ทำอย่างไรถึงจะได้ไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย satan, 1 เมษายน 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ทำอย่างไรถึงจะได้ไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร
    กล่าวกันว่าพุทธเกษตรเป็นสถานที่สวยงามวิจิตรงดงาม อลังการมาก ๆ เบื้องล่างใต้แท่นดอกบัวลงไปเป็นพื้นราบเกลื่อนด้วยทรายทอง ต้นไม้ยักษ์เป็นแถวเป็นทิว แต่ละต้นสูงหลายร้อยฟุต กิ่งทองใบหยก ใบเป็นรูป 3 เหลี่ยมบ้าง 5 เหลี่ยมบ้าง 7 เหลี่ยมก็มี ล้วนออกดอกเป็นแสงได้ทุกต้น วิหกนกไพรนานาชนิด ล้วนมีแสงในตัว นกบางตัวมี 2 หัว กระทั่งหลายหัว 2 ปีก กระทั่งหลายปีก พวกมันโผบินว่อนล้อลมอย่างอิสระเสรี ขับลำนำเป็นนามศักดิ์สิทธิ์ของอมิตพุทธเจ้า รอบ ๆ รั้วลูกกรงตกแต่งด้วยสีสันต่าง ๆ 7 สี ชาวพุทธฝ่ายมหายานเกือบทุกนิกายจะกล่าวถึงสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตภะพุทธเจ้า และตั้งใจที่จะได้ไปจุติยังพุทธเกษตรของพระองค์ เพราะว่าในหนึ่งวันของพุทธเกษตรเท่ากับ 1 กัปป์ในโลกมนุษย์ผู้ที่อุบัติในดินแดนสุขาวดีนั้นล้วนเป็นโอปปาติกะทั้งนั้นที่นั่นมีแต่ความสุข ปราศจากโรคภัย มีอายุยืนนานอันหาที่เปรียบมิได้ และที่สำคัญผุ้ที่อยุ่ในดินแดนนั้นจะบรรลุนิพพานแน่นอน หากผู้ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่จะได้รับการขัดเกลาจากที่นั่น


    หลักการสำคัญที่มีการยอมรับนับถือในการปฏิบัติมากที่สุดคือ หลักของอาจารย์วสุพันธุ มีดังนี้

    1. สิ่ง แปลว่า ศรัทธา ต้องมีศรัทธาปะสาทะต่อองค์พระอมิตาพุทธอย่างแท้จริง และไม่สงสัยในองค์ท่าน
    2. จ๋วง แปลว่า ปณิธาน คือ ต้องมีปณิธานอันแน่วแน่ทีจะมุ่งไปสู่สุขาวดีพุทธเกษตร
    3. เหง แปลว่า ลงมือปฏิบัติ คือต้องลงมือปฏิบัตกุศลกรรมทังปวงที่เป็นปัจจัยส่งเสริมไปยังพุทธเกษตรอย่างสม่ำเสมอ

    ในหลักการทั้ง 3 นั้นจะต้องปฏิบัติตนดังนี้

    1.หมั่นบูชาพระอมิตาพุทธเจ้าเป็นนิจ (กายกรรม)
    2.สวดสรรเสริญสาธยายมนต์ของพระอมิตตาพุทธ เช่น นะโมอมิตาภายะ พุทธายะ หรือ นำมอออมิทอฮุก (วจีกรรม)
    3.ตั้งปณิธานอันแน่วแน่และมั่นคงที่จะไปสุขาวดี (มโนกรรม)
    4. กำหนดจิตตรึกตรองถึงพุทธเกษตรของพระอมิตาพุทธ และพระอวโลกิเตศรวร และพระมหาสถานปราปต์ เป็นประจำ
    5. แผ่ส่วนกุศลให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่แบ่งแยก


    แต่มีข้อยกเว้นของผู้ที่ไม่สามารถที่จะไปที่นั่นได้คือ

    ผู้กล่าวจาบจ้วงพระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวงและ ผู้ทำอนัตริยกรรม 5 คือ ฆ่าพ่อ1 ฆ่าแม่1 ฆ่าพระอรหันต์1 โลหิตปาทา1 และสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกแยก1 ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมหนัก ไม่ได้ขึ้นแม้แต่สวรรค์ หรือนิพพาน หากแต่ตกอเวจีมหานรก อย่างเดียว[/size]

    เครดิตจาก http://community.buddhayan.com/index.php?topic=2.msg2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มหาสุขาวดีวยุหสูตร กล่าวไว้ว่า

    มหาสุขาวดีวยุหสูตร กล่าวไว้ว่า

    1.....หากสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ยินพระนามแห่งพระอมิตตาพุทธเจ้า และเกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีใจที่อิ่มเอิบ ระลึกถึงพระนามของพระองค์ แม้หนึ่งครั้ง...ถึงสิบครั้ง...ถ้าบุคคลนั้นมีใจอยากไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร เขาจักได้ไปอุบัติที่นั่นตามความประสงค์ และไม่ต้องกลับมาเกิดในภพภูมิที่ตกต่ำอีก
    2.....สรรพสัตว์ใดมีจิตรศรัทธาในพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า จนถึงพระปัญญาอันยิ่งใหญ่แห่งกุศลบุญทั้งหลายและมีจิตศรัทธามุ่งอุทิศตนเพื่อสืบทอดพระศาสนา สัตว์นั้นจักได้ถือโอปปาติกกำเนิด สามารถไปเกิดในสุขาวดีโดยทันที ณ สระสัปปตรัตนโบกขรณ์ แน่นอน

    มหาสันนิบาตสูตร กล่าวไว้ว่า

    ....หากสาธุชน ชายหญิง ใด้ก็ดีได้นั่งสมาธิภาวนาระลึกถึงองค์พระอมิตาพุทธเจ้าจนจิตเกิดสมาธิต่อเนื่อง ไม่วุ่นวายหากนับได้คืนหนึ่งก็ดีจนถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ดี บุคคลนันจักได้เห็นพระอมิตาพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หากไม่ได้เห็นตอนกลางวัน ในเวลากลางคืนก็จะได้เห็นพระองค์อย่างแน่นอน (ในนิมิตขณะนั่งสมาธิ หรือในความฝัน)


    อมิตายุรธยานสูตร กล่าวไว้ว่า

    ผู้ที่ปรารถนาที่จะไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร นั้น พึงบำเพ็ญกุศลให้ครบใน 3 ประการ และควรมีการฝึกสมถกรรมฐาน 16 อย่าง

    กุศล 3 ประการมีดังนี้

    1. ต้องเป็นผู้มีความกตัญญู ยินดีและหมั่นปฏิบัติมารดา บิดา ครูอาจารย์และรักษากุศลกรรม 10 และมีผู้มีจิตเมตตา กรุณาอยู่เป็นนิจด้วย
    ***ทางกาย คือ ไม่กระทำ 3 ประการคือ ปาณาติฆาต (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) อทินนาทาน (การลักขโมย) กาเมสุมิจฉาจร (ประพฤติผิดในกาม)
    ***ทางวาจา คือ ไม่ใช้วาจาให้เป็นไปในลักษณะนี้คือ มุสาวาท (พูดเท็จ) ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)
    ***ทางใจ คือ ไม่ให้ตนได้นึกคิดถึงเรื่องต่อไปนี้ อภิชฌา (โลภอยากได้ของคนอื่น) พยาบาท (ปองร้ายผู้อื่น) มิจฉาทิฐิ (เห็นผิดจากธรรม)
    2. ต้องยึดถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ตนอย่างสมบูรณ์ด้วยศีล และจารีตประเพณี
    3. ต้องมีโพธิจิต เชื่อกฎแห่งกรรม ศึกษาสวดสาธยายมนต์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์

    สมถกรรมฐาน 16 อย่างคือ การนั่งสมาธิกำหนดจิตให้สงบ จดจ่อกับเรื่องราวหรือคุณวิเศษ ของดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรดังนี้ คือ เพ่งอยู่ตรงต้นไม้ทิพย์ สระโบกขรณี ปราสาทมณเฑียร รูปกายของพระอมิตาพุทธเจ้า รูปกายของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ รูปกายของพระมหาสถานปราปต์มหาโพธิสัตว์ เป็นต้น หากทำสมาธิได้ก็จะได้เห็นแดนสุขาวดีพุทธเกษตรได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ตายก่อนไปอุบัติ

    เครดิตจาก http://community.buddhayan.com/index.php?topic=2.msg2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7645.jpg
      7645.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.9 KB
      เปิดดู:
      324
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2007
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ก่อนจะข้ามไปอีกพระสูตรหนึ่ง ขอเพิ่มเติมเรื่อง อมิตายุรธยานสูตร ว่าเป็นมายังไง

    ก่อนจะข้ามไปอีกพระสูตรหนึ่ง ขอเพิ่มเติมเรื่อง อมิตายุรธยานสูตร ว่าเป็นมายังไง
    เริ่มด้วยว่า ครั้งหนึ่งสมเด็จพระศาสดาศากยมุนีได้จำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ พระนางเวเทหิ อัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเศร้าโศกเสียพระทัยในขณะนั้นเหตุเพราะเกิดปิตุฆาต ของพระเจ้าอาชาตศัตรูที่กระทำต่อพระเจ้าพิมพิสาร สภาพของพระนางในขณะนั้นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายโศกเศร้าเสียพระทัย และไม่อยากดำรงชีพอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป แต่มีความปราถนาที่จะไปเกิดในโลกอื่นที่มีแต่ความสุข เหตุนี้พระนางจึงได้เดินทางไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และพุทธองค์ท่านก้อทรงรู้ถึงความตั้งใจของพระนางจึงได้แสดงพุทธานุภาพ ให้เห็นโลกธาตุอื่น ๆ ทุกสารทิศให้มาปรากฏแต่เฉพาะพระนาง และพระนางก็ทรงเลือกที่จะไปเกิดยังดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตร จึงได้กราบทูลถามพระศาสดาให้ทรงแสดงแนวทางปฏิบัติเพื่อจะได้ไปเกิดในดินแดนสุขาวดี ด้วยเหตุนี้จึงเกิดพระสูตรขึ้นมาอีกพระสูตรหนึ่งว่า "อมิตายุรธยานสูตร"



    ในอมิตายุรสูตร มีความตอนหนึ่งว่า "อานนท์ มนุษย์ เทวดา และสัตว์ทั้งปวง ทั่งทิศที่มุ่งที่จะไปเกิดในดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรนั้น จำแนกได้ 3 ประการ คือ

    1. ปะเภทสูงสุด คือ ผู้ที่ยอมเสียสละการครองเรือนและกามสุข ออกบวช กระทำจิตตนให้มุ่งถึงซึ่งโพธิญาณ หมั่นตรึกตรองถึงองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้า บุคคลประเภทนี้เมื่อถึงกาลดับขันธ์ องค์พระอมิตาพุทธเจ้าจะมาปรากฏต่อหน้าเขาและเขาจักได้ตามเสด็จไปอุบัติในดินแดนสุขาวดี โดยเขาจักเป็นฮอปปาติกะไปถือกำเนิดในดอกบัวอันอยู่ในสระแก้วแห่งใดแห่งหนึ่งใน 7 สระ และเขาผู้นั้นจักไม่มีการหมุนเวียนตกต่ำลงอีก และจะได้บรรลุถึงซึ่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ (โพธิญาณ) จนถึงมีอภิญญานุภาพอิสระสุดจะพรรณา
    2. ประเภทกลางคือ ได้แก่มนุษย์ เทวดา และสัตว์ทั้งปวงที่มุ่งสู่การไปเกิดในแดนสุขาวดี แต่ไม่มีโอกาสออกบวชเป็นพระภิกษุ แต่ได้ประกอบการกุศลต่าง ๆ และมุ่งมั่นที่จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทั้งยังระลึกถึงองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้า เมื่อเขาผู้นั้นถึงแก่กาลมรณะ พระอมิตาภพุทธเจ้าและบริวารทั้งปวงจะมาปรากฏ ณ เบื้องหน้าเพื่อจะติดตามไปอุบัติในดินแดนสุขาวดี ณ ดอกบัวหนึ่งในสระแก้ว และจักได้สำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณที่นั่น
    3. ประเภทต่ำ คือ มนุษย์ เทวดา และสัตว์ทั้งปวง ซึ่งมีจิตมุ่งอยากจะไปเกิดในดินแดนสุขาวดี แม้ว่าจะไม่ได้ประกอบกุศลกรรมทั้งหลาย แต่เพียงระลึกถึงองค์พระอมิตภะพุทธเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง 2 ครั้ง หรือ ร้อยครั้ง ก้อดี และทำให้จิตมีความเชื่อมั่นไม่ลังเลสงสัย แม้หากถึงกาลมรณะ เขาจักได้เห็นนิมิต หรือฝันเห็นองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้า จักมีโอกาสที่จะไปเกิดในดินแดนสุขาวดีได้เช่นกัน

    เครดิตจาก http://community.buddhayan.com/index.php?topic=2.msg2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7673.jpg
      7673.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.3 KB
      เปิดดู:
      709
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2007
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร

    วิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร




    มหายานมีมติว่า พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายดุจเมล็ดทรายในคงคานที และในจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ ก็มีโลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่ทั่วไปนับประมาณมิได้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แม้ในโลกธาตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ในขณะนี้ ณ โลกธาตุอื่นก็มีพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และกำลังสั่งสอนสรรพสัตว์ โลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัตินั้น บางทีเรียกว่า ?พุทธเกษตร? บางพุทธเกษตรบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยทิพยภาวะน่ารื่นรมย์ สำเร็จแล้วด้วยอำนาจปณิธานของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็มี สำเร็จแล้วด้วยกรรมนิยมของสัตว์ก็มี เป็นสถานที่สรรพสัตว์ในโลกธาตุอื่น ๆ ควรมุ่งไปเกิด พุทธเกษตรสำคัญที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในหมู่พุทธศาสนิกชนคือ สุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตาภะ อยู่ทางทิศตะวันตกแห่งโลกธาตุนี้ พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นพุทธเกษตรซึ่งมีรัศมีไพโรจน์แล้วด้วยมณีไพฑูรย์ พุทธเกษตรของพระอักโษภยะแห่งหนึ่ง และมณฑลเกษตรของพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง เกษตรทั้ง 4 นี้ ปรากฏว่าสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภะ เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานมากที่สุด ถึงกับสามารถตั้งเป็นนิกายโดยเอกเทศต่างหาก

    วิสุทธิภูมิเป็นหลักการสำคัญของมหายาน โดยนับเป็นวิถีทางหนึ่งที่จะยังสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ด้วยวิธีตั้งจิตประณิธานพึ่งอำนาจพุทธบารมีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไปอุบัติยังแดนพุทธเกษตรเหล่านั้น หากสรรพสัตว์มีศรัทธาเชื่อมั่นในพุทธบารมีย่อมสามารถไปอุบัติ ณ พุทธเกษตร เมื่อได้สดับธรรมะต่อเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ณ ดินแดนนั้นแล้ว ย่อมบรรลุนิรวาณอันสงบ มหายานอธิบายว่าวิธีการหลุดพ้นจากสังสารวัฏเป็นได้ 2 กรณี คือพึ่งอำนาจตนเอง และพึ่งอำนาจผู้อื่น (คือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์) การมุ่งขัดเกลากิเลสด้วยตนเองอาจเป็นไปได้ยากสำหรับปุถุชนสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเสื่อมของพระสัทธรรม ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจะนำสรรพสัตว์ถ้วนหน้าไปสู่ความหลุดพ้นก็คือการพึ่งอำนาจบารมีพระพุทธองค์ รับสรรพสัตว์เหล่านั้นไปสู่วิสุทธิภูมิเพื่อปฏิบัติธรรมและตรัสรู้ ณ ดินแดนนั้น อันเอื้ออำนวยต่อการหลุดพ้นมากกว่าโลกนี้ อย่างน้อยที่สุด ณ พุทธเกษตรเหล่านั้นก็จะไม่มีความทุกข์ใด ๆ ทุกผู้ทุกนามที่มีจิตตั้งมั่นอธิษฐานอุทิศขอไปเกิดยังพุทธเกษตรก็ย่อมได้อุบัติในพุทธเกษตรทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็ด้วยปณิธานแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ณ พุทธเกษตรเหล่านั้นนั่นเอง ผู้ที่อุบัติในพุทธเกษตรย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่เวียนลงต่ำ ย่อมไม่เกิดในโลกมนุษย์ตลอดจนภูมิที่ต่ำลงมาอีกแล้ว มุ่งตรงต่อพระนิรวาณอย่างเที่ยงแท้ หลักการนี้จึงมีคำกล่าวว่า "มหายานสำหรับมหาชน" กล่าวคือสามารถรื้อขนสรรพสัตว์ไปสู่ความหลุดพ้นได้โดยเสมอภาคนั่นเอง

    เครดิตจาก http://community.buddhayan.com/index.php?topic=2.msg2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • amitabha.jpg
      amitabha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.4 KB
      เปิดดู:
      959
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2007
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    อมิตายุรธยานสูตร ระบุไว้ชัดว่า แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมีการจัดแบ่งระดับสัตว์ที่จะไปอุบัต

    อมิตายุรธยานสูตร ระบุไว้ชัดว่า แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมีการจัดแบ่งระดับสัตว์ที่จะไปอุบัติ ตามคุณสมบัติ(กรรม) ที่ติดตัวออกเป็น 3 ระดับ นับได้ทั้งสิ้น 9 รูปแบบ ดังนี้

    ระดับแรก สำหรับผู้ที่มีจิตใจสูง มีจริตโน้มไปในทางโพธิสัตวยาน มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่

    รูปแบบที่หนึ่ง เป็นรูปแบบของบุคคลที่มีคุณสมบัติสามประการนี้ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือ

    1.ผู้ซึ่งมีจิตกรุณา ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า
    2.ผู้ศึกษาและท่องพระสูตรมหายานฉบับต่างๆ
    3.ผู้บำเพ็ญตนอยู่ในอนุสสติหกอยู่เสมอ คือ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า(พุทธานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระธรรม(ธัมมานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์(สังฆานุสติ) ระลึกถึงคุณของศีล(สีลานุสติ) ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคไว้(จาคานุสติ) และระลึกถึงธรรมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นเทวดา(เทวตานุสติ)

    บุคคลเหล่านี้สามารถอุบัติในแดนสุขาวดีได้ ถ้าเพียงกระทำกิจเหล่านี้สำเร็จอย่างน้อยภายใน 1 ถึง 7 วัน และอุทิศความดีงามทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการอุบัติในแดนสุขาวดี ในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะ พระอัครสาวกทั้งสองคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสตว์กับพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พร้อมด้วยเหล่าพระโพธิสัตว์ ภิกษุสาวก และเทวดานับร้อยพันจะเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พวกเขาจะนิมิตเห็นภาพของปราสาทที่สร้างขึ้นจากรัตนชาติทั้งเจ็ด พระอัครสาวกจะประทานบัลลังก์เพชรแก่พวกเขา ส่วนพระอมิตาภะจะฉายรัศมีอันวิจิตรไปทั่วร่างกายที่กำลังแตกดับของพวกเขา พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะกล่าวคำสรรเสริญคุณธรรมของพวกเขา เมื่อเห็นดังนั้น พวกเขาจะเกิดปิติเป็นอย่างยิ่ง และในบัดดลก็จะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์เพชร ติดตามพระพุทธองค์ไปอุบัติยังสุขาวดี เมื่ออุบัติแล้วก็จะได้เห็นพระกายอันสมบูรณ์ของพระอมิตาภะ และ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะได้เห็นพระแพพรรณรังสีส่องแสงสว่างเห็นป่ารัตนชาติ และได้ยินเสียงธรรมอันประเสริฐพร้อมที่จะบรรลุโพธิญาณได้ในทันที

    รูปแบบที่สอง เป็นรูปแบบของบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องศึกษาจดจำหรือ สวดพระสูตรมหายาน แต่พวกเขาก็เข้าใจความจริงที่แฝงอยู่ในคำสอนเหล่านั้น(บางแห่งเขียนว่าเป็นผู้แตกฉานในปรมัตถธรรม) เชื่อมั่นในความจริงนั้นโดยไม่พูดให้ร้ายหลักคำสอนมหายาน เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม และอุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำไว้เพื่อการมุ่งสู่สุขาวดีในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะ กับ พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมด้วยบริวารติดตามอีกจำนวนนับไม่ถ้วน จะเสด็จมาประทานบัลลังก์ทองและกล่าวสรรเสริญพวกเขาว่าเป็นผู้ที่เข้าใจและมีศรัทธาในธรรม ดังนั้นจึงเสด็จมารับและเชื้อเชิญให้ไปอยู่ในสุขาวดี พวกเขาจะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง และในบัดดลนั้นเองพวกเขาก็ได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบแห่งรัตนชาติทั้งเจ็ดที่สุขาวดี บัลลังก์ทองของพวกเขาจะกลายเป็นดอกบัวรัตนอันงดงาม และจะบานออกหลังจากที่พวกเขาอยู่ในนั้นนานหนึ่งคืน ร่างของพวกเขาจะกลายเป็นสีทอง มีดอกบัวรัตนรองรับอยู่ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นก็จะได้เห็นพระอมิตาภะและ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายกำลังฉายรัศมีมายังร่างของพวกเขา และจะได้ยินเสียงธรรมอันลึกซึ้ง หลังจากเจ็ดวันแห่งการฟังธรรม พวกเขาก็จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    รูปแบบที่สาม เป็นรูปแบบของบุคคลที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่จาบจ้วงคำสอนมหายาน ได้ปลูกฝังความคิดที่จะบรรลุโพธิญาณสูงสุดและ อุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการมุ่งสู่สุขาวดี ในขณะที่พวกเขากำลังสิ้นใจ พระอมิตาภะ พร้อมทั้งอัครสาวกทั้งสองและผู้ติดตามจำนวนมาก จะเสด็จมาประทานดอกบัวให้ พวกเขาจะนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์เสด็จมารับ จะเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวทองนั้น ดอกบัวจะหุบปิดร่างของเขาไว้ และพาพวกเขาติดตามพระพุทธะทั้งหลายไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจาก 1 วัน และ 1 คืนที่นั่น ดอกบัวจะบานออก ภายใน 7 วันต่อมา พวกเขาจะได้เห็นพระกายของพระอมิตาภะแต่ไม่ชัดเจนนัก ต้องรอให้ถึงสัปดาห์ที่สี่จึงจะเห็นพระพุทธกายได้ชัดเจน จากนั้นพวกเขาก็จะได้ฟังธรรมอันประเสริฐ จะได้เดินทางไปสักการะพระพุทธเจ้าทั่วทุกสารทิศเพื่อเรียนรู้ธรรมเมื่อเวลาผ่านไปสามกัลป์เล็ก ก็จะได้เข้าสู่ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(มุทิตาภูมิ)

    ในรูปแบบที่สาม นี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลบางแห่งระบุว่า พระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองใช้อำนาจฌานเนรมิตดอกบัวทองในพระหัตถ์ให้กลายเป็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์ มารับผู้มีคุณสมบัติข้างต้น เมื่ออุบัติแล้วจะใช้เวลา 1 วันเต็มดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นอีก 7 วันจะได้เฝ้าฟังธรรมจากพระอมิตาภะและพระอัครสาวกทั้งสอง ฟังอยู่ 37 วันก็จะบรรลุโพธิญาณ

    ระดับสอง สำหรับบุคคลประเภทกลางๆ ผู้มีจริโน้มไปทางสาวกยาน มีอยู่ 3 รูปแบบได้แก่

    รูปแบบที่สี่ เป็นรูปแบบบุคคลที่รักษาศีลห้าและแปด มีความสำรวมในการบริโภค(ตรงนี้อาจมีนัยยะหมายถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย) เป็นผู้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติทางศีลธรรมไม่กระทำอนันตริยกรรม(กรรมหนักฝ่ายบาปอกุศล 5 อย่าง) ไม่สร้างปัญหาหรือเบียดเบียนชีวิตอื่นใด อีกทั้งอุทิศความดีงามทั้งหลายที่กระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะพร้อมทั้งเหล่าภิกษุและบริวารจะปรากฎตรงหน้า จะทรงฉายรัศมีสีทอง พร้อมกับประทานคำสอนในเรื่องกฎไตรลักษณ์ ความปิติล้นพ้นจะบังเกิดแก่พวกเขา จะนิมิตเห็นตนเองคุกเข่าถวายความเคารพพระพุทธองค์อยู่บนดอกบัว ก่อนที่พวกเขาจะเงยศรีษะขึ้น ก็สามารถอุบัติอยู่ในแดนสุขาวดีแล้ว ต่อมาดอกบัวนั้นจะบานออกเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงธรรมบัญญัติในเรื่องอริยสัจสี่ จากนั้นพวกเขา จากนั้นพวกเขาจึงได้บรรลุอรหัตตผลในทันที จะเกิดปัญญาญาณ และมีอายตนะทั้งหกเหนือธรรมดา

    รูปแบบที่ห้า เป็นรูปแบบของบุคคลที่รักษาศีลแปดพร้อมกับสำรวมระวังในการบริโภคมาแล้วอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืน หรือไม่ก็เป็นพวกที่รักษาศีลสิบของสามเณรมาอย่างน้อย 1วันกับ 1 คืน หรือ ไม่ก็เป็นพวกทีรักษาศีลธรรมอันดี ไม่ทำลายเกียรติของตน ไม่ละเลยการปฏิบัติบูชาอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืนเช่นเดียวกัน และอุทิศกุศลที่ตนกระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะได้เห็นพระอมิตาภะพร้อมด้วยบริวารอยู่เบื้องหน้า จะทรงฉายรัศมีสีทองพร้อมกับประทานดอกบัวรัตนะให้ จากนั้นพวกเขาจะได้ยินเสียงร้องสรรเสริญพวกเขามาจากฟากฟ้า และเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวที่ได้รับมานั้น ดอกบัวจะหุบรอบตัวเขา และพาไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากนั้น 7 วันดอกบัวจะบานออก เขาจะตื่นขึ้นมาทำความเคารพพระพุทธองค์ และจะได้ยินเสียงธรรมอันทำให้ได้เข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน(บรรลุโสดา) เมื่อเวลาล่วงไปครึ่งกัลป์ พวกเขาจะสามารถบรรลุอรหัตตผล กลายเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด

    รูปแบบที่หก เป็นรูปแบบของกุลบุตรกุลธิดาที่มีความกตัญญู เลี้ยงดูผู้มีพระคุณ มีจิตใจเมตตากรุณาต่อโลก(บ้างก็ว่ารักษาศีลห้าเป็นนิจ) ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะได้พบกับบัณฑิต(คนดี) มาบรรยายให้เห็นภาพดินแดนสุขาวดี ได้สดับเรื่องราวของปณิธาน 48 ข้อ ของพระธรรมกร(อดีตชาติของพระอมิตภะ) ในชั่วอึดใจหลังจากที่พวกเขาสิ้นใจ ก็จะไปอุบัติในแดนสุขาวดี จากนั้น 7 วันดอกบัวจึงจะบานออก พวกเขาจะได้พบกับพระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระอวโลกิเตศวรและพระมหาสถามปราปต์ และจะได้เรียนธรรมะจากท่าน เมื่อเวลาล่วงไป 1 กัลป์เล็ก พวกเขาจะได้บรรลุอรหัตตผล

    ระดับสาม สำหรับบุคคลที่มีมิจฉาทิฐิ ประกอบอกุศลกรรมไว้ มี อยู่ 3 รูปแบบเช่นกัน ได้แก่

    รูปแบบที่เจ็ด เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำกรรมชั่วไว้มากแต่ไม่เคยกล่าวร้ายต่อคำสอนมหายาน พวกเขาเป็นคนโง่และไม่มี หิริ(ละอายชั่ว) โอตัปปะ(เกรงกลัวบาป) แต่ขณะไกล้สิ้นใจ มีโอกาสได้พบบัณฑิต (คนดีหรือกัลยาณมิตร) ที่สวดสรรเสริญคำสอนมหายานหัวข้อหลักๆ ให้ฟัง เมื่อได้ยินชื่อพระสูตรต่างๆ เหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากบาปหนักที่จะผูกพันให้อยู่ในสังสารวัฏนับได้ 1000 กัลป์ บัณฑิตผู้นั้นจะสอนให้เขากล่าวบูชาพระอมิตาภะ ด้วยการเปล่งวาจา "นโม อมิตาภะ" เมื่อเอ่ยพระนามแล้ว บาปกรรมอันที่จะผูกพันเขาของพวกเขาไว้ในสังสารวัฏจะหลุดออกนับได้ 50 ล้านกัลป์ เวลานั้นพระอมิตาภะจะสร้างภาพนิมิตของพระองค์ รวมทั้งภาพนิมิตของพระอัครสาวกทั้งสองไปรับเขา เขาจะเห็นรัศมีของพระอมิตาภะองค์นิมิตสาดส่องไปทั่วห้องก่อนสิ้นใจ จากนั้นเขาก็จะนั่งอยู่บนดอกบัวติดตามพระพุทธนิมิตไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดีเช่นกัน ดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาล่วงไป 7 สัปดาห์ เขาจะได้เห็นพระอัครสาวกทั้งสองอยู่เบื้องหน้า สาดส่องพระฉัพพรรณรังสีและแสดงธรรมอันลึกซึ้ง ศรัทธาจะเกิดขึ้น เขาจะตั้งจิตปรารถนาขอบรรลุโพธิญาณสูงสุด เมื่อเวลาผ่านไป 10 กัลป์เล็ก เขาจะเกิดปัญญาและสามารถเข้าสู่ ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(นอกจากนั้น พวกที่มีโอกาสได้ยินชื่ของพระรัตนตรัย-พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็สามารถไปอุบัตินแดนสุขาวดีได้เช่นเดียวกัน)

    ในอีกด้านตำราของอาจารย์เสถียรระบุว่า บุคคลเหล่านี้ จะไปอุบัติในดอกบัวตูม ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานถึง 77 วัน ดอกบัวจึงจะบานออก ข้อมูลนอกจากนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

    รูปแบบที่แปด เป็นรูปแบบของบุคคลที่ละเมิดศีลห้าศีลแปด ตลอดจนข้อบัญญัติทางศีลธรรมอื่นทั้งหมด พวกเขาโง่เขลาขนาดที่สามารถขโมยข้าวของสงฆ์(ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกสงฆ์หรือ ชุมชนสงฆ์) พวกที่สั่งสอนธรรมผิดๆได้โดยไม่มีหิริโอตัปปะ ซ้ำยังยกย่องตนเองในการกระทำผิดๆ เหล่านั้น บุคคลเหล่านี้สมควรที่จะไปสู่อบายภูมิขระที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะเห็นไฟนรกวิ่งเข้ามาหาในทุกทิศทุกทาง แต่ก็มีบัณฑิตใจกรุณามาแนะนำสั่งสอนให้เห็นคุณธรรมและบารมีของพระอมิตาภะ ท่านจะบรรยายให้เห็นพลังของพระพุทธองค์ ให้เห็นคุณธรรมของ ศีล สมาธิ ปัญญา และนิพพาน หลังจากได้ยิน พวกเขาจะหลุดพ้นจากบาปอันจะผูกพันเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ ไฟนรกอันดุเดือดจะเปลี่ยนเป็นลมเย็นบริสุทธิ์ พัดโชยให้เห็นดอกไม้สวรรค์จำนวนมากมาย ในแต่ละดอกจะมีภาพนิมิตของพระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ประทับอยู่เพื่อรอรับพวกเขา ในขณะนั้นเอง พวกเขาก็จะได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากเวลาล่วงไป 6 กัลป์ ดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะแสดงธรรมเกี่ยวกับพระสูตรมหายานอันลึกซึ้ง เมื่อได้ยินเสียงธรรม พวกเขาจะสามารถกำหนดจิต(แรก) ไปสู่ทางเพื่อบรรลุโพธิญาณสูงสุดได้(กล่าวโดยง่ายคือเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น)

    รูปแบบที่เก้า เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำชั่วหนักและมาก รวมถึงพวกที่กระทำอนันตริยกรรม สมควรที่จะตกไปสู่อบายภูมิเพื่อทนทุกข์ที่ตนก่อนับนับหลายๆ กัลป์ แต่ขณะไกล้สิ้นใจได้มีโอกาสพบกับบัณฑิตผู้มาปลอบโยนและสอนธรรมให้ โดยสอนให้พวกเขาระลึกถึงพระอมิตาภะ แต่เพราะถูกรบกวนด้วยวิบากแห่งทุกข์ที่ทำไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ บัณฑิตจึงสอนให้พวกเขาเอ่ย พระนามของพระอมิตาภะ ให้พวกเขาท่อง"นโม อมิตาภะ" จนครบ 10 ครั้งด้วยจิตที่สงบ ด้วยการเอ่ยพระนามซ้ำๆ เช่นนั้น จะช่วยลบล้างบาปที่จะผูกพันพวกเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ เขาจะเห็นดอกบัวทองปรากฎอยู่เบื้องหน้าในเวลาตาย และจะได้ไปอุบัติอยู่ในสุขาวดี ดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาผ่านไป 12 มหากัลป์ จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะสอนให้พวกเขาเข้าใจภาวะที่แท้ของธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งข้อปฏิบัติที่จะลบล้างบาป เมื่อได้ยินธรรม พวกเขาจะเกิดปิติและมุ่งความคิดสู่พระโพธิญาณ

    ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์เสถียรชี้ว่า บุคคลเหล่านี้จะได้รับฟังธรรมจาก พระมหาโพธิสัตว์ จำนวน 7 ท่าน คือ พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระกษิติครรภ์ พระศรีอาริยเมตไตรย พระมัญชุศรี พระสมันตภัทร และ พระวัชรปราณี จนบังเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น

    เครดิตจาก http://community.buddhayan.com/index.php?topic=2.msg2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tnw_resize.jpg
      tnw_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.9 KB
      เปิดดู:
      847
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2007
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร

    สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงประทับ ณ แท่นพิสุทธิ์ บนภูเขาคิชฌกุฏ บรรดาพระโพธิ์สัตว์สาวก
    เทวนาคา ๘ ภาค ต่างชุมนุมห้อมล้อมเพื่อฟังธรรมเทศนาจากสัมมาสัมพุทธเจ้าในยามนั้น มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่เริ่มบังเกิดจิตมุ่งต่อพุทธธรรม ต่างก็คิดว่า ? ขอพระพุทธองค์ ได้ทรงโปรดแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟังง่าย ๆ เถิด เพื่อเราทั้งหลายจะได้เห็นแจ้งในอรรถธรรม บรรลุมรรค-ผล โดยทั่วกันเถิด? ครั้นจะขอทูลถามก็ไม่อาจจะเข้าใกล้ได้

    พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ ได้ล่วงรู้ความคิดของพุทธบริษัท๔ จึงได้อำนวยความสะดวก ลุกขึ้นยืนแล้วกราบทูลพระศาสดาว่า
    ?ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมเบื้องต้น มุ่งชี้ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย สำเร็จเป็นพุทธ เพื่อผู้ที่เข้าแสวงธรรมใต้ร่มเงาในปัจฉิมชาติ ได้มาซึ่งสัมมาทิฏฐิ สามารถสำเร็จมรรคผลในเวลาไม่นานนัก?
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ?สาธุ สาธุ มัญชูศรีให้ความสะดวกดีแท้ ตั้งหัวข้อธรรม ให้ตถาคตเทศนาอินทรีย์ ๓ เพื่อผู้เข้าสู่ร่มเงาพุทธในปัจฉิมชาติ ได้บำเพ็ญสัมมาวิถี จากที่เธอถามเราจักแสดงแก่เธอ ณ บัดนี้?

    ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมได้สดับดังนั้น ต่างก็สำรวมจิตตั้งใจฟังธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ดังต่อไปนี้

    อรรถกถา วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร

    สำดับนั้น พระบรมศาสดา ตรัสว่า
    ?มีธรณีชื่อ วัชรใจ ใจนี้มีด้วยกันทุกคน ไม่มีผู้ใดที่ปราศจากใจ เป็นใจของสรรพสัตว์ที่แจ้งเองตื่นเอง อันพึงมีอยู่แล้ว เพราะเหตุว่า ความดี ความชั่วทั้งปวง ล้วนเกิดแต่ใจตนเอง ใจตนดี กายจะเป็นสุข ใจตนชั่ว กายจะได้รับทุกข์ ใจเป็นเจ้านายของกาย กายถูกบงการโดยใจ ?พุทธ? จึงสำเร็จได้ด้วยใจ ธรรมะเรียนโดยใจ กุศลทำโดยใจ เภทภัยอุบัติโดยใจ ใจเป็นสวรรค์ก็ได้ ใจเป็นนรกก็ได้ ใจเป็นพุทธก็ได้ ใจสัมมาสำเร็จเป็นพุทธ ใจมิจฉาสำเร็จเป็นมาร ใจบุญเป็นเทวะ ใจบาปเป็นยักษา ใจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งบาป บุญ คุณ โทษทั้งปวง

    บุคคลใดประจักษ์แจ้งในใจตน สำรวมได้ เป็นเจ้าเป็นนายตนได้ ไม่ประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย บำเพ็ญแต่กุศลกรรมทั้งปวง เจริญรอยตามและถือปฏิบัติตามพุทธ ตั้งปณิธานตามพุทธ บุคคลผู้นั้นจักสำเร็จเป็นพุทธ ในไม่ช้า

    พระมัญชูศรีทูลถามว่า
    ?อันว่าวัชรสูตรนั้นคืออะไร?
    พระองค์ตรัสว่า
    ?วัชร อุปมาดังภาวะเดิม สูตรอุปมาดังใจตน หากบุคคลใด ประจักษ์แจ้งในใจตน เป็นภาวะเดิมของตน ก็เหมือนว่า บุคคลนันมีพระสูตรอยู่ในกายตน บุคคลใดที่ประจักษ์แจ้งในใจตน เห็นภาวะเดิมแห่งตน ได้สำเหนียกพุทธในใจตนตลอดเวลา แสดงธรรมสม่ำเสมอช่วยสรรพสัตว์สม่ำเสมอ ดำเนินพุทธกิจสม่ำเสมอ บุคคลผู้ได้มาแล้วซึ่งจรรยานี้ จักได้ชื่อว่า ผู้ถือ วัชรสูตร?

    พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
    ?ในวัชรสูตร พระพุทธองค์สรรเสริญว่าผู้ถือคาถา ๔ บาท ไปประกาศแสดงแก่คนอื่น ๆ อันกุศลที่ได้รับนั้น จะประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าบุญกุศลที่ได้จากการนำสัตรัตนะกองเต็มอากาศทั่วทิศ บริจาคทาน คาถา ๔ บาทนั้นคืออะไร ??
    พระบรมศาสดาตรัสว่า
    ?สรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้ามีธรรมชาติของความเป็นพุทธ แท้จริงไม่เกิด-ไม่ดับ แต่โดยเหตุที่หลงงมงาย ไม่ตื่นไม่แจ้ง จึงมีขึ้นมีลง ทั้งนี้ก็โดยที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงตลอดไม่ตื่น ดังนั้นจึงตกต่ำชั่วกัปชั่วกัลป์
    พุทธ ทั้งหลายตื่นตลอดไม่หลง ดังนั้นจึงสำเร็จพุทธธรรมตลอดกาล ผู้แสวงพุทธธรรม ระดับขั้นในวิถีดำเนินแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น เรียกคาถา ๔ บาท
    ๑ เรียกว่า ศูนย์กาย
    ๒ เรียกว่า ศูนย์ใจ
    ๓ เรียกว่า ศูนย์ภาวะ
    ๔ เรียกว่า ศูนย์ธรรม
    อะไรคือ ศูนย์กาย กายนั้น บิดามารดา เป็นผู้ให้กำเนิด มีทวารทั้ง ๙ ไหลตลอดเวลา นานาปฏิกูล ธาตุ ๔ อันประสานรวมกันอยู่ ย่อมจะเสื่อมสลายในที่สุด ผู้มีสติปัญญา ประจักษ์แจ้งว่า กายเป็นมายา ใช้กายอันเป็นมายานี้ศึกษาพุทธ บำเพ็ญศีล ปฏิบัติธรรม เรียกว่า เห็นแจ้งศูนย์กาย นี้คือ คาถาบาทที่หนึ่ง
    หันมาดูใจตน ไวที่สุด มีสภาวะเหมือนมี สภาวะดับเหมือนไม่มี ประจักษ์แจ้งใจจริงแท้ ตื่นตลอด ไม่หลงเลอะ ไม่หันแปรปรวนตามความคิดฝันเพ้อ เห็นแจ้งศูนย์ใจ นี้คือคาถา บาทที่สอง
    หันมาดูภาวะเดิม สงบนิ่ง เข้าถึงโดยความรู้สึก เปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ประจักษ์แจ้งชัด ตื่นเองแจ้งเอง ทั้งสงบทั้งเคลื่อนไหว เรียกว่า เห็นแจ้งศูนย์ภาวะ นี้คือ คาถาบาทที่สาม
    หันมาดูธรรมสูตร อันตถาคตแสดงนั้นล้วนเป็นธรรมวิถี โน้มนำอันสะดวกดาย อุปมาดังน้ำล้างฝุ่นละออง เปรียบประหนึ่งป่วยไข้ให้ยา ได้เห็นแจ้งใจตน แจ้งศูนย์ธรรมแล้วไข้หาย หยุดยา เรียกว่าเห็นแจ้งศูนย์ธรรม นี้คือคาถาบาทที่สี่
    อรรถธรรมของคาถา ๔ บาทนี้ เป็นประตูนำไปสู่การพ้นปุถุชน เข้าสู่อริยมรรค ตถาคตในสมัยแห่งกาล ๓ สำเร็จเป็นพุทธโพธิสัตว์บำเพ็ญตามระดับขั้นนี้
    เห็นแจ้งบาทที่หนึ่ง แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุโสดาปัตติผล
    เห็นแจ้งบาทที่สอง แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุสกทาคามิผล
    เห็นแจ้งบาทที่สาม แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุอนาคามิผล
    เห็นแจ้งบาทที่สี่ แล้วบำเพ็ญตามอรรถธรรม จักบรรลุอรหัตผล
    คาถา ๔ บาทนี้ ได้เปิดประตูพุทธธรรมไว้กว้าง หากยึดถือปฏิบัติและนำไปประกาศแสดงแก่คนอื่น ๆ ทำให้ผู้ได้สำเหนียกเห็นแจ้ง ในพุทธทิฐิ ย่อมจะสำเร็จเป็นพุทธ ดังนั้นจึงได้บุญมหาศาล อันบุญกุศลที่ได้รับนั้น จะประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าการบริจาคทานด้วย สัตรัตนะ
    พุทธอดีต พุทธอนาคต เป็นแนวเดียวกัน ล้วนอยู่ที่แต่ละคน ได้ประจักษ์แจ้งในใจตน เห็นภาวะเดิมแห่งตน แล้วบำเพ็ญตนสำเร็จ
    ถ้าไม่เข้าสู่ทางพุทธ บำเพ็ญปฏิบัติก็ไม่มีวันสำเร็จเป็นพุทธได้ เพราะเหตุว่าไม่มีความเพียรแห่งพุทธ
    ผู้แสวงพุทธนั้น
    ๑ ต้องถือศีล กินเจ (เบื้องต้นต้องถือศีล ๕ กินมังสวิรัติ (เจ) ละเว้นอบายมุข ๖) ปูพื้นฐานแห่งพุทธ
    ๒ ฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ดี เพื่อชี้แนะวิถีแห่งการบำเพ็ญ
    ๓ เข้าใจ กระจ่างแจ้งชัด ในภาวะใจ
    ๔ บำเพ็ญบุญหนุนเสริมมูลราก
    ๕ ใช้เหตุปัจจัย เพื่อเพิ่มพูนกุศลมูลของตน
    ๖ ประจักษ์แจ้งในกฏแห่งกรรม
    ๗ ทำลายปีศาจมารร้าย(กิเลส) ออกห่างนอกรีตนอกรอย
    ๘ เข้าถึงหลักธรรม ไม่ติตยึดในสังขตะ(ปรุงแต่งขึ้น)
    ๙ ใช้วิริยะ เรียนพุทธ บำเพ็ญคุณประโยชน์
    ๑๐ ใช้อภิญญา ช่ำชองนานาธรรม
    หากบุคคลใด สมบูรณ์ด้วยอานิสงส์ ๑๐ ประการนี้ก็จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิธรรม
    ในสมัยแห่งปลายพระสัทธรรม จะมีสรรพสัตว์ ผู้มีความเขลาด้อยปัญญา หลงมัวเมาในมิจฉาทิฐิ ไม่บรรลุ บอกว่าบรรลุแล้ว บำเพ็ญกุศลเพียงเล็กน้อยโดยหวังจะได้อริยผลมหาศาล ไม่เข้าใจเจตนารมณ์แห่งพุทธ อวดอุตริหลอกตัวเอง แม้จะมีเหตุปัจจัยที่ดี ก็จักได้ผลอันเลวร้าย เพราะเหตุว่าเมล็ดพันธุ์ไม่แท้ จึงไม่ได้ผลแห่งสัมมาสัมโพธิ สูญเสียร่างคนเมื่อใด ก็ยากจะได้คืนมาเป็นคนอีก นับด้วยหมื่นกัปกัลป์(หลายล้านล้านชาติ)

    จาก วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร

    จาก
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=28973#post28973
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มหายานปัญจขันธศาสตร์

    มหายานปัญจขันธศาสตร์

    รจนาโดย พระสถิรมติ
    แปลจีนโดย พระทิวากร แห่งราชวงศ์ถัง
    แปลไทยโดย อาจารย์เสถียร โพธินันทะ
    ห้องสมุดวัดโพธิ์แมนคุณาราม

    如薄伽梵略說五蘊。
    ดังสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงพระธรรมเทศนานัยแห่งปัญจขันธ์

    一者色蘊。二者受蘊。三 者想蘊。四者行蘊。五者識蘊。云何色蘊。謂四大種及四大種所造諸色。
    มีหนึ่งคือรูป สองคือเวทนา สามสัญญา สี่สังขาร ห้าวิญญาณ รูปนั้นเป็นไฉน. คือมหาภูตรูป4 และอุปทายรูปอันอาศัยมหาภูตรูปเกิดนั้น

    云 何四大種謂地界水界火界風界。云何地界。謂堅強性。云何水界。謂流濕性。云何火界。謂 溫燥性。云何風界。謂輕等動性。
    มหาภูตรูปทั้ง 4 นั้นเป็นไฉน คือ ปฐวีธาตุ1 อาโปธาตุ1 เตโชธาตุ1 วาโยธาตุ1 ทั้งหมดนั้นคืออะไร ปฐวีธาตุมีความแข็งเป็นสภาวะ อาโปธาตุมีความชุ่มไหลเป็นสภาวะ เตโชธาตุมีความร้อนเป็นสภาวะ วาโยธาตุมีความหวั่นไหวเป็นสภาวะ

    云何四大種 所造諸色。謂眼根耳根鼻根舌根身根。色聲 香味所觸一分無表色等。
    อุปทายรูปอันอาศัยเกิดแต่มหาภูติรูปนั้นเป็นไฉน คือ จักขุนทรีย์ โสติทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ รูปะ สัททะ คันธะ รสะ โผฏฐัพพะส่วนหนึ่ง อวิญญัติรูป เหล่านี้เป็นต้น

    云何眼根。謂色為 境清淨色。
    จักขุนทรีย์นั้นเป็นไฉน คือ สภาพที่ควรแก่รูปารมณ์มีความใสของประสาทเป็นสภาวะ

    云何耳根。謂聲為境清淨色。
    โสตินทรีย์นั้นเป็นไฉน คือ สภาพที่ควรแก่สัททารมณ์ มีความใสของประสาทเป็นสภาวะ

    云何 鼻根。謂香為境清淨色。
    ฆานินทรีย์นั้นเป็นไฉน คือสภาพที่ควรแก่คันธารมณ์มีความใสของประสาทเป็นสภาวะ

    云何舌根。謂味為境 清淨色。
    ชิวหินทรีย์นั้นเป็นไฉน คือสาภาพที่ควารแก่รสารมณ์ มีความใสของประสาทเป็นสภาวะ

    云何身根。謂所觸為境清淨色。
    กายินทรีย์นั้นเป็นไฉน คือสภาพที่ควรแก่โผฏฐัพพารมณ์มีความใสของประสาทเป็นสภาวะ
    云何 為色。謂眼境界。顯色形色及表色等。
    รูปารมณ์นั้นเป็นไฉน คือสภาพที่เป็นอารมณ์แห่งจักขุมีวรรณะเป็นรูป สัณฐานรูปและวิญญัติรูป เป็นต้น

    云何為 聲。謂耳境界。執受大種因聲。非執受大種因 聲。俱大種因聲。
    สัททารมณ์นั้นเป็นไฉน คือสภาพที่เป็นอารมณ์แห่งโสตะ มีอุปาทินกมหาภูติ สัททะ1 อนุปาทินกมหาภูติสัททะ1 และอุปาทินกานุปาทินกสหชาติมหาภูตสัททะ1

    *หมายเหตุ (อุปทินกมหาภูตสัททะ เช่น เสียงพูดจา เสียงตบมือดัง ๆ หรือเสียงต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากสิ่งมีชีวติ อนุปาทินกมหาภูตสัททะ เช่น เสียงลมพัด เสียงคลื่นทะเลเบา ๆ เสียงต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต อุปาทินกานุปาทินกมหาภูตสัททะ ได้แก่ เสียงซึ่งเกิดด้วยสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตร่วมกัน เช่นเสียงตีกลอง เป็นต้น)

    云何為香。謂鼻境界。好香惡 香及所餘香。
    คันธารมณ์นั้นเป็นไฉน คือสภาพที่เป็นอารมณ์แห่งฆานะ มีสุคันธะ ทุคันธะ อสุคันธาทุคคันธะ

    .云何為味。謂舌境界。甘味酢味 鹹味辛味苦味淡味
    รสารมณ์นั้นเป็นไฉน คือ สภาพที่เป็นอารมแห่งชิวหา มีรสหวาน รสเปรี้ยว รสเค็ม รสเผ็ด รสขม รสจีด

    云何為所觸一分。謂身境界。除四大種。餘 所造觸。滑性澀性重性輕性冷飢渴等。
    โผฏฐัพพารมณ์ส่วนหนึ่งนั้นเป็นไฉน คือ สาภาพที่เป็นอารมณ์แห่งกาย ยกเว้น มหาภูตเสีย ได้แก่ สภาพอ่อนลื่นสลวย สภาพหยาบกระด้าง สภาพที่หนัก สภาพที่เบา ความเย็น ความหิว ความกระหาย
    เครดิตจากเว็บ http://community.buddhayan.com/index.php?topic=157.0;prev_next=next#new
     
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เคยได้อ่านหนังสือ พบคำอธิบายถึงความหมายของพระคาถา " โอม มะ นี แปะ หมี่ ฮง" หรือ " โอม มณีปัทเมหุม "แล้ว อยากให้ผู้รู้ช่วยขยายความจากหนังสือที่ได้อ่านมา เพื่อเป็นธรรมทานกับทุกๆท่านด้วยค่ะ

    嗡 白色 解脫天道輪迴苦

    摩 藍色 解脫阿修羅道輪迴苦

    尼 黃色 解脫人道輪迴苦

    啤 綠色 解脫畜生道輪迴苦

    咩 紅色 解脫餓鬼道輪迴苦

    黑色 解脫地獄道輪迴苦
    -----------------------------------
    โอมมานีปามีฮง นั้น เป็นพระคาถาของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คร่าว ๆ นะครับ เพราะช่วงนี้งานยุ่ง
    ผู้ที่สวดท่องพระคาถานี้ ในเบื้องต้น จะพ้นจาก " ฉกฺวิถี " อันได้แก่
    โอม --- เทียน (เทวดา)
    มา ---เหริน (มนุษย์)
    นี ---ออซิวหลอ (อสูร)
    ปา --- ตี้อวี้ (นรก)
    มี----เอ้อกุ่ย (เปรต)
    ฮง --- ชู่เซิง (เดรัจฉาน)
    ----------------------------
    ข้อมูลที่ได้มานี้ ผมแปลมาจากหนังสือ "หมิงเซี่ยง" ฉบับของวัดฝอกวงซัน เรียบเรียงโดยพระธรรมาจารย์ ฉือจวง หน้าปกสีน้ำตาลครับ ไปหาอ่านดู อีกอย่างคือ ในแต่ละนิกายย่อยของมหายานเอง ก็จะจำแนกออกไปอย่างพิศดารมากมาย ตามแต่เจ้าสำนักนั้นจะอรรถาธิบายอย่างไร

    ----------------------
    ขอบคุณ 燕珠 และ miaolian แห่งเว็บ http://community.buddhayan.com/index.php?topic=146.0;prev_next=next#new
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    คัมภีร์พุทธศาสนาเป็นจำนวนมากที่แสดงถึงจำนวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ว่า มีมากมายยิ่งนัก จนถึงกับมีคำพูดที่ได้ยินกันอยู่เป็นประจำว่า มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ ซึ่งแสดงว่ามีเป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่พระพุทธเจ้าที่มีพระนามและพระประวัติปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางศาสนานั้นมีอยู่ไม่มากนัก สำหรับในบทนี้ จะได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าที่มีพระนามและพระประวัติปรากฏอยู่ในคัมภีร์อันพอที่จะสืบค้นได้ ทั้งพระพุทธเจ้าในอดีต ในปัจจุบัน และที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต เพื่อที่จะได้ทำให้มองเห็นภาพว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นมีสภาวะแห่งการเกิดขึ้นมาอย่างไร ช่วงระยะเวลาแห่งการเกิดขึ้นห่างกันมากน้อยแค่ไหน และแต่ละพระองค์มีลักษณะที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร เป็นลำดับไป

    เรื่องราวอันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในอดีต มีกล่าวไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนาหลายคัมภีร์ ทั้งที่เป็นพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และหนังสือที่ท่านผู้เป็นปราชญ์ในแต่ละยุคได้รจนาไว้ ด้วยอ้างถึงพระสูตร ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ซึ่งพระโคตมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ทรงเป็นสัพพัญญู สมบูรณ์ด้วยทศพลญาณอันไม่ติดขัด ได้ทรงแสดงเรื่องเกี่ยวพระพุทธเจ้าในอดีตเหล่านี้ได้ด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เองแก่พระประยูรญาติ หมู่ภิกษุสงฆ์สาวก เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ณ นิโครธารามมหาวิหารใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ พระสาวกทั้งหลายได้ทรงจำถ่ายทอดโดยการท่องในยุคแรก และจดจารึก เป็นตำราคัมภีร์ในภายหลัง จนสืบต่อมาถึงปัจจุบันนี้

    อนึ่ง เนื่องด้วยพระโคตมพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ในอดีตพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรก คือ พระตัณหังกรพุทธเจ้า พระเมธังกรพุทธเจ้า และพระสรณังกรพุทธเจ้าแห่งสารมัณฑกัป เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นี้จึงมีเพียงเล็กน้อย ส่วนพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ที่มาภายหลังนั้น ได้ให้พุทธพยากรณ์แก่พระโคตมพุทธเจ้าไว้ทุกพระองค์ จึงมีประวัติเรื่องราวแสดงไว้มากกว่า ซึ่งพระประวัติของพระพุทธเจ้า แต่พระองค์นั้ในอดีตทั้งหมด ๒๗ พระองค์

    พระพุทธเจ้าทั้ง ๒๗ พระองค์ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าในอดีต ด้วยเหตุว่าทรงอุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเมื่อยกเว้นพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรกแล้ว พระพุทธเจ้าในอดีตเหล่านี้ ได้ให้พุทธพยากรณ์แก่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ทั้งสิ้น และการที่เรียกพระโคตมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทั้งที่ได้ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วนั้น ก็ด้วยเหตุว่าแม้พระองค์จะปรินิพพานไปนานแล้วแต่พระศาสนาคือพระธรรมคำสอนยังดำรงอยู่ ในคัมภีร์สารัตถะสังคหะ แสดงไว้ว่า ตราบใดที่พระสารีริกธาตุมีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังปรากฏอยู่ ตราบนั้นชื่อว่าพระพุทธเจ้ายังทรงดำรงอยู่ ต่อเมื่อใดอันตรธาน ๕ ประการ มีปริยัตติอันตรธานเป็นเบื้องต้น และมีธาตุอันตรธานเป็นเบื้องปลายได้เกิดขึ้นแล้วจึงจะชื่อว่าหมดยุคแห่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระโคตมพุทธเจ้า (ศากยะมุนี)

    ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามหายานได้กล่าวถึงยาน ๓ ประการเพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้น อันได้แก่ สาวกยาน ปัจเจกยาน และโพธิสัตวยาน

    โดยที่สาวกยานหมายถึง ยานของพระสาวกที่มุ่งสู่อรหัตภูมิ ซึ่งรู้แจ้งในอริยสัจ ๔

    ปัจเจกยาน หมายถึง ยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งด้วยตนเอง แต่ไม่อาจแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่นได้

    โพธิสัตวยาน หมายถึง ยานของพระโพธิสัตว์ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง ประกอบด้วย พระมหากรุณาในสรรพสัตว์ ก้าวล่วงอรหัตภูมิ จึงกล่าวได้ว่าโพธิสัตวยานเป็นการสร้างเหตุอันมีพุทธภูมิเป็นผล หรือกล่าวได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในนิกายมหายานนั้นคือพระโพธิสัตว์ที่ได้สร้างบารมีมาด้วยการช่วยสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์นั่นเอง

    พระพุทธศาสนามหายานได้แบ่งประเภทของพระพุทธเจ้ามหายานออกเป็น ๓ ประเภทคือ พระอาทิพุทธเจ้า พระฌานิพุทธเจ้า และพระมานุษิพุทธเจ้า

    พระอาทิพุทธเจ้านั้นหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ประถม เป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าอื่นๆ รวมทั้งพระโพธิสัตว์และสรรพสิ่งต่างๆ เป็นผู้เกิดเองไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย

    พระฌานิพุทธเจ้า เกิดขึ้นจากอำนาจฌานของพระอาทิพุทธเจ้า เป็นอุปปาติกะ ไม่ต้องมีบิดามารดาผู้ให้กำเนิด พระฌานิพุทธเจ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ แต่สถิตอยู่ในแดนพุทธเกษตร

    พระมานุษิพุทธเจ้าคือ พระพุทธเจ้าที่เสด็จมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์

    ถ้าหากมองให้ลึกลงไปแล้วพบว่า พระอาทิพุทธเจ้า พระฌานิพุทธเจ้า และพระมานุษิพุทธเจ้า ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะต่างถือกำเนิดจากอาทิพุทธเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นการแปลงรูปให้เหมาะกับการสั่งสอนสัตว์โลกเท่านั้น

    ตรีกาย


    พระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีแนวความคิดในเรื่องกายของพระพุทธเจ้าว่ากายของพระพุทธเจ้านั้น แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ

    ประเภทแรก นิรมาณกาย หมายถึงกายของพระพุทธเจ้า ที่ยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ ยังมีการเกิด แก่ เจ็บและตายเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป นิรมาณกายนี้มหายานเชื่อว่า เป็นการเนรมิตขึ้นมาจากสัมโภคกาย เพื่อเป็นอุบายในการสั่งสอนสัตว์โลก

    ประเภทที่ ๒ คือ สัมโภคกาย หมายถึง กายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า กายนี้จะไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะที่เป็นทิพย์ชั่วนิรันดร์สามารถแสดงตนให้ปรากฏแพระโพธิสัตว์ได้ และสามารถรับรู้คำอ้อนวอนสรรเสริญจากผู้ที่เลื่อมใสได้ สัมโภคกายนี้เองที่เนรมิตตนลงมาเป็นนิรมาณกายในโลกมนุษย์เพื่อการสั่งสอน ดังนั้น แม้ในปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าที่เคยอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ทุก ๆ พระองค์ ก็ยังดำรงอยู่ในสภาวะแห่งสัมโภคกายนี้มิได้สูญหายไปไหน

    ส่วนกายประเภทที่ ๓ ก็คือ ธรรมกาย อันหมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะเป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ทั้งไม่มีจุดกำเนิดและผู้สร้าง ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง แม้จักรวาลจะว่างเปล่าปราศจากทุกสิ่ง แต่ธรรมกายจะยังดำรงอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด มหายานชื่อว่า ธรรมกายนี้เองที่แสดงตนออกมาในรูปของสัมโภคกายบนภาคพื้นสวรรค์ และสัมโภคกายก็จะแสดงตนออกมาในรูปของนิรมาณกายทำหน้าที่สั่งสอนสรรสัตว์ในโลกมนุษย์

    ฉะนั้นการศึกษามหายาน หรือเถรวาทนั้น เรื่องการเกิด หรือการดับของพระศาสดา นั้นหาสำคัญไม่ หากแต่ ว่าคำสอนที่ท่านถ่ายทอดสั่งสอนนั้น จะเป็นศาสดา แทนท่าน แล้วท่านสามารถปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ได้มากน้อยแค่ ไหน เอาง่าย ๆ แค่ศีล 5 ท่านปฏิบัติได้ครบถ้วนสมบุรณ์ หรือไม่พร่องหรือยังละ สุดท้ายไม่ว่ามหายาน หรือเถรวาท จุดมุ่งหมาย คือที่เดียวกัน คือนิพพาน

    ขอบคุณ 聖获 [เสี่ยเว๊ก] http://community.buddhayan.com/index.php?topic=156.0;prev_next=next#new
     
  10. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,254
    พระ.jpg

    อนุโมทนาด้วยครับ
    นำ มอ ออ มี ทอ ฟู
    นำ มอ ตา ปี กวน ซือ อิม พู่ สัก
    นำ มอ ไต่ ซี จี๋ พู่ สัก
     
  11. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พุทธเกษตร ขึ้นอยู่กับ การบำเพ็ญบารมี ปณิธาน ของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ บำเพ็ญมา ถ้าต้องก

    พุทธเกษตร ขึ้นอยู่กับ การบำเพ็ญบารมี ปณิธาน ของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ บำเพ็ญมา ถ้าต้องการสมมุติเยอะความเป็นทิพย์ ความอลังการ สิ่งรองรับ ในการโปรดสัตว์ จะสูง อย่าง อย่างในมหายาน
    จะกล่าวถึง สุขาวดีพุทธเกษตร อักโษภยพุทธเกษตร พุทธเกษตรของพระไภสัช และ อื่นๆ ที่สาธุชน หวังจะไปเกิดเยอะเพราะ มันเต็มไปด้วย ความงดงาม ความสุข ความเป็นทิพย์ เป็นดินแดนสัปปายะในการบำเพ็ญบารมี เพราะมันมีความสุข ไม่ต้องแบกขันธ์ 5 เยอะ อย่างในสุขาวดีพุทธเกษตร คำว่าทุกข์จะไม่มีเลย ที่ผมรับรู้มา ที่สุขาวดีพุทธเกษตรมีแต่การปฏิบัติธรรม ใครขี้เกียจ ก็ นานหน่อย อาจถึง แสนๆ กัปป์ พันๆ กัปป์ ใครขยัน ก็ ไม่กี่วัน เพราะมีบารมีพระอมิตตาภพุทธเจ้ารองรับ

    อย่างในโลกเรา พุทธเกษตรพระพุทธเจ้าเรา มี 5000 ปี พุทธเกษตรพระศรีอาริยเมตไตรย อายุ 80000 ปีพุทธเกษตรจะคลุม ถึง อายุของพระศาสนาด้วย ศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ วิจิตร ความเป็นทิพย์ของพุทธเกษตร ต่างกัน ให้เทียบ วิริยาธิกะพุทธเจ้า ศรัทธาธิกะพุทธเจ้า ปัญญาธิกะพุทธเจ้า แล้วให้เทียบบำเพ็ญนานหน่อย ต้องการสมมุติเยอะ ความเป็นทิพย์จะเยอะ

    สุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตตา ก็เช่นกัน ด้วยมหาปณิธานโปรดสัตว์ 48 ประการ ที่ท่านบำเพ็ญบารมีตั้งแต่เป็น พระภิกธุธรรมกรโพธิสัตว์ จนสำเร็จเป็นพระอมิตตาภพุทธเจ้า ระยะเวลาในการบ่มบารมี ท่านนานนนนนมากกกกกกกก พระศาสนาของท่านเลย อลังการ วิจิตร มีความเป็นทิพย์ เป็นดินแดนที่น่าไปเกิด คนจึงเลือกไปเกิดเยอะและ อายุพระศาสนาท่านนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน มากกกกกกกกก
    นับและคำนวนไม่ได้ จึงสามารถเรียก สุขาวดีโลกธาตุได้ เพราะมันอยู่นานนนนนนน พระพุทธเจ้าในโลกเราจะ อุบัติ กี่ หมื่น กี่ แสน กี่พันองค์ พระศาสนาท่าน ก็ยังอยู่

    ปณิธานธรรม 48 ประการ เป็นเหตุ สุขาวดีพุทธเกษตรเป็นผล

    เหมือนกับ คนที่เกิดใน พุทธเกษตรพระพุทธเจ้าศากมุณีของเรา ยัง อยากไปเกิดในพุทธเกษตรพระศรีอาริยะเมตไตรยเพราะมีความเป็นทิพย์ มีความสุข

    ผมจะเทียบทางเถรวาท พระศากยมุณีพุทธเกษตร5000 ปี พระเมตไตรยพุทธเกษตรอายุ 8000 ปี บางพุทธเกษตรมีอายุ 20000 10000 90000 ..............ปี

    ทางมหายาน สุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตตา อายุ มี แต่ ประมาณไม่ได้..................................................................

    อาจารย์ผม ท่านบอกไว้ พริกยิ่งเล็กยิ่งเผ็ด อย่าดูถูก พุทธเกษตรของพระศากยะมุณีพุทธเจ้า เป็นอันขาด ที่คุณเห็นว่ามีแต่ความเสื่อม ความบีบเค้น บีบคั้น นานาทุกข์ บีบขันธ์ 5 ไม่น่าอยู่ พลาดไป ก็ เจอทุกข์ ลงอบาย ถ้าคุณบำเพ็ญบารมีปฏิบัติธรรม ในบางที่ เป็น กัปป์ๆ เป็นอสงไขย อาจมีความเป็นทิพย์ ก็จริง แต่ สู้ การบำเพ็ญบารมีเพียงหนึ่งวัน ในพุทธเกษตร ของ องค์พระสมณโคดมบรมครูไม่ได้ เพราะความเข้มของทุกข์ มันบีบ ตั้งใจทำจริงๆ มีอานิสงค์มหาศาล

    ทางมหายาน เรียก โลกธาตุเรา ที่มี ภพภูมิต่างๆ มีนานาทุกข์ มีความเสื่อมแห่งกัปป์ ว่า สหโลกธาตุ คือ โลกธาตุแห่งความเสื่อม

    พุทธเกษตรไม่ขัดกับพระนิพพานเพราะคนละความหมายการบำเพ็ญบารมีในพุทธเกษตร เป็นเหตุ พระนิพพานเป็นผล

    พุทธเกษตรคือดินแดนแห่งการบำเพ็ญบารมี มีความเป็นทิพยภาวะ ความพิเศษ ต่างกัน บำเพ็ญบารมีในพุทธเกษตร เพื่อเข้าพระนิพพาน หรือ เพื่อขนคนเข้าพระนิพพาน ยาวนาน ต่างกัน ตามปณิธาน คุณรู้ใหม ที่ คุณใช้ชีวิต อยู่ทุกวัน เข้า วัด ฟังธรรมกิน กาม เกียรติ และ เจอนานาทุกข์ บีบ ขันธ์ 5 นี่แหละ คือ พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าเรา อายุ 5000 ปี
    ขอขอบคุณ มดเอ๊ก แห่งhttp://community.buddhayan.com/index.php?topic=156.0;prev_next=next#new
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ท่องแดนสุขาวดีแดนพุทธเกษตร
    ฟังการบรรยายธรรมจากพระอมิตาภพุทธเจ้า
    วันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2523

    อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนความว่า
    เบากายเพราะไร้ฝุ่น กิเลสตุนชำระลา
    บำรุงมั่นรักษา บริสุทธิ์อยู่ดินแดนเดียว
    มากล้นบุญกุศล ดลให้ลอยฟ้าเป็นเกลียว
    สุดขอบฟ้าเขาเขียว เจ้าท่องเที่ยวได้เสรี


    อรหันต์จี้กง :ทุกแห่งหนมีแต่คนฝึกฝนเรียนพุทธธรรม อันที่จริงการเรียนพุทธธรรมมันเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันหนอ? ตามความเห็นของอาตมาก็ไม่มีอะไรมาก ?ถามที่ใจ! ถามที่ใจ!? เท่านั้นเอง หากใจนั้น ?ไม่ด่างพร้อย? อาตมาก็ว่าไม่ห่างไกลจากพุทธะหากอยู่ห่างจากจิต ก็ไม่เห็นพุทธะ เช่นเดียวกับวัดที่ว่างเปล่าก็ไม่อาจเป็นวัดได้ หากคนปราศจากหัวใจ ก็ไม่อาจเป็นคนได้ เพราะฉะนั้น จึงหวังว่ามวลมนุษย์ควรจะเป็นคนมีหัวใจ ใจนั้นสามารถเปลี่ยนได้ร้อยแปด อย่างอาจารย์สอนตัดเสื้อผ้าก็สามารถจะตัดเย็บเสื้อผ้าได้เป็นพัน ๆ แบบ เพราะฉะนั้น หัวใจก็เปรียบเหมือน ?อาจารย์? สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหน้าตารูปลักษณ์ของตนเองได้ไม่ซ้ำแบบ จะแปลงเป็น ?พุทธะ? หรือ ?มาร? ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของใจ แต่ละคนล้วนเป็นนักวิทยากล ท่านต้องการรูปลักษณะอย่างไร ต้องการเดินทางแบบไหนเปลี่ยนแปลงแบบไหน ก็สุดแท้แต่ใจท่าน ส่วนอาตมาหวังว่าคงเปลี่ยนเป็นคนดี เป็นเทพ เป็นปราชญ์ เป็นพุทธะ จงอย่าเปลี่ยนตนเองเป็นมารเป็นอันขาด ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นกลัวลานถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าท่านนั้นโง่เสียนี่กระไร จะเปลี่ยนเป็นผีในเมืองนรก หรือเป็น เป็ด ไก่ หมา ควาย พอเห็นตนเองในกระจก คงจะสะดุ้งโหยง ที่เห็นรูปลักษณ์เปลี่ยนไปถึงปานนั้น ตอนนี้คงโทษฝีมือท่านว่าไม่เอาไหน ไม่มีปัญญาเปลี่ยน ผิดรูปไปแล้ว! จงเชื่อคำพูดของอาตมาเถิด หากเห็นว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปจากเดิมก็จงรีบเปลี่ยนกลับมาโดยแร็ว มิฉะนั้น พอเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะรู้สึกผิดก็สายไปแล้ว
    วันนี้อาตมาจะพาเจ้าหยางเซิงไปท่องเที่ยวสุขาวดีแดนพุทธเกษตร ไปนมัสการพระอมิตาภพุทธเจ้า
    หยางเซิง :กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถอะ
    อรหันต์จี้กง :......ถึงแล้ว หยางเซิงรีบลงจากดอกบัวเถอะ
    หยางเซิง :โอ้โฮ......พอมาถึงที่นี่ เห็นมีเงินทองกองเต็มพื้นทั่วปฐพีปูลาดด้วยเพชรนิลจินดา และยังมีราวกั้นเป็นแถวเป็นแนวอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ทั้งต้นไม้ ตาข่าย ล้วนมิใช่เป็นของธรรมดา แต่ละสิ่งดูแวววาว อันเป็นทิวทัศน์ที่ไม่อาจเห็นได้ในโลกมนุษย์!
    อรหันต์จี้กง :สุขาวดีแดนพุทธเกษตรเป็นที่สถิตของพระอมิตาภพุทธเจ้า ที่นี่เป็นแดนสุดหรรษา มีราวกั้นเจ็ดชั้น ตาข่ายเจ็ดชั้น ต้นไม้เจ็ดแนว ล้วนล้อมรอบไปด้วยแก้ววิเศษทั้งสี่ พวกเราเข้าไปนมัสการเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อฟังธรรมะ
    หยางเซิง :ด้านหน้ามีมหาวิหารองค์ใหญ่หลังหนึ่ง คงเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า?
    อรหันต์จี้กง :ใช่แล้ว! ด้านหน้าคือ ?อมุตาภวิหาร? เราเข้าไปนมัสการกันเถอะ
    หยางเซิง :ขอรับกระผม! ที่นี่มีเหล่าอริสงฆ์และฆราวาสที่สำเร็จแล้วมากมาย หน้าตาแฝงไว้ด้วยความเมตตา รู้สึกว่ากำลังสวดมนต์กันอยู่ สุ้มเสียงแผ่วเบานุ่มนวล ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังแล้ว ภายในจิตมีความสดชื่น
    อรหันต์จี้กง :พวกเขาล้วนฝึกฝนพุทธธรรมจนสำเร็จแล้ว ตั้งแต่ยังอยู่ในเมืองมนุษย์ เพราะบุญบารมีครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงสามารถมาแดนสุขาวดีนี้ได้......ถึงพระวิหารแล้ว เราเข้าไปนมัสการพระพุทธองค์กันเถอะ
    หยางเซิง :ขอรับกระผม! เข้ามาภายในวิหาร พระพุทธองค์มีพุทธลักษณะที่น่าเกรงขาม ทรงประทับอยู่เบื้องกลางของพระวิหาร รัศมีเปล่งออกรอบพระวรกาย ทำให้รู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก ข้าพระพุทธเจ้าหยางเซิง ขอกราบนมัสการพระพุทธองค์ วันนี้มีบุญวาสนาได้ติดตามอาจารย์มายังสุขาวดีแดนศักดิ์สิทธิ์ขอกราบท่านพระอมิมภพุทธเจ้า ขอพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเถิด
    อมิตาภพุทธเจ้า:เจริญพร! คนท่อง ?อมิตาพุทธ? อาตมาก็ท่อง ?มนุษย์คือพุทธ? มนุษย์เวียนเกิดหกช่องทาง ได้รับทุกข์ทรมานกาย ดังนั้นอาตมาจึงตั้งปณิธานไว้ถึง 4 ข้อ สร้างสุขาวดีแดนพุทธเกษตร ให้เป็นแดนบริสุทธิ์ สอนคนให้สวดพุทธมนต์ฝึกฝนพระธรรม โดยไม่ให้ห่างจากพุทธะ อาตมาก็จะรับเขามายังที่นี่ หากยังไม่สิ้นกรรม ไม่ตั้งใจเรียนธรรมะ พุทธะก็จะแตกสลาย แม้มีมือที่เมตตาก็อ่อนแรงไม่สามารถจะโปรดได้ เพราะฉะนั้น หวังว่ามวลมนุษย์ที่ฝึกฝนเรียนพุทธธรรม ก่อนอื่นต้องไม่ก่ออกุศลกรรม สร้างพื้นจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ มิฉะนั้นก็ยากที่จะสำเร็จพุทธะ วันนี้อามตาดีใจที่หยางเซิงจากโลกมนุษย์ได้เข้ามายังแดนบริสุทธิ์แห่งอมิตพุทธ ก็จะแสดงพระธรรมเทศนาให้นำไปพิจารณา เจ้ามีความสงสัยอะไรก็ให้ไต่ถามมาได้อาตมาจะตอบข้อข้องใจ
    หยางเซิง :ขอบพระคุณที่พระพุทธองค์ให้โอกาส ขอเรียนถามพระพุทธองค์ว่า เมื่อครู่ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ชาวโลกท่อง ?อมิตาพุทธ? ท่านก็จะท่อง ?มนุษย์คือพุทธ? กระผมคิดว่ามีความหมายมาก ขอพระพุทธองค์ช่วยอธิบายความหมายของมันด้วยเถิด
    อมิตาภพุทธเจ้า:เจริญพร! เธอนี่มีปัญญา มวลมนุษย์สวดอมิตาพุทธเพื่อให้อาตมาโปรดพวกเขา มายังสุขาวดีแดนพุทธเกษตร อาตมาก็เลยสวดว่ามนุษย์คือพุทธ เพื่อให้มนุษย์ไม่ต่างจากอาตมา หากสามารถเข้าใจความหมายของอาตมา เอาโลกแปรเปลี่ยนเป็นดินแดนบริสุทธิ์ โลกนี้ก็จะเป็นสุขาวดีแดนหรรษา อาตมาก็คิดอยากจะไปยังดินแดนบริสุทธิ์แห่งโลกมนุษย์เช่นกัน
    หยางเซิง :พระพุทธองค์ตรัสอย่างน่าคิด หากโลกมนุษย์เปลี่ยนเป็นแดนหรรษาแล้ว มิทราบว่าพระพุทธองค์จะอวตารสู่โลกมนุษย์หรือไม่?
    อมิตาภพุทธเจ้า:ขอเพียงโลกมนุษย์กับที่นี่เหมือนกัน อาตมาก็ยินดีลงสู่โลกมนุษย์
    หยางเซิง :มวลมนุษย์คิดอยากไปสุขาวดีแดนหรรษา มิทราบว่าความคิดกลับกันหรือเปล่า?
    อมิตาภพุทธเจ้า:เนื่องจากบาปเวรของชาวโลกหนักหนา เจ็บปวดทุกข์ทรมานไม่หยุด เนื่องจากถูกบาปเวรผูกมัด คิดที่จะพ้นทุกข์มีสุข และหวังให้อาตมาช่วยโปรดให้พ้นทุกข์ทั้งมวลละก็ แบบนี้ก็เรียกว่า ?รู้สำนึก กลับตัว? หากถือความทุกข์เป็นความสุข ยึดความฟุ้งซ่านเป็นจริง จึงจะเรียกว่า ?กลับกัน?
    หยางเซิง :เมื่อเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไรจึงจะสามารถพึ่งพุทธะให้พ้นทุกข์ได้?
    อมิตาภพุทธเจ้า:ก็มีทางเดียวคือ ?สวดมนต์ ฝึกเรียนพุทธะ?
    หยางเซิง :จะง่ายดายถึงขนาดนั้นหรือ?
    อมิตาภพุทธเจ้า:เพียงสวดมนต์ ?อมิตาพุทธ? ก็จะถึงแดนสุขาวดี ?ผึกพุทธะฝึกให้เหมือน อย่าให้เพี้ยนจากพุทธะ?
    หยางเซิง :พระพุทธองค์แสดงได้ล้ำลึก ขอให้พระพุทธองค์ช่วยแสดงให้แจ่มแจ้งสักหน่อย
    อมิตาภพุทธเจ้า:การสวดพุทธมนต์ เริ่มแรก ?ท่องให้จำได้? ในที่สุด ?ท่องจนกระทั่งลืม? แล้วจากการท่อง ?อมิตาพุทธ? ท่องถึง ?พุทธแท้จิตตน? จากการท่อง (นาน) ท่องให้สำเร็จพุทธะก่อนตนเองท่องพุทธะ พอท่องนาน (เป็นการหล่อหลอม) จนสำเร็จจริง ต่อไปชาวโลกก็จะระลึกถึงท่านว่าเป็นพุทธะ มีจิตเป็นเอกัคคตา เอกพจน์ไม่สับสน จิตของอมิตาพุทธจะประทับจิตของตน ดังนั้นจึงกล่าวว่า ?เพียงสวดอมิตาพุทธ ก็จะถึงแดนสุขาวดี? คือต้องถือตนเองเป็นพุทธะเข้าถึงดวงจิต เมื่อสวดท่องพุทธะ พุทธะก็ปรากฏต่อหน้า เมื่อย่างก้าวเท้าย่ำลงสู่แผ่นดินบริสุทธิ์
    มวลมนุษย์มีบาปเวรหนักหนา ทนทุกข์ทรมานมากมายพอสวดมนต์ไหว้พระก็จะถอนหายใจคลายทุกข์ออกไปทำให้ลดทุกข์ไปบ้าง เป็นความวิเศษในการสวดมนต์ไหว้พระ พุทธศาสนามีระเบียบ วินัย โดยมี ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ หากสามารถฝึกสำเร็จ ก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน
    หยางเซิง :การสวดมนต์ไว้พระช่วยคลายทุกข์ ช่วยลดทุกข์ไปด้วย เป็นโอสถขนานเอกช่วยรักษาจิต ไม่ทราบว่าตอนที่มนุษย์สวดมนต์ พระพุทธองค์มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?
    อมิตาภพุทธเจ้า:มวลมนุษย์สวดมนต์ไว้พระพุทธ เพื่อปลดความกังวล ไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน เพื่อให้เกิดพุทธจิต ในขณะนั้นจิตของอาตมากับจิตของผู้ที่สวดมนต์ทะลุถึงกัน เจ้ากรรมในไตรภพพอได้ยินนามอาตมา ก็จะให้ความเคารพนับถือ อาตมาก็จะโปรดให้ ดังนั้น การสวดมนต์ไหว้พระจึงสามารถขจัดเคราะห์กรรมและปลดหนี้เวร ทำให้จิตบริสุทธิ์ ขณะที่มนุษย์สวดมนต์ กระแสเสียงดังถึงหูอาตมา จิตอาตมาสัมผัส จึงโปรดลงมาช่วยแน่นอน
    หยางเซิง :การสวดมนต์ไหว้พระ สามารถที่จะนำเวรกรรมขึ้นสู่สุขาวดีด้วย มิทราบว่าเท็จจริงเค่ไหน?
    อมิตาภพุทธเจ้า:การพกเอาบาปเวรไปด้วย มิใช่ว่าบาปเวรจะหมดไปผู้ที่ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใด ๆ ที่ไม่ทำให้จิตนั้นเสื่อมลง ก็สามารถเข้าสู่แดนสุขาวดีได้หลังทำการฝึกฝนต่อ รอจนบาปเวรหมดลงจนสะอาดหมดจด จึงไปเกิดใหม่ในดินแดนบริสุทธิ์
    หากบาปเวรไม่หมด ก็เหมือนม่านบังประตูไม่เห็นแสงสว่างอาตมาส่องแสงธรรมไปทุกแห่งหน ทำให้จิตและกายสะอาดบาปเวรสูญสิ้น จะได้เข้าสู่แดนพุทธเกษตร
    ที่นี่ยังมีสำนักบำเพ็ญธรรมหลายแห่ง (สระเจ็ดวิเศษ) เป็นสถานที่ขจัดบาปเวร เพื่อผู้ที่มีบาปเวรติดตัวมา จะได้ฝึกฝนบำเพ็ญและใช้สอยได้ ผู้ที่พกบาปเวรมาเกิดนั้น เป็นบาปเวรที่สร้างไว้ก่อนมานับถือพระพุทธเจ้า ภายหลังปวารณาตัวรับใช้พระศาสนาแล้ว มีจิตยึดพระธรรมและสำนึกในบาปเวรก่อน ๆ อาตมาประทับใจในศรัทธา ก็จะไปโปรดด้วยตนเอง
    เมื่อสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ยังก่อกรรมทำบาปอีก ไม่สำนึกในกรรมที่ทำไว้ ถึงจะสวดมนต์ไหว้พระก็เหมือนกับ หมอกเมฆภูเขาสูงบดบัง จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถนำเอาบาปเวรขึ้นสู่สุขาวดีได้
    ผู้ที่บำเพ็ญธรรมให้บริสุทธิ์นั้น หนึ่งต้องวาจาบริสุทธิ์ มโนบริสุทธิ์ และกายบริสุทธิ์แล้ว นั่นก็หมายความว่า ได้อยู่ใกล้ดินแดนบริสุทธิ์แล้ว นอกจากนี้แล้วยังต้องสร้างสมบุญกุศลจงอย่ามือถือสากปากถือศีล ต้องทั้งปากทั้งใจถือศีล
    อาตมาได้เห็นมวลมนุษย์ ในยุคศีลธรรมเสื่อมทรามลงหลงใหลอยู่ในขันธ์ห้า วนอยู่ในวัฏสงสาร ผนวกกับชะตาสวรรค์ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคทันสมัย วัตถุเฟื่องฟูหรูหราสุดขอบ ทำให้ปณิธาน 48 ข้อของอาตมาไม่สามารถบรรลุผลได้ และเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ จึงเปิดประตูแห่งความสะดวกให้เป็นกรณีพิเศษ เตือนมนุษย์ให้ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระ ย่นย่อพระธรรมให้ง่ายขึ้น เพื่อสะดวกในการปฏิบัติ มวลมนุษย์หากยังไม่รู้จักบำเพ็ญ เกรงว่าเมื่อสูญเสียร่างมนุษย์แล้ว จะหาทางเป็นคนอีกนั้นยาก
    พุทธเที่ยงธรรม ถึงแม้ให้ความสะดวกสบาย หากปากถือศีลแต่ใจนั้นอำมหิต พุทธก็ไม่กล้าเข้าใกล้เพื่อโปรดหรอก มิใช่พุทธะไม่เมตตา แต่เป็นเพราะตนเองเหินห่างจากพุทธะ แต่ก็หวังว่าจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้มวลมนุษย์ได้ก้าวสู่แดนบริสุทธิ์ ก็มีสักวันหนึ่งบาปเวรก็จะหมดลง ขอจงอย่าละทิ้งทางแห่งกระแสพระนิพพาน
    หยางเซิง :พระพุทธองค์ทรงเมตตาคุณและกรุณาธิคุณที่เปิดทางให้สะดวกขึ้น จึงมีผู้คนไม่น้อยที่มือถือลูกประคำพร่ำเสียงสวดมนต์ อยู่ในสภาพที่ศรัทธา ทำให้คนเห็นยกย่องเท่าที่กระผมรู้สึก การสวดมนต์ไหว้พระสามารถเข้าถึงสุขาวดีได้ ยิ่งต้องมีความหมายลึกซึ้งกว่านี้อีก ขอพระพุทธองค์โปรดแสดงธรรมให้ละเอียดเถิด
    อมิตาภพุทธเจ้า:พุทธะไม่พูดปด การสวดมนต์ไหว้พระสามารถขึ้นสวรรค์ได้ สามารถขึ้นสู่สุขาวดีแดนพุทธเกษตร เพราะการสวดมนต์สามารถระงับความฟุ้งซ่าน ทำให้จิตสงบจึงไม่ขัดมติธรรม ไม่ละเมิดศีล คนที่ขณะทำบาปนั้นเขาจะลืม ?อมิตาพุทธ? ดังนั้นถ้าสามารถสวด ?อมิตาพุทธ? ได้ตลอดทั้งวันและคืน ปากก็สวดจิตก็พิจารณา พอนาน ๆ เข้าปากและจิตก็เหมือนกัน พุทธจิตก็ปรากฏขึ้น รากเหง้าความชั่วก็ขาดลง ทำให้เกิดปัญญา ดินบริสุทธิ์ก็จะมีต้นโพธิ์งอกขึ้น
    การสวดมนต์สามารถลืมความทุกข์ทรมานได้ทำให้เกิดสติมีสมาธิ ดังนั้น คำว่า ?บริสุทธิ์? ก์คือ ?สมาธิ? สมาธิสามารถทำให้เกิดปัญญา ทำให้เกิดพุทธะ จิตก็จะเบิกบาน จิตมีที่พึ่ง
    ขณะสวดมนต์ จิตจะเกิดความสงบและอารมณ์ก็นุ่มนวลก็สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไข ความประพฤติที่ไม่ดีได้ เป็นการทำลายความคิดชั่วร้าย และยังสามารถทำให้จิตที่มืด (จิตพยาบาท) ได้รับการแก้ไขด้วย การสวดมนต์ก็เหมือนกับชาวโลกที่เปิดดนตรีเพลงเบา ๆ ทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มใจได้ ทำให้ลืมความกังวล ความทุกข์ทรมานหรือความไม่สบาย ดังนั้นจึงขอเตือนผู้บำเพ็ญธรรม ผู้เจ็บป่วย ผู้มีสติเลื่อนลอย ควรสวดมนต์ ?อมิตาพุทธ? ย่อมได้ผลอัศจรรย์ ทำให้หลีกห่างจากทุกข์ มีความสุขได้
    หยางเซิง :พระพุทธองค์ตรัสได้ดีมาก การสวดมนต์ คิดถึงพุทธะรู้พุทธะ พบพุทธะ เป็นพุทธะ ท่องเอาไว้ ไม่ลืมพุทธโอวาทย่อมสำเร็จพุทธะ ขอกราบเรียนถามพุทธองค์ว่า สุขาวดีแดนพุทธเกษตร ที่มีทัศนียภาพที่งดงามนี้ สามารถที่จะบรรยายให้มวลมนุษย์ได้ทราบบ้าง จะได้ไหมขอรับ?
    อมิตาภพุทธเจ้า:ที่นี้มิใช่แดนสามัญ ทั้งหมดจดสง่างาม พิสดารสุดพรรณนาได้ อาคารห้องหอล้วนสร้างด้วยแก้วมณีเจ็ดสีความล้ำค่าของทุกสิ่ง ช่างงดงามใสสะอาดและหอมหวนด้วยน้ำคุณธรรมใสสระวิเศษ สามารถชะล้างความสกปรกในจิตได้ ดนตรีสวรรค์บรรเลงขับขานอยู่เสมอโดยมิต้องดีดสีตีเป่า ไม่ร้อนและก็ไม่หนาว อยู่ในสภาพที่เหมาะตลอดกาล เสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารจะเกิดขึ้นเมื่อคิดอยาก สัตว์แปลก ๆ ขับขานไพเราะจับจิต บรรยายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลมพัดแผ่วเบา ทำให้ต้นกัลปพฤกษ์และตาข่ายไหวติง เป็นเสียงธรรมที่ละเอียดมหัศจรรย์ยิ่งนัก อายตนะทั้งหกสะอาดหมดจด ไม่มีความทุกข์กังวล จิตปุถุชนไม่เกิดขึ้นอีก ปัญญาเพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น มีอิทธิฤทธิ์ไพศาล ชีวิตยืนยาวไร้กาลเวลา ปราศจากความทุกข์ทั้งมวลมีเต่ความหฤหรรษ์อนันตกาล ยินดีที่จะให้หยางเซิงได้เที่ยวชมแดนศิวิไลซ์นี้
    หยางเซิง :กราบขอบพระคุณที่พระพุทธองค์ทรงชักจูง ชาวโลกคิดที่จะไปสุขาวดีแดนนี้ วันนี้นับว่ามีบุญวาสนาอย่างยิ่ง สมควรที่จะชมทิวทัศน์นี้ จึงจะได้ชื่อว่าไม่เสียเที่ยว
    อมิตาภพุทธเจ้า:สุขาวดีแดนพุทธเกษตรเป็นที่ปรารถนาของชาวโลกทิวทัศน์งามวิจิตรพิศดาร ต่างจากโลกเป็นไหน ๆ หยางเซิงตามอาตมามาเถิด!
    หยางเซิง :ติดตามพระพุทธองค์ไป.....ด้านหน้ามีสระที่กว้างใหญ่ไพศาล ในสระมีปทุมหลากสีขึ้นเต็มไปหมด ช่างงดงามตระการตา ด้านข้างของสระมีแผ่นป้ายเขียนว่า ?สระเจ็ดวิเศษ? รัศมีแวววาวยิ่งนัก
    อมิตาภพุทธเจ้า:สระนี้คือ ?สระเจ็ดวิเศษ? น้ำนี้คือ ?น้ำคุณธรรมแปด? พื้นสระเป็นทรายทองคำ ?น้ำในสระเป็นน้ำเป็น? ใช้ได้สารพัดทุกอย่าง
    หยางเซิง :ทำไมจึงเรียกว่า ?น้ำคุณธรรมแปด? และใช้อะไรได้บ้าง?
    อมิตาภพุทธเจ้า: ?น้ำเป็น? หรืออีกนัยหนึ่งคือ ?น้ำพุทธมนต์? หรือ ?น้ำคุณธรรมแปด? การเปลี่ยนแปลงของน้ำได้หลายรูปแบบ มนุษย์ต้องการเกิดในดินแดนบริสุทธิ์ ต้องผ่านการชำระล้างด้วยน้ำคุณธรรมแปดก่อน ใช้ดื่มกินด้วย จึงจะสะอาดหมดจด ชาวโลกหากสามารถฝึกคุณธรรมแปดได้ ก็จะสามารถไปสู่ดินแดนบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องผ่านการชำระล้างและฝึกฝนคุณธรรมแปด
    น้ำคุณธรรมแปด คือ....

    1. แจ่มใส พื้นจิตของมนุษย์แจ่มใสสะอาดบริสุทธิ์ โดยปราศจากสิ่งโสโครกที่ทำให้ขุ่นครัก
    2. ใสเย็น จิตมนุษย์ต้องใสเย็น โดยปราศจากธาตุแห่งความขุ่นข้องหมองใจ
    3. งามหวาน จิตมนุษย์ต้องมีความงดงาม และมีความอ่อนหวานเหมือนน้ำที่หวานชื่นน่าดื่ม เพื่อที่จะได้โปรดผู้มีบุญวาสนาได้
    4. อ่อนโยน จิตมนุษย์ต้องเบาสบายและอ่อนโยนละมุนละไมอย่าแข็งกระด้าง เหมือนน้ำที่เบานุ่มจึงสามารถไหลขึ้นได้ไม่เหมือนน้ำในโลกมนุษย์ที่หนักจึงไหลลง
    5. ชุ่มชื้น จิตมนุษย์จะต้องไม่แห้งแล้ง ต้องทำบุญทำทานให้มาก ๆ เหมือนน้ำที่ทำให้สรรพสิ่งชุ่มชื้นได้
    6. สงบ จิตมนุษย์ต้องเงียบและอารมณ์สงบ เหมือนน้ำที่ไม่มีคลื่นลม ผู้ที่จุ่มแช่ในนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคลื่นซัดไปที่อื่น
    7. คลายกังวล จิตมนุษย์ต้องปราศจากความกังวล เหมือนน้ำนี้ที่ดับความกระหาย แล้วยังสามารถแก้ความหิวได้ด้วย
    8. เพิ่มคุณ จิตมนุษย์ต้องเรียนเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญาเพื่อคุณประโยชน์ในาการบรรลุธรรม
    ดังนั้นการใช้น้ำนี้ดื่มกิน ชำระล้างร่างกายสะอาดหมดจดปัญญาเพิ่มพูนสูงสง่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แดนสุขาวดีมีน้ำคุณธรรมแปด ที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ชาวโลกหากสามารถฝึกฝนคุณธรรมแปดประการนี้ แล้วสวดท่องนามของอาตมาย่อมมีส่วนในดินแดนบริสุทธิ์โดยมิต้องผ่าน ?สระน้ำคุณธรรมแปด? เพื่อชำระล้าง สำหรับผู้ที่มีบาปเวรมาด้วย ต้องได้รับการฝึกฝนจากน้ำมนต์นี้ จึงสามารถผ่านด่านนี้ได้ ท่านหยางเซิงจะยินดีลงไปชำระล้างบ้างไหม
    หยางเซิง :ขณะนี้มีคนไม่น้อยกำลังชำระล้างอยู่ในสระนี้ และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กระผมมิกล้าลงไป
    อมิตาภพุทธเจ้า:มิต้องเกรงใจ น้ำคุณธรรมแปดเป็นน้ำมนต์ที่ชำระล้างบาปเวร มีโอกาสดีอย่างนี้ ไม่ควรพลาดโอกาส
    หยางเซิง :หากเป็นเช่นนี้ กระผมจะลงไป...โอ้โฮ เย็นสบายดั่งน้ำตก พอแช่อยู่รู้สึกว่าน้ำหนักของร่างกายลดลงไป เหมือนคล้ายกับนกน้อยที่บินอยู่ในนภากาศ ยิ่งต้องกับลมแห่งฤดูใบไม้ผลิด้วยแล้ว เย็นซ่าไปทั่วกาย
    อมิตาภพุทธเจ้า:เธอน่าจะลองดื่มสัก 2-3 คำ ย่อมมีความรู้สึกแปลกประปลาด!
    หยางเซิง :แม้ผ่านการอาบชำระ แต่น้ำใสสะอาด ลองดื่มสักคำสองคำก็ดี! พอดื่มแล้วท้องไส้เย็นเหมือนน้ำแข็ง ภายในร่างกายดูเหมือนจะมีลมปราณไหลออกมาข้างนอก ลักษณะเหมือนกำลังจะเหาะขึ้นปานนั้น เบาหวิว
    อมิตาภพุทธเจ้า:ใกล้จะลอยขึ้นแล้ว เหมือนเครื่องบินไอพ่นกำลังขับดันไอออกเพื่อทะยานขึ้นสู่ฟ้า ชาวโลกหากสามารถฝึกคุณธรรมแปดประการได้ในยามปกติแล้ว ย่อมมีความรู้สึกเหมือนในขณะนี้ การกลับไปสู่ดินแดนบริสุทธิ์ก็ไม่ใช่ของยากเชื่อมั่นในพระพุทธโดยไม่เสื่อมถอย แม้มีบาปเวรก็ต้องผ่านการชำระล้างที่นี่ การอยู่ที่นี่ก็เป็นการฝึกฝนชนิดหนึ่งพวกที่มีบาปเวรหนัก พอลงแช่น้ำจะมีอาการคล้ายถูกถลกหนังเริ่มแรกจะเกิดการเจ็บปวดทรมาน แล้วค่อย ๆ ดีขึ้น จนถึงขั้นลอกคราบถอดกระดูก จึงสามารถไปเสวยสุขในดินแดนบริสุทธิ์ได้
    หยางเซิง :ในสระมีบัวห้าสีหลากหลาย แลดูงามสะพรั่ง ทำไมผู้ที่แช่ฝึกฝนในน้ำนั้น จึงมีบัวหลากหลายอยู่รอบ ๆ จำนวนไม่เท่ากัน
    อมิตาภพุทธเจ้า:?สวดมนต์คำหนึ่ง เกิดบัวช่อหนึ่ง? มนุษย์สวดมนต์ต้องมีพลัง (วิญญาณธาตุ) ออกจากปาก น้ำลาย (น้ำมนต์) ก็จะกลายเป็นบัวช่อหนึ่ง เพราะฉะนั้น น้ำคุณธรรมก็เป็นน้ำลาย (น้ำมนต์) ที่สะสมของผู้สวดมนต์ ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของพุทธะ เมื่อสวดมนต์มากดอกบัวจึงมีมาก ผู้ที่สวดมนต์จนสำเร็จจะได้นั่งบนดอกบัว เมื่อลมปราณเคลื่อนก็จะลอบขึ้นสู่ดินแดนบิสุทธิ์ พวกเขามีเวลาฝึกฝนอยู่ที่นี่ไม่เหมือนกัน บ้างครึ่งปี บ้างหนึ่งปี......แล้วแต่บาปเวรหนักเบา เหมือนกับเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลน ถ้าเปื้อนมากก็ใช้เวลานาน
    เมื่ออยู่ในสระ ครั้งแรกต้องมีการเจ็บปวด (ละทุกข์) จนกระทั่งสบายในที่สุด จนกระทั่งบาปเวรหมดสะอาดหมดจดร่างกายจะเบาแล้วลอยขึ้น จึงขึ้นนั่งบนดอกบัว ได้เสวยสุขในดินแดนบริสุทธิ์ ดังนั้นที่นี่จึงเรียกว่าแดนธรรมะบริสุทธิ์ วันนี้ท่านหยางเซิงได้รับคำสั่งให้แต่งหนังสือ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์อาตมาจึงแสดงความจริงนี้ให้ปรากฏ ขอให้เหล่าสาวกที่ท่องสวดพระอภิธรรม ควรเข้าใจถึงความมุ่งหมายอันแท้จริงของ ?ดินแดนบริสุทธิ์? นี้ด้วย
    อรหันต์จี้กง :จิตสะอาดก็คือ วิสุทธิภูมิ! ขอให้ชาวโลกเริ่มฝึกฝนจาก พื้นจิต ปัดกวาดให้สะอาด อย่าให้มีฝุ่นละอองแล้วบ้านตนเองก็จะเป็นวิสุทธิภูมิ แล้วเหตุไฉนจึงต้องไปแดนสุขาวดีที่ไกลโพ้นนั้นเล่า?
    ?สวดพุทธมนต์ ฝึกธรรมะ? ก็สำเร็จพุทธะ เหล่าสาวกควรเข้าใจด้วย วันนี้ได้ฟังพุทธโอวาท มีคุณประโยชน์มาก ต้องขอลาไปก่อน หยางเซิงขึ้นมาเถิด
    หยางเซิง :กราบขอบพระคุณ พระพุทธองค์ ที่ให้ ?น้ำคุณธรรมแปด? ร่างกายสะอาดหมดจด มีคุณประโยชน์มหาศาล ขอกราบนมัสการลาไปก่อน
    อมิตาภพุทธเจ้า:วิสุทธิภูมิอยู่ข้างหน้า ขอให้ชาวโลกจงอย่าหลงทิศทาง

    ขอบคุณ glujppbo แห่ง http://community.buddhayan.com/index.php?topic=161.0;prev_next=next#new
     
  13. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,012
    ที่จริงมันมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ท่องแดนสุขาวดี ของท่านพุทธควงจิ้งว่างๆก็ลองอ่านดูนะครับ
    http://thai.mindcyber.com/anut/sukavadee/index.php

    นำ มอ ออ นี ถ่อ ฮุก
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบไหว้
    พระอมิตาภพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2007
  14. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    621
    ค่าพลัง:
    +2,268
    นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
    นะโม มหาโพธิสัตโต
    นะโม มหาโพธิสัตโต
    นะโม มหาโพธิสัตโต.

    กราบ กราบ กราบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...