค้าติดต่อ เพราะว่าอย่างถ้าเป็นต่างจังหวัดมันไม่มีปัญหา แต่ถ้าในกรุงเทพมันต้องเจออยู่แล้ว..

    หลวงปู่ : โยมต้องเข้าใจคำว่า"กรรม" อะไรจะเป็นกรรม..ไม่ว่าโยมจะไปอยู่กับคนที่เป็น เมื่อโยมไม่ส่งจิตออกไปภายนอก จิตโยมมีภาวนาแห่งจิต มีองค์บริกรรม จิตโยมก็ไม่ติดเชื้อ เพราะในขณะจิตที่โยมภาวนาอยู่ มันจะมีกระแสแห่งพระรัตนตรัยคุ้มครอง ก็คืออำนาจแห่งศีล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ฉันถึงได้บอกว่าองค์ภาวนานี้จะคุ้มครองภัยโยม ไม่ว่าโรคระบาด..โรคสองบาท..สามบาทก็ตาม มันจะเป็นภูมิคุ้มกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมก็สอนให้ลูกหลานภาวนาสิจ๊ะ มันยากมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ยาก..แต่เค้าอาจจะยาก) เค้าอาจจะไม่ชอบพุทโธก็ได้ เค้าอยากภาวนาอะไรให้เค้าภาวนาไป..

    แต่คนเรามันก็กลัวตายเหมือนกันทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เอาสิ่งที่กลัวนี้แหล่ะบอกเค้า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จงจำเอาไว้ ถ้าเรามีองค์ภาวนาแล้ว..จิตเราไม่ส่งออกไปภายนอก เชื้ออะไรก็ตามมันก็เข้าเราได้ยาก ถ้าเข้า..มันก็ออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าวทำไมมันเข้าแล้วมันถึงอยู่ไม่ได้ แล้วมันถึงออก..

    อ้าว..ก็จิตเรานั้นไม่ได้ไปกักอารมณ์นั้นไว้ เรามีจิตที่ปล่อยวางและมีองค์ภาวนาอยู่ เค้าเรียกว่าเชื้ออะไรก็ตามวิญญาณอะไรก็ตาม..มันก็จะผ่านไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าอย่างที่โยมกังวล เราจะทำยังไงให้ลูกหลาน หรือบุคคลอันเป็นที่รักนั้นรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ โยมต้องรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า"กรรม"มันเป็นของๆตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าเค้าไม่เชื่อแล้วก็ไม่มีอะไรจะบังคับเค้าได้ นอกจากให้กรรมนั้นมันให้ผล คนที่เค้าเชื่อและศรัทธาในพระรัตนตรัยนั้นจริงๆ ถึงบอกว่าเป็นผู้มีบุญมีวาสนามีบารมีนั่นเอง คนที่มีบุญวาสนาบารมีย่อมมีเทพเทวดาเจ้ารักษา คำว่ารักษาหมายถึงว่า..แม้จะเป็นโรคเป็นภัยก็คือต้องมีหมอดีรักษา แล้วยาดีอะไรก็จะเจอ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ แต่คนที่มีกรรมแม้มีเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถรักษาได้ เพราะเรียกว่ายาไม่ถูกกับโรค รักษาไม่ถูกหมอ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วขอให้โยมจงมีองค์ภาวนา ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้..ต้องไปที่ตรงที่มีชุมชนมากก็ดี ให้เรามีสติมีองค์ภาวนาไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเชื้อโรคทั้งหลายเค้าถึงบอกว่ามันไม่ค่อยชอบอากาศที่ถ่ายเท นั้นการที่เราภาวนาจิตอยู่ ลมหายใจเราเดินสะดวก เข้าใจมั้ยจ๊ะ อากาศถ่ายเทดี เชื้อโรคพวกนี้..ไม่ชอบอยู่

    แต่ไอ้พวกที่มีจิตอาฆาตพยาบาทจิตอิจฉาริษยา จิตที่มีโลภมีโกรธมีหลงอยู่ แต่ไม่รู้อารมณ์ของตัวเองนี้แล มันจะดึงพวกเชื้อพวกนี้เข้ามาได้ง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วให้เราฝึกจิตออกจากบ้านมาก่อน เมื่อจิตสงบภาวนาจิตแล้วให้แผ่เมตตา อานิสงส์ของการแผ่เมตตานี้จะคุ้มครองเราได้ จิตที่ไม่ปรารถนาจะมุ่งร้ายใคร มันก็เรียกว่า..จิตเมตตา

    นั้นถ้าเรากลัวอะไร..แม้เราไม่ตายด้วยโรคนี้ เราก็ต้องตายด้วยโรคอื่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอย่าได้ไปกลัวกับโรคเลย เพราะตัวเราก็เต็มไปด้วยสารพัดโรค เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะเพิ่มอีกซักโรคจะเป็นอะไรไป..

    ลูกศิษย์ : แล้วกรณีคนที่เป็นแล้ว แล้ววิธีการวางจิตวางใจทำยังไงล่ะคะ
    หลวงปู่ : เออ..ไม่ต้องไปวางใจ..ก็เตรียมตัวตาย เตรียมตัวตายวาระสุดท้ายก็ยังได้อานิสงส์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่คนเราที่ไม่เคยฝึกจิตเลย จะไปบอกให้เค้าเตรียมตัว เค้าเรียกว่ามันไม่ทัน เหมือนภัยมาแล้วบอกให้ต่อแพโยมว่ามันทันมั้ยจ๊ะ นี่แหล่ะเมื่อกรรมมันให้ผลแล้ว..จะให้ทำยังไงได้

    โยมเชื่อกรรมเถอะจ้ะ ถ้าโยมเชื่อกรรมแล้ว..โยมจะมีสติ คือยอมรับความเป็นจริง กรรมอันใดที่เราไม่ได้เคยทำมา ถึงแม้เราจะเจอ..เราก็จะพ้นมันได้ แต่ถ้าเราทำมา..แม้โยมไม่อยากเจอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขอให้โยมมีองค์ภาวนาไว้ โรคภัยที่มันมาตอนนี้มันก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างหนึ่ง มันมากับอากาศ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เจ้ากรรมนายเวรมันมาหลายรูปแบบ คำว่าเจ้ากรรมนายเวร..ทำไมมันจึงเป็นเจ้ากรรมนายเวร..ก็สิ่งที่เราไม่สามารถเหนือมันได้ มันจึงเรียกเป็นเจ้ากรรมนายเวรเหนือเรา อารมณ์..ถ้าโยมอยู่เหนืออารมณ์เท่าทันอารมณ์ได้ ถ้าโยมควบคุมได้..โยมจะเห็นกรรม

    เมื่อเห็นกรรมแล้วก็ไม่อยากเป็นเวรเป็นภัยกับใคร เมื่อไม่อยากเป็นเวรเป็นภัยกับใคร เจริญเมตตาอโหสิกรรมอยู่บ่อยๆ เวรพยาบาทมันก็เบาบาง จนจิตเรานั้นไม่มีความอาฆาตพยาบาท มีแต่ความคิดดีปรารถนาดีกับคนอื่นอย่างนี้..สิ่งนี้ต่างหากที่จะปกป้องเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อเราอยู่เหนืออารมณ์ เราก็อยู่เหนือกรรม คำว่าอยู่เหนือกรรม..ไม่ได้บอกว่าจะพ้นกรรม โยมต้องเห็นกรรมก่อน เมื่อเห็นกรรมแล้วจึงมาแก้ไขกรรม จึงแก้ไขพฤติกรรมของตัวเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราแก้ไขแล้วนั่นแลกรรมมันถึงจะเบาบาง เมื่อกรรมมันเบาบางแล้ว กรรมที่มันจะให้ผลในอดีต..คำว่า"เบาบาง"ก็เรียกว่ามันจะผดุงกรรมไว้ได้

    แต่คนที่มันเจอวิบากกรรมตอนนี้ เค้าเรียกว่ากรรมมันให้ผล ดังนั้นโยมต้องรักษากายสังขารไว้ให้ดี ให้รอดพ้นจากช่วงเวลานี้ไป โยมพ้นปีนี้ไปได้โยมก็หายใจคล่องขึ้นอีกหน่อย ปีนี้หายใจฝืด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่าอากาศไม่ค่อยดี อากาศเป็นพิษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ขออนุโมทนาบุญกับช่องส่องผีด้วยนะครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    516AAFA0-1D52-4F4C-AF16-E12F388937BE.jpeg

    ทีนี้เราจะมาว่ากรรมฐานในการเดินจงกรม บางคนอาจจะสงสัยหรือไม่มีหลัก หรือว่ามีหลักแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจ เมื่อเราไปอีกที่หนึ่งก็จะมีอีกแบบหนึ่ง ไปอีกสำนักหนึ่ง อีกวัดหนึ่ง อีกอาจารย์หนึ่ง..ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เรามาว่ากันด้วยสำนักที่ว่ายุบหนอ พองหนอ ยก ย่าง เหยียบหนอเหล่านี้..

    คำว่าหนอ..คืออะไร รู้จักหนอมั้ยจ๊ะ หนอคืออะไรจ๊ะ คำว่าสิ่งใดการใดก็ตามที่เราไม่รู้ในสิ่งนั้น เมื่อเราทำไปจิตเราก็ยิ่งจะมีความสงสัย แม้จะไม่มีความสงสัย แต่ก็ทำให้เข้าถึงในสิ่งนั้นได้ช้า อะไรที่ทำแล้วทำด้วยความเข้าใจ..เราก็จะทำด้วยมีสติ ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรานั้นมีกำลังในการประพฤติปฏิบัติ

    นั้นคำว่าหนอนี้คืออะไร โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ แสดงว่าโกณฑัญญะเป็นผู้รู้แล้วใช่มั้ยจ๊ะ แสดงว่าคำว่า"หนอ"นี้คือผู้รู้ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นเมื่อโยมยก..กำหนดเท้าเดิน เป็นอิริยาบถที่เรายก..เค้าบอกว่ายก ตัวยกตัวนี้ที่เรากำหนดนี่คือตัวสติ คือตัวระลึกได้ พอเราย่างก็ดี..เราก็รู้ พอเราเหยียบก็ดี เค้าถึงได้บอกว่ายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ

    แต่ว่าไอ้ตัวที่เรายกนี้เค้าเรียกว่ากำหนดรู้ตัวสติ รู้ในอิริยาบถที่เราทำอยู่ พอเราเหยียบลงไป ย่างลงไป อย่างนี้เรียกว่าเรารู้ หรือเรียกว่ายกก็รู้ ย่างก็รู้ เหยียบก็รู้ เหมือนโยมตื่นรู้อยู่ ทำอะไรก็รู้อยู่นั่นแล แสดงว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเป็นอุบายแห่งธรรมอย่างหนึ่ง นั้นคำว่าหนอก็คือตัวรู้ ตัวผู้รู้ แต่ว่าตัวผู้รู้นั้นยังไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ที่รู้แจ้งและเห็นจริง แต่เราต้องฝึกรู้และพิจารณาอยู่บ่อยๆ เพื่อให้เข้าถึงตัวปัญญา

    เมื่อตัวปัญญามันบังเกิด..นี่แหล่ะเค้าเรียกว่ารู้ด้วยปัญญา นั้นตัวรู้..ถ้ารู้อย่างเดียวแล้วยังไม่ได้เกิดปัญญา มันยังเป็นความจำอยู่ มันเป็นสัญญาอยู่ ยังไม่พ้นจากสมมุติบัญญัติ แต่ตัวรู้นี้ถ้ารู้ด้วยปัญญาแล้วมันก็จะรู้แจ้งของมัน เมื่อรู้แจ้งแล้วมันจะคลายความสงสัย เมื่อเราไม่มีความสงสัยสิ่งนั้นจึงว่าเราจะวางสิ่งนั้นได้

    นั้นการที่เราจะกำหนดเดินจุดหมายปลายจงกรมเรา แม้การจะนั่งเจริญสมาธิก็ดี บางคนก็นั่งแล้วไป"พุท"หายใจเข้า "โธ"หายใจออก..นับหนึ่ง "พุท"หายใจเข้า "โธ"หายใจออก..นับสอง ไอ้ตัวนับตัวนี้เค้าเรียกตัวรู้หนอเช่นเดียวกัน นั้นเราจะมากล่าวถึงว่าการเดินจงกรมแบบรู้หนอ..

    รู้นี่ยังไม่ได้เห็นหนอ เพราะรู้นี่คือรู้ในอิริยาบถที่เราทำอยู่ ถ้าเห็นหนอนี่เค้าเห็นด้วยปัญญา เห็นด้วยอริยสัจ และเห็นตามความเป็นจริง มันก็จะวางทุกอย่างได้ คือไม่ติดสงสัยอะไรแล้ว การวางทุกอย่าง..วางอย่างไร คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด หรือคำสรรเสริญนินทาใดๆเค้าเรียกว่าวางเฉย คือว่าสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าเห็นอย่างนี้

    ดังนั้นเราจะมากล่าวว่าการเดินหนอ..เป็นอย่างไร เค้าถึงได้บอกว่าเมื่อเรายก..กำหนดยก..ย่างก็ดี..เหยียบก็ดี..เหยียบหนอ..ให้เรานับหนึ่งก้าว ยกหนอ..ย่างหนอ..เหยียบหนอ..ให้นับสองก้าว โยมจะเดินไปสุดทางโยมจะเอาซักกี่ก้าวดี ถ้าเราจะเอาซัก ๓๒ ก้าว เรากลับมาเดินกลับมาเค้าเรียกว่ามีจุดหมายปลายจงกรม ถ้าเรามีก้าวแล้วเราจะลืมตาก็ดี หลับตาก็ดี..มันก็เป็นสมาธิ

    ดังนั้นคำว่าหนอนี้คือตัวรู้ ตัวยกนี้ในอิริยาบถเค้าเรียกว่าตัวระลึกได้ หรือเรียกว่าตัวสติ เรามีสติที่เท้า ที่เรากำลังทำอยู่ เดินอยู่ ย่างอยู่ สัมผัสอยู่อย่างนี้ จะทำให้จิตเราตั้งมั่น ทำไปแรกๆแล้วมันจะขัดต่อความรู้สึกหรือเท่าทัน นั่นก็หมายถึงว่าเรายังไม่เท่าทัน อะไรที่เรายังไม่ชินนั้นแลมันก็เลยมีการขัดๆ ติดๆขัดๆ เมื่อเราชินแล้วมันจะเรียกว่าเกิดฌาน เดินไปด้วยในการที่เรานั้นกำหนดฌานเพ่งรู้อยู่ในอาการที่เราทำ

    ทีแรกเราจะรู้สึกหนักหน่วงในตัว น้ำหนักมันจะลงไปที่เท้า เมื่อเรากำหนดจิตเป็นสมาธิแล้ว จิตเราเป็นฌาน เพ่งรู้อยู่เท่าทันในอารมณ์ในอิริยาบถที่เราเดินเท่าทันรู้ ทีนี้จิตจะเริ่มเบา กายจะเบา เดินๆไปเหมือนเราจะลอยได้ ที่จริงเราไม่ได้ลอยไปไหน ก็เหมือนเรานั่งสมาธิก็เช่นเดียวกัน แรกๆจะรู้สึกอึดอัด ธาตุไฟมันรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด รู้สึกอึดอัด อยากจะลุกอยากจะเดินจะเหินไปไหน

    เหล่านี้เค้าเรียกว่าจิตนั้นเมื่อว่ามาฝึกแล้วอุปมาเหมือนว่า..มันไม่รู้สึกว่าเป็นอิสระ ดังนั้นแลเราต้องรู้จักว่าข่มจิต ข่มใจ ข่มอารมณ์ ข่มต่อความรู้สึก ฝึกอบรมบ่มจิตให้มีอุเบกขาขันติแห่งธรรมอย่างนี้ แล้วยิ่งในเวลากลางค่ำกลางคืนในราตรี..การเดินจงกรมจึงมีประโยชน์และมีอานิสงส์มาก เพราะจะทำให้จิตเรานั้นตื่นรู้ได้อยู่ตลอดเวลา

    เมื่อเราเดินจนมีกำลังแล้ว และกายและจิตมันตั้งมั่นจนเป็นหนึ่งแล้ว เป็นเอกัคคตาแล้ว แม้จะเดินก็ดี นั่งก็ดี เราจะสามารถอยู่ในความเพียรได้เนิ่นนาน ตามที่เรานั้นจะกำหนดประพฤติปฏิบัติไปจนกว่าเราจะละความเพียรไปเอง ดังนั้นแล้วก็อยากให้โยมรู้ บางคนเดินก็ยังสงสัย แม้กระทั่งพุทโธว่าเดินไป บางคนบอกว่ากำหนดว่า "พุท"ยก "โธ"เหยียบ ก็คิดว่าเรานั้นในการเดินจงกรมเราไปเหยียบพุทโธ

    แท้ที่จริงก็หาว่าเป็นอย่างนั้นไม่ คำว่าพุทนั้นเรากำหนดอยู่ที่ใจ แต่สติเราอยู่ที่เท้า แต่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ พอบอกว่า"พุท"ก็อยู่ที่เท้าแล้วคำว่า"พุท" พอว่า"โธ"เหยียบก็อยู่ที่เท้า แสดงว่าสตินั้นความรู้สึกนั้นมันยังไม่เท่าทัน นั้นเมื่อเราฝึกจนเท่าทันแล้วนั่นแล เราจะเข้าใจว่า ใจนั้นเป็นประธาน ใจนั้นถึงก่อน เรากำหนดรู้ว่า"พุท"นั้น ว่า"โธ"นั้น..กำหนดรู้อยู่ที่ใจ แต่สติเราอยู่ที่ใดอย่างนี้แล

    เมื่อเราฝึกได้อย่างนี้แล้วจะมีความละเอียด มีความเท่าทันในอารมณ์ มีสติ มีกำลังในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่คิดจะเดินก็เดินอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วสมาธินั้นมันจะฟุ้งซ่านได้ง่าย แล้วมันจะมีความเบื่อหน่ายมีความอ่อนล้า อย่างไรก็ตามหากเราไม่มีหลักอันใดเลย มันก็เหมือนไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีแบบแผน

    นั้นวิชาทั้งหลายถ้าเรามีหลักมีแบบแผน เหมือนที่เราจะไปที่ใดเรามีแผนที่โยมจะเสียเวลามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่เสียค่ะ) ถูกต้องแล้ว เวลาที่เรามีอยู่ยังไปทำอย่างอื่นได้อีกมาก ดังนั้นแล้วพื้นที่ก็ดี สถานที่ก็ดีพอประมาณที่จะให้ประพฤติปฏิบัติ เจริญความเพียรเจริญจิตอย่างนี้..ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    29D01A8E-9579-4ADD-A959-84D5810B63A7.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ แดนนิพพานนี้มีสภาพยังไงคะ
    หลวงปู่ : แดนนิพพานไม่มีสภาพ โยมจะเอาสภาพแบบไหนจ๊ะ เพราะแดนนิพพานมันเป็นสภาวะที่ว่าง จะหาสภาพอะไรมาบรรยายไม่ได้ แต่คนที่เข้าถึงสภาวะนิพพานแล้วจะรู้สภาพเอง สภาพเป็นยังไง..สภาพที่หมดจากอารมณ์แห่งความอยาก อารมณ์ที่ว่าไม่มีอารมณ์ของอารมณ์แล้ว คืออารมณ์มันดับแล้วนั่นแล..เค้าเรียกว่าสภาวะนิพพาน

    นั้นว่านิพพานเป็นสภาพอย่างไร จึงบอกสภาพไม่ได้ แต่บอกว่า..ยังไงถึงเรียกว่านิพพานได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นนิพพานมันต้องดับจากกายสังขาร ดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ เมื่ออารมณ์ในขันธ์ ๕ ไม่มีให้เกิดแล้ว ภพชาติก็ไม่มี เมื่อไม่มีภพชาติ..บ้านเรือนก็ไม่มี แล้วโยมจะเอาสภาพอย่างไร

    แต่รู้สภาพได้ว่าจะนิพพาน..เป็นอย่างไร อันนี้บอกได้ เพราะว่าเมื่อเราดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ได้ ตัดความอยากอุปาทานแห่งขันธ์ ความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเราดับได้ ทำนิโรธให้แจ้ง เห็นทางออกจากทุกข์ แล้วประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาให้ถึงตัวปัญญา จนสิ้นสงสัยแล้ว..คือความไม่อยากเกิดอีกต่อไป เห็นภัยในวัฏฏะ เห็นได้อย่างนี้..นี่ล่ะคือทางออกที่จะไปนิพพาน นี่คือสภาวะที่จะเกิดขึ้น..

    นั้นสภาวะที่เกิดขึ้นแห่งนิพพานมันต้องดับ..ต้องเห็นแจ้งอยู่ภายในกาย ไม่ได้เห็นแจ้งจากภายนอก นั้นนิพพานที่เกิดจากภายนอก..ไม่มี มันต้องดับอยู่ที่กายสังขารดับอยู่ที่ใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือดับอารมณ์ในขันธ์ ดับที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร โยมยังยึดรูปอยู่..เวทนาจะดับได้มั้ย..ดับไม่ได้ สัญญาก็ดับไม่ได้ สังขารก็ยังปรุงแต่งอยู่อย่างนั้น จิตวิญญาณก็วนเวียนสิงสู่เกิดอยู่ร่ำไป เป็นหมา เป็นคน เป็นโน่นเป็นนี่อยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น ไม่จบอย่างนี้..

    แต่ถ้าโยมจะดับชาติดับภพ..โยมต้องดับที่รูป คือกายสังขารที่ทำให้เป็นแดนเกิด กายนี้ทำให้มนุษย์นั้นเกิดตายอยู่อย่างนี้ นั้นเพ่งโทษมันเข้าไป สาปแช่งมันเข้าไป..ว่าการเกิดมันเป็นทุกข์อย่างไร ให้พิจารณาให้ถึง

    แต่ถ้าโยมอยากรู้ว่าสภาวะนิพพานเป็นอย่างไร เรามาบอกว่าสภาวะนิพพาน..เอาไม่ต้องเข้าถึง เอาบอกเป็นบ้านเป็นเรือนนึง นี่ก็เป็นเมืองนิพพานแล้ว มีต้นไม้ มีคนเดินอยู่ ๒-๓ คน มีเสียงรถวิ่ง อีแต๋นบ้าง ตุ๊กตุ๊กบ้าง อ้าว..นิพพานได้ แต่เราไม่สนใจ ไอ้โน่นทำอะไรทำไร่ทำนาก็ทำไป ข่าวมันจะออกการเมืองไม่เมืองก็เรื่องของมัน

    แสดงว่าสภาวะนิพพานอยู่ได้ทุกที่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เราไม่เอาจิตเราส่งไปไปสนใจมัน เมื่อเราไม่สนใจมัน ไม่เอาจิตออกไปข้างนอก เราก็ทำนิพพานให้มันแจ้งได้ ดังนั้นเราจะอยู่ในโลกใดเราก็สามารถนิพพานได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมถามว่านิพพานเป็นสภาพแบบใด โยมจะอยู่ในเมืองอยู่ในป่าอยู่ที่ไหน..ก็นิพพานได้ เพราะนิพพานมันอยู่ในกายสังขารเรา เพียงโยมรู้ที่ดับที่เกิดที่ตั้งของเหตุแห่งสมุทัย แห่งนิโรธ แห่งมรรค

    ถ้าโยมรู้อริยสัจ ๔ โยมจะเข้าถึงกฎแห่งไตรลักษณ์ ดังนั้นเมื่อโยมแจ้งกฎแห่งไตรลักษณ์แล้ว โยมจะเห็นความเบื่อหน่าย เห็นสภาวะความเป็นจริง เมื่อเราเห็นสภาวะความเป็นจริง จิตเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วเป็นยังไง..หลุดมั้ยจ๊ะ ไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่น..มันไปยึดมั่นอะไรอยู่ เมื่อโยมยึดมากในกายสังขาร..ทุกข์มั้ยจ๊ะ

    เมื่อใดโยมวาง..เค้าบอกว่าการทำสมาธิทำยังไงให้สงบ อะไรบอกถึงความสงบ ทำยังไงให้เข้าถึงความสงบ เค้าบอกให้วางให้มากๆ รู้จักวางให้มากๆมั้ยจ๊ะ เออ..วาง อะไรมากระทบ..วางมัน คิดอะไรอยู่ก็วางมัน ไม่สนใจมัน ใครจะด่าใครจะว่า..วาง วางมัน..คือไม่รับ พอไม่รับมันก็ผ่าน เพราะร่างกายสังขารเราเป็นของโปร่งแสง วางทุกอย่าง วางแล้ว..วางมากเท่าไหร่ก็สงบมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมอยากจะทำสมาธิอยากให้เข้าถึงความสงบ..วางอย่างเดียว คือไม่ต้องสนใจอะไรเลย วางทุกตำรา ไม่ต้องไปคิดว่า โอ้..อาจารย์นั้นสอนแบบนี้ วางหมด การทำสมาธิที่มันสงบไม่ต้องมีตำรา วางทุกตำรา วางอย่างเดียว พอโยมวางเมื่อสงบแล้วเดี๋ยวตำราจะเกิดขึ้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เช่นคำสอน สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติมาเคยได้ยินมา..ทีนี้มันจะมาพิจารณาธรรมแล้ว

    นั้นโยมจะไปพิจารณาธรรมได้โยมต้องวางก่อน โยมต้องมีสมาธิก่อน ถ้าไม่มีสมาธิมันเป็นยังไงจ๊ะ..จิตมันจะฟุ้ง ถ้าจิตมันฟุ้งโยมจะเอาจิตไปทำอะไรไม่ได้เลย เพราะโยมจะไม่สามารถควบคุมจิตได้ คนที่ควบคุมจิตไม่ได้..บางคนมีญาณวิเศษ มีพลัง แต่ไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ มันจึงใช้ไม่ได้ประโยชน์อะไร

    บางคนมีความรู้มาก..เป็นไงจ๊ะ แต่ควบคุมความรู้ไม่ได้ เอาเป็นหลักอะไรไม่ได้เลย ไปเดินเตะกระป๋อง ใช่รึเปล่าจ๊ะ เพราะเค้าเรียกว่าวัดที่ตัวสติ นั้นคนที่ฝึกสมาธิเค้าเรียกว่าฝึกสติ นั้นสติที่ดีตั้งมั่นต้องเป็นอย่างไร..ต้องอาศัยความสงบ สถานที่ก็ดี ความวิเวกก็ดี ที่สถานที่เป็นสัปปายะก็ดี นั้นจะบอกได้ยังไงว่ามันจะสงบได้อย่างไร สงบแล้วมากได้แค่ไหน นั่นก็คือต้องวางให้มาก เค้าเรียกว่าปล่อยวางนั้นแล

    ถ้ามัวแต่ยึดอยู่ มันต้องอย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนี้นะ..ไม่มีทางสงบหรอกจ้ะ แต่ถ้าไม่สงบด้วยเรื่องอันใดให้โยมกำหนดรู้ในสิ่งนั้น..จึงว่าวิตกวิจารไป แต่ถ้าโยมอยากรู้ว่าสมาธิจะให้สงบมันมากเพียงใด..โยมวางให้มาก มีอารมณ์อันใดเข้ามาโยมก็วาง พอรู้อารมณ์แล้ว..วางอารมณ์นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ฝึกวางอยู่บ่อยๆ ถ้ามันวางไม่ทันทำยังไง เอาองค์ภาวนาเข้ามาช่วย นั่งแล้วไม่สงบเราก็ไปเดิน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..พระพุทธเจ้าท่านยังบอกการปฏิบัติธรรมมียืน เดิน นั่ง นอน แต่การนอนนี้ถ้าสังขารโยมไม่ไหวแล้วจริงๆเราก็นอนมีสติ นอนภาวนาอยู่ในกาย พอมีกำลังเราก็ประพฤติปฏิบัติธรรมต่อ เพราะการนอนนั้นด้วยสีหไสยาสน์ตะแคง..ถ้าโยมนอนมีสติ จิตที่มันอ่อนล้ามันก็สงบได้ แม้โยมได้หลับชั่วขณะจิตหนึ่ง โยมก็จะมีกำลัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    FA02449B-6818-4491-ADF3-B596BED81233.jpeg

    เค้าว่าสวดมนต์เป็นยาอะไรจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ยาทา) ไม่จริงจ้า..ทาได้ยังไง ไหนลองบอกสิจ๊ะ ฉันเห็นฟังมานานเหมือนกันนะ สวดมนต์เป็นยาอะไรจ๊ะ..ยาชา ถ้าอย่างนี้ฉันเห็นด้วยจ้า เพราะสวดมากๆแล้วมันชา เมื่อยไปหมดเลย อันนี้เรื่องจริง ฉันเห็นจริงๆ อ้าว..นี้เรื่องจริง เป็นธรรมของจริง สวดมากๆน่ะชาไปหมดเลย หนักๆเข้ามือก็ชา ซักพักปากชา นิ่ง..หาย..ง่วง..หลับ..นี่เค้าเรียกชาไปหมด

    นี่เค้าเรียกว่าสวดมนต์นี้จริงๆแล้วเป็นยากินจ้ะ เพราะโยมทำมาจากภายใน อะไรที่ทำมาจากภายในเขาเรียกว่ายากินทั้งนั้น..ไม่ใช่ว่ายาทา ถ้ายาทาน่ะเค้าเรียกว่าทาน..นั่นเป็นยาทา ถ้ายากินต้องทำมาจากข้างใน

    โยมบริจาคร่างกายสังขารตอนที่โยมตายแล้วนี่เค้าเรียกว่าทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมยังเป็นๆอยู่แล้วบริจาคอวัยวะให้กับคนผู้ที่กำลังจะตาย..นี่เรียกว่ายากิน เป็นทานอันสูงสุด..เป็นมหาทาน เพราะทำมาจาก"ใจ" อะไรที่ไม่มีใจเป็นประธานน่ะ..จำไว้นะจ๊ะ คณะสงฆ์ทั้งหลายทั้งปวงโมทนาบุญตรงนั้นไม่ได้..ไม่ครบองค์ ต้องมีประธาน เพราะใจเป็นประธานแห่งกรรมทั้งปวง เข้าใจหรือไม่จ๊ะ

    นั้นสวดมนต์บอกว่าเป็นยาทาไม่ได้..ต้องเป็นยากิน แต่สวดมากๆแล้วจะเป็นยาชา เพราะถ้าโยมไม่ชานะ อ้าว..โยมไม่ชาก่อนน่ะเขาก็รักษาโยมไม่ได้ เพราะโยมจะเจ็บ งั้นโยมต้องนั่งสวดเข้าไปให้ชาไปเลย อย่าไปกลัวมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะในขณะที่โยมสวดอยู่จิตโยมตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วไซร้ ไม่นานโยมเข้าใจในอักขระภาษาที่โยมสวด ปัญญาก็บังเกิดในขณะนั้น เกิดความเชื่อความศรัทธานอบน้อมเข้าในพระรัตนตรัย ดวงธรรมดวงปัญญาโยมบังเกิดแล้ว เห็นตามความเป็นจริงในสภาวะธรรมแห่งจิตที่โยมนั้นตั้งมั่น นั่นก็เรียกว่าโยมกินจนมันถ่ายออกมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงไม่เรียกว่ายาทาเลย..

    บอกว่าการสวดมนต์เป็นยาทา พอวิปัสสนาบอกว่าเป็นยากินทันที ถ้าจิตโยมยังไม่สงบโยมไปวิปัสสนาได้ยังไง โยมก็วิปัสสนึกอย่างเดียว ดังนั้นถ้าโยมไม่สงบแล้วโยมก็วิปัสสนาไม่ได้ ที่โยมกินน่ะโยมต้องไล่ของเสียก่อนคือยาถ่าย หรือโยมไม่กินยาถ่ายน่ะ ไม่ล้างแผล..มันก็ติดเชื้อนะจ๊ะ แผลติดเชื้อ..โยมต้องล้างก่อน ดังนั้นการสาธยายมนต์นี่มีอานิสงส์มาก เพราะทำให้โยมนั้นบรรลุธรรมได้

    เพราะไอ้ที่โยมสวดอยู่เค้าเรียกเป็นการปฏิบัติ ขยับปากนี่เค้าเรียกปฏิบัติมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช่ค่ะ) เปล่งเสียงออกมาใช่ลมปราณมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช่ค่ะ) จิตตั้งมั่นใช่สมาธิมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช่ค่ะ) เออ..ใช่หมดแล้ว ไม่เรียกปฏิบัติแล้วเรียกอะไร ก็เรียกปฏิบัติทั้งนั้น สวดมนต์นานๆจะมีกำลัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อินทรีย์โยมจะผ่องใส

    ลูกศิษย์ : สวดมนต์ออกเสียงกับสวดมนต์ในใจมีผลต่างกันอย่างไรครับ
    หลวงปู่ : ถ้าเอาตรงๆก่อน เสียงดังกับเสียงไม่ดังเหรอจ๊ะ อ้าว..เสียงดังโยมก็ได้ยิน ใช่มั้ยจ๊ะ คนอื่นได้ยิน ถ้าสวดในใจ โยมได้ยิน คนอื่นไม่ได้ยิน

    ลูกศิษย์ : ถ้าสวดในใจ พวกแบบที่เรามองไม่เห็นแบบนี้ เค้าได้ฟังได้ยินมั้ยครับ
    หลวงปู่ : เค้าไม่ได้ยินหรอกจ้า ก็โยมได้ยินคนเดียวไงจ๊ะ หมายถึงว่าสิ่งที่โยมสวดภาวนาในจิตในใจนั้น..เค้าเรียกว่าองค์ภาวนา แต่การสวดสาธยายมนต์..คือการตั้งจิตสาธยายมนต์คุณงามความดี เพื่อประกาศให้เทพเทวดาเจ้าทั้งหลายเค้าได้สดับฟัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วแว่วเสียงที่โยมสวดนั้นมีจิตศรัทธาตั้งมั่นและมีกำลัง เพราะการสวดมนต์น่ะผู้ที่ไม่มีกำลังจิตที่ดีจะสวดได้ไม่นาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นคนที่สวดออกเสียงดังพอประมาณ สวดสุดใจ สวดตั้งใจ มีอานิสงส์มากมายมหาศาล เสียงนั้นยังให้ประโยชน์กับสัตว์นรกที่เค้ายังถูกลงทัณฑ์ได้อีก แต่การเจริญภาวนาสวดให้โยมได้ยิน..สวดในใจเค้าเรียกว่าช่วยเหลือตัวเองก่อน แต่คนที่สวดออกมาแล้วเรียกว่ามั่นใจแล้วถึงสวดออกมา ยังเป็นทานเสียงให้กับสรรพสัตว์ เหล่าเทพเทวดา

    แต่การเจริญภาวนาในจิตนี้เรียกว่าเรากำลังกู้จิตขึ้นมาก่อน ก็มีอานิสงส์ทำให้จิตเรานั้นสงบ เพราะการภาวนาจิตให้สงบนี้เพื่อให้เกิดความเมตตาขึ้นมาก่อน เมื่อเรามีเมตตาแล้วเราถึงได้เกิดดำริว่ามีความมั่นในมนต์ ดังนั้นผู้ที่สวดเสียงมนต์ออกดังๆแล้ว มีพอประมาณ สวดไม่กระแทก จึงเรียกว่าสวดพอประมาณ มีจังหวะจะโคลน มีสติมีสมาธิกำกับแล้ว..มนต์นั้นมีความขลังครอบคลุมจักรวาลพิภพ เรียกว่าไม่ว่าจักรวาลไหนเค้าก็ได้ยินโยมสวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ฉันถึงบอกว่าสวดมนต์นั้นเป็นยากิน ไม่ใช่ยาทา จำเอาไว้นะจ๊ะ โยมมนุษย์เค้าเรียกว่ายังเข้าใจผิดกันมหาศาล ว่าสวดมนต์เป็นแค่ยาทา..ไม่จริงจ้ะ เขาบอกวิปัสสนาเป็นยากิน ถ้าโยมไปกินวิปัสสนาเลยโยมจะรู้หรือไง อันไหนมันเกิดมาได้อย่างไร ใช่มั้ยจ๊ะ ดีหรือไม่ดีโยมกินหมดน่ะ โยมต้องเกิดจากกรรมฐานก่อน..สมถภาวนาก่อน

    เพราะการสวดมนต์เป็นสมถภาวนาอย่างหนึ่ง ทำให้จิตใจโยมรวมตัวเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตา ญาณทั้งหลายทั้งปวง บารมีมันก็บังเกิดมีความเชื่อศรัทธาบังเกิด วิริยะปิติทั้งหลาย นั้นเรียกว่าศีล สมาธิ ทาน บารมี ๑๐ นั้นมันจึงบังเกิดมารวมตัวเป็นหนึ่ง ถึงจะก่อเกิดเป็นพลังบุญขึ้นมา แสงสว่างจิตของโยมก็ตื่นรู้ พอเกิดการตื่นรู้ก็เกิดประธานคือพระพุทธขึ้นมา คือพุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นถึงได้บอกว่าสวดมนต์นี้มีอานิสงส์มาก เพราะบ้านใดใครสวดมนต์เป็นนิจ..ให้ปิดไฟมันก็สว่าง เพราะเทวดาเขาเห็น แต่บ้านใดเปิดไฟสว่างไว้แค่ไหน แต่จิตมืดบอดก็หามีประโยชน์ไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    A926618B-942B-47CA-8A30-FF4EDECEDBC6.jpeg

    การจะทำให้จิตนิ่งถึงที่สุด หลักของการเจริญกรรมฐาน..ก็คือทำจิตให้ตั้งมั่น การทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นอย่างไร คือไม่สนใจสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นเสียงรอบข้าง หรืออารมณ์เหล่าใดที่มันผ่านมาแล้วหรือที่ยังไม่เกิดขึ้น ขอให้วางอารมณ์เหล่านั้น เมื่อเราไม่สนใจมันแล้วนั่นแล..ก็เรียกจิตเรานั้นเข้าอยู่ในอุเบกขาฌาน

    เมื่อจิตเราตั้งมั่น แล้วไม่สนใจอะไร..จิตมันก็จะวางเฉยของมันเอง ในขณะจิตที่เรากำลังทรงสมาธิอยู่ทรงฌานอยู่ก็ดี ในขณะที่เราภาวนาจิตอยู่ก็ดี แม้จะมีตัวความคิดอุปาทานแห่งขันธ์เข้ามาเกี่ยวข้องในสัญญาเก่าก็ดี เมื่อรู้แล้วก็ให้กำหนดวาง คือไปวางลมวางจิตไว้ที่กลางท้องน้อยเหนือสะดือ วิตกวิจารอยู่อย่างนั้นกับลม กับองค์ภาวนา ฝึกรู้อยู่ในกาย เดินจิตอยู่ในกายในวัฏสงสารนี้ ไม่ต้องไปสนใจอะไรหรืออารมณ์เหล่าใด ให้รู้อยู่เฉพาะกาย..นี่เค้าเรียกว่ามีสติเฉพาะหน้า นี่คือการงานที่ตั้งของจิต

    ไม่ได้อยากรู้ว่าเราจะนั่งไปเพื่ออะไร นั่งแล้วได้อะไร ก็อย่าได้ไปทำความสนใจกับมัน แม้กายสังขารก็ดี ก็เป็นเพียงแค่อาศัยให้เรานั้นได้ประกอบกรรมดี ก็ให้ประคับประคองกายก็คือตัวสติระลึกรู้ลมเข้าลมออกนี้..จึงเรียกว่าวิตกวิจาร ในขณะเรากำลังวิตกวิจารอยู่ก็เท่ากับว่าเรานั้นได้เจริญปฐมฌานให้เกิดขึ้น

    อันว่าปฐมฌาน..คือฌานชั้นต้นของสมาธิเพื่อจะไปสู่วิปัสสนาญาณ หรือวิตก วิจาร ปิติ และสุข และมีเอกัคคตาเป็นอารมณ์ ดังนั้นเมื่อจิตเรานั้นยังไม่เข้าถึงความสงบ จิตมันยังไม่ตั้งมั่นรวมตัวเป็นหนึ่ง เราก็วิตกอารมณ์ เอาลมหายใจนี้มาเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของสติ เป็นเครื่องกำหนดรู้อยู่ในกาย อยู่ในองค์ภาวนาก็ดี

    ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดเข้ามากระทบจิต หรือมีสัญญาเหล่าใด ก็ให้เรากำหนดรู้แล้ววางอารมณ์เหล่านั้นเสีย อย่าได้ไปทำความสนใจผูกพันมัน ให้ดึงจิตดึงสติเข้ามาอยู่กับองค์ภาวนา อยู่ที่ศูนย์กลางกายที่เหนือสะดือ ทำความสัมผัสกับลมเข้าลมออก..สุดอยู่ที่เหนือสะดือ อยู่ที่กลางแห่งกายนี้ ทำจิตให้วางเฉย เมื่อเรามีอารมณ์เข้ามาก็วิตกและวิจาร เมื่อเราวางแล้วอารมณ์เหล่านั้นมันก็จะดับของมันไปเอง

    ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆแล้ว..สติมันจะเท่าทันอารมณ์ที่มันเข้ามา จิตจะเป็นผู้รู้และผู้เห็นนั่นแล เค้าเรียกว่าเท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราเท่าทันมันแล้ว กำหนดรู้ในอารมณ์นั้น อารมณ์เหล่าใดก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ไม่นานมันก็ดับไป แต่ถ้าจิตเราสติเรานั้นยังไม่คล่องแคล่วว่องไว ยังมีความเคลิบเคลิ้มในอารมณ์แห่งนิวรณ์เข้ามา..ต้องทำอย่างไร

    ให้เรากำหนดจิตเข้าไปใหม่ ล้างลมเสียออกจากปอดเสีย เมื่อเรากำหนดลมเข้ายาว..ลึก เราก็ต้องเอาลมออกให้ยาว..ลึก หรือที่ว่าเอาเข้าแล้วออก ทำอย่างนี้หายใจให้หนักๆ ในขณะที่เรากำหนดลม..เรากักลมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในขณะนั้นแลจิตมันจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงตัวว่าง เมื่อจิตรู้สึกระลึกแล้ว ผู้ใดกำหนดลมเข้าลมออกมันก็จะรู้สึกว่าเหนื่อย เราก็มาพักลมพักจิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายอยู่ที่เหนือสะดือ ก็ทำความรู้สึกลมเข้าลมออก ให้เห็นอาการของท้องพองท้องยุบ

    เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ให้วางเฉย แล้วกำหนดว่าพุทโธ อยู่ที่ศูนย์กลางกาย..แล้วภาวนาไป อย่าได้สนใจอย่างอื่นอีก จนกว่าจิตนั้นมันจะตื่น จิตตื่น..เป็นอย่างไร จิตตื่นนี้..สติที่เรานี้มีองค์ภาวนามันจะไม่ขาดหายไปจากลมหายใจ ถ้ายังมีความเคลิบเคลิ้มอีกก็ให้กำหนดรู้ใหม่ คือกำหนดลมเข้าไปใหม่ คือวิตกอารมณ์ วิตกที่ลมหายใจนี้แล เรียกว่าเป็นการเจริญอานาปานสติให้อยู่อย่างนี้ ให้มันคล่องให้มันชิน

    เค้าเรียกว่าอินทรีย์ของเรานี้มันอ่อน ฌานเรามันเสื่อม นั้นเราต้องปลุกมันขึ้นมา ก็ด้วยอาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม..ก็คือกำหนดลมหายใจเข้าและออก เมื่อรู้สึกว่าลมมันนิ่งแล้วให้มาวางลมที่อยู่เหนือสะดือ ที่ศูนย์กลางกาย ถ้าเราเห็นว่าลมนี้เมื่อเข้าแล้ว..ท้องมันพอง เมื่อลมมันออก..ท้องมันก็ยุบ ก็เอาลมที่วิตกวิจารของอารมณ์นี้ไปสำรวมจิตไว้ที่แห่งนั้น ตั้งจิตให้มันนิ่ง ทรงอารมณ์ไว้ด้วยการมีองค์ภาวนากำกับลงไป เพื่อให้จิตนั้นมีหลัก

    ยังไม่ต้องไปพิจารณาอะไรทั้งนั้น ทรงอารมณ์อย่างนี้อยู่อย่างนี้ เพราะขณะที่จิตเราก็ดีกายสังขารเราก็ดีมันอ่อนล้า การจะไปพิจารณาธรรมมันย่อมทำได้ยาก อันว่าความเมื่อเราจะเจริญความเพียร..แต่ถ้าเราขาดซึ่งสติแล้ว ความเพียรที่เราทำนั้นมันจะเป็นของอ่อนล้า ทำให้เรานั้นมีความหดหู่เศร้าหมอง มีนิวรณ์เข้ามา

    เมื่อเราทรงฌานวางอุเบกขาให้มันเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เมื่อจิตเราเพ่งไปอยู่มากๆเข้าแล้ว มันจะเกิดความร้อนภายในคือสันดาป มันก็เรียกว่าเตโชมันก็บังเกิด จนทำให้จิตเรานั้นตื่น ตื่นเพราะว่าธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมนั้นมันเสมอเหมือน เมื่อเราเพ่งไปมากๆเหมือนการจุดระเบิด เมื่อจิตเราตื่นนั้นแลเราถึงจะไปเดินปัญญา ไปเดินวิปัสสนา คือการพิจารณาธรรมในกายสังขาร มีสติปัฏฐานทั้ง ๔ ในกาย เวทนา จิต ธรรม

    แต่ในขณะนี้จิตเรายังมีการอ่อนกำลัง ยังทรงตัวไม่ได้ ก็อาศัยกายนี้แลเป็นที่พึ่งอยู่ของธรรม ประคับประคองจิตไป คือกำหนดรู้วิตกวิจาร เจริญพรหมวิหาร ๔ ให้บังเกิดขึ้น เจริญปฐมฌานให้เกิดขึ้น ประคับประคองจิตทรงกายอยู่อย่างนี้ ร่างกายสังขารมันอ่อนล้าเราก็ผ่อนกายสังขารลงมา เหมือนเรานั่งพักผ่อนทำจิตให้สบาย

    การทำจิตให้สบายเป็นยังไง..ทำจิตนั้นให้ปล่อยวาง ปล่อยวางจากอะไร..ปล่อยวางจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ในอดีตหรือในขณะนี้ หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้วิตกรู้อยู่กับอารมณ์อยู่ในกายในศูนย์กลางกาย เมื่อมันพลาดพลั้งเผลอไปก็กำหนดลมเข้ามาใหม่อย่างนี้แล..

    เมื่อเราทำเจริญสมาธิอานาปานสติอยู่บ่อยๆ ทำให้มากๆแล้ว ธรรมเหล่าใดก็ตามที่มันจะเกิดขึ้น หรือที่มันยังไม่เกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นของมันเองโดยธรรมชาติ ดังนั้นฝึกตัวนี้ให้มันมากๆ..คือตัวสติ มีสติมากเท่าไหร่ยิ่งดี..ไม่มีเสีย เมื่อสติเราตั้งมั่นแล้ว ศีลเรามันก็จะบังเกิดขึ้น การอบรมบ่มจิตมันก็บังเกิด เมื่อเรามีองค์ภาวนากำกับเข้าไปอีก..ไม่นานปัญญามันก็บังเกิด

    นั้นการที่เราจะไปแก้อารมณ์แห่งนิวรณ์แห่งความง่วงนี้ต้องทำยังไง มันง่วง..ก็ให้รู้ แล้วก็กำหนดลมเข้าไปอีก มันรู้ว่าเราขณะนี้มันง่วงก็ให้รู้ ให้ประคองแล้วเพ่งรู้แต่อารมณ์นั้น นั้นถ้าอารมณ์เหล่านี้มันยังค้างอยู่ ให้กำหนดลมเข้าไป..ให้สุดที่ลิ้นปี่หรือท้ายทอยก็ดี กลางกระหม่อมก็ดี แล้วกักลมไว้ชั่วครู่หนึ่ง หรือที่สุดที่เรานั้นหายใจไม่ออกแล้ว..ค่อยผ่อนลมหายใจ

    ในขณะที่เราจะผ่อนลมหายใจออกเราต้องมีสติ ทำความรู้สึกให้ทั่วตัวกายสังขาร มันจะเกิดความเสียวซ่านในร่างกายสังขาร ทวารกระหม่อม รูขุมขน นี่เค้าเรียกว่าเปิดทวาร เพราะอะไรเมื่อเราทำอย่างนี้จะทำให้จิตเราตื่นได้ ก็เพราะว่ากิเลสทั้งหลายทั้งปวงเมื่อขาดจากลมหายใจอากาศแล้ว..ก็หาที่อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เรียกว่าสภาวะการที่จะหมดลมหายใจ ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรอยู่ก็ตามที..สติมันจะกลับมาจดจ่อรู้หน้าที่รู้อาการ ที่จะฝ่าฝืนต่อต้านให้ลมหายใจนั้นคุมอยู่ ก็เรียกว่ามีตัวสตินั้นตื่นรู้ ก็ตัวนี้แลที่จะทำให้เรานั้นเข้าถึงในธรรมได้

    ดังนั้นถ้าเราไม่คิดจะฟื้นฟูจิต ยกจิตขึ้นมาเพื่อให้ข้ามพ้นในอำนาจของจิตในตัณหานิวรณ์แห่งกามคุณ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะดึงจิตเรามาได้ ดังนั้นจงปลุกจิตวิญญาณให้มันตื่นขึ้นมา นี่แลที่เราจะข้ามสมมุติบัญญัติไปได้ เมื่อไหร่ที่เราข้ามสมมุติบัญญัติไปได้ เมื่อเราไม่ยึดติดในสมมุติบัญญัติแล้ว กรรมเหล่าใดก็ตามที่เรานั้นไม่ได้ติดใจ..กรรมเหล่านั้นมันก็จะเบาบาง หลุดพ้นจากกรรมกันได้ นั้นขอให้ฝึกอานาปานสติให้มาก..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    6FB1C87F-7018-4C59-AF73-617E912C6DD1.jpeg

    ฉันถึงบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไร..มนุษย์ก็ดี สัตว์ก็ดี เชื้อโรคเชื้อร้ายก็ดี หากขาดซึ่งอากาศและลมหายใจ..สิ่งเหล่านั้นย่อมอยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็ขอให้กำหนดรู้อยู่บ่อยๆ หากจิตเราค่อยๆตื่นขึ้นมา กายเราก็จะค่อยๆตื่นมีกำลังขึ้นมา เค้าเรียกการฟื้นฟูธาตุที่มันเสื่อม ฟื้นฟูศีล ฟื้นฟูจิต..ก็จะเข้าถึงธรรม เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆก็จะเกิดความชำนิชำนาญ ฌานมันก็จะเติบโตแข็งแรง

    เมื่อฌานมันเติบโตแข็งแรงแล้ว มันก็จะเจริญวิปัสสนาญาณได้ง่าย แม้จะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ดี เมื่อจิตมันตื่นรู้แล้ว ปัญญามันเกิดแล้ว จิตมันจะสอนในตัวของมันเอง ไม่ว่าเราจะเดิน นั่ง หรือนอนก็ตามที เมื่อคราใดจิตเราเข้าถึงความสงบ เมื่อคราใดมีอุบายธรรมอะไรก็ตามที่มันทำให้จิตเรานั้นมันฉุกคิด เข้าถึงข้ออรรถข้อธรรมใดข้อธรรมหนึ่ง ที่ทำให้เราเข้าถึงสติ นี่แลเค้าเรียกว่าผู้ที่มีกระแสพระโสดาบันแห่งพระนิพพาน นี่ก็เรียกว่าย่อมทำจิตนั้นให้ตื่นรู้ ให้พ้นจากภัยในวัฏฏะเสียได้

    นั้นการเพ่งรู้อยู่ในกายนี้ เพื่อให้เห็นภัยว่ากายสังขารนี้มันมีแต่ทุกข์ การเกิดมันก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เมื่อเราพ้น..ตื่นรู้แล้วในกาย ที่เราหลับใหลมาเนิ่นนานแล้ว เราควรจะตื่นได้ก็ด้วยอาศัยอำนาจแห่งพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ หรือองค์ภาวนาใดๆก็ตามที่มันถูกจริตถูกวาสนา คือบารมีที่เราเคยทำมา ก็เอามาภาวนาเป็นองค์กำกับกับจิต ให้มันแนบสนิทกับลมหายใจ นี่แลจิตมันจะรวมตัวเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา

    เมื่อเราเป็นอย่างนั้นแล้ว..จิตมันจะเข้าถึงปิติและสุข เมื่อมีปิติมีสุขมีความพอใจ..มันก็จะมีความยินดี มีความพร้อมในการประพฤติปฏิบัติ มีความสุขนั่นเอง อันใดเล่าที่เรามีความสุขเราก็จะทำสิ่งนั้นได้นาน เราก็จะมีการพิจารณาธรรมสลับเปลี่ยนไปกับการทรงดูอารมณ์อยู่อย่างนี้ เรียกว่าดูกายก็ดี

    ถ้าเราดูกายมีสติ ถ้าจิตเรายังไม่มีกำลังเราก็ดูกายทรงกายไปก่อน ดูกายคือดูลมหายใจเข้าออก ดูอารมณ์ที่มากระทบ ถ้ามีกำลังหน่อย..เราก็ดูจิตคือพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่มันมาผัสสะมากระทบ ก็เรียกว่าการพิจารณาธรรม ธรรมอันใดเหล่าใดให้หยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออรรถข้อธรรมมีสติ..ให้พิจารณาเพื่อให้เข้าถึง นั้นการจะไปพิจารณาธรรมได้จิตมันต้องตื่นแล้ว

    การจะทำจิตให้ตื่นทำอย่างไร ตื่นพร้อมด้วยมีสติสัมปชัญญะ ต้องรู้ก่อนว่าในขณะนี้เรานั่งทำอะไรอยู่ ถ้าเรานั่งแล้วยังไม่รู้ ยังมีตัวเคลิบเคลิ้ม มีอารมณ์แห่งนิวรณ์เข้ามา เราต้องทำยังไง เราต้องกักเชื้อไว้ก่อน กำหนดลมเข้าไปใหม่ กักมันไว้ก่อน กักเชื้อไว้ไม่ให้เชื้อนั้นกระจาย เค้าเรียกว่าล้างลมเสียออกจากปอด เอาวิญญาณร้ายๆเสียๆออกไป เมื่อจิตสงบนิ่งก็ให้เจริญจิตเมตตาแผ่เมตตาไปซัก ๑ ครั้ง

    อ้าว..ลองกำหนดลมเข้าไป กักลมเสียไว้ กักให้สุดที่เราจะสุดได้ แล้วค่อยๆผ่อนลมออกไป สุดมันจะไปสุดที่เหนือสะดือ ทำอย่างนี้จนลมนั้นมันสงบ ถ้าลมมันสงบเป็นอย่างไร ลมในท้องเรานั้นมันจะสงบคือมันจะนิ่ง เค้าเรียกว่าลมมันละเอียด ถ้าลมหยาบจะเป็นอย่างไร ลมในท้องของเรานั้นมันยังกระเพื่อมอยู่นั่นเอง

    นั้นการเข้าสมาธิทางลัดตัดตรงเข้าฌานเลย คือการเพ่งลมที่ศูนย์กลางกาย กักลมเสียล้างลมเสียออกจากปอด ทำความรู้สึกให้ทั่วตัวทั่วสังขาร นั่นเรียกว่าสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เมื่อรู้แล้วกำหนดลม..ถึงที่สุดของลม เราก็ผ่อนลมออกไป ในขณะที่เราผ่อนลมนั้นแล เราควรมีสติทำความรู้สึกตัวให้ทั่วร่างกายสังขาร แล้วไปวางจิตอยู่ทีเหนือสะดือ

    การวางจิตคือการวางลม..เป็นอย่างไร คือประคองลมให้มันนิ่ง ลมหายใจเข้าหายใจออกเราก็ไม่ต้องไปสนใจมันแล้ว เพราะเรากำหนดรู้ไปแล้ว เราไปวางลมไปวางจิตไว้ที่เหนือสะดือ จนจิตมันนิ่งพอมีกำลัง..ก็ยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก นี่เรียกว่าการ"เปิดประตูจิต" ญาณทัศนะก็ดี ปัญญาญาณก็ดี ตัวรู้ก็ดีมันจะเกิดขึ้นในทางนี้

    เมื่อจิตมันมีกำลังพอสมควรแล้วให้เราแผ่เมตตาจิตออกไป การแผ่เมตตาจิตเมื่อเรายกจิตมาที่กลางหน้าผากแล้ว ให้เราเพ่งออกไป เหมือนเรามองไปข้างหน้าแบบลืมตา..แต่เราไม่ได้ลืมตา แต่เรามองไปเหมือนลืมตา นั่นก็เรียกว่า"ลืมตาใน"อยู่ มองออกไปเพ่งออกไปนั่นเอง

    ให้อธิษฐานบุญกุศลที่เราได้มาเจริญภาวนาจิต เจริญมนต์ เจริญเมตตา เจริญพระกรรมฐานนี้ ก็ขอบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ที่เราได้ทำแล้ว มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นสรณะนี้ ขอบุญทั้งหลายที่เราทำจงสำเร็จประโยชน์ต่อดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย ต่อเจ้าที่เจ้าทาง พระแม่ธรณี พระเพลิงพระพาย ให้อธิษฐานไป พญามัจจุราช ท้าวเทพจตุโลกบาลทั้ง ๔ ตลอดทั้งดวงจิตวิญญาณที่ยังตกทุกข์ได้ยาก ขอให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้นจงพ้นจากทุกข์จากเวรจากภัย

    หรือกรรมอันใดที่เราเคยล่วงเกินกับสรรพสัตว์ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย ขอให้เค้าเหล่านั้นจงเมตตาจิต จงอดโทษอาฆาตพยาบาทที่จะมีเวรภัย ขอให้เค้าทั้งหลายเหล่านั้นจงมาโมทนาอโหสิกรรมกับเรา และจงได้ประโยชน์มีความสุข พึงได้รับประโยชน์เหมือนที่เราจะได้รับประโยชน์ ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญจิตอยู่นี้จงเป็นสะพานเชื่อมต่อ เป็นทางบุญทางกุศลให้ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเคยผูกพันเกี่ยวข้องได้อาศัยอำนาจแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัย จงนำทางให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏฏะ ตราบจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน ก็ตั้งจิตอธิษฐานไป..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...