ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เอาเรื่อง"สติ" มาฝากค่ะ

    สติมีหลายระดับ

    สติสัมปชัญญะก่อให้เกิดสติปัฏฐานสี่
    สติปัฏฐานสี่ ก่อให้เกิดสติสัมโพชฌงค์

    สติสัมโพชฌงค์เป็นสติที่เป็นเอง เป็นปรมัตถ์ล้วนๆ แต่สติปัฏฐานสี่ เราต้องคอยฝึกซ้อม คอยระมัดระวัง มันยังไม่เป็นเอง ยังปนกันระหว่างสมมติกับปรมัตถ์อยู่

    สติสัมโพชฌงค์ที่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดวิริยะสัมโพชฌงค์ แม้ว่าเป็นสติที่เป็นเอง แต่ก็ยังต้องมีวิริยะ เพราะมันยังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พระโสดาบันมีสติสัมโพชฌงค์เพียง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ พระสกิทาคามี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พระอนาคามี ๘๐ เปอร์เซ็นต์ พระอรหันต์มี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จึงต้องเอาวิริยะมาเป็นตัวช่วยพัฒนา

    วิริยะสัมโพชฌงค์กับสัมมาวายามะเป็นอันเดียวกัน (วิริยะสัมโพชฌงค์ที่ไปถึงจุดหมาย ก็จะกลายเป็นสัมมาวายามะ) วิริยะสัมโพชฌงค์ยังไม่สมบูรณ์ แต่สัมมาวายามะสมบูรณ์แล้ว แต่ทำหน้าที่ ๔ อย่างเหมือนกันคือ

    ๑. สังวรปธาน คอยระมัดระวังสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาไม่ให้เกิด แต่ถ้ามันยังเกิด…
    ๒. ปหารปธาน ปรับเปลี่ยนออกไป ถ้ายังไม่ออก…
    ๓. ภาวนาปธาน เพิ่มกำลังสติ
    ๔. อนุรักขณาปธาน รักษากำลังสติ
     
  2. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ปีติแบบสมถะ ต่างกับ ปีติแบบวิปัสสนา

    เมื่อวิริยะสัมโพชฌงค์สมบูรณ์แล้ว ตัวนิวรณ์ก็หมดไป เพราะกำลังของสติมากขึ้นก็จะรู้สึกเบา บางคนมีปีติมากน้ำหูน้ำตาไหล ร้องไห้หัวเราะ แต่บางคนก็ปกติ ปีติที่แรงผิดปกติ เป็นปีติของสมถะ ซึ่งเป็นปีติขององค์ฌาณ เพราะอารมณ์สมถะมันค้างอยู่เยอะ

    แต่ถ้าเป็นปีติของวิปัสสนา มันจะเบา โปร่ง สบาย เฉยๆ เหมือนนั่งลมพัดเย็นๆ ไม่โครมครามเหมือนฝนตกฟ้าร้อง

    เมื่อปีติสัมโพชฌงค์หรือปีติของวิปัสสนา สงบลงก็เกิดปัสสัทธิ ต่อมาจิตก็ตั้งมั่นเป็นสมาธิ อะไรมากระทบก็เฉย แต่ถ้าเวลาผ่านไป อารมณ์ปีติ ปัสสัทธิหมดก็เกิดความโกรธได้เหมือนเดิม แต่ถ้าขยันปฏิบัติต่อเนื่องก็จะยังรักษาไว้ได้ เมื่อสติหลุดก็รู้เท่าทันได้เร็ว

    ตามตำราว่าสัมโพชฌงค์
    ต้องเห็นสี่รอบถึงจะหมด
    สัมโพชฌงค์ของพระโสดาบัน
    สัมโพชฌงค์ของพระสกิทาคามี
    สัมโพชฌงค์ของพระอนาคามี
    สัมโพชฌงค์ของพระอรหันต์
     
  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    จากสติสู่วิปัสสนาญาณ

    เราจะตามรู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยสติ สติมีหลายชั้น ชั้นศีล ชั้นสมาธิ ชั้นปัญญา พัฒนามาจากสติตัวเดียวจนเป็นวิปัสสนาญาณ 16 ที่เราทำเยอะๆ เพื่อที่จะพัฒนากำลังของสติให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากสติ เป็นสัมปชัญญะ เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นไปตามลำดับ จนพัฒนาเป็นวิปัสสนาญาณก็จะรู้เท่าทันไวขึ้น

    ถ้าอยู่ในระดับสัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา ก็ทันบ้างไม่ทันบ้าง ถ้าอยู่ในระดับสติ ใน 10 เรื่อง อาจจะทันแค่ 3 เรื่อง พอมีสัมปชัญญะอาจจะทัน 4 เรื่อง มีสมาธิอาจจะทัน 5 เรื่อง มีปัญญาอาจจะรู้ได้ 6 เรื่อง

    แต่ถ้าเป็นญาณ หรือวิปัสสนาญาณ 10 เรื่องก็ทันทั้ง 10 เรื่อง แต่ตัดขาดหรือไม่ขาดก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจะตัดขาดได้ต้องอาศัยวิปัสสนาญาณที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
     
  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สติสัญชาตญาณ-สติปัญญาญาน
    สติสัมปชัญญะตามสัญชาตญาณ จะใส่ใจในสิ่งรอบตัวและสิ่งกำลังมากระทบตัว แต่สติสัมปชัญญะที่เป็นวิปัสสนา จะใส่ใจในสิ่งที่ปรากฎในตัว ตรงนี้แยกให้ชัดนะ

    เพราะสติสัมปชัญญะที่เป็นวิปัสสนานี้ จะทำให้เราเห็นรูปนาม แต่สติสัญชาตญาณจะทำให้รู้ว่ารอบๆ ตัว อะไรกำลังเกิดขึ้น เราก็ใช้สติได้ 2 ระดับ

    ระดับสมมุติ หรือระดับสัญชาตญาณ
    ระดับปรมัตถ์ หรือระดับปัญญาญาณ

    สติในระดับสัญชาตญาณ หรือสติระดับสัญญานี้ จะใส่ใจสิ่งรอบๆ ตัวเอง ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มันก็จะมีระดับหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้เกิดตลอดเวลา มันเกิดขึ้นบางครั้ง บางเหตุการณ์เท่านั้น

    แต่สติที่เป็นปัญญาญาณ คือ สติสัมปชัญญะที่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นของอาการทางกายตั้งแต่หัวจรดเท้า จะรู้ว่าอาการใดเกิดขึ้นในร่างกาย เราควรเข้าไปจัดการกับมันอย่างไร
     
  5. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สติมีหลายระดับ
    สติเบื้องต้น เราเรียกว่า ศีล
    สติเบื้องกลาง เราเรียกว่า สมาธิ
    สติเบื้องสูง เราเรียกว่า ปัญญา
    สติเบื้องบน เราเรียกว่า ญาณ
    สติเบื้องลึกลงไป เรียกว่า ญาณทัสสนะ
    สติเบื้องลึกสุด เรียกว่า ญาณทัสสนวิมุตติ

    แต่ในนามของสติจะเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ บางคนก็บอกว่าหลวงพ่อสอนแต่เรื่องสติ คุณธรรมพุทธศาสนามีตั้งเยอะแยะ ทำไมหลวงพ่อไม่นำมาสอนบ้าง ผู้เขียนเคยถามหลวงพ่อเทียนเหมือนกันว่า “ทำไมเราใช้คำว่า สติคำนี้คำเดียวละครับหลวงพ่อ ธรรมคำสอนมีตั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่อง”

    หลวงพ่อบอกว่า “พูดเฉพาะสติคำเดียวนี่ ก็ยังปฏิบัติไม่ถูกกันเลยท่านเอ้ย…แล้วถ้าพูดไปเยอะแยะมากมาย เหมือนใบไม้ในป่าทั้งนั้นแหละ แต่ใบไม้ในกำมือนี้เอาให้ได้เสียก่อนก็แล้วกัน”
     
  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เมื่อเราตั้งสติกำหนดรู้ อยู่กับการเคลื่อนไหว มิได้ขาดระยะ จิตเราก็จดจ่ออยู่ในปัจจุบันเป็นเวลานาน ก็เกิดองค์ฌานตามลำดับ เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ฌานย่อมมี เมื่อฌานเกิดบ่อยๆ ปัญญาก็ค่อยเกิดตามมา เกิดองค์ของสัมโพชฌงค์ขึ้นมา เมื่อจิตของเราคลุกคลีแต่ปัจจุบันธรรม ก็เกิดปัญญาเห็นรูปนาม เฝ้าดูรูปนามบ่อยๆ เห็นทุกข์บ่อยเข้า ก็เข้าใจไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง เมื่อเห็นไตรลักษณ์บ่อยครั้ง ก็เข้าใจสมมุติอ้างอิงอาศัยรูป-นามอยู่ เมื่อเห็นสมมุติบัญญัติ จิตก็เบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายบ่อยๆ ก็ปล่อยวาง จิตปล่อยวางบ่อยๆ ก็เข้าใจปรมัตถ์ เมื่อเห็นปรมัตถ์ จิตก็เข้าสู่ภาวะปกติ จิตปกติบ่อยๆ ศีลขันธ์ก็เกิด ศีลขันธ์กำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือ ขจัดราคะ โทสะ โมหะเบื้องต้น เมื่อศีลขันธ์เกิดบ่อยๆ สมาธิขันธ์ก็ปรากฏ จิตตั้งมั่นในรูป-นามบ่อยๆ สติปัฏฐานสี่ก็ค่อยสมบูรณ์ขึ้น สติสมบูรณ์ ปัญญาขันธ์ก็ปรากฏ ปัญญาขันธ์ก็กำจัดกิเลสอย่างละเอียด วิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้นตามลำดับ เมื่อวิปัสสนาญาณตั้งมั่นแล้ว ก็จะทำลายสังโยชน์และอาสวะไปเรื่อยๆ จนหมดไปเรื่อยๆ จนหมดไปๆ ใครสั่งสมปัญญาบารมีมามากก็ทำลายอาสวะได้ไว ใครสั่งสมมาไม่มากก็ทำลายไปเรื่อยๆ เหมือนไฟสุมขอน

    นี่คือขั้นตอนทำให้เกิดวิปัสสนาญาณโดยย่อๆ รายละเอียดต้องไปปฏิบัติเอาเอง เพราะถ้าขืนไปนึกคิดเอาตามที่บอกอาจผิดพลาดได้

    ...พระพุทธยานันทภิกขุ...(หลวงพ่อดิเรก พุทธยานันโท)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ขออนุญาติฝากนิทานกลางวันสักเรื่องครับ

    นิทาน เมื่อรัตนะปรากฎ

    เคยได้ยินมาว่า เมื่ใดที่ถึงยุคของ จักรพรรดิ์ จะมี สิ่งวิเศษ ทั้ง 7 ปรากฎ

    ตอนนี้นิมิตรไปว่า มีรัตนะ 10 ดวง ปรากฎบนฟากฟ้า ไล่ตั้งแต่เชียงรายไปจนปลายด้ามขวาน

    แต่ละดวงมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 48 เมตร แต่ไม่เข้าใจตรงที่มี 1ดวง ไปลอยอยู่ส่วนที่เกินปลายด้ามขวาน

    รัตนะ ปรากฎมาแล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร แม้จะอยู่ในสมาธิ แต่ยังตื่นเต้นได้เลย
     
  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    รอชมค่ะ
     
  9. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ฝากนิทานสักเรื่องครับ

    นิทาน เมื่อสิ่งวิเศษปรากฎ

    นิมิตรไปว่า ตะบองใหญ่มาก ยาวประมาณ 218 กิโลเมตร ปรากฎบนฟากฟ้า ถึง 8 ตะบอง

    อยู่บนเมืองไทย 4 และ ไปอยู่ตามประเทศที่เอาเปรียบเมืองไทยอีก 4 ประเทศ



    แต่ที่ บังคลาเทศ นี่ ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับ สยาม อย่างไร
     
  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เรานะบริกรรมไม่ขึ้นมานานแล้ว
    ถ้าไปกำหนดปุ๊บลงภวังค์หลับทันที
    จิตไม่สนใจว่าฌานอะไร ยังไง
    แต่เวลาวิจยธรรม จิตจะดำเนินเข้าสู่ฌานไปโดยลำดับเอง
    2-3...2-3 อยู่อย่างนี้ ไม่ปล่อยให้ดิ่งเข้า 4
    เพราะจิตกับกายแยกกัน จิตไม่สนว่ากายจะอยู่ในลักษณะไหน
    มันบังคับบัญชาไม่ได้ แต่แทรกได้
    จิตบังคับบัญชาไม่ได้ จึงว่าเป็นอนัตตา
    จิตดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่ถูกสั่งสมลงจิต
    เราเป็นแค่ผู้ดู ผู้เอ๊ะ ผู้อ๊ะ

    บริกรรมไม่ขึ้น เรียกว่าเสื่อมได้มั้ย
    มันแยกแล้วแยกเลย กลับไปรวมอีกไม่ได้
    หมายถึงกายกับจิตแนบกันอีกไม่ได้
    สติเป็นผู้ดู สัมปชัญญะเป็นผู้รู้ จิตเป็นผู้ปล่อยวาง
    สติระลึกขันธ์ห้า
    สัมปชัญญะละบาปอกุศล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ไม่เสื่อมนะ เวลาเกิดวิปัสสนา จะไม่ดิ่ง ไม่นิ่งอยู่แล้ว นอกจากจะเหนื่อยจนหมดแรง

    ถึงจะเข้าไปพักในฌานเอง พอมีแรงก็ถอยออกมาเอง วิปัสสนาต่อ

    แต่เวลาขับรถไม่ควรพิจารณา


    ช่วงนี้เรามาทวน สติ ใหม่ ต้องถอยออกมา อุปจาระเลย เพื่อเก็บรายละเอียดให้มากสุดก่อน

    ถ้ามันเข้าฌานลึกเกิน จะรู้รายละเอียดของอริยาบทได้ไม่ดี มันไม่ค่อยสนใจกาย
     
  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เราไม่ได้นั่งสมาธิมาเป็นปีแล้ว อยู่กับสติอย่างเดียว มีแค่รู้ๆ ไป ครั้งหลังสุดที่นั่งสมาธิ นั่งทีไรตัวแข็งเหมือนท่อนไม้ทุกที ทรงตัวอยู่อย่างนั้น แต่รู้เห็นทุกอย่าง จิตโลดโผนออกไปรู้ ไปเห็น ก็เลยเลิกนั่ง
     
  13. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    การมองคนอื่นดีหมด ก็ดีนะ ดีต่อใจตน
    มันไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่มีอิจฉาริษยา ไม่มีปฏิฆะ พยาปาทะ ไม่มีอุปกิเลส 10 กิเลสตัวอื่นๆ ก็บางเบาลงไป เพียงแค่คิดดี

    คิดดี แผ่สิ่งดีๆ ออกไป เป็นกุศลกลับคืนมา

    ก็ไม่เห็นต้องไปเสียเวลากับการคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย มันไม่ใช่ผลดีต่อมรรคผลเลย

    แค่เบสิคยังทำไม่ได้ ง่ายแค่นี้เอง แล้วจะไปหวังอะไร จริงไหม...ก็สุจริต3 นั่นแหละ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ตรงตามสัมมาธรรม

    เราทำดีไม่ได้ทำเพื่อคำสรรเสริญ หรือลาภสักการะ
    แต่ทำดีเพื่อสั่งสมลงจิต เป็นเหตุปัจจัยไปสู่มรรคผล ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ผู้อื่นได้รับผลด้วย เพราะคนดีไปที่ไหนก็มีแต่กระแสดีๆ

    ละชั่วได้ ก็เป็นคนดีแล้ว
    ละจากทุจริต 3 ก็เป็นสุจริต 3
    สุจริต 3 ก็คือ ศีล กุศลกรรมบท 10

    (ภาพนี้ถ่ายที่พระอุโบสถ วัดเขาวงถ้ำนารายณ์)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    คืนนี้พระจันทร์สีแดง ไม่มีรัศมีนวลผ่อง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    จิตดวงเดียวนี้แหละที่จะพาไปเกิด เกิดเป็นภพใดชาติใดกำเนิดใดก็ตาม ก็ตัวนี้แหละเป็นตัวการไม่สงสัย เมื่อธรรมชาติที่จะพาให้เกิดได้สิ้นซากลงไปแล้ว เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เท่านั้น ผู้นี้แลเป็นผู้หมดภัย ผู้นี้แลเป็นวิวัฏจักร ไม่เป็นวัฏจักรเหมือนแต่ก่อน กลับมาเป็นวิวัฏจักร หยุดแล้วซึ่งความหมุนเวียน เหลือแต่วิวัฏจักรคือไม่ต้องหมุน ไม่ต้องมีสิ่งใดมายุแหย่ก่อกวน มีแต่ความสุขล้วนๆ ภายในใจ
    .
    ร่างกายจะแตกก็แตกไป เพราะเป็นเหมือนโลกทั่วไป อันนี้เราหยิบยืมสมบัติของโลกมาใช้ จะให้คงเส้นคงวาอยู่ได้อย่างไร ดิน น้ำ ลม ไฟ มาผสมกันเข้ามีจิตเข้าไปยึดครองกลายเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เราก็ยึดถือดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าเป็นเราเป็นตัวของเรา หากเราไม่รอบคอบเมื่อสิ่งนี้วิกลวิการไปเราก็เดือดร้อนเสียใจ เป็นโรคภายในใจขึ้นอีก หนักยิ่งกว่าโรคภายในกายเกิดขึ้นในเบื้องต้นเป็นไหนๆ
    .
    เมื่อรู้แจ้งแทงทะลุสิ่งเหล่านี้แล้ว ถึงกาลจะไปก็ไป เมื่อยังไม่ไปก็เยียวยารับผิดชอบกันไป เมื่อถึงกาลแล้วปล่อยวางลงตามเป็นจริง เพราะตาข่ายคือญาณความรู้แจ้งแทงตลอดนั้น ได้รอบไปหมดแล้วกับสภาพเหล่านี้ จะตายเมื่อไรก็ตายได้ไม่เสียดาย จะยังอยู่ก็ไม่เป็นกังวลยึดถือสิ่งใด
    .
    ความตายก็ดี ความยังมีชีวิตอยู่ก็ดีของพระขีณาสพทั้งหลายผู้สิ้นกิเลสแล้ว จึงมีน้ำหนักเท่ากัน ตายไปท่านก็ไม่ได้มีข้อหนักใจ จะยังอยู่ท่านก็ไม่มีข้อหนักใจ เพราะตายไปก็ไม่มีอะไรเสีย ความบริสุทธิ์ของท่านไม่ใช่ความตาย เรื่องความตายความสลายเป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ต่างหาก จิตที่บริสุทธิ์เป็นจิตที่นอกจากขันธ์แล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียกันอีก ท่านจะไปเสียใจกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไรกัน ท่านจึงไม่เสียใจ มีชีวิตอยู่ท่านก็ไม่หวังเอาอะไรเพิ่มอีกจากธาตุขันธ์นั้น ให้ยิ่งไปกว่าความบริสุทธิ์นั้น
    .
    เพราะฉะนั้น ความเป็นอยู่กับความตายไปของพระอรหันต์ ถ้าไม่แยกแยะออกไปสู่ประโยชน์ของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ท่านมีน้ำหนักเท่ากัน ถ้าแยกแยะความเป็นอยู่เพื่อประโยชน์ประชาชนนั้น ความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่า คือท่านมีชีวิต ความเป็นอยู่นานเพียงไร โลกก็ได้รับผลประโยชน์จากท่านด้วยการแนะนำสั่งสอน เขากราบไหว้บูชาทำบุญให้ทาน เขาก็ได้รับผลประโยชน์จากเนื้อนาบุญอันวิเศษวิโสจากท่าน ท่านจึงถือว่า การยังมีชีวิตอยู่มีน้ำหนักมากกว่าการตายไปเสีย ทั้งนี้ท่านเพื่อประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อท่าน ตายไปก็คือธาตุ สลายไปก็คือธาตุ ยังมีชีวิตอยู่นี้ก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ ใจก็คือใจที่บริสุทธิ์รู้รอบขอบชิดแล้ว ไม่ยึดไม่ถือ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นไม่มี จึงเป็นเหมือนกับตายหรือไม่ตายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

    ..........................................................................

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จันทบุรี เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๓ "จิตตภาวนาเป็นมหากุศล"

    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ผลแห่งการกระทำใน "อามิสบูชา"
    และ "ปฏิบัติบูชา" นี่แหละ
    ที่จะทำให้เรา "มาเกิดอีก" ก็ได้
    และทำให้เรา "ไม่มาเกิดอีก" ก็ได้
    แต่ผิดกันอยู่นิดเดียวเท่านั้น
    ที่เราจะ "ต้องการให้มาเกิด"
    หรือ "ไม่ต้องการให้มาเกิด"
    .
    ถ้าเราทำ "เหตุยาว" ผลที่ได้รับก็ยาว
    ถ้าเราทำ "เหตุสั้น" ผลที่ได้รับก็สั้น
    .
    "ผลยาว" คือ การก่อชาติก่อภพไม่มีที่สิ้นสุด
    ได้แก่ดวงจิตที่มิได้ขัดเกลากิเลส
    มีตัณหาอุปาทานความยึดถือ
    เข้าไปติดอยู่ในความดี-ความชั่วแห่งการกระทำ
    ของบุคคลและวัตถุสิ่งของต่างๆที่มีอยู่ในโลก
    อย่างนี้เมื่อตายไปแล้วก็จะต้องกลับมาเกิดในโลกอีก
    .
    การทำ "เหตุสั้น" คือ การตัดชาติทำลายภพ
    ไม่สร้างขึ้นอีก ได้แก่ จิตที่มีการขัดเกลา
    ชำระกิเลสอันเกิดขึ้นในตนเอง หมั่นตรวจตราโทษ
    และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
    .
    ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
    พระสังฆคุณ เป็นอารมณ์
    และกัมมัฏฐาน ๔๐ ห้องตามที่ท่านกำหนดไว้
    ทำความรู้เท่าทันในสังขารที่เป็นไปตามสภาพธรรม
    คือ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมสลายไป
    .
    ระลึกสั้นๆแค่ตัวของเรา
    ร่างกายของเราแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
    ไม่ให้เข้าไปยึดถืออยู่ใน
    การกระทำดีกระทำชั่วของบุคคล
    และวัตถุสิ่งของใดๆ ทั้งหมดในโลก
    .
    หาสถานที่ตั้งของดวงจิตให้มั่นคง
    แน่วแน่อยู่ภายในตัวของเราเองแห่งเดียว
    และไม่ยึดถือแม้แต่ร่างกายของเราด้วย
    เช่นนี้เมื่อเราตายไปก็จักไม่ต้องเวียน
    กลับมาเกิดในโลกอีก
    .
    คัดลอกจาก
    หนังสือแนวทางปฏิบัติ วิปัสสนา-กัมมัฏฐาน
    เล่ม ๒(๓๘-๓๙)
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ใครทำดีก็ได้ดี
    ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว
    อยากมีเงินต้องทำงาน
    อยากมีทรัพย์ต้องสะสม
    ไม่อยากโง่ต้องฝึกตน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เรื่องจิต เราดู รู้ เฉย แค่นั้น ไม่ได้ไปทำอะไรเลย
    ส่วนเรื่องกายเนี่ย ต้องใช้สังขาร สัญญา ในการทำกิจการงานอยู่ เพราะสมองเป็นส่วนบังคับบัญชาร่างกาย

    ยืน เดิน นั่ง นอน ลุก ขีดเขียน พูดจา...ฯลฯ ล้วนมาจากสมองสั่งการ ถ้าสมองไม่สั่ง วิญญานไม่แล่น เวทนาไม่มี กายก็ไม่ขยับ

    ผัสสะมีตลอดทั้งรู้ตัว ไม่รู้ตัว

    ต้องสร้างสมดุลธาตุภายใน
    น้ำกับดินเกิน ไขมันก็อุดตันเส้นเลือด
    เส้นเลือดตีบตัน ลมก็นำอ๊อกซิเยนไปฟอกเลือด สูบฉีดเลือดได้ไม่เพียงพอ ต้องรู้ความสัมพันธ์ของธาตุ4 กับขันธ์5

    ถ้าตามลมเข้าไปดูกาย จะรู้เห็นกลไกร่างกายได้อย่างละเอียดละออ โดยไม่ต้องเรียนแพทย์ ระบบของร่างกายดำเนินไปได้ด้วยเลือดกับลม เลือดมีธาตุครบทั้ง4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เลือดลมสมดุลดี สุขภาพก็แข็งแรง อาหาร อากาศ สุขอนามัย ที่อยู่อาศัย อารมณ์ มีผลต่อเลือดลม

    มีร่างกายไว้ใช้ทำกิจการงาน อยู่กับร่างกาย แต่ไม่รู้จักร่างกายตน อายเค้าแย่เลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ตื่นเช้ามาอาบน้ำ สระผม ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว ชงกาแฟ...จิบกาแฟ ท่องเน็ต เสพข้อมูล บันเทิงใจ บริหารสมอง

    ใช้งานสมอง ใช้งานอายตนะ เพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์

    บำรุงร่างกายด้วยอาหารหลัก 5 หมู่
    บำรุงจิตใจด้วยความเบิกบานทางอารมณ์
    การพักผ่อนที่ดี นอกจากการนอนหลับแล้ว
    ยังพักผ่อนได้จากจิตใจที่มีความสุข สงบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ทำไมหลวงปู่เสาร์สอนภาวนาพุทโธ

    เพราะพุทโธเป็นกริยาของใจ
    หลวงพ่อ (พุธ ฐานิโย) เลยเคยแอบถามท่านว่าทำไมจึงต้องภาวนา พุทโธ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ – พาน – สระ – อุ – ท – ทหาร สะกด โอ ตัว ธ – ธง อ่านว่า พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน พอหลังจากคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมีปีติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิตมันใกล้กับความจริง แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆ ๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธนั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนี้ เราก็ต้องท่อง พุทโธๆ ๆ ๆ เหมือนกับว่าเราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขาหรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้เมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา
     

แชร์หน้านี้

Loading...