ธรรมไหน? ทำให้เนิ่นช้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 31 พฤษภาคม 2020.

  1. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    น้องณุ จิตไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อจดจำอะไรทั้งนั้น ความทรงจำล้วนเป็นอาการของความยึดมั่นถือมั่น ก็ตามนั้น พระศาสดาว่าไว้ ขันธ์ทั้งหลายเป็นแต่เพียงสิ่งยึดเกาะเพื่อระลึกว่ามีตัวตน แต่ก็หาได้ใช้พิจารณาว่านั่น เป็นตนของเราเป็นตัวของเรา ดังนั้น จิตจึงเป็นเอกเทศจากทุกสภาวะเพียงแต่ เลือกจะรับรู้อย่างไร สมาธิก็ดี ฌานด็ดี วิปัสสนาก็ดี ทั้งหลายล้วนสะท้อนให้รู้ว่า จิตคืออะไร ทำไม จิตจึงนำพาไปและไม่นำพาไป หลวงปู่พุธน่าจะกล่าวไว้โดยสังเขปประมาณนี้นะ
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    555 ขออนุญาตถามควายว่า
    จิต ที่ว่าไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อ....
    จิต ที่ว่านี้หน้าตามันคืออะไร
    คับ.. พี่ควาย
     
  3. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    ยอมรับว่าอดไม่ได้ มีเรื่องจะถามน้องณุว่า สิ่งที่กล่าวมานั้นเรื่องจริงหรือไม่อย่างไร หากจริงเหตุอันเป็นกรรมควรระลึกรู้และอโหสิกรรมต่อกัน ทุกวันนี้วิทยาการมีทางรักษา แต่ต้องอาศัยจิตใจของเจ้าของที่ตั้งมั่นว่า อะไรคือเป้าหมายแห่งการมีชีวิต ควรพิจารณา อย่าได้พะวงในอดีตคือสื่งที่ล่วงเลยไปไม่อาจแก้ไขได้ มีเพียงปัจจุบันที่ต้องพิจารณาให้เหมาะสมต่อการตั้งเป้าหมาย ไม่เชิงว่าห่วง ไม่เชิงว่าหวง แต่เพื่อประโยชน์อื่นที่สำคัญกว่า แต่ได้ประโยชน์ทุกๆฝ่าย
     
  4. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    หน้าตาก็ตามที่ตัวเจ้าของอยากให้เป็นไง คนไหนอยากให้เป็นเหมือนควายก็เป็นควาย คนไหนอยากให้เป็นเหมือนพระก็เหมือนพระ เอ่อ พระ แปลว่าอะไร ไม่รู้นะ เขาใช้เรียกกัน แต่คำถามมันโดนตรงไหนรู้ไหม แค่คิดว่าจะหาหน้าต่ของจิตนี้อันนี้คิดยากอยู่ แต่รู้ไหมทำไมถึงเรียกว่าจิตนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แต่ไม่ใช่อยู่ๆจะบอกว่า เป็นแบบนี้และเป็นแบบนั้นนะ เอ่อเห็นอยู่แบบนึงที่คนบนโลกนี้ชอบใช้ อุปโหลกไปว่านี่ก็จิต นั่นก็จิต อาจจะนะ พระขีณาสพบันทึกไว้ แต่อันที่จริงมันอุปโหลกไม่ได้ เพราะมันมีอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่ รู้หรือว่าไม่รู้ บอกยากจริงๆคับ ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร
     
  5. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    +++ คำว่า "สติ" ของผมคือ "เป็นสภาวะรู้" อยู่แล้ว
    +++ อาการตรงนี้ คือ "การระลึกทุกชนิด ถูกรู้"
    อันนี้ ความหมายไม่ตรงกันกับผมครับ
    สติ ในความหมายของผม คือ การระลึก ส่วนผู้ระลึกคือ จิต หรือผู้รู้


    สติเป็นเหมือน ส่วนประกอบ เป็นเหมือนกระจกเงา ที่จิตสร้างขึ้นให้เห็นตัวมันเอง
    โดยอาศัย การฝึก อาศัย ระลึก เหมือนที่พี่ธรรมชาติเข้าใจ ในช่วงฝึกสติ

    คือ การเอาสภาวะ ของ จิต ที่เคลื่อน เอามาฝึกระลึก
    จนไม่อาศัยระลึก เรียกว่า พ้นเจตนาในการอาศัย คือ ผ่านการ อาศัยระลึก จนคล่อง จนจำได้ในสภาวะ และระลึกได้เอง เมื่อ จิตมันจดจำสภาวะได้แม่นยำ ในตัวของมัน ที่ส่งออก หรือเคลื่อน
    (เรียกว่า กระทบอายตนะ 12)

    +++ สติ 2 ระดับ คือ
    +++ 1. ฝึกสติ (อาสัย ระลึก)
    +++ 2. เป็นสติ (ไม่อาสัย ระลึก)



    +++ ข้อ 2 จะใช้เป็น "กิริยาจิตทุกชนิด" ถูกรู้
    สำหรับผม จะเป็น ข้อ 1 จะใช้ กิริยาทุกชนิด ที่เกิดขึ้น ของจิตเคลื่อน หรือ ส่งออก
    +++ ไม่ว่าจะเป็น กายคตาสติ เวทนาสติ จิตตาสติ ธัมมาสติ
    +++ หาก จิต เกิดกิริยา เมื่อไร ตรงนี้จะ "เป็นเครื่องรู้" ทันที
    หากจิต เกิด กิริยา เมื่อไร ตรงนี้ จะเป็นเครื่องระลึก อาศัยระลึก ทันที

    +++ ของผมจะ "แยก" สติ ออกจาก การระลึก ไม่ปนกัน
    +++ การระลึก "ทุกชนิด" สำหรับ ภาษาของผม จะจัดเป็น "สัญญาขันธ์"
    +++ เฉพาะอาการที่ "ระลึกเข้าสู่ สภาวะรู้ เท่านั้น" เรียกว่า "สติ"
    +++ นอกนั้น เป็น "สัญญาขันธ์ ทั้งหมด" ให้เข้าใจ ภาษาของผม ตรงนี้ก่อนนะ

    ภาษาผมนะครับ ที่เข้าใจ
    สติเกิดจากสัญญาขันธ์ ในส่วนที่เรียกว่า ถิระสัญญา
    เป็นเหตุใกล้ ให้สติเกิด สติตัวนี้ หากเกิดขึ้น เป็น สติที่ไม่อาศัยระลึก ใน ข้อ ที่2
    ผมเรียกตัวนี้ว่า สติ สัมโพฌชง หรือ สัมมาสติ



    +++ คำตอบ คือ "ได้" หากฝึกจน "เห็น สภาวะอสังคตะธรรม ที่จิตส่งออกไปยึด"
    สำหรับผมแล้ว หาก จิตไม่ได้ จดจำสภาวะเคลื่อน ไม่ได้เอาสภาวะเคลื่อน ของจิตมาเป็นเครื่องอาศัยละลึกใน ข้อที่1
    ข้อ ที่2 จะเกิดไม่ได้ ถ้า ข้อ 2 เกิดไม่ได้ จะไม่มีโอกาศได้เจอ อสังขตธรรม


    +++ ก็จะ "รู้ได้เอง" ว่า แดนกำเนิดของ "สัญญาขันธ์ ณ จุดกำเนิด" เป็น "อนุภาคอิสสระ"
    +++ ที่ "ไม่มี/ไม่รู้ ที่มา และ ไม่มี/ไม่รู้ที่ไป" ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็น นิวเคลียร์ฟิสิคจริง
    +++ ตรงนี้แหละ "อะไรเอ่ย อยู่ในนิโรธ" และได้คำตอบคือ "กลับมาจากนิโรธ ได้งัย..."
    ( ตรงนี้ผมจะมาต่อทีหลัง)


    +++ ส่วนการ "ระลึกความจำ" นั้น นับเป็น กิริยาจิต ชนิดหนึ่ง
    +++ เมื่อ "สภานการณ์ สอดคล้องกับ เหตุในอดีต"
    +++ กิริยาจิต จะทำการ "ระลึก" ได้โดยอัตโนมัติ
    อันนี้ใช่ครับ ความ จำ เป็น บ่อเกิดของสติ ต้องเอามาทำให้จิตมันจำ
    พอเกิดการกระทบ สภาวะเคลื่อนเกิดขึ้น หรือ กิริยาจิตเกิดขึ้น สภาวะที่ถูกจำได้อย่างแม่นยำ
    เป็นเหตุใกล้ ให้เกิด สติ



    +++ ต้องฝึก "มหาปัฏฐาน ใน โภชฌงค์ 7" จนถึง
    +++ สัมปะยุตตะปัจจัยโย รวมทั้ง นิสัยยะปัจจัยโย (คุ้นเคย) ด้วยกัน
    ใช่ครับ มีแต่ สติปัฏฐาน

    +++ ต้องฝึกจนถึง "อะไรเอ่ย อยู่ในนิโรธ" จึงจะได้คำตอบ นะครับ
    สำหรับผมแล้ว นิโรธ เป็น ผลงานเนื่อง ต่อกัน
    เป็นอัญญะมัญญะ เหมือน เปลวไฟ มี แสงสว่างจะมีอัตโนมัติ
    ฉะนั้น สำหรับผม
    ไม่ต้องกังวล
    สร้างแต่เหตุ เพียร ระลึก สติ อย่างเดียว กำหนดรู้อย่างเดียวครับ
     
  6. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    รู้แจ้ง เป็นสภาวะนิโรธ เป็นผลงาน

    รู้ถึงจิต ก็คือ รู้ถึงฐานจิต ทั้ง สี่ฐาน เป็นการฝึก

    ฐานจิต ที่ส่งออก มีสี่ ฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม
    อาศัย การรู้ถึงฐานจิต เป็นเครื่องฝึก

    เมื่อ ทำ ง่ายๆ ตาม มรรคง่าย มึนให้รู้ว่ามึน
     
  7. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    คิดอย่างไรละ ว่าที่จริงแล้วมันมีอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ จะนับเอาอะไรเป็นเวลาละ นาฬิกา หรือว่า ตะวันและจันทร์ฉาย หรือใช้การเคลื่อนไปของจักรราศี รึว่าทุกๆสิ่งที่สัมผัสได้ทั้งที่เป็น รูป และเป็น นาม คงจะมีเพียงบางสิ่งเท่านั้นที่ยังคงพยายาม และหลายสิ่งเขาไม่พยายามหรอก ในโลกนี้มีคนเจ็ดพันกว่าล้าน สัตว์ที่มองเห็นได้ก็ประมาณเจ็ดแสนล้านล้าน สิ่งที่มองไม่ได้ด้วยตาเปล่าไม่รู้กี่เท่า ไม่นับสิ่งที่ปกติไม่เห็น ก็เยอะอยู่นะ
     
  8. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ป่าว พี่เก่ง จิต มันมีโดยสภาพ มี การ บันทึก กรรมชั่ว กรรมดี ไปตามสังสารวัฏ
    ขันธ์ ด้วยจิตไม่มีปัญญา มันก็จะอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นของมัน มีตัวตนเราเขา ตามไปเรื่อย
    เดี๋ยวจะจัดหลวงปู่พุธ ให้ซักกัณ ครับ

    จิต จะอาศัย ปัจจุบัน ขณะ เท่านั้นนะพี่เก่ง มาทำการฝึกระลึก
    ฉะนั้น คนเจริญสติ จะอยู่แต่ปัจจุบันธรรม

    แม้ที่จิต กำลังนึกถึงอดีต ก้เรียกว่า จิตเคลื่อน ตรงนี้ก็ยังต้อง ทำการเอามาฝึก ระลึก


    ฉะนั้น ที่ต้อง อาศัย ระลึกเป็นปัจจุบันธรรม ทุกสภาวะ ที่เกิดขึ้น ตรงนี้ตะหาก เพื่อความจำ
    เพื่อให้จิตจดจำ เพื่อความเป็นอัตโนมัติ จะได้เกิดขึ้น นะฮับ
     
  9. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    อาจเห็นต่าง หลวงปู่ชอบบอกว่า ปัญญาจิต แต่ที่ย้อนแย้งคือ จิตมันเป็นเรื่องของการรับรู้ อาจจะนะที่เราจะใช้สติเป็นตัวแทนของการรับรู้ แต่การจดจำอันนี้ขัดจริงๆ เพราะถ้าจะจำได้จริงมันไม่ควรจะเป็นจิต เช่น เจ็บไหม (เวทนา) มันดูย้อนแย้งยังไงไม่รู้ คนที่จำหรือสิ่งที่จำมันไม่ใช่จิต ตรงนี้จึงใช้คำว่า อุปทานจิต พูดแบบตรงๆเลย โทษมัน อุปทานขันธ์ โทษมันเลย เราไม่ผิดขันธ์มันผิดอันนี้โดยนัยยะนะ แบบเป็นข้อคิด
     
  10. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762

    ขันธ์ไม่ผิดหรอกครับ ตัว ที่ สำคัญคือ อุปาทาน ว่าขันธ์5 เป็นตัวกูของกู
    แล้วก็ อุปาทาน จิตเป็นตัวกูของกู

    มีเพียง สติตัวเดียว เท่านั้น จะทำให้ กระชากอุปาทานขันธ์5 แบบถอนโคลนไปจนรากเหง้า อวิชา ขาดสะบั้น วลีหลวงปู่บุญฤทธิ์ เด้ดมาก สตินิพพาน

    ผัสสะที่เกิดขึ้น จึงเป็นเพียง
    ผัสสะบริสุทธิ์ ไร้มลทิน ของ อุปาทาน ในการสำคัญตนในที่ใดๆเลย
     
  11. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    เป็นเหตุที่ดี ไปต่อไม่ได้แล้ว แต่การระลึกด้วยจิตก็ดี สติก็ดี หรือ จิตสติก็ดี มันก็ยังลงไปที่ไม่มีเหตุอันใดต้องจดจำ เพราะสิ่งที่จดจำไว้นั้น ไม่ใช่ทั้งจิตหรือว่าสติ เมื่อยังรู้ว่านั่นคืออดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต มันไม่ใช่เรื่องของจิตหรือสติ อันนี้พี่กล่าวผิดหรือถูก
     
  12. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ตัว นิวเคลียร์ ฟิสิค

    อ้างอิง จาก ตรงนี้ ตามสัดส่วนนี้หรือเปล่าครับ

    พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 377

    ในเถรวาทแห่งอันเตวาสิกของท่าน กล่าวว่า การเปิดเผยโดยการ

    ออกด้วยสติ ชื่อว่า การรื้อถอนออก เพราะความเป็นผู้ต้องอาบัติ. สำหรับใน

    ที่นี้ ภิกษุเห็นปานนี้ ชื่อว่า ย่อมเห็นโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย โดยความ

    เป็นโทษ โดยความเป็นภัย. เพื่อแสดงซึ่งโทษมีประมาณน้อย โดยความเป็น

    โทษ โดยความเป็นภัยนั้น ท่านกล่าวมาตรา (ประมาณ) ดังนี้.

    ๑. ชื่อว่า ปรมาณู ๒. ชื่อว่า อณู

    ๓. ชื่อว่า ตัชชารี ๔. ชื่อว่า รถเรณู

    ๕. ชื่อว่า ลิกขา ๖. ชื่อว่า โอกา (อูกา)

    ๗. ชื่อว่า ธัญญมาส ๘. ชื่อว่า อังคุละ

    ๙. ชื่อว่า วิทัตถิ ๑๐. ชื่อว่า รตนะ

    ๑๑. ชื่อว่า ยัฏฐิ ๑๒. ชื่อว่า อุสภะ

    ๑๓. ชื่อว่า คาวุต ๑๔. ชื่อว่า โยชน์

    แปลว่า บรรดาชื่อเหล่านั้น ชื่อว่า ปรมาณู เป็นส่วนแห่งอากาศ

    (อนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งเห็นด้วยตาเนื้อไม่ได้ เห็นได้ด้วยทิพยจักษุ) ไม่มาสู่คลอง

    แห่งตาเนื้อ ย่อมมาสู่คลองแห่งทิพยจักษุเท่านั้น. ชื่อว่า อณู คือรัศมีแห่ง

    พระอาทิตย์ที่ส่องเข้าไปตามช่องฝา ช่องลูกดาล เป็นวงกลม ๆ ด้วยดี ปรากฏ

    หมุนไปอยู่. ชื่อว่า ตัชชารี (สิ่งที่เกิดจากอณูนั้น) เพราะเจาะที่ทางโค ทาง

    มนุษย์ และทางล้อแล้วปรากฏพุ่งไปเกาะที่ข้างทั้งสอง. ชื่อว่า รถเรณู (ละออง

    รถ) ย่อมติดอยู่ที่รถนั้น ๆ นั่นแหละ. ชื่อว่า ลิกขา (ไข่เหา) เป็นต้น

    ปรากฏชัดแล้วทั้งนั้น.

    ก็ในคำเหล่านั้น พึงทราบประมาณดังนี้

    ๓๖ ปรมาณู ประมาณ ๑ อณู

    ๓๖ อณู " ๑ ตัชชารี (สิ่งที่เกิดจากอณูนั้น)

    ๓๖ ตัชชารี " ๑ รถเรณู (ละอองรถ)

    ๓๖ รถเรณู " ๑ ลิกขา (ไข่เหา)

    ๗ ลิกขา " ๑ โอกา (ตัวเหา)

    ๗ โอกา " ๑ ธัญญมาส (เมล็ดข้าวเปลือก)

    ๗ ธัญญมาส " ๑ อังคุละ (นิ้ว)

    ๑๒ อังคุละ " ๑ วิทัตถิ (คืบ)

    ๑๒ วิทัตถิ " ๑ รัตนะ (ศอก)

    ๗ รตนะ " ๑ ยัฏฐิ (หลักเสา)

    ๒๐ ยัฏฐิ " ๑ อุสภะ (ชื่อโคจ่าฝูง)

    ๘๐ อุสภะ " ๑ คาวุต

    ๔ คาวุต " ๑ โยชน์

    ๑๐,๐๖๘ โยชน์ (ส่วนสูง) " ๑ ภูเขาสิเนรุราช.
     
  13. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    คือ หลักการ ง่ายๆครับ

    จิต โดยสภาพเดิม มันไม่มี สติ ปัญญา

    และ สติ อาศัย ความจำเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ

    สภาวะ อนิจจัง ทุกขัง มันอยู่ ที่จิต ออกมาจากจิต

    มีแต่สติ จะทำให้จิต เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    เมื่อ สติเกิด ปัญญาจะตามมา
    จิต จะ ทำลายอุปาทานด้วยตัวของมันเอง ด้วยปัญญา ของมันเอง
    ที่เห็นแจ้งว่า
    การไปยึดมันถือมั่น ใน ตัว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (เกิด-ดับ) พวกนี่ ด้วยความไม่รู้
    มันเป็นเหตุ ให้ วนในสังสารวัฏ
    เมื่อมัน มีปัญญาแจ้งแล้วตรงนี้
    มันก็ ถอนรากถอนโคลนอวิชาด้วยตัวมันเอง

    ฉะนั้น ความสำคัญของสติ ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งดี ไม่มีคำว่าพอ

    ธรรมทั้งปวง มีสติเป็นใหญ่
     
  14. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    ชาวพุทธควรมนสิการ คำที่พุทธเจ้าทรงใช้
    เช่น

    สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง
    สัญญา... เกิด ดับ
    ...
    ส่วนคำใหม่ๆเช่น
    จิตเคลื่อน จิตส่งออก

    ความหมายมันกร่อนลง

    แต่ ท่านเหล่านั้น
    กล่าวไปเพื่อมรรค
    ต่อให้กล่าวแบบหกคะเมน
    ตีลังกาตามจริตก็เปนปาปมุต ไปว่าไม่ได้

    ส่วน
    ปุถุชน
    กล่าว บัญยัติ "ของผม" ก็เพื่อ ลิขสัท สิทธิบัติ อายัติ ฟ้องร้อง
    เฮียสถานเดียว
     
  15. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    จิต คือ ผู้รู้..

    ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "ผู้รู้"..

    ถ้าจำน่ะเป็น "สัญญา"..

    ตัวเองเข้าใจแต่ใช้คำผิด พอไปพูดถึงอาการและสภาวะ มันก็ไม่เข้าใจกัน..

    ยิ่งพอไปแนะนำคนอื่นก็จะยิ่งมั่วกันไปใหญ่..

    พูดคนละระดับความละเอียด แต่ก็คุยกันได้เนาะ.
     
  16. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    วิญญาณ เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง
    สัญญา เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง
    สังขาร เที่ยงหรือ ไม่เที่ยง
    ...
    สติ เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

    นะ

    คำของพระพุทธเจ้าดุจแสงอาทิตย์
    แสงหิ่งห้อย ไหนเลยจะเทียบได้
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ไม่เที่ยงซักไอเท็มเดียว
    ....
    สมควรยึดมั่นถือมั่นหรือไม่??
    ไม่สมควร พระเจ้าข้า
    ......
    ชาวพุทธส่วนใหญ่ยึดหมด
    รูปเกิด ยึดรูป
    เวทนาเกิด ยึด เวทนา
    สัญญาเกิด ยึด สัญญา
    สังขารเกิด ยึดสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง)
    วิญญาณเกิด ยึด วิญญาณ( สิ่งที่ถูกรู้)
    ยึดทุกเรื่อง ตั้งแต่่เกิดยันตาย
    เมื่อตายไปแล้ววิญญาณขันธ์ที่ถูกยึด
    จึงพาไปยังภพใหม่
    ตามภูมิจิตสุดท้าย ก่อนตาย
    ไปเกิดอีกแล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่่นใน
    ขันธ์อีก
    หมุนไปตามวงล้อปฏิจจะสมุปบาท
    ( มีความเข้าใจได้แค่นี้เองคับ)แต่ก็
    ไม่กล้าประมาทแล้วคับ
     
  18. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    สมัยพุทธกาล
    อนัตตลักขณสูตร
    พอท่านเทศน์จบ
    พระเบญจวัคคี ทั้งหมด เป็นอรหันต์

    ธรรมะจึงไม่ใช่การทำความเข้าใจ ตีความ
    ตั้งตรรกศาสตร์ ต้องรอแยกนู่น
    แก้นี่ ถอดนั่น ระเบิดโน้น

    แต่เป้นการเข้าไปประจักษ์ซึ่ง..
     
  19. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ลูกเพ่ขาจอน

    เตรียมฟันยาง กะ กะจับมาแล้วใช่ปะฮับ
     
  20. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    จริง ๆก้ไม่เฉพาะ ชาวพุทธ

    ชาวสัตว์ ทั้งหลาย เลยก้ว่าได้

    ยกเว้น บุคคล 8จำพวก
    ไปตามลำดับฮับ

    เราโชคดี เกิดมาบนแผ่นดินไทย

    มีพุทธศาสนาได้ศึกษา ได้เรียนรู้

    สุดยอดไปเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...