ข้างเมรุลอย

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ผี!!, 6 มกราคม 2008.

  1. ผี!!

    ผี!! Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +27
    ข้างเมรุลอย

    ขนหัวลุก

    ใบหนาด



    "แสนคม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากที่ราบสูง

    คนกรุงเทพฯ ส่วนมากชอบกล่าวหาว่า คนบ้านนอกโง่เง่า เปิ่น เชย อย่างที่เคยมีสำนวนสมัยก่อนว่า "เปิ่นเทิ่นมันเทศ" อันหมายถึง "บ้านนอกขอกตื้อสะดือจุ่น" ไม่เฉลียวฉลาดหรือคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนคนกรุงเทพฯ

    หนักกว่านั้น ก็คือหาว่าคนบ้านนอกงมงาย นับถือบูชาสิ่งไร้สาระ เช่น ทุ่งนาป่าเขา ต้นไม้ แม่น้ำ กับเชื่อมั่นในเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีอยู่จริงๆ แถบบันดาลโชคเคราะห์ต่างๆ ให้ได้อีกต่างหาก

    เรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกก็คือ...คนกรุงเทพฯ ที่ว่าน่ะส่วนหนึ่งมีพื้นฐานดั้งเดิมอยู่ที่ต่างจังหวัดแท้ๆ

    ผมเป็นคนบ้านนอกที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ จบแล้วก็ทำงานอยู่ที่นี่แหละ แต่ไม่ลืมบ้านเกิดเหมือนพี่น้องหมู่เฮาคนอื่นๆ ตรุษทีสงกรานต์ทีได้พักยาวก็แห่กันกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ พี่น้อง ได้เห็นหน้ากันก็ดีอกดีใจ สนุกสนานกันในหมู่ญาติมิตร...จนกว่าจะหมดเวลา ต้องกลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ต่อไป

    พวกผมเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ครับ!

    ภาคอีสานหน้าหนาวน่ะมันหนาวจริงๆ ใครไม่เคยอยู่ตามหมู่บ้านชนบทอย่างผมน่ะไม่รู้หรอก ยิ่งตอนกลางคืนลมหนาวมันกรูเกรียวมาจากป่าเขา ซอกซอนเข้ามาตามร่องเล็กรูน้อยของฝาบ้าน เหมือนจะล่อนกระดูกออกมานอกเนื้อ หลายๆ บ้านต้องลงมาก่อไฟกันที่ลานหน้าบ้านตั้งแต่ตกเย็นก็มี

    ไม่มีหนังมีละคร ไม่มีบาร์คาราโอเกะ อย่างดีก็วิทยุหรือทีวีเก่าๆ พอแก้เซ็ง แต่ถ้าหนาวนักก็ทิ้งมันลงมาหากองไฟดีกว่า

    หนาวจนแข็งตายก็มีนะครับ อย่าทำล้อเล่นกับความทุกข์ของคนไกลกรุงไปเชียว

    พวกคนแก่กับเด็กๆ มักจะตกเป็นเหยื่อ เพราะร่างกายอ่อนแอ...อ้าว? ใครถามถึงผ้าห่มกันหนาวขึ้นมา แถมบ่นว่าทำไมต้องแจกกันทุกปี หนาวทีแจกที! ที่แจกเมื่อปีกลายปีก่อนหายไปไหนหมด? กินผ้าห่มต่างข้าวรึไง?

    บาปปาก! อย่าลืมว่าเมื่อหนาวมากกว่าภาคกลาง ก็ต้องอาศัยผ้าห่มแก้หนาว บางบ้านน่ะทั้งพ่อแม่กับลูกๆ ต้องเข้าไปขดงอก่ออยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน คนนั้นดึงทีคนนี้ดึงที จะไม่ให้ผ้าห่มเปื่อยขาดเร็วกว่าพวกท่านๆ ที่นอนหลับอุตุอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำได้ยังไง?

    ได้รับแจกบ้านละผืนมาห่มได้ทั้งปีก็บุญกุศลเหลือหลายแล้วละครับ

    เพราะอากาศหนาวมาก กับผ้าห่มมีน้อยนี่เอง ที่ทำให้ผมต้องประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

    เมื่อต้นปี 2550 นี้เอง ลมหนาวโหมกระหน่ำหนักกว่าตอนเดือนธันวาคมด้วยซ้ำ ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเทศกาลปีใหม่ กะว่าจะกลับอยู่แล้วเชียว พอดีได้ข่าวว่าเจ้าขาบ-ลูกชายป้าคำหนาวตายอยู่ข้างๆ กองไฟหน้าบ้านนั่นเอง

    ป้าคำอายุต้น 40 แต่หน้าตาเหมือนคนใกล้จะ 60 ปี ผัวแกไปรับจ้างทำงานที่โคราชแล้วพลัดตกจากรถกระบะขนสินค้าลงมาตาย...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ "ตายในหน้าที่" แต่บ้านเมืองเราไม่ค่อยสนใจไยดีเรื่องพวกนี้หรอกครับ ยิ่งไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำ ไม่มีประกันสังคม ก็อย่างที่เขาพูดๆ กันน่ะแหละ

    "คนจนตายไปคนก็เหมือนตายไปตัวหนึ่ง ใครเขาจะสนใจล่ะ?"

    เถ้าแก่ใจดีมาก เพราะมอบเงินทำศพให้ป้าคำมาตั้งหนึ่งหมื่นบาท ผู้คนสรรเสริญเยินยอกันทั้งนั้น...แถมออกเงินค่าขนศพกลับไปเผาที่บ้านเกิดอีกต่างหาก ป้าคำก็ได้อาศัยเงินก้อนนั้นใช้หนี้เขากับเลี้ยงดูเจ้าขาบ-ลูกชายคนเดียววัย 4-5 ขวบมาได้เกือบปี

    เงินทองใกล้จะหมด ป้าคำเที่ยวหารับจ้างใครก็ไม่ค่อยได้ เพื่อนบ้านส่วนมากก็ชักหน้าไม่ถึงหลังกันทั้งนั้น...ทั้งบ้านมีผ้าห่มผืนเดียว สองแม่ลูกสู้ลมหนาวไม่ไหว ต้องลงมาก่อไฟผิงกันหน้ากระต๊อบ

    คืนเกิดเหตุ พวกเราที่มาจากกรุงเทพฯ เอาอาหารกับขนมไปให้สองแม่ลูก บางคนก็ควักให้คนละร้อยครึ่งร้อย บ้านไหนมีเสื้อผ้าเก่าๆ ก็แบ่งปันกันไป เจ้าขาบได้เสื้อยืดสีแดงปกปิดหน้าอกผอมกงโก้...แต่ตกกลางคืนก็สู้หนาวไม่ไหว ต้องลงมาผิงไฟกันตามเคย

    รุ่งเช้า ป้าคำพบว่าลูกชายนอนตัวแข็งทื่อที่อยู่ในอ้อมอกแกเสียแล้ว!

    แกคงร้องไห้มาตั้งแต่ผัวตายจนหมดแรง ได้แต่กอดศพลูกน้ำตาไหลรินเงียบๆ จนหลายคนเบือนหน้าหนี แว่วเสียงเครือพร่าปนสะอื้น...อยู่กับแม่นะขาบเอ๊ย! มาหาแม่มา...ฟังแล้วเล่นเอาขนหัวลุกไปตามๆ กัน

    กระทั่งเพื่อนบ้านช่วยกันหาโลงมาใส่ศพป้องกันอุจาด กับนิมนต์พระมาสวดศพให้เจ้าขาบไปสู่สุคติ...แล้วออกไปที่ลานโล่งหลังโบสถ์ใกล้ป่าละเมาะ ช่วยกันขนฟืนมาก่อเมรุลอยเพื่อเผาศพเด็กน้อยตามมีตามเกิด

    เปลวไฟโชติช่วงร้อนแรง ควันสีเทาลอยโขมงก่อนโดนสายลมแรงจนหมุนวน...กระจัดกระจายไปในท้องฟ้ามัวครึ้ม เช่นเดียวกับชาวบ้านก็ทยอยกันกลับ แม่ผมไปฉุดป้าคำที่นั่งเหม่ออยู่กับพื้นดิน แกก็ลุกขึ้นมาอย่างงุนงง มีญาติ 2-3 คนช่วยประคองออกเดินเลาะข้างโบสถ์เพื่อกลับบ้าน

    ทันใดนั้นเอง ป้าคำก็หันขวับ...พวกเราหันตามเพราะรู้ดีว่าแกยังอาลัยอาวรณ์ลูกชายที่กำลังจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เห็นป้าคำเบิกตา ยิ้มแป้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจ้าขาบตาย!

    "มาหาแม่มา...ขาบเอ๊ย! กลับบ้านกันเถอะลูก...โธ่! แม่นึกว่าเอ็งจะปล่อยให้แม่กลับบ้านคนเดียวซะแล้วซี"

    เสียงพูด เสียงหัวเราะเริงร่าของป้าคำดังบาดลึกไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน...แถมขนลุกเกรียวกราวไปทั้งตัว!


    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNUzB3Tnc9PQ==
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  2. สี่จุด

    สี่จุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    705
    ค่าพลัง:
    +3,658
    น่าสงสารมากๆเลย หมั่นทำบุญกุศลกันมากๆหน่อย ช่วยๆกันคนละไม้ละมือ คนไทยด้วยกัน
     
  3. ตำสั่วปู ปลาร้า

    ตำสั่วปู ปลาร้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +462
    [​IMG]





    [​IMG]
     
  4. lunasea

    lunasea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +433
    ให้ข้อคิด เตือนใจเรื่องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันดีครับ แถมเรื่องนี้อ่านแล้วยังขนลุกอีก
     
  5. kitokung

    kitokung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +84
    คนรวยรวยล้นฟ้า คนจนจนติดดิน นี่แหละความเหลื่อมล้ำของสังคม
     
  6. ซุปเปอร์แมน

    ซุปเปอร์แมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +195
    ถ้ารู้จักแบ่งปันกันให้มากกว่าที่เป็นก็คงดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...