เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    รร.jpg
    ตามอาฆาต

    ผู้ถาม : กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีเรื่องกลุ้มที่ขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานจนกระทั่งเขาลาออกจากราชการแล้วยังไม่พอ แกได้ผูกอาฆาตพยาบาทลูกไว้ว่า ฉันจะไม่ยอมออกฟรีๆ ฉันจะต้องเล่นงานแกแน่ๆ ความจริงลูกไม่กลัวหรอก แต่กลุ้มใจว่าถ้าโดนไม้นี้จริงๆ แล้วจะแก้ไขอย่างไร ก็ขอพึ่งหลวงพ่อเพื่อขอให้หลวงพ่อช่วยแก้ไข เพราะมีเหตุการณ์เริ่มเกิดขึ้นแล้วดังต่อไปนี้...

    ในขณะพอลูกนอนเคลิ้มๆ จะเห็นเงาดำๆเพียงแค่ซีกเดียวมาปรากฎ ลูกก็เลยยิ่งกลัวใหญ่ ปากก็ร้องว่าหลวงพ่อช่วยด้วยๆๆ แต่มองดูรูปหลวงพ่อแล้ว รูปภาพหลวงพ่อก็เฉยไม่ช่วยเลย ลูกเลยมาขอกราบบารมีองค์จริงดีกว่า เพื่อจะมีการแนะนำให้หายกลัวจากเรื่องนี้

    หลวงพ่อ : มันไม่จำเป็นต้องช่วย เพราะมาครึ่งเดียว โธ่เอ๊ย ! มาขาเดียวแขนเดียวนี่ ก็ปล่อยมัน ไม่เป็นไรหรอก รับยันต์
    เกราะเพชรหรือเปล่าล่ะ

    แล้วก็ถ้าเห็นภาพนะภาวนา "สัมปจิตฉามิ" ขับมันเลย

    ถ้าป้องกัน ป้องกันก่อนก็ภาวนา "สัมปติฉามิ" สัก 3 ครั้ง อย่างนี้กันนะ

    ถ้าเห็นภาพก็ "สัมปจิตฉามิ"


    ผู้ถาม : ถ้าหากว่ากัน "สัมปติฉามิ" ถ้าหากว่าขับก็ "สัมปจิตฉามิ"

    อย่างนี้ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวซิ ได้คาถาสองบทแล้ว

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 124 เดือนมิถุนายน 2534 หน้า 34-35)


    DSC_0181.jpg DSC_0184.jpg
    งานสาธารณประโยชน์ เป็นบารมีเร่งรัด


    "ถึงแม้หลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่ก็ยังอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลาตามที่หนังสือเขียนไว้ว่า

    ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อนี่เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยของลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจไว้ว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา

    อันนี้แหละมั่นใจได้เลยครับ อยากจะถามญาติโยมว่า อยากจะให้หลวงพ่อมาอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยไหม ?"

    อันที่จริงพวกเราทำอะไร ก็อยากจะให้หลวงพ่อรู้ อยากให้หลวงพ่อทราบ อยากให้หลวงพ่อโมทนา มีปัญหาอะไรก็อยากให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อแก้ปัญหา สิ่งที่มันทุกข์ยากให้ผ่านพ้นไป เจตนาของหลวงพ่ออยากจะให้รักษาอภิญญาสมาบัติไว้ จะเป็นมโนมยิทธิก็ดี รักษาศีล ภาวนาก็ดี และอีกอย่างงานสาธารณประโยชน์

    คือหลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารนี่ ต้องการสงเคราะห์คนที่ไม่มีโอกาส ทีนี้หลวงพี่ก็มีความคิดอยู่ว่าจะทำยังไง ถึงเป็นงานสาธารณประโยชน์ให้แก่คนที่ด้อยโอกาส

    ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนที่หน่วยฝีมือแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ คือ ชอบกัน มาหาและคุยกันบอกว่าที่หน่วยนี้ สอนอาชีพทุกอย่างตั้งแต่ช่าง ก็บอกว่าที่นี่หลวงพ่อก็สงเคราะห์เด็ก เขาก็บอกว่าเขาก็สงเคราะห์เหมือนกันพวกช่างยนต์ ช่างไฟฟ้าฯ เขาจะสอน 10เดือน ครบ 10 เดือนแล้วออกไปทำงานได้เลย

    เราก็บอกว่า ตอนนี้หลวงพ่อก็สงเคราะห์เหมือนกันแต่เกี่ยวกับนักเรียน หลวงพี่ก็มาคิดว่า ถ้าจะแจกเป็นอาหารก็ดี เสื้อผ้าก็ดี แจกเท่าไรก็คงไม่พอหรอก เพราะว่าไปใช้ประโยชน์ได้น้อย แต่ถ้าเราสงเคราะห์เด็กอย่างนี้จะใช้ประโยชน์ได้มาก คือเขาสามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้เลย

    ทีนี้การเรียนที่นี่ต้องมีทุนเรียน ทุนละประมาณ 7,500 บาทต่อคน จึงมาคิดว่าถ้าเรามาให้การสงเคราะห์อย่างนี้ คือเราไม่ได้จำกัดจำนวนเท่าไหร่ เราได้ทุนมา 2 คน ก็ส่ง 2 คน ได้มา 5 คน ก็ส่ง 5 คน เราไม่ได้บีบบังคับอะไร พอคุยอย่างนี้หน่วยฝีมือแรงงานก็ทำเรื่องเข้ากรมเลยว่า เราจะทำงานกับสายงานของเขา

    ที่หน่วยนี้ก็พอดีมีคนของเราไปอยู่ในนั้น คือเดิมก็จบ ป 6 นี่แหละ แต่ไปเรียนเกี่ยวกับช่างอ๊อก อ๊อกจนฝรั่งพอใจ ไปเรียนที่เมืองนอก ตอนนี้กลับมา มาเป็นอาจารย์ที่นี่ กลับมารวยเลย ฝรั่งให้เงินเดือนตั้ง 5-6 หมื่น เป็นช่างมีระดับ คือแข่งกันแล้วได้ระดับที่ 2 ของประเทศ ตอนนี้กลับมาเป็นอาจารย์อยู่ในหน่วยพัฒนาฝีมือแรงงาน

    "แล้วงานของศูนย์ฯเก่า ๆ จะทำไหมครับ ?"

    ศูนย์ ก็ทำเหมือนเดิมแหละ ตอนนี้ก็เก็บเสื้อผ้าตลอด เก็บใส่ถุงพลาสติคมัดปาก ของผู้หญิง ผู้ชาย ขนาดเด็ก ผู้ใหญ่ แยกขนาดไว้เลย ถ้ามีสาขาใดต้องการก็มอบให้ไปแจกเลย ตอนนี้มีเสื้อผ้าเป็นรถบรรทุกเหมือนกัน

    "คือไปนึกถึงได้ที่หลวงพ่อบอกว่า บารมีเร่งรัด หรือเร่งรัดบารมี คือการทำงานสาธารณประโยชน์ จุดที่ว่านี้ก็คือตัวเร่งรัดบารมี ใช่ไหมครับ ?"

    ใช่ เพราะว่าเราทำ เราไม่ได้หวังผลตอบแทนนี่ เราเสียสละ การทำงานอย่างนี้หลวงพ่อเคยพูดเหมือนกัน ท่านบอกว่า พวกแกนี่นะถ้าทำงานสาธารณประโยชน์อย่าหวังผลตอบแทนจากคน ถ้าหวังผลตอบแทนจากเด็กหรือจากคน ถ้าคนคนนั้นอกตัญญูขึ้นมา เราจะเสียกำลังใจ เราจะไม่ทำงานต่อ ทำให้ทำทิ้งและทำเพื่อพระนิพพาน ถ้าเราตัดอย่างนี้กำลังใจของเราจะสูง เมื่อกระทบสิ่งไม่ถูกใจ เราก็ไม่เสียใจ เพราะเราไม่หวังผลตอบแทน เราหวังผลตอบแทน คือพระนิพพานเท่านั้น


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 148 มิถุนายน 2536 หน้า 94-96)

    12419126_10153978703909329_1516321883048984559_o.jpg
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    สมเด็จองค์ปฐม  ปางพระนิพพาน วัดท่า.jpg

    เรื่อง สร้างสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน

    มีคนเขามาถามว่า ที่ธัมมวิโมกข์ลงว่าสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานนี่ จริงๆฉันเองนี่ไม่รู้ ตอนแรกนี่ไม่รู้ นึกเอ๊ะสร้างตรงไหนปางนิพพาน แต่หลวงพ่อสั่งว่าให้สร้างไว้ข้างบน เป็นพระอย่างพระวิสุทธิเทพ ข้างบนของพระองค์ปฐมอีกที

    "บนดาดฟ้าเลยหรือครับ แล้วจะขึ้นไปอย่างไร หรือไม่ให้ขึ้น"

    ไม่ให้คนขึ้น เอาพระขึ้นอย่างเดียว

    "อ๋อ ไว้มณฑปบนนู่น"

    เอ้อ มณฑปบน ธรรมดามณฑปหนึ่งจะมีพระอยู่ทุกองค์ใช่ไหม

    "ครับๆ"

    ไอ้เราก็ไม่รู้ไปถามก็อ้อ ตอนนั้นท่านสั่งไว้ ช่างเสริฐก็ไม่มีเวลา คงจะปั้นเป็นปูนละมั้ง ทีแรกไม่รู้นะเห็นเขาลงธัมมวิโมกข์ มีคนโทรไปถามเหมือนกัน ปรากฏว่าสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานไม่ทราบว่าเป็นมาอย่างไร ไปถามดูแล้วว่า หลวงพ่อสั่งไว้ให้สร้างปางพระนิพพานไว้ข้างบน ธรรมดามีพระพุทธรูปใช่ไหม มณฑปแก้วก็ดี มณฑปของท่านท้าวมหาราชก็ดี จะมีพระพุทธรูปตั้งข้างบน

    ดร.ปริญญา ปรารภว่า "ถ้าอย่างนั้นทำไมจะเป็นปูนล่ะหลวงพี่ หลวงพี่ก็ต้องบอกสิ บอกนี่มาหล่อกัน งานประจำปี ปีหน้า แล้วใครอยากจะถวายทองก็เริ่มถวายได้ ให้ช่างเสริฐเริ่มขึ้นแบบได้"

    หล่อเหรอ.. เออ..เอา

    "ที่เขาถามนี่เขาอยากจะทำบุญ"

    เขาทำไปบ้างแล้ว ไม่รู้เขาทำตรงไหนกัน

    "เอ้า ที่นี้ก็จะได้ประกาศเป็นเรื่องเป็นราวได้"

    จะหล่อเหรอ

    "หล่อสิครับ รับทองเลย เดี๋ยวถอดเลย นี่ทองแท้หรือเปล่านี่ ถอดถวายเลย ประเดิมจริงๆวันนี้เลย เอ้อ ตัดสินใจให้เด็ดขาด ถอดถวายเลย อานิสงส์บริสุทธิ์"

    ยกทรงถามว่า "ตะกี้ฟังไม่ถนัด อะไร หล่อรูปเจ้าอาวาสองค์ใหม่หรืออะไร ฟังไม่ค่อยถนัด (หัวเราะ) หูไม่ค่อยดีครับ"

    "หล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานไว้บนมณฑปสมเด็จองค์ปฐม ญาติโยมจะ
    ถวายทองคำร่วมหล่อก็ถวายมา จะถวายเป็นปัจจัยร่วมหล่อก็ถวายเข้ามา จะเริ่มบอกบุญตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป แล้วจะหล่อเอามีนาหน้า งานประจำปีโน้น"

    หล่อทุกปี ปีละองค์

    "แล้วรุ่นจ้าอาวาสจะหล่อ พ.ศ. อะไรครับ"

    หา !

    "อ้าว องค์โน้นก็หล่อแล้ว องค์นี้ก็แล้ว เมื่อไม่มีที่จะหล่อแล้ว ก็ต้องมาถึงคิวเจ้าอาวาสละ"

    (หัวเราะ) เอ้อ นึกไม่ออกเลย หล่อเข้าโลงล่ะสิ (หัวเราะ) วันเข้าโรงเลย เขาห้าม เดี๋ยวอายุสั้น

    "อ๊อ นี่ๆ เพิ่งนึกออก"

    ไม่รักกันจริงอีแบบนี้

    "ไม่รู้อะไร โบราณเขาห้ามนักห้ามหนา แหม...เข้าใจปัดออกได้ แล้วนิ่มนวลด้วยอย่างนี้"

    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 86-87)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    11..jpg

    0001 (4).jpg

    พระศุกร์เล็งพระเสาร์

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ ปีนี้โหรเขาทำนายว่าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ ว่าจะไม่ดีต่างๆนานา หนูจะใช้ "คาถาเงินล้าน" ที่แจกใหม่ฉบับล่าสุดไปภาวนา จะแก้ได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ที่จะแก้นี่นะ มันจะผิดกฎหมาย ถ้าแก้เขาให้แก้กันในห้อง อย่างนี้ไม่ถือว่าแก้ เราทำตามกำลังเราให้สูงขึ้น ไม่ถือว่าแก้นะ แต่กำลังเราสูงขึ้น เขาจะลงโทษได้ไม่มาก อันนี้เมื่อกี้นี้คุยกับพระอยู่

    ผู้ถาม : เป็นอย่างไรบ้างคะ ?

    หลวงพ่อ : เรื่องภัยการแทรกของฐานะ ของมันทั่วโลกใช่ไหม ? ถ้าเป็นพิธีนะ ท่านองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต้องพบท่าน ก่อนนี้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าคุยกับท่านอยู่ พักแล้วขยับตัวออกไป ถ้าพบท่านประเดี๋ยวองค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา คุยไปคุยมาถามถึงความเป็นมาของคาถาต่างๆ

    องค์ปฐมท่านบอกว่า “เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสปหนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันก็คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร”

    ก็เลยถามท่านว่า พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน คู่การให้ทานมากกว่ากัน อย่าลืมว่า สมเด็จองค์ปฐมก็ดี องค์พระพุทธทีปังกรก็ดี พระพุทธกัสสปก็ดี องค์ปัจจุบันก็ดี ปูให้พวกนี้ทั้งนั้นแหละ นี่คาถาบทนี้ละท่านคุมนะ ท่านชี้เลยพระพุทธกัสสปคุม ที่ให้ทั้งหมดนี่แหละ ท่านบอกเลยที่ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะว่าลาภท่านมาก


    เวลาว่า (สวดคาถาเงินล้าน) เรามีความมั่นคงจริง และทำเป็นสมาธิ ภาวนาไว้สม่ำเสมอ ให้จิตเอาจริงนะ จะไม่เดือดร้อนตามที่เราคิด เราสบายใจได้

    ผู้ถาม : ไม่ต้องไปเห็นพระเสาร์พระศุกร์อะไรนะครับ ?

    หลวงพ่อ : อันนี้ เดี๋ยว ๆ พระศุกร์เล็งพระเสาร์หรือพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ถ้าพระศุกร์เล็งพระเสาร์ก็เบาหน่อย ถ้าพระเสาร์เล็งพระศุกร์ ก็หนักหน่อย เดี๋ยวเสาล้มทับเข้า

    อันนี้ไม่เป็นไรนะ อันนี้ท่านให้เพื่อหาทางหลีกอยู่แล้ว กฎของกรรมประเภทนี้เราหลีกไม่ได้กัน ทำกำลังใจให้สูงขึ้น เมื่อกี้นี้พูดกัน ท่านบอกว่าเรื่องนี้ต้องมอบเป็นภาระของสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านหนักในลาภ

    แล้วองค์ปฐมท่านก็บอกว่า สมเด็จพระพุทธทีปังกรนี่องค์หนึ่ง ท่านเรียกมา มานั่งคุยกัน แต่ว่าลีลาต่างกันนิดหนึ่ง

    สมเด็จพระพุทธทีปังกรมีกำลังแข็งมาก สู้แรงมาก

    พระพุทธกัสสปท่านนิ่มนวลในลาภมหาศาล

    แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ ท่านก็เลยบอกว่าให้เป็นหน้าที่ของทั้ง 2 องค์


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 145 เดือนมีนาคม 2536 หน้า 63-64)



     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    124146.jpg

    ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา

    เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า "คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน" อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร 100 เมตร ไม่เกิน 3 วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ

    ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้ แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า

    "เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน"

    เขาตอบว่า "เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ"

    ถามว่า "ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยยังมีชีวิตอยู่"

    ตอบว่า "ปกติผมทำสมาธิ"

    ถามว่า "คุณทำสมาธิเวลาไหน"

    ตอบว่า "เวลาตอนเช้ากับตอนคํ่าครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนคํ่าก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน"

    การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและ ตอนคํ่าก็เป็นสมาธิ

    สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉยๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้


    (จากหนังสือตายไม่สูญ...แล้วไปไหน หน้า 133)


    ถูกต้อง.jpg IMG_20171217_151341.jpg
    IMG_20171022_143717.jpg
    IMG_20170426_152923.jpg
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    หลวงปู่ธรรมชัย.jpg
    เรื่อง พิธีสะเดาะเคราะห์

    สะเดาะเคราะห์นี่มันเป็นการบำเพ็ญ ไม่ใช่รับเคราะห์เขานี่ ต้องเชื่อกฎของกรรมอย่าง
    ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพอทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วเคราะห์มาเข้าตัวเองอะไรอย่างนี้

    พิธีสะเดาะเคราะห์คือทำความดีหนีความชั่ว

    หมายความว่าช่วงจังหวะนื่ อกุศลกรรมมันจะมาทันเราพอดี ทันพอดีเลยเวลานี้ เราเดินมาพอดีมันก็ถึงพอดี แต่ถ้าเราวิ่งไวกว่ามันก็พลาดเหมือนกัน คือวิ่งสปีดให้มันไวกว่าปกติสักหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งไปชลบุรีกับหลวงพ่อ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย ฉัน แล้วก็หลวงพี่โอ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! สามโมงออกเดินทางนะ สามโมงปุ๊บ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มา จะเจิมนั่นจะเจิมนี่ จะให้หลวงปู่ธรรมชัยเจิม

    หลวงพ่อท่านก็บอก หลวงปู่ เวลาก็ต้องเป็นเวลา ไป !

    หลวงปู่ก็งง (หัวเราะ) หลวงพ่อดุนี่

    "อ๋อ..หลวงปู่นี่เคยถูกดุเหมือนกันเหรอครับ"

    โดน (หัวเราะ) หลวงปู่ธรรมชัยนะ หลวงปู่ธรรมชัย พอมาในรถท่านก็บอกตอนสามโมงน่ะ ที่ออกสามโมงนั่นน่ะ มันจะคลาดกันที่ตรงไหน รถมันจะชนกัน ถ้าเราไปช่วงหลังจากนั้นน่ะมันจะชนกัน ตรงนั้นเราไปไปชนกันพอดี เราไปช่วงนี้มันจะคลาดกันตรงนั้น

    สะเดาะเคราะห์มันมีอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียกเป็นเงินเป็นทองห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท
    พ้นบาท แต่แสนบาทเราก็เอาใช่ไหม (หัวเราะ)

    การเจริญภาวนาก็ถือว่าเป็นบุญ การฟังพระสวดอภิธรรมก็ถือว่าเป็นบุญ มีอานิสงส์
    ใช่ไหม การรักษาศีลก็ถือว่าเป็นบุญสะเดาะเคราะห์ เดินมานี่ให้ภาวนาว่าพุทโธ ก็เป็นพุทธานุสสติเป็นบุญใหญ่ ไม้ที่แตะนี่ (คธาเสก) ก็พระพุทธเจ้าทำใช่ไหม ก็เป็นพุทธานุสสติ

    บุญสามสี่อย่างมารวมกันนี่ มันก็มากกว่าธรรมดา มันก็เพิ่มพลังขึ้น ทำให้หนีได้เร็วขึ้น ไวขึ้น


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 162 สิงหาคม 2537 หน้า 82-83)
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    0001 (38).jpg

    เรื่อง หลวงพ่อดุมากๆ

    มาหาท่านครั้งแรก ไอ้เรามันไม่เคยเจอพระดุ เราก็เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวจะถามยังงั้นยังงี๊นะ
    รู้จักหลวงพ่อจากอ่านหนังสือหลวงปู่ปานอย่างเดียวครั้งแรกเลย ตอนนั้นบวชแล้วสิ
    มาท่านก็เลี้ยงหมาก๊อก ก๊อก ฉันเพลเสร็จท่านจะมาเลี้ยงหมาท่าน เป็นกะละมังๆเลยมา
    ตักทำเองเลย ท่านบอกให้พระเลี้ยงนี่หมามันจะติดสีเหลือง อย่างน้อยก็เป็นเทวดา เสร็จแล้วก็ไปล้างชามท่าน้ำนั่นน่ะ เลี้ยงปลาอีกที เรียกว่าปลาตะเพียนทอง มันก็มากิน ล้างกะละมังเสร็จก็กลับ

    เราไปใหม่ก็ไปนั่งรับท่านข้างใน โอ้โหตาท่านคมกริบ มองเพ่ง...ไอ้คนสมัยนี้มันบวช
    เป็นพิธีกรรมเท่านั้นแหละ มันบวชมันกลัวมีเมียไม่ได้มันถึงบวช

    ว่าเราหรือเปล่าวะเนี่ย ว่าเราหรือเปล่า (หัวเราะ) แข็งปักลงมาถึงใจเลยนะ ตอนหลังนี่

    "เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ หลังจากนั้นมีอะไรต่อหรือเปล่า"

    ตอนนี้บอกไม่ได้ (หัวเราะ) เป็นความลับพูดเป็นสาธารณะชนไม่ได้ (หัวเราะ) โอท่านจวกปั๋งๆๆมาเลย

    "โดนดีเลยนะ"

    พระครูสุรินทร์ท่านก็มาฝากบอกว่า ฝากด้วยพระท่านอยากจะมาปฏิบัติธรรม ท่าน
    บอกระงับนิวรณ์ได้หรือยัง เราบอกนิวรณ์นี่อะไรวะ (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้ว่ามีอะไรเลย คือ
    ไม่รู้เรื่องเลย

    "เรียกว่ามาอย่างบริสุทธิ์เลยนะ แหม..เอ้ออย่างนี้ก็ดีนะ ลูกหลานจะได้รู้ไว้"

    เราบอกอะไรวะตัวอะไรวะ ไม่รู้เรื่องเลย

    "นี่ต้องอย่างนี้เจ้าอาวาสต้องเก่งมาอย่างนี้นะ"

    บอกหลวงพ่อครับญาติผมที่อยู่นี่นครสวรรค์ แล้วก็แถวๆนี้แถวมโนรมย์นี่มีญาติ
    เยอะครับ มีพี่น้องอยู่แถวนี้ครับ ท่านบอก เออ..พี่น้งน้องไม่สำคัญน่ะ ระวังนะอย่าฟังเสียง
    นกเสียงกาหมาเห่าหมาหอนให้มากนักนะ เราก็เอ..หมายความว่ายังไงวะ คิดไปคิดมาพี่น้องเราด่าหลวงพ่อทุกคนเลย (หัวเราะ) ก็พี่น้องเราอยู่แถวนั้นใช่ไหม พี่น้องเกลียดหลวงพ่อทั้งนั้น ท่านถึงบอกว่าอย่าฟังหมาเห่าหมาหอนมากนัก

    ทีนี้วันแรกก็ ไอ้เราก็ส่วนมากอาบน้ำแม่น้ำน่านมา ถึงที่นี่มันก็น้ำประปาใช่ไหม ไอ้ตรง
    พระฉันเก่ามันมีอยู่ห้องหนึ่ง ก็อาบซู่ๆออกมา ฮื่อ..น้ำท่ามันก็มีอยู่ข้างๆ ไม่ใช่สำอางค์มาอาบน้ำนี่ (หัวเราะ)

    "อู้ฮู้..ประเดิมใหม่ๆเลยหรือ"

    "อู้ฮู้ จวก.. เขาให้คนอาบน้ำในแม่น้ำไงเล่า แถวนั้นเขาอาบน้ำในแม่น้ำกันทั้งนั้น ตั้ง
    แต่นั้นเข็ดเลยไม่อาบอีกแล้ว (หัวเราะ) ต้องอาบน้ำที่แพ ท่านประหยัด แถวนั้นไม่มีปลูก
    ดอกไม้อะไรหรอก ตึกเสริมศรีนะ เพราะว่าท่านให้ตักน้ำในแม่น้ำมารดนี่ (หัวเราะ) น้ำ
    ก๊อกอะไรนี่ท่านไม่ให้รดหรอก เพราะว่าเปลือง มันต้องใช้คลอรีน ต้องใช้ไฟฟ้าสูบมา ใครจะขยันนักล่ะ

    ทีนี้บางคนก็เอาน้ำประปาไปล้างรถ พอท่านเห็นท่านก็จวกเอา ไอ้ขี้ข้าไอ้พวกนี้ โอ้..ด่า
    เจ็บทั้งนั้นเลย

    "เรียกว่าล้างทีเดียวชาตินี้ไม่ได้ล้างอีกต่อไปเลย"

    ท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ใช้คุ้มค่าเงินที่บริจาคไปนี่ใช้คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ท่านละ
    เอียดเรื่องเงิน แล้วไม่ไว้ใจคนหรอกเรื่องเงินน่ะ ต้องรู้ทุกอย่างเรื่องเงินทอง

    ทีนี้ก็เอ๊ะทำไมถึงดุ ชักกลัวละสิคราวนี้ ทีนี้ลงเทศน์เมื่อไรเอาเมื่อนั้น (หัวเราะ) ก็เทศน์
    กันที่แคบๆนี่อย่างกับห้องนี้ มันเล็กกว่าอีกนี่

    "ไม่มีทางหลบเลยหรือครับ"

    ก็หนีกันไม่จนหรอกมองเห็นกันหมด

    "อ๋อ..คนน้อยก็เทศน์คนมากก็เทศน์"

    เทศน์ ลงทุกวัน เราคุยกันอย่างนี้เราจะรู้เราคุยอะไรกันบ้าง ทีนี้มีพี่สะใภ้ท่านอยู่คน
    หนึ่งท่านก็เทศน์ เรื่องอะไร เรื่องคนในครัวนะ เออ..พระท่านก็บิณฑบาตมานะ ท่านก็ฉัน
    อย่างนั้น แต่อีแม่ครัวจัญไรนี่สิ มันต้องทำพิเศษกินอีก ท่านก็ว่า เราก็แหม...กูว่าแล้วมันต้องยายนี่แน่ เต็มที่เลย (หัวเราะ)

    พอตกกลางคืนเอาใหม่ท่านเทศน์อีก ให้ทุกคนมันดูตัวมันนั่นแหละ ไม่ใช่ไปดูตัวบุคคลอื่น ดูจิตของตัวเอง ไอ้ตัวมันเองดูตัวเองซะบาง อู้ฮู้...ว่ากูนี่หว่านี่ (หัวเราะ) ไม่ต้องไปฟ้องนะคิดในใจนะ เราคุยกันนึกๆว่าโอ้ว่ายายคนนั้นแหละ

    ครูบาอาจารย์นี่รู้จริงไม่มีโมเม ตอนหลังหลังนี่ชักเบาแล้ว ซักห้าปีสิบปีนี่นะ เบาเรื่องนี้ เมื่อก่อนนี่นะโอ้โฮ เรียกว่าพรรษาแรกพูดกันไม่รู้เรื่อง ว่าเอ๊ะหลวงพ่อทำไมถึงสั่งงาน
    อย่างเดียวกันนี่สามคนสี่คน สั่งคนนี้ พอเจอเราสั่ง เจอพี่โอสั่ง แต่งานอย่างเดียวกัน มัน
    เบลอเพราะกลัวกันนี่ เดี๋ยวมันไม่ทำ มันเบลอมันกลัวจนลานเกินไป

    "เรียกว่าพอเข้าไปใกล้ พอสั่งอะไรก็ ครับ ครับ ครับ"

    พระฉันอาหารกันท่านดูว่าเออ...พระฉันอาหารมีรสชาติอย่างไรบ้าง เป็นห่วง เเต่เมื่อ
    ฉันเสร็จแล้วสักพักหนึ่ง ท่านบอกว่าได้ยินเสียงหมามันกัดกันหรือไงนี่ (หัวเราะ)

    "อู้ฮู้ ใช้ศัพท์อย่างนั้นแลยหรือครับ"

    ใช้อย่างนี้ กินข้าวดังจ้วบๆนี่ มันไม่ใช่คนไม่ใช่พระหรอก คนก็ยังเลวเกินไปนี่เขาเรียกหมู หมูคือสัตว์เดรัจฉาน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 162 สิงหาคม 2537 หน้า 80-82)

    DSC_0022.jpg
    หลวงพ่อเทศน์ดีมาก

    ฟังหลวงพ่อเทศน์แล้วไปฟังคนอื่นจืดหมด รสกร่อย ไม่ใช่ว่าเรายกย่องหรือจะ
    เชียร์อะไรเกินไป แต่คนอื่นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรามันกร่อยนี่ บางทีมันน้ำหาเนื้อไม่เจอ ของกินเราอร่อยเสียแล้วนี่ อย่างอื่นก็อย่างนั้นแหละ

    (ด็อกเตอร์ปริญญาพูดเสริมว่า) "จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งก็คือ ศรัทธาที่บริบูรณ์ว่า คำพูดของท่านทุกคำนี่ตรง จริง

    เพราะฉะนั้น ทุกๆอย่างออกมามันก็เป็นสาระไปหมด ไม่เหมือนกับเราต้องไปนั่งฟัง เอ..เมื่อไรจะพูดได้เข้าเรื่องสักทีนะ เอ๊ะ อย่างนี้ให้เราเทศน์ดีกว่าวะ

    ผมเคยพาเพื่อนมาคนหนึ่งมานั่งฟังหลวงพ่อคุย เขาเป็นนักอักษรศาสตร์ เขาบอกหลวงพ่อองค์นี้แปลก พูดแล้วมีย่อหน้าด้วย เอ้อ พูดมีย่อหน้าได้ด้วย"

    สมัยก่อนนู้น ก่อนๆนู่นนะ ท่านยังแข็งแรงอยู่ เทศน์นี่เขาเรียกว่าเทศน์สัมผัสอักษร ทั้งกัณฑ์นี่นะ เทศน์สัมผัสอักษรทั้งกัณฑ์ เขาเรียกอะไรล่ะ

    "ร่ายๆ"

    ร่ายเหรอ เอาสัมผัสอักษรแล้วได้เนื้อได้น้ำนะ ไม่ใช่ท่องมา เราก็เออ หลวงพ่อนี่พูด
    เพราะเหลือเกิน เพราะ

    มันมีอยู่กัณฑ์หนึ่งที่ท่านเทศน์ โอ้โห พูดแล้วจะปีติอีกแล้ว มันมีในหนังสือหรือในเทปอะไรไม่รู้นะ เทศน์เรื่องพระมหากัสสปกับพระพุทธเจ้า

    "เนื้อเรื่องเป็นยังไครับ ที่หลวงพ่อเทศน์"

    เนื้อเรื่องก็หมายความว่า ก่อนเข้าพรรษาหรือไงนี่ พระพุทธเจ้าก็เรียกพระมหากัสสป
    เข้ามา บอก กัสสป เธอแก่แล้วนี่ อย่าลำบากเลย อยู่กับตถาคตเถอะ

    พระมหากัสสปก็เพิ่งนึกในใจว่า เราแก่แล้วเราจะทำเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง เราแก่นี่ไม่สำคัญละ แต่เราทำเพื่อว่าพระในภายหลังจะได้เป็นตัวอย่าง

    ก็ทูลบอกไม่เป็นไรพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะทำเป็นตัวอย่างกับพระ พระในภายหลังจะได้เอาเป็นตัวอย่างว่าการถือธุดงควัตรนี่มีประโยชน์อย่างไร พอท่านทูลอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าอะไร บอก เออ ถ้าอย่างนั้นกัสสป เธอเอาสังฆาฏิของเธอมาแลกกับตถาคตเถอะ ของเธอเก่าแล้ว ไปในป่าจะลำบากของเก่า ก็เปลี่ยนสังฆาฏิกัน

    พอไปแล้วพระมหากัสสปก็อยู่ในป่าอยู่อย่างนั้นน่ะ อยู่นี่พระพุทธเจ้าก็นิพพานเลย
    หลังพระมหากัสสปไปพระพุทธเจ้าก็นิพพาน พระมหากัสสปก็ไม่รู้เรื่อง ปฏิสัมภิทาญาณหลวงพ่อถึงเน้นว่า ปฏิสัมภิทาญาณถ้าไม่จำเป็นจะต้องใช้ ก็ไม่ได้ใช้ ก็ไม่รู้

    ทีนี้พระพุทธเจ้าก็นิพพานแล้ว จุดไฟเผาไม่ไหม้ใช่ไหม พระมหากัสสปก็เดินธุดงค์ไปก็ไปเจอพราหมณ์หรืออะไร เก็บดอกชบามา นึกเฉลียวใจว่า เอ๊ นี่มันไม่ใช่ดอกไม้ในเมืองมนุษย์ ถามพราหมณ์ พราหมณ์บอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้ว พระมหากัสสปเข้ามาหาพระพุทธเจ้านี่ โอ้โฮ ตอนนี้คุยไม่ได้แล้ว

    "ทำไมล่ะครับ"

    ปีติมันเกิด... พอท่านเทศน์นี่เราน้ำตาร่วงเลย พระมหากัสสป...

    "พระกัสสปน้ำตาร่วงหรือครับ"

    เราน้ำตาร่วงเสียก่อนแล้ว

    "เอ้า นิมนต์ธรรมาสน์สองต่อก็แล้วกัน"

    พระพุทธเจ้าปรารภน่ะ อะไรนะ กัสสปเธอแก่แล้ว อยู่กับตถาคตเถอะ ทีนี้พระอรหันต์
    ถือว่าท่านติงแล้วนะ ติแล้วนะ พระมหากัสสปปรารภบอก เรานี่เลวเหลือเกินเลย พระพุทธเจ้าติงแล้วอย่าไปนี่ ไม่เชื่อไง ไม่เชื่อ

    เทศน์ตอนนี้ท่านเทศน์เพราะมาก โอ้โฮ ไปหาเทปฟังเถอะ

    "มีเทปหรือเปล่าครับ"

    (ด็อกเตอร์ปริญญาตอบว่า) "มี เทปมี"

    แต่ขอให้ทำสมาธิเสียก่อนฟัง เทปหลวงพ่อทุกมัวนนี่อยากให้มีสมาธิสักหน่อย อย่า
    ไปฟังลอยๆ ถ้าฟังลอยๆ มันก็ลอยๆ ไป ถ้าตั้งสมาธิฟังนี่จะได้ทุกตัว

    "เหมือนกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เลย"

    เหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลย พระอรหันต์ท่านติงแล้วเพราะมาก ติงแล้วเราถึงรู้ว่า โอ้โฮ เรานี่มันหยาบยิ่งกว่าอะไรอีกร้อยพันเท่า ท่านเทศน์วันพระนี่ไม่รู้ว่าม้วนไหน วันหลังจะหามา มันมีอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าม้วนไหน (เรื่องความเป็นมาของพระพุทธเจ้า)

    ม้วนหนึ่งมีหน้าเอหน้าบี มันจบในม้วนนั่นน่ะ ตอนขอขมานี่สิ ท่านปรารภตัวท่านกับพระพุทธเจ้า ตอนนี้เพราะมาก พระพุทธเจ้าก็ยื่นเท้าออกมาทะลุมาเลยใช่ไหม เป็นการ
    รับทราบ

    (จากธัมมวิโมกข์ฉบับที่ 174 เดือนกันยายน 2538 หน้า 83-84)


    79705919_1455486424627892_6302640129198522368_o.jpg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    DSC_0082_zpszyq5w7iu.jpg

    วันเช็งเม้ง

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา วันเช็งเม้ง เขาไปไหว้พ่อแม่ปู่ย่าตายายกันที่ฮวงซุ้ย แต่ลูกคิดว่าการเดินทางไปกลับใช้เวลามาก เลยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อที่ตายไปแล้ว อย่างนี้จะมีผลดีกว่าไปไหว้คุณพ่อที่ฮวงซุ้ยหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : อย่างนี้หลวงพ่อชอบ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเข้าใจตอบ

    หลวงพ่อ : ใช่ ตรงไปตรงมา สัจจวาจาใช่ไหม คือเป็นอย่างนี้นะ ว่ากันตามเรื่องจริงๆ นะ ถ้าเราไปไหว้ที่ฮวงซุ้ยเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ใช่ไหม

    ถ้าเราทำบุญที่นี่ อุทิศให้ท่านก็เป็นการกตัญญูเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราไปไหว้ที่ศพ เอาของไปไหว้ที่นั่นผลมันไม่ได้ที่สวรรค์ ได้แต่ความกตัญญูกตเวที เราได้แน่แต่ผีไม่แน่ว่าจะได้อะไร

    ถ้าถวายสังฆทานเราก็ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ใหญ่ที่เราคิดให้ก็ได้ด้วย ได้ผล 2 ประการ

    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 70)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2020
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    0001 (42).jpg

    ทำการค้าแล้วอยากฆ่าตัวตาย


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำการค้าขายกับคู่แข่ง แต่ถูกกลั่นแกล้งเรื่องการค้าตลอดมา ขณะนี้ลูกทนไม่ไหวแล้ว ลูกอยากจะฆ่าตัวตาย แต่เขาบอกว่าให้มาถามหลวงพ่อก่อนว่าจะตายแบบไหน ?

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ หาวิธีตายให้ตายง่ายๆนะ หายใจเรื่อยๆ กินข้าวเรื่อยๆ บริหารร่างกายแล้วมันก็จะตายไปเอง ก็ทำอะไรล่ะ ?

    ผู้ถาม : ทำการค้า มีคนมากก็กลุ้มใจ คู่แข่งทำให้เดือดร้อน

    หลวงพ่อ : ก็ถ้าเราได้คาบทนี้ไป(พระคาถาเงินล้าน) ถ้าใจเย็นๆ มันไม่มีทางหรอก เรื่องเล็กๆ ก็หนักที่สุดเรื่องการใช้จ่าย สตางค์ในกระเป๋าก็ไม่มี ก็นี่แหละค้าขายนี่แหละจากเงิน 10 บาทมาเป็นเงิน 100 บาท จากเงิน 100 มาเป็นเงินหมื่น จากเงินหมื่นมาเป็นเงินแสน จากเงินแสนมาเป็นเงินล้าน ค่าใช้จ่าย ใจเย็นๆนะ

    แล้วก็คาถาบอกอยู่แล้วบทนี้เงินแสนนะ บทนี้เงินล้านนะ คาถาวิระทะโยเป็นพื้นฐานใหญ่ บทนี้ให้ทำตามนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทต้นที่ตัดอุปสรรคที่ลาภจะเกิด อันนี้ก็มีอยู่ให้ไปครบถ้วนแล้วใช่ไหม อย่าเพิ่งตายเลย ถ้าจะตายให้ดีก่อนตายเอาเงินมาให้ฉัน 10 ล้านก่อน ถ้ายังไม่ได้ 10 ล้านยังอนุญาติให้ตายไม่ได้

    ผู้ถาม : อ๋อ..ต้องให้สตางค์ก่อนเหรอครับ หลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ เดี๋ยวตายแล้วไม่ได้ให้ไม่ได้ตายอย่างเดียวก็ไม่ได้กี่ตังค์ อันนี้ไม่จำเป็นนะ เขาแกล้งก็ช่างเขาปะไร ก็ภาวนาไปเฉยๆ ว่าคาถาของเราไปเรื่อยๆ ทำใจสบายๆ

    มันมีร้านค้าอยู่ที่จตุจักรกระมั๊ง มีเขากลั่นแกล้ง เอาไอ้โน่นโยนมา เอาไอ้นี่ทำมา ปรากฏว่าเมื่อปีใหม่แต่ก็ช่วยกันขาย 13 คนยังไม่ทันเลย นี่ข้างๆเขาแกล้งอยู่เรื่อยนะ ทำเรื่อยไม่เห็นเป็นไรเลย

    ผู้ถาม : คือว่าสนใจคาถานี้ ภาวนาคาถานี้ ถ้าได้เงินมาก็เอามาถวายก็แล้วกันนะ

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องถวายวัดละ ถวายฉันหรือถวายหลวงน้าก็แล้วกัน มันถวายวัดไปวางไว้ ถ้าเดินไป เก็บเอาไปหมด

    ผู้ถาม : อ๋อ...ต้องถวายกับมือหลวงพ่อเอง

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ เอาไปวางไว้หน้าวัดก็เก็บไปทีเดียวหมดซิ


    (จากคอลัมภ์ "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 58 หน้า 60)


    17966289_517420105315082_7413358102494692182_o.jpg
    เรื่อง เงินงอก

    ที่วัดมีคนมาหาแล้วก็เอาเงินไปถวายแสนหนึ่งคนที่รู้จักกัน ก็บอก ไอ้นี่แกถวายแล้วน้ำตาซึมถึงร่วง ร่วงเผาะๆๆ บอกเป็นไงไปลักเขามาเหรอ มันก็บอกไม่ใช่ เงินงอก หลวงพี่เงินที่มาถวายนี่เงินงอก บอกเอ๊ะ...มันงอกยังไงวะ ติดใจ บอกทำไงเงินงอกจะได้ไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังบ้าง คนนี้เขาค้าขายพืชไร่ ไอ้เงินงอกบอกแกทำยังไง

    เขาบอกท่องคาถาเงินล้านนี่ เลยบอกเขาก็ท่องกันทั้งนั้นไม่เห็นงอกเลย
    บอกก่อนที่จะท่องคาถานี่จับลูกแก้วให้เห็นขาวใสก่อน พอเห็นจับนิมิต ไม่ใช่มือจับนะ เอาใจจับ ใจจับให้เห็นลูกแก้วขาวใส ภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนนาไปเรื่อยๆ เวลาเขาซื้อขายพืชไร่กันนี่ ซื้อพันกิโลมันจะงอกเป็นร้อยกิโล ไอ้ตัวงอกมาแกจะจดไว้ เอาเฉพาะพันกิโล เหลือนั่นถือว่างอก

    ทำอยู่อย่างนี้ปีหนึ่ง ปีนี้กลัวจะขาดทุนเลยงอกมาแสนหนึ่ง คิดเป็นเงินแสนมาถวาย จะบอกให้คนอื่นรู้ก็กลัวเขาจะหาว่าเพี้ยนไปบ้าง ใจไม่ถึงบ้าง แล้วแกก็ดีใจ ยังไงดีใจว่าหลวงพ่อสอนแกไว้ให้เข้าใจตรงนี้ แล้วใครจะไปเอาไปปฏิบัติบ้างก็ได้นะ ลองดูลองจดดู ไม่ใช่งอกมาทีละแสน งอกมาทีละพันสองพัน ห้าร้อย สองร้อยนี่มันจะเกิน มันจะเกินมาเรื่อย

    คือท่องคาถาเงินล้านไม่ต้องรีบร้อน คือท่องให้ใจสบายไปเรื่อยๆ ให้เห็นลูกแก้วขาวไว้ด้วยยิ่งดีใหญ่


    "ถ้าท่องไม่จับลูกแก้ว จะจับองค์พระองค์ปฐม หรือ องค์วิสุทธิเทพจะได้หรือเปล่า"

    คงได้มั๊ง ที่เขาได้มาทางลูกแก้วนี่ ถ้าไปใช้คงจะได้นะ จะลองดูก็ได้


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 86-87)

    43374.jpg 19341E8E-D3D3-4F5B-8121-95E1981B420E.jpg _7 (1).jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2020
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    0001 (13).jpg

    แก้ดวงเมืองประเทศไทย


    ผู้ถาม : ขณะนี้ดวงของประเทศชาติกำลังแย่ หลวงพ่อมีวิธีแก้ไขตามพระพุทธศาสนา อย่างเช่นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่จะช่วยชาติได้หรือไม่ ลูกๆจะได้ช่วยประเทศชาติในด้านใดบ้างเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : มันของไม่ยากเลยนะ ให้เอาดวงของประเทศชาติมา ถ้าเอาอะไรผูกไว้ฉันจะช่วยแก้ออกให้ (หัวเราะ) ดวงประเทศชาติเป็นอย่างไรน่ะ ฉันไม่เคยรู้เขาเลย

    ผู้ถาม : เป็นดวงเมืองหรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : ดวงเมืองหรือดวงกรุงเทพฯ มันมี 2 ดวงนะ เอาอย่างนี้ดีกว่า ดวงมันเป็นวิชาของโหร ถ้าตามพระพุทธศาสนาเขาเรียกว่ากฏของกรรมอย่างนี้ถูกกว่านะ

    กฏของกรรมนี่เราแก้กันไม่ได้ สมมุติว่าสีมันเข้มเราก็พยายามเอาสีหนึ่งเข้ามาผสมให้มันจาง สีมันไม่จางแต่สีอื่นมันทับ นั่นคือกฏของกรรมที่ทำให้คนลำบาก คือบาปในชาติก่อน เราก็สร้างบุญให้มันเยอะ

    การสร้างบุญให้มันเยอะไม่ใช่ต้องใช้เงินเยอะ บางทีกุศลก็ไม่มาก ไม่แน่นะ อย่างพวกที่เจริญกรรมฐาน บูชาพระสวดมนต์ จิตก็สะอาดขึ้น ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปก็แล้วกัน

    วิธีแก้อีกวิธีหนึ่งที่ท่านย่าบอกไว้คือ ให้ว่า "คาถาเงินล้าน" ด้วยความตั้งใจ อย่างน้อยวันละ 30 จบ ไม่ต้องจบครั้งเดียวนะ หลายครั้งภายในวันเดียวนะ อย่างนี้จะแก้ความฝืดเคืองได้

    ค่อยๆแก้ แล้วก็ไม่ต้องไปแก้ดวงเมือง แก้ดวงของเราก็แล้วกัน ใช่ไหม ถ้าดวงของเราดีหมด เมืองของเราก็ดีด้วย

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 74 เมษายน 2530 หน้า 19-20)

    DSC_0060.jpg DSC_0068.JPG DSC_0080.....JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2020
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    11-1.jpg

    พระรุ่นพิเศษ

    พระที่แจกนี่นะ ทำมาจากผงปลุกเสกครบไตรมาส 3 เดือน ตอนสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่พ.ศ. 2518 หลวงพ่อท่านลงกรรมฐานทุกวัน ท่านบอกว่า ต่อไปนี้จะไม่มีเวลาทำพระครบไตรมาสแล้วนะ

    เวลาท่านทำกรรมฐานท่านก็นั่งทำพิธีทุกวัน ทำกรรมฐานเสร็จท่านก็เล่าให้ฟังว่า วันนี้พระที่มีความสำคัญมาทำ ทำเฉพาะพิเศษเลยเฉพาะจุดนี้ รุ่งขึ้นอีกวันท่านก็บอกพระองค์นี้มาทำเฉพาะจุดนี้้เป็นเรื่องๆไป


    ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้ก็ให้ด๊อกเตอร์ปริญญาไปเอาดินสอพองมา เอามาเข้าพิธีกัน หลวงพ่อท่านบอกว่า นี่พวกแกเตรียมหากินกันแล้วนะ ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าท่านไม่มีเวลาทำครบไตรมาสอีก ท่านบอกว่า ต่อไปคนจะเยอะ ข้าไม่มีเวลาทำอีกแล้ว ทำครบไตรมาสอย่างนี้

    พอหลวงพ่อมรณะภาพแล้วนี่ เราจะปลุกเสกพระบ้าง เราก็ไม่มีความรู้ ก็ไปเก็บผงทุกอย่างที่มีอยู่ มีผงคำข้าว มีเกศาหลวงพ่อ แล้วก็ดินสอพองที่ครบไตรมาส เอามาผสมกันแล้วทำพระมาแจก เวลาทำเสร็จแล้วก็มาเข้าพิธีบวงสรวงบอกครูบาอาจารย์ บอกว่าเราขออนุญาติทำพระที่หลวงพ่อปลุกเสกแล้วเพื่อเอามาแจกแก่ญาติโยม

    บางคนก็บอกกลัวไม่ดังหรือไง ก็ไม่ใช่อยากดัง ความจริงหลวงพ่อท่านปลุกเสกไว้หมดแล้ว



    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 149 เดือนกรกฏาคม 2536 หน้า 100)
     
  11. ToPiCaL

    ToPiCaL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,475
    ค่าพลัง:
    +4,585
    พระรุ่นไหนของหลวงพ่อเสกไตรมาสบ้างครับ
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    3 รุ่นด้านล่างนี้ครับ พร้อมผงดินสอพอง ฯ

    หลวงพ่อปลุกเสกตลอดไตรมาสในปี 2517 แล้วมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ระหว่างงาน 100 ปีเกิดหลวงปู่ปาน ในปี 2518



    SBPH_ No 1_Page_043.jpg

    SBPH_ No 1_Page_045.jpg PratoongsetteeFullpage1.jpg
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232


    S__12632071.jpg

    ในตอนนี้ทางวัดได้นำเหรียญวันเกิดรุ่นสุดท้ายรูปพระศรีอาริยเมตไตรย-หลวงพ่อ ออกให้เช่าบูชาได้อีกครั้งหนึ่ง ในราคาองค์ละ 500 บาท โดยจำกัดให้เช่าได้คนละ 1 เหรียญ


    เหรียญรุ่นนี้เข้าพิธีพุทธาภิเษกพร้อมสมเด็จองค์ปฐมรุ่น 2, พระหางหมากรุ่นพิเศษ และมีดหมอชาตรี เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กรกฏาคม 2535 ที่มหาวิหาร 100 เมตร

    156 ม.ค. 37 หน้า 23 แจกเหรียญ.jpg

    ทางวัดได้นำเหรียญรุ่นนี้แจกแก่ผู้ที่ทำบุญตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปที่มหาวิหาร 100 เมตรในงานทำบุญประจำปีเททองหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2537


    และเหรียญที่เหลือแจกในงานได้ตกค้างอยู่ที่วิหาร 100 เมตร อยู่อีกประมาณ 3,500 องค์ จนปี 2538 เกิดน้ำท่วมใหญ่จึงได้ย้ายเหรียญนี้ออกมาไว้ที่ตึกรับแขกจนถึงปัจจุบัน


    DSC02146.jpg DSC02147.jpg
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เหรียญทำน้ำมนต์.jpg


    ทำน้ำมนต์ 1..jpg

    ว่าน 1.jpg

    ทำน้ำมนต์ 2..jpg เหรียญทำน้ำ..jpg เหรียญทำน้ำมนต์ใหม่.jpg เหรียญทำน้ำมนต์ใหม่ม.jpg IMG_20200224_144213.jpg IMG_20200224_144238.jpg
    (พระเนื้อว่านทำน้ำมนต์นำมาติดชานหมากชาตรีเองภายหลังครับ)
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    380.jpg
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    0001 (47).jpg
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    0001 (2)-vert.jpg


    ขนมไข่จิ้งหรีด

    ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตอนเช้าๆกระผมชอบไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ทำจิตให้เป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิทันทีทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏว่าได้ยินเสียงเขาพูดว่าอย่างนี้

    ให้เอาข้าวสุกคลุกกับน้ำตาลผสมเกลือและมะพร้าวขูด ผสมด้วยกล้วยน้ำว้า 3 ลูก ใส่บาตรถวายท้าวมหาชมพูเพื่อป้องกันโรคไวรัส

    หลวงพ่อ : เขาเรียกขนมไข่จิ้งหรีด

    สมัยก่อนฉันเคยทำ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันถ้าจะใส่บาตร อย่าใส่ลงไปในบาตรนะ ให้ห่อหรือใส่ปิ่นโต หรือ ใส่ห่อพลาสติกก็ได้ถวายพระท่านไป อย่าไปผสมกับข้าวในบาตร อันนี้ดีญาติโยมทุกคนจำไว้นะมีประโยชน์มาก

    เพราะว่าในสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อปานถ้าโรคระบาดมันจะเกิด ท่านมักจะสั่งพระไปบิณฑบาตว่า "พระ เอ้ย เวลาไปบิณฑบาตบอกชาวบ้านด้วยนะ ทำข้าวต้มลูกโยนไปไว้หลังบ้าน ทำขนมจีนบ้าง" แต่ละคราวไม่เหมือนกันนะ

    ก็ถามท่านว่า ทำ ทำไมครับ ?

    ท่านบอกว่า "โรคระบาดจะเกิดขึ้นฉันพบหัวหน้าเขา เราไม่ต้องการให้คนที่ใส่บาตรเราเป็นโรค และเขาขอของอย่างนี้"

    อันนี้ก็ดี ท่านมาบอกก็ดีแล้ว ไวรัสเวลานี้มันยุ่งมาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 85 เดือนมีนาคม 2531 หน้า 15)



     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    2-2.jpg

    ปราบไวรัสของคนโบราณ

    คำว่า "สุนัขป่วย" หมายความว่าอาตมานี่มีสุนัขอยู่มาก ความจริงมัน 2 ตัวพ่อแม่ แต่ว่าในที่สุดมันก็กลายเป็นหลายสิบตัว แค่ 2 ตัวพ่อกับแม่เท่านั้นทั้งลูกทั้งหลานมากมาย

    เจ้าสุนัขนี่ก็เหมือนลูก ถ้ามันออกใหม่ๆ ไอ้เจ้าแม่ก็ต้องพามา เวลาออกใหม่ๆ ลูกยังเดินไม่ค่อยได้ เวลากลับมาจากรับแขก เจ้าแม่ก็ไปคอยดักหน้าประตู พอเข้าประตูบริเวณกุฏิมันก็เดินนำหน้าพาไปหาลูก ไอ้เจ้าลูกก็มานอนบนตัก ตัวเล็กๆ ตักก็นอนหลายตัว ถ้าหลายแม่ แต่ละแม่ก็มาคอย ออกจากแม่นี้ แม่นั้นก็พาไปห้องของตัว มันเป็นอย่างนี้ สุนัขคล้ายลูกก็มีความรักในมัน มันมีความซื่อสัตย์สุจริตดี แต่เจ้าสุนัขพวกนี้มันตายไปหลายตัว อาการที่เป็นก็คือว่า วิ่งเล่นอยู่ดีๆมีแรงมาก พออาการไข้จับปั๊บมันจะหมดแรงทันที และก็ลุกไม่ขึ้น ท้องอืด ถ่ายไม่ออกในที่สุดก็ตาย รักษาไม่หาย

    ก็พอดีหมอจรูญ หมอมนตรี หมอชนะ อะไรก็ตาม แล้วก็มีท่านสัตวแพทย์ท่านหนึ่งจาก
    กรุงเทพฯ ไม่รู้ชื่อท่าน แก้ชีวิตหมาไว้มากหลายตัว กำลังจะแย่ หมอพวกนี้ไปถึง
    ให้การเยียวยารักษาหาย ความดีของท่านลืมไม่ได้ เป็นความดีสูงสุด

    เมื่อพูดถึงหมาหรือสุนัข อาการของสุนัขเป็นอย่างนั้น ตอนที่ไปป่วยที่ชิคาโกก็มีความรู้สึกว่าอาการที่เป็นอย่างนี้เหมือนสุนัขจริงๆ ทั้งๆที่มีแรงอยู่ เป็นปุ๊บปั๊บก็ล้มฉับพลัน ก็คิดในใจก่อนที่จะหลับว่า อาการอย่างนี้อาจจะมาจากเชื้อของสุนัขที่เป็นไข้ก็ได้ ซึ่งหมอมนตรีเคยเตือนไว้กับจำปีว่า ไอ้ไวรัสที่มันเป็นกับสุนัขอาจจะระบาดมาติดหลวงพ่อได้ ควรจะเอาสุนัขไปอยู่ข้างนอก แต่อย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะไปอยู่ที่ไหนสุนัขมันก็
    ล้อม ถ้าวันไหนแกไม่ได้เห็นรู้สึกว่าแกไม่สบายใจ วันไหนไปเลี้ยงอาหารถ้าไม่ไปด้วยสุนัขแกก็เหงา

    ก็รวมความว่าสุนัขก็เหมือนลูก ยังไงๆ ก็แยกกันไม่ได้ แต่ก่อนจะภาวนาจะหลับก็คิดว่า ไอ้เชื้อของสุนัขที่สุนัขมันป่วย ไอ้คำว่า "ไวรัส" เขาแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรไม่ทราบ เขารัสก็รัสกับเขาด้วย คำว่า "ไวรัส" เขาไม่ได้แปลไว้ ที่ไหนก็รัสๆ อาตมาจะวินิจฉัยศัพท์ก็ต้องถือว่า มันรัดไวๆ นั่นหมายความว่ามันรัดปั้บก็ล้มปุ๊บ ขยับตัวไม่ได้ รัดเสียแน่นแล้วก็ไม่ยอมปล่อย คราวนี้อาจจะเป็นเพราะไวรัสประเภทนั้น

    เมื่อจิตตวัดถึงไวรัสก่อนจิตก็เคลิ้มลง ภาวนาก็เคลิ้มลงก็หมดความรู้สึก ก็น่าจะเป็นหลับ หลับหรือไม่หลับก็ช่าง ฝันแล้ว ขณะที่หลับลงไปก็มีความรู้สึกว่าเห็นพระท่านมา พระท่านมาอยู่ข้างหน้า

    ท่านก็ถามว่า "สงสัยเรื่องอาการโรค ใช่ไหม"

    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า "ใช่" ฝันนะญาติโยมทั้งหลาย อย่าลืมว่านี่เรื่องฝัน ท่านก็บอกว่า "เธอสงสัยเรื่องไวรัส ใช่ไหม" ก็ตอบท่านว่า "ใช่"

    ท่านบอกว่า "คำว่า ไวรัส หรือ เชื้อโรคประเภทนี้มันมาทางอากาศ และก็โรคที่เธอเป็นนี้ก็เป็นความจริง มันก็เป็นเชื้อที่มาจับกับสุนัข หรือจับกับหมา ทำให้หมาป่วย แต่ว่าไม่ใช่หมาส่งโรคให้กับเธอ แต่ว่าการที่จะป่วยไข้ได้เจ็บ ก็ต้องเป็นเรื่องกฎของกรรมมาจากเศษของปาณาติบาต ฉะนั้นโรคชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นไม่ควรจะโทษสุนัข เธอจะมีสุนัขอยู่ใกล้หรือไม่มีสุนัขอยู่ใกล้ เธอก็ต้องป่วย เจ้าโรคประเภทนี้ไม่ใช่ออกมาจากสุนัข ไม่ได้เกิดจากสุนัข มันอยู่ในอากาศ"

    ท่านก็ชี้ให้ดูในบริเวณกุฏิ แหงนหน้าขึ้นไปใกล้เพดาน ในอากาศมีไวรัสเต็มหมด มันเต็มขนาดที่เรียกว่ายัดกันแน่นเอียดหาช่องว่างไม่ได้ ท่านบอกภาพของไวรัสมันมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันเยอะ มีหลายพวกไม่เหมือนกัน จำได้ 3-4 พวก

    คือพวกหนึ่ง ตัวยาวๆ คล้ายไส้เดือนแต่ไม่ยาวมาก ยาวนิดหน่อย ลักษณะการยาวกลม

    ลักษณะที่ 2 ลักษณะกลม กลมบ่องกลมเหมือนกระสุน

    ลักษณะที่ 3 เป็นตัวเหลี่ยม แต่ก็ไม่ใช่สี่เหลี่ยม มันเป็นเหลี่ยมเหมือนข้าวหลามตัดแบนๆ เหมือนข้าวหลามตัด

    ลักษณะที่ 4 เท่าที่จำได้ หัวโตๆและก็เรียวไปนิดหน่อย ไม่ยาว จากตอนกลางก็ไปเป็นเกลียว

    ท่านบอกว่า "ลักษณะที่เธอเป็นคราวนี้ อาการของไข้จากไวรัสตัวเกลียวมันร้ายแรงมาก"

    ก็ถามท่านว่า "ถ้าไวรัสมีลักษณะอย่างนี้ การสูดเข้าไปทางลมหายใจ ทางหลอดคอก็ดี ทางปากก็ดี ทางจมูกก็ดี เข้าไปแล้วมันจะทำอะไร ก็เหมือนกับละอองฝนที่ไปปะจุดใดจุดหนึ่ง"

    ท่านบอกว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะเข้าไปเกาะกินเม็ดเลือด และตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้ประสาททรุดโทรม (เล่นประสาท) ประสาทจะหมดกำลัง และการเข้าไปมันมาก"

    ก็ขอดูการเข้าไปว่ามันอยู่ที่ไหนมาก มันอยู่มากมายเหลือเกิน ก็เลยถามท่านว่า "แค่เข้าไปแตะอย่างนี้จะมีโทษอย่างไร มันไม่มีกำลัง"

    ท่านก็บอกว่า "เท่าที่เห็นนี้มันป็นเพียงเปลือกนอกของมันเท่านั้น จริงๆแล้วเฉพาะไวรัสที่มันกินเธอ มันเข้าไปทำลายเธอเวลานี้ รูปร่างลักษณะของมันเป็นอย่างก็เห็นเป็นตัวมีหัวเหมือนกับ ฮอ. (เฮลิคอปเตอร์) และมีขายาว มีก้าม และมีเขี้ยว แล้วก็มีหางยาวๆหน่อยๆ ท่าทางเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ท่านบอก "ลักษณะของมันจริงๆเป็นอย่างนี้"

    แล้วก็ถามท่านว่า "การทำลายและป้องกันจะทำอย่างไร"

    ท่านบอกว่า "วิธีป้องกันก็ดี ทำลายก็ดี วิธีของโบราณนี่ดีที่สุด"

    ก็กราบเรียนถามท่านว่า "วิธีโบราณเขาทำอย่างไร"

    ท่านก็บอกว่า คนที่มีความยากจนเขามีความยากจนและก็อยู่ไกล ไม่ใช่ไกลความเจริญ ไกลแบ็งค์ ไกลเงินเหรียญ ไกลธนบัตร เขาอยู่ไกลธนบัตร ไกลเงินเหรียญ ที่บ้านหาธนบัตรไม่ได้ หาเงินใช้ไม่ได้ก็แล้วกัน เมื่อหาเงินใช้ไม่ได้ทำอย่างไร เวลาจะนอนมุ้งก็ไม่มีจะกาง ยุงก็กินลูกกินตัว เจ้าสุนัขที่เลี้ยงไว้มันช่วยเป็นยามรักษาบ้าน มันก็ไม่มีมุ้งจะนอน เจ้าของก็สงสาร เจ้าวัวและควายเป็นพาหนะที่เลี้ยงชีพ (มันเลี้ยงคน) วัวและควายนี่มันมีชีวิตนี่ อยู่เพื่อการเลี้ยงคนจริงๆ มันก็ไม่มีมุ้ง มันหนาว หามุ้งไม่ได้ เจ้าของทำอย่างไร ตัวเองก็ลำบาก ยุงกัด สุนัขก็ยุงกัด เจ้าวัวหรือควายเป็นพาหนะใหญ่ก็ยุงกัด

    ในที่สุดก็ต้องสุมไฟให้เป็นควัน ไฟที่เป็นควันรมเข้ามาในบ้าน รมเข้าไปในคอกควาย ไล่ยุง ควันหนาจริงๆ ยุงทนไม่ไหวยุงก็หนีไป อาการอย่างนี้ท่านบอกว่า "คนที่เขา
    มีความร่ำรวย ที่ถึงความเจริญแล้วมันเป็นภัย ควันอาจจะเป็นเหตุให้เกิดโรคทางปอด
    เช่น วัณโรค หรือมะเร็งได้

    แต่คุณค่าของควันมีประโยชน์ใหญ่มาก นั่นคือทั้งป้องกันและทำลายไวรัส"

    ก็นึกในใจว่า มันเป็นความจริงอย่างไร

    ท่านบอกว่า "ควันเข้าไปถึงไหน ทางไหนถ้าควันหนา ไวรัสที่นั่นตายหมด อยู่ในช่วงนั้นตายหมด ถ้าลอยเข้ามาใหม่ก็ตายอีก ควันมันจะดึงดูดแบคทีเรียที่อยู่ในวงใกล้
    ไม่ไกลนักเข้ามาเผาผลาญล้มตายหมด แต่ว่าถ้าไฟที่เป็นเปลวนี่จะเป็นช่องว่างทำลาย
    ไวรัสได้ดีมาก"

    ท่านก็บอกต่อไปอีกว่า "อย่าเอาไฟไปจุดบ้านนะ เพียงแค่สุมไฟให้เป็นเปลว ไวรัสจะลงมาตายมากแล้วดึงไวรัสใกล้ๆ อากาศจะเกิดช่องว่าง หรือว่าอากาศว่างไม่หนาแน่นไปด้วย ตัวไวรัสยัดเยียดกัน ความว่างเกิดขึ้นอากาศก็มีความเคลื่อนไหวนั่นคือลม พอลมมาแล้วก็ดึงเอาไวรัสต่างๆที่ไหลอยู่ไม่ไกลเกินไปนักมาลงในกองไฟ ไวรัสก็ตายหมด แต่จะให้หมดโลกนั้นหมดไม่ได้ หมดในช่วงนั้น

    ต่อมาเมื่อเปลวไฟหมด เจ้าของก็เอาของเปียกๆชุ่มๆมาโปะทับเข้า ควันก็เกิด ตอนนี้ก็ทำลายไวรัสอีกตอนหนึ่ง

    ก็รวมความว่า ท่านบอกว่า "วิธีของโบราณ และก็อยู่ไกล ไม่ใช่ไกลความเจริญ
    แต่ไกลแบ็งค์ ไกลธนบัตร ไกลเงิน ไกลทอง เขาไม่มีความรู้ในการทำลายไวรัส ไม่รู้
    จักคำว่าไวรัสคืออะไร"

    แต่ความจริงไม่ใช่แต่คนโบราณนะ อาตมาเองก็โบราณ 70 ปีเศษ ไม่ไกลนัก
    ก็ยังไม่รู้จักไวรัสเลย รูปร่างจริงๆ เป็นอย่างไรเพิ่งเห็นตอนพระท่านให้ฝัน พระท่านชี้ให้ก็เห็นมันเต็มไปหมด

    ในที่สุดเมื่อทราบวิธีป้องกันและทำลาย ตามความรู้สึกในความฝันในคราวนั้น ท่านบอกว่า "หมอมาแล้ว เตรียมเครื่องสวนปัสสาวะมาด้วย มากับพยาบาล เธอตื่นสักที
    ลืมตาได้ หมอมาแล้ว"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 77 เดือนกรกฏาคม 2530 หน้า 15-18)



    หลวงพ่อแนะวิธีรมควัน

    พระแก่นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เลยลืมห่วงใยคนอื่น เวลานั้นร่างกายรู้สึกมันดีขึ้น อาการปวดต่างๆก็คลายตัว เมื่อคุณหมอลากลับไปแล้ว ก็บอกกับพรนุช คืนคงดี ว่าให้ลองสุมไฟในห้องนี้

    พระท่านแนะนำไว้ ใช้ถาดใส่น้ำรอง เอาเตาถ่านมาตั้งบนถาดที่มีน้ำ แล้วก็เอาถ่านใส่ แล้วก็เอากาบมะพร้าวใส่ให้เป็นควัน ท่านสั่งให้ปิดประตูหน้าต่างให้หมด ปล่อยควันให้อบอยู่ประะมาณสัก 1 ชั่วโมง แล้วก็เปิดหน้าต่างประตูดับไฟเสีย แล้วก็เอาเตาไปเก็บที่อื่น เปิดพัดลมให้ควันกระจายออก

    อย่างนี้ท่านบอกเชื้อโรคภายในจะสลายตัว

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 77 เดือนกรกฏาคม 2530 หน้า 19)



    89026475_520344145289433_862193720936628224_n.jpg
    received_503777723841753.jpeg received_980735118987601.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2020
  19. soidao2559

    soidao2559 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2016
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +3,749
    3FF3AA40-7456-4B42-8BED-D6E4F569688A.jpeg อยากขออนุญาตรบกวนพี่ wannachai001 ธงแดงนี้ใช่ธงท่านท้าวมหาชมภูไหมครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    00000000000.jpeg

    ใช่ธงท้าวมหาชมภูครับ แต่ของวัดท่าซุงเราหรือเปล่าลองเทียบกับภาพธงท่านมหาชมภูของหลวงพ่อดูเองนะครับ

    ภาพจากหนังสือสมบัติพ่อให้ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ตุลาคม 2537


    sombot(g)_Page_150.jpg
    ถ้าอยากได้ยันต์ท้าวมหาชมภูจากวัดท่าซุงเราไว้บูชา เหรียญยันต์ตะกรุดเมเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่งนะครับ ได้ราคาเบาๆที่วัดและที่บ้านซอยสายลมครับ

    ในภาพล่างนี้เป็นแบบแขวนหน้ารถ


    DSC_0181.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...