วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เป็น "ธรรมดา" ที่เมื่อเราเห็นความตายของคนที่ไกลตัวเราเป็นเรื่อง ที่ไกลตัว จนไม่จับมาพิจารณา


    แต่ครั้นพอเป็นความตายของคนรู้จักบ้าง ญาติบ้าง คนใกล้ชิดบ้างเราก็กลับรู้สึกสะดุ้งสะเทือนในจิตว่า โอ้หนอความตายเข้ามาใกล้แล้ว เราเคยพบเคยเห็นยามเช้า บ่ายก็มาตายจากกันเสียแล้วบ้าง

    เคยเจอกันที่โรงเรียนตอนเย็น พอตอนเช้าได้ข่าวว่าตายแล้วบ้าง

    อายุเพียง 19 ปี ก็ตาย เป็นเด็ก ก็ตาย เป็นผู้ใหญ่ก็ตาย

    แล้วตัวของเราเองเล่า ชีวิตที่ผ่านมาจนบัดนี้ ทำคุณความดีอะไรฝากเอาไว้ในโลกนี้ แผ่นดินนี้และพระศาสนาเพียงใด หรือกอบโกยแต่ประโยชน์สุขของตนเองแต่ฝ่ายเดียว


    ทำกำลังใจพิจารณาเอาไว้ตลอดเวลาว่า หากเราเองต้องตายลงไปในเวลานี้ บัดนี้ เราตั้งจิตเอาไว้ว่าเราจะไปที่ไหน สุขคติ หรือ ทุคติ หรือ เพื่อธรรมอันไม่เกิดอีก

    หากแม้นเรายังมีชีวิตอยู่เราจะทำคุณประโยชน์เพื่อส่วนรวมเอาไว้เป็นสำคัญ มีชีวิตอย่างงดงาม ทรงคุณค่า ตลอดไป
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775

    จะได้มั่นใจครับว่าท่านที่มาเตือน มาสอน เป็นท่านเดียวกัน

    ที่สำคัญก็คือ ท่านอยู่กับเราตลอดเวลา (good)
     
  3. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อ่านข้อความที่ตุ๊กเขียนแล้ว... พี่ตกใจมากเลย...

    ไม่ใช่ตกใจที่ตุ๊กมีความรู้สึกแบบนั้นหรอกนะจ้ะ... แต่ตกใจที่...

    ทำไมถึงได้เกิดอาการแบบเดียวกันได้...

    ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม... จากปกติที่เป็นคนเฉยๆ เรื่อยๆ เย็นๆ... แต่ทำไมพี่เองก็ขาดสติได้โดยยั้งตัวไม่ทันเหมือนกันจ้ะ...

    ผลคือ ต้องมานั่งกลุ้ม หดหู่ น้ำตาตกใน กลายเป็นโรคซึมเศร้า (ข้างใน) ... เพราะรู้ตัวจริงๆ เลยว่า... ทำไมเรามันเลวนักหนาได้ขนาดนี้นะ...
    เที่ยวได้แนะนำคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ว่าต้องปฏิบัติแบบนั้นนะ แบบนี้นะ...
    แต่พอตัวเองบ้าง กลับเลวซะยิ่งกว่าอีก... เพราะออกไปทั้งความคิด การกระทำ และคำพูดเลย...

    จนเกือบอธิษฐานขอถอนตัวจากทีมแล้ว... เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะทำได้...

    แต่ก็พอดีกับที่เจ้าหลานชายป่วย... เลยไม่มีเวลาเข้าเว็บ เข้ากระทู้เท่าไหร่...

    ได้มีเวลามานั่งพิจารณาอะไรต่อมิอะไรไป... เลยสรุปกับตัวเองว่า...

    เอาเถอะ... ไหนๆ ก็อธิษฐานลงมายุคนี้แล้ว... ภัยมันก็ใกล้เต็มที่แล้ว... ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ณ ขณะนี้ที่ยังพอมีโอกาสอยู่... แล้วปรับปรุงตัวเองเสีย อย่าให้เผลอ อย่าให้พลาดต้องมานั่งเสียใจแบบนี้อีก...

    อย่างน้อยถ้าตายขึ้นมา จะได้ไม่เสียชาติเกิด และต้องมานั่งเสียใจไปมากกว่านี้แล้ว...

    เข้าพระนิพพานชาตินี้เลยดีไหม... จะได้ไม่ต้องเกิดอีก ไม่ต้องเลวอีกให้ต้องรังเกียจตัวเองแบบนี้...


    ...ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย และทุกๆ ท่านในเว็บพลังจิตนี้ เพื่อนๆ ทุกคน ... ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษ ยกโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
     
  4. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    เรียนคุณธรและคุณตุ๊ก
    ก่อนอื่นขออนุโมทนาบุญค่ะ

    ส่วนที่สองนั้นไม่ต้องถอนตัวจากทีมหรอกค่ะ
    เรามาพบกัน ได้เกื้อหนุนกันทำความดี ถ้าทำดีมากขึ้นก็คงมีเวลาทำไม่ดีน้อยลง
    เพิ่มดี..คงลดเลวแน่นอน เพราะวันหนึ่งก็มีแค่ ๒๔ ชม.เหมือนๆเดิม

    คิดเสียว่าต่างเป็นแขนงไผ่ผูกรวมๆกัน
    มีพลังมากกว่าแขนงไผ่เดี่ยวๆแน่นอน
    ช่วยเป็นกำลังเสริมให้แขนงอ่อนๆ (อย่างน้องๆ)
    และแขนงด้วงแทะ (อย่างอ.ไก่) อีกด้วย

    ท้อได้แต่ห้ามทิ้งนะคะ
    ถ้าน้ำตาไหล (เพราะปิติหรือเพราะรู้ตัวแล้วจ๋อยก็ดี) ช่างมัน เดี๋ยวก็แห้ง
    แล้วไปทานขนมแก้ช้ำใจห้องคุณตุ๊กนะคะ
     
  5. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    สมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ

    ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาแบบไหน อย่างไร จึงจะเป็นเหตุให้สติสัมปชัญญะเจริญไพบูลย์ ?

    พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้แจ้งเวทนาที่กำลงเกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่กำลังดับไป รู้แจ้งสัญญาที่กำลังเกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งสัญญาที่กำลังดับไป รู้แจ้งวิตกที่กำลังเกิดขึ้น รู้แจ้งวิตกที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่กำลังดับไป

    “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้ ที่บุคคลเจริญพัฒนาแล้วย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ”
    สมาธิสูตร จ. อํ.
     
  6. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    นิพพานธาตุคืออะไร

    ปัญหา นิพพานธาตุอมตธรรมคืออะไร ? ทางไปสู่อมตธรรม คืออะไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัด ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึง อมตภาพ....”
    ภิกขุสูตร ที่ ๒ มหา. สํ. (๓๑-๓๒)
    ตบ. ๑๙ : ๙-๑๐ ตท. ๑๙ : ๘
    ตอ. K.S. ๕ : ๗
     
  7. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +7,749
    ผนเห็นด้วยกับอาจารย์ไก่ครับ แต่อยากจะเสริมนิดนึงว่า

    ตราบใดที่เรายังมองไม่เห็นถึงผลอันไม่โสภาของขันท์ห้า ยังไม่เข้าใจในขันท์ห้าอย่างถ่องแท้ ยังไม่สามารถวางขันท์ห้าลงได้(ไม่ต้องถึงกับตัดขันท์ห้านะครับเพราะเรายังไปไม่ถึงพระนิพพาน) ตาบนั้นเราก็จะต้องประสพเจอกับการกระทำที่ไม่ดีไม่งามของตัวเองอยู่เรื่อยๆ เพราะสติมันไม่สามารถประคองให้ต่อเนื่องได้ถ้าวางขันท์ห้าลงไม่ได้ครับ
     
  8. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ผนเห็นด้วยกับอาจารย์ไก่กับคุณTosครับ อยากเพิ่มข้อมูลนิดนึงเผื่อตรงจริต

    สิ่งที่เกิดผมว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ วิชาในพุทธศาสนาคือการเรียนรู้ตัวเองไงครับ
    เมื่อก่อนที่เราไม่เห็นมัน ก็เพราะเราใช้สมาธิบ่อย ซึ่งเปรียบเสมือนหินทับหญ้า เวลามีปัญหาเราก็เอาสมาธิปิดทับไว้ หันไปจดกับอารมณ์เดียว จึงดูเหมือนว่าเราเป็นคนดี แต่พอวิปัสสนา เป็นการตามรู้กายใจไปตามจริงลงปัจจุบัน เวลาเราเจอปัญหาเดิมขันธ์ต่างๆที่เราสะสมมันก็ทำงานแบบเดิมอย่างที่เราเคยเป็น ช่วงแรกของวิปัสสนานี่แหละลำบากหน่อย
    มันเหมือนเจ้าหนี้มาทวงหนี้ ดินพอกหางหมูไว้เต็ม ต้องกล้าดูกิเลสตัวเอง ไม่หนีเข้าสมาธิ (ถ้ามากไปก็หนีเข้าสมาธิได้นะ แต่อย่าหนีทุกครั้ง ต้องกล้าดูกิเลสมันทำงาน) ช่วงนี้จะเห็นตัวเองทุเรศมากๆ มีแต่กิเลส ใครพูดอะไรกระทบก็เห็นกิเลสตัวเอง เห็นบ่อยๆมันก็ท้อ(โดนมันปรุงอีกรอบว่าให้ท้อ) ดังนั้นต้องกล้าดูมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป วนอยู่แบบนี้แหละครับ ไม่นานหรอก ดินพอกหางหมูมันจะน้อยลง แล้วสติเราจะจัดการข้อมูลทัน คราวนี้แหละสบายเลย เพราะไม่ก่อหนี้เพิ่มแล้ว สุขอยู่กับปัจจุบัน

    คห.จากประสบการณ์อาจไม่ตรงกับท่านอื่นก็ได้นะครับ แต่ยืนยันครับเห็นกิเลสตัวเองนี่แหละถูกทางแล้ว คนอื่นที่ไม่ปฏิบัติธรรมเค้าไม่ค่อยเห็นกันหรอก มีแต่เห็นกิเลสคนอื่น โดนกิเลสตัวเองต้มทุกครั้งเวลาเราทำไม่ดี มันหาข้ออ้างเหตุผลมาสรุปให้เราตลอด ว่าคนนู้นผิดคนนี้ผิด ตัวเราไม่ค่อยจะผิด

    เคยอ่านเจอ "ขยับเดินไปก้าวนึง เราก็ใกล้จุดหมายไปอีกก้าวนึง" ผมเองก็เดินอยู่เหมือนกัน ไปทางสายเดียวกับพุทธบริษัทท่านอื่นที่เดินไว้ ไปในทางสายกลางที่พระองค์ค้นพบและมอบแผนที่ไว้ให้ กระทู้นี้เพื่อนร่วมทางเพียบเลย แต่ละคนต้องผ่านเรื่องราวแบบเดียวกันนี้แหละครับ สู้ๆครับ
     
  9. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ก่อนปฎิบัติธรรมเป็นคนดีแสนดี (เพราะไม่เคยดูกิเลสตัวเอง)
    หลังปฎิบัติธรรมเป็นคนเลวแสนเลว (ดูกิเลสตัวเอง)

    เป็นใช้ได้ ^^
     
  10. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    มาอยู่คอนโดได้สองเดือน คอนโดมีราว ๘๐๐ ยูนิต
    รู้จักยามสามคน เจ้าหน้าที่ ๒ คน คนร้านซักแห้งหนึ่งคน พูดกันแค่ "สวัสดีค่ะ"
    เคยเห็นๆคนในคอนโดวันประชุม เจอกันก็แค่สวัสดี

    ในห้องภัยพิบัตินี้เป็นสังคมอบอุ่น กัลยาณมิตรตรึม
    คุยกันได้หลายหัวข้อกว้างขวาง

    เดี๋ยววันนี้ต้องไปจ่ายค่าโทรศัพท์แล้วค่ะ กลัวถูกตัดขาดจากกัลยาณมิตร

    ช่วยกันหนุน ดัน ลาก เสริม การทำความดีกันต่อๆไปนะคะ

    ขออนุโมทนาบุญกับ คุณหลับตา และคุณ tossapornk ด้วยค่ะ
     
  11. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    ...ไม่เจ็บก็ไม่จำ..............ไม่ชอกช้ำไม่เข้าใจ
    ไม่ทุกข์ไม่ร้องไห้............ไม่เข้านัยได้ลึกซึ้ง
    ...ไม่บาดปวดเจ็บแปลบ....ไม่ซาบแสบได้ถึงครึ่ง
    ไม่เศร้าโศกเครียดขึง.......ไม่ได้ถึงซึ่งเข้าใจ
    ...ต่างคนก็ต่างกาล.........ต่างตำนานดำเนินไป
    ต่างกันเรื่องเล็กใหญ่........ต่างความนัยประสบมา
    ...ต่างคนต่างจดจำ..........ต่างกระทำต่างนำพา
    ต่างคนต่างรู้ว่า................ต่างเวลาก็ต่างไป
    ...เมื่อวานบาดเจ็บแผล....เมื่อย่ำแย่ร่ำร้องไห้
    เมื่อทุกข์มากร่ำกราย.......เมื่อสลายใจไม่เหลือ
    ...เมื่อใจมัวหม่นหมอง.....เมื่อกลัดหนองระบมเชื้อ
    เมื่อดวงใจถูกเถือ...........เมื่อไม่เหลือเลยเมื่อวาน
    ...มาวันนี้ลุกฟื้น.............มาวันตื่นคืนความหวาน
    มาเริงรื่นชื่นบาน.............มาสราญด้วยยินดี
    ...มาหัวเราะกับฟ้า..........มาเริงร่าชีวีนี้
    มายิ้มแย้มไมตรี..............มาโปรยดีแผ่เมตตา
    ...ดีแล้วเพราะเรื่องเก่า.....ดีแล้วเราผ่านมันมา<O:p</O:p
    ดีได้เพราะน้ำตา.............ดีเวลาพาหมุนวน<O:p</O:p
    ...ดีแน่เพราะเรียนรู้.........ดีได้สู้ได้ฝึกฝน
    ดีแท้ล้วนมากล้น............ดีมีคนผ่านเข้ามา
    …อดีตที่ผ่านไป…………..อดีตให้รู้สอนว่า
    อดีตคือตัวยา................และตำราให้เล่าเรียน
    ...วันนี้เวลานี้................วันที่เราผ่านกาลเปลี่ยน
    วันนี้ยังต้องเพียร............เรียนอดีตสู่กาลนี้
    ...อดีตอนาคต...............สร้างให้งดงามทวี
    ต้องสร้างที่วันนี้..............ทำให้ดีคิดให้เลิศ
    ...อดีตที่สวยสด.............อนาคตที่ประเสริฐ
    ต้องสร้างให้บรรเจิด........ทำให้เฉิดฉันท์ด้วยเรา
    ...สองมือเราสร้างได้.......หนึ่งดวงใจรวมกันเข้า
    ตัดทิ้งวางเลือกเอา..........แต่งเติมเนาต่อแนวดี
    ...อยู่ที่เราเลือกทุกข์.......เลือกเสริมสุขอยู่ตรงนี้
    คัดสรรด้วยใจซี..............อดีตมีอนาคต<O:p</O:p
    .....................................ธรรมดา(ฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  12. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    (||)
     
  13. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งนิ่ง เราจะยิ่งมองเห็นการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น
    เห็นจิตคนอื่น จิตสิ่งอื่น รวมถึงเห็นจิตตัวเองแจ่มชัดขึ้น
    <O:p</O:pการเคลื่อนไหวที่แต่ก่อนเราแทบจะมองไม่เห็น มองไม่ออก มองไม่รู้<O:p</O:p
    เรากลับรู้ กลับเห็น เหมือนเป็นภาพ Slow motion<O:p</O:p
    มองเห็น Shot ต่อ Shot มองเห็นรายละเอียดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะมีมากมายขนาดนั้น <O:p</O:p
    ซึ่งแท้จริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป<O:p</O:p
    ล้วนแล้วแต่มีรายละเอียดมากมาย ให้เราได้นำมาใช้ในการทำวิปัสสนา<O:p</O:p
    แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ มานะทิฐิ ในจิตของเราเอง<O:p</O:p
    ยิ่งเราเห็นมาก รู้มาก เรายิ่งต้องระวังให้มาก ต้องละเอียด ต้องประณีตให้มากยิ่งขึ้น<O:p</O:p
    ต้องคอยเตือนตัวเราอยู่เสมอว่าเรายังเลวอยู่มาก ยังไม่ดี ต้องละ ต้องปล่อย ต้องวาง<O:p</O:p
    อย่ามัวแต่ไปมองมานะทิฐิของคนอื่น นั่นแสดงว่าเรานั่นแหละยังเต็มไปด้วยมานะทิฐิ<O:p</O:p
    ...วันนี้ก็เจอกับตัวเองแต่เช้า ที่โต๊ะกินข้าวที่บริษัท มีเก้าอี้เหลือ1 ตัว<O:p</O:p
    ก็เอากล่องข้าวไปวาง บนโต๊ะ แล้วเดินไปหาแก้วน้ำ พอเดินกลับมา<O:p</O:p
    ข้าวบนโต๊ะถูกเลื่อนไป แล้วก็มีคนมานั่งแทน พอเห็น...ใจเราก็ อ๊ะ...สะดุด<O:p</O:p
    แล้วจิตมันก็วิ่งเลย วิ่งปรู๊ดเลยเชียว เอ้ย เอ้ย เอ้ย...รีบเหยียบเบรกเอี๊ยดเลย<O:p</O:p
    มองลงไปในจิตเราก็รู้ว่า จิตเรานี่หนายังเต็มไปด้วยมานะทิฐิ<O:p</O:p
    ต้องละเอียดกว่านี้นะ ต้องประณีตกว่านี้นะ<O:p</O:p
    จิตที่วิ่งไปว่าคนอื่นเค้า ไปตำหนิคนอื่นเค้า นั่นก็เพราะเรามีมานะทิฐินั่นแหละ<O:p</O:p
    วางซะ ปล่อยซะเถอะ พอคิดได้แค่นี้ ก็เลยยิ้มๆ ไปลากเก้าอี้มานั่งกินข้าว<O:p</O:p
    ซึ่งที่ว่างก็ตรงข้ามกับคนคนนั้นนั่นแหละ แต่รู้สึกดีขึ้นมากกว่าตอน อ๊ะ...<O:p</O:p
    แล้วก็ขอขอบคุณเอ้ย...ที่เตือนสติเราได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  14. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    4011.jpg

    ...แม้ยามไร้แสงจากสุริยา
    เจ้าลีลาวดียังเบ่งบาน
    แม้ยามความมืดมิดพ้นผ่าน
    เจ้าลีลาวดียังเบ่งบานรับแสงตะวัน
    ........................ธรรมดา(ฯ)
     
  15. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    167.jpg

    ...พื้นฝ้าฟากเพดานทรุดโทรมเก่า
    กับเงื้อมเงาของการมีชีวิต
    ซากเศษเสี้ยวที่เหลือของผงอิฐ
    คือฉากหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมา
    ...ที่นี่เคยมีความสงบสุข
    และความทุกข์ที่ย่างกรายเข้ามาหา
    แต่มิอาจเรียกหวนให้คืนมา
    เมื่อถึงคราเพลาลับพาดับลง
    ...เหลือแค่เพียงเงามืดที่แลเห็น
    เหลือแค่เป็นเศษซากของฝุ่นผง
    เหลือเพียงน้อตเก่าเก่าที่หลุดลง
    เหลือเพียงแค่การปลงอนิจจา
    ...ชีวิตคนไม่พ้นดั่งเครื่องจักร
    ต่างคึกคักทำงานอย่างหาญกล้า
    ทุกชีวิตแปรเปลี่ยนตามเวลา
    ความมีค่าไร้ค่าเรารู้กัน
    ...ถ้าชีวิตเปรียบดั่งเป็นตัวน้อต
    ต้องถูกถอดเปลี่ยนออกเมื่อแปรผัน
    น้อตเก่าขึ้นสนิมอย่างรู้กัน
    ต้องมีวันเปลี่ยนใหม่ดีกว่ามีมา
    ...ถ้าชีวิตเปรียบดั่งเฟืองในเครื่องกล
    ความสับสนหลากหลายทลายหา
    หากเฟืองหลุดหยุดเครื่องยนต์ไม่นำพา
    ความโศกาพาสะดุดหลุดมลาย
    ...ชีวิตหนึ่งเป็นซากของเครื่องจักร
    ชีวิตหนึ่งตระหนักว่าเป็นน้อตตัวใหม่
    ชีวิตหนึ่งหลุดออกและสลายไป
    ชีวิตหนึ่งเกิดใหม่ไปหมุนเฟือง<O:p</O:p
    .........................ธรรมดา(ฯ)
     
  16. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +7,749
    คุณ ณ. นำเสนอตัวอย่างรูปธรรมที่ชัดเจนดีมากครับแม้มันจะเป็นเพียงจุดเล็กในชีวิตประจำวันแต่จุดเล็กๆเหล่านี้ถ้าเรามองข้ามมันไปเราจะไม่ได้อะไรเลย เพราะตัวมานะทิฏฐินี้ น่ากลัวมากที่สุดครับ เป็นสังขารจิตที่มีสภาพการยึดติดเหนียวแน่นสูงที่สุดในขันท์ทั้งห้าตัว อนุโมทนาบุญในการให้ปัญญาทานกับผู้ที่ได้อ่านครับ
     
  17. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    Aptera รถคันนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม





    [​IMG]

    Aptera รถคันนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม

    แปลและเรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม

    บริษัท
    Aptera Motor ได้ผลิตรถยนต์รุ่น Aptera รถยนต์อิเลคทรอนิคส์ที่ถือเป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะ
    ตัวบอดี้ของเจ้า Aptera ผลิตด้วยคาร์บอน ไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบาสุดๆ พร้อมเครื่องยนต์แบบดีเซล นอกจากนี้มันยังสามารถวิ่งได้เกือบ 150ไมล์ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียวในโหมดแบตเตอร์รี่ หรือขับด้วยความเร็ว 55 ไมล์ต่อชั่วโมง จะได้ระยะทางถึงเกือบ 230 ไมล์โดยซดเชื้อเพลิงแค่ 1 แกลลอน!
    หากใครอยากได้มาขับชมธรรมชาติล่ะก็..ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงมากหรอก เพราะมันแค่คันละ 20,000$ (ประมาณ 800,000 บาท) เท่านั้นเอง!


    ข้อมูลเเละภาพประกอบจาก
    http://www.neatorama.com/2007/03/25/the-future-of-environmentally-friendly-cars/


    <TABLE class=content_style height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" border=0 itxtvisited="1"><TBODY itxtvisited="1"><TR itxtvisited="1"><TD height=22 itxtvisited="1"></TD></TR><!-- #date --><TR itxtvisited="1"><TD class=date_style itxtvisited="1">Posted on Saturday, 29 September 2007 [​IMG]</TD></TR><!-- /#date --><TR itxtvisited="1"><TD height=5 itxtvisited="1"></TD></TR><!-- #title --><TR itxtvisited="1"><TD id=Link_1 itxtvisited="1">Aptera Electric Three-Wheeled Car </TD></TR><!-- /#title --><TR itxtvisited="1"><TD height=20 itxtvisited="1"></TD></TR><!-- content --><TR height="100%" itxtvisited="1" WIDTH="600px"><TD id=Link_more vAlign=top align=left width=600 itxtvisited="1"><TABLE style="FONT-SIZE: 13px; FONT-FAMILY: verdana; TEXT-ALIGN: justify" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0 itxtvisited="1"><TBODY itxtvisited="1"><TR itxtvisited="1"><TD itxtvisited="1"><CENTER itxtvisited="1">[​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>This is the Aptera electric powered three wheeled car which reportedly get 230MPG, and has a “cruising” speed of 55mph.

    http://www.2dayblog.com/blog/2007/09/page/2/



    <TABLE class=tableMain height=0 cellSpacing=10 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="50%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    Based on our wheel layout and our weight,
    the Aptera Typ-1 is registered as a motorcyle.
    --------------------------------------------------------------------------

    In fact, Aptera is a motorcycle manufacturer registered with DOT and CA DMV. This means, among other things, that we are able to issue VIN's. Our 'world identifier number' is '5WT', so all of our VIN's begin with '5WT'. Knowing the public perception of motorcycle safety, we made the decision to make safety a fundamental part of the design of our vehicles. For example, the Typ-1 roof is designed to EXCEED rollover strength requirements spelled out in FMVSS 216 for passenger vehicles. The doors EXCEED the strength requirement spelled out in FMVSS 214. We decided not just to meet many of the specs for passenger vehicles, which are set above and beyond the requirements for motorcycles, but we chose to exceed them whenever possible. Just a few of the many parts of the safety systems on the Typ-1 are airbag-in seatbelt technology, a front subframe and a firewall that redirect energy around the occupants.

    http://www.aptera.com/details.php
     
  18. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    20201.jpg

    ...มะลิซ้อนส่งกลิ่นขจรหล้า
    มะลิฉัตรพัดพาจรุงหอม
    มะลิลานำพาให้ดมดอม<O:p
    มะลิหลวงช่อหอมยอมให้ใจ
    ...มะลิพวงระย้ามะลิเลื้อย<O:p</O:p
    มะลิซ่อมหอมเอื่อยเรื่อยลมไหว
    มะลิป้อมหอมหามาแต่ไกล<O:p</O:p
    มะลิวัลย์ไฉไลใจนิยม
    ...มะลิไส้ไก่กะมะลุลี<O:p</O:p
    มะลิสวยขาวสีด้วยบุญสม
    มะลิงามนามเพราะเสนาะชม<O:p</O:p
    มะลิโปรยกลิ่นพรมลมนำพา<O:p</O:p
     
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบคุณค่ะสำหรับทุกกำลังใจ คำแนะนำ และตักเตือน...

    เมื่อนานมาแล้ว... จำได้ว่า ถ้าเห็นใครมีอาการเจ็บป่วยทางกาย แล้วเกิดนึกขึ้นมาว่า เอ! เขาเป็นอะไรนะ ดูท่าทางทรมาณจัง... หรือมีความคิดอะไรก็ตามที่สงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ เหล่านั้น... ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพราะความสงสาร หรือใคร่รู้ก็ตาม... อีกไม่นาน อาการ และความรู้สึกที่เจ็บปวดเหล่านั้นจะมาเกิดกับสังขารร่างกายตัวเอง และมีจิตเตือนบอกให้รู้ว่า นี่แหละที่สงสัยว่าเขา (ทั้งคนและสัตว์) เจ็บปวดอย่างไร มันเป็นแบบนี้นะ...

    เมื่อไม่นานมานี้คุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งเล่าให้ฟังว่า เวลาอยู่ใกล้ใคร... เขาจะมีลักษณะ (นิสัย หรืออารมณ์?) คล้ายกับคนๆนั้น... เราก็เอ! มันจะเป็นไปได้ยังไงนะ... ซึมซับอารมณ์ ความรู้สึกของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเนี่ยนะ...

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 มิถุนา)... อยู่ๆ จิตเกิดเปิดรับความรู้สึกของเกือบทุกคนที่เดินผ่าน หรือพูดคุยด้วย พร้อมๆ กันขึ้นมา โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย... ยิ่งเมื่อรวมกับอวิชชาของตัวเองเข้าไปด้วยแล้ว... ความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างมหาศาลภายในจิตของตัวเอง... เพราะรับได้ทั้งความคิดที่ดีและไม่ดีของคนเหล่านั้น... มันทรมาณเอาเรื่องทีเดียว...

    เพิ่งเข้าใจเป็นครั้งแรกว่า คำที่ว่า "ไม่เป็นตัวของตัวเอง" จริงๆ มันเป็นยังไง... เข้าใจขึ้นมาเลยว่าที่น้องคนนั้นบอก มันเป็นยังไง...

    อารมณ์นั้นพลุ่งพล่านอยู่ถึงสาม - สี่ วัน... แต่ก็พยายามประคองสติ ตามดูจิต ดูการกระทำของตัวเอง... แต่ก็มีที่ตามไม่ทัน... ถึงต้องมานั่งเป็นทุกข์ และเสียใจ (อย่างที่โพสต์ไปแล้ว)...

    และตลอดทั้งอาทิตย์นั้นเช่นกันที่พระท่านกรุณามาโปรดมาช่วยสงเคราะห์ มาคุม มากเป็นกรณีพิเศษ ไม่ให้กระเจิดกระเจิง ไปตามแรงกระชากของกิเลสจนสุดสายป่านของมัน... มาเตือนให้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น มาสอนสั่ง บอกทางที่ถูกที่ควร... ท่านมาเร่งรัดให้หมั่นในการปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้หมั่นดูจิต ให้รู้เท่าทันใน อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน...

    ยิ่งเห็นความเลวของตัวเองได้มากเท่าไหร่... เรายิ่งต้องเอาชนะความเลวเหล่านั้นให้ยิ่งขึ้นไปกว่า...

    ตอนนี้ รู้ได้เลยว่า ยิ่งจิตละเอียดมากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเผลอสติขึ้นมาเมื่อไหร่ เราจะยิ่งโดนกระแทก บีบรัด และบีบคั้น จากอวิชชา คือความโง่ทั้งหลาย... รุนแรง ลึกซึ้งมากขึ้นไปเท่านั้น...

    ลูกขอน้อมกราบแทบใต้ฝ่าเบื้องพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมา มีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... ด้วยตระหนักซึ้งลงไปในดวงจิตถึง พระเมตตาคุณ พระบารมีธิคุณ พระปัญญาธิคุณ แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แห่งองค์พระรัตนตรัย แห่งคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่มีต่อลูกหลาน และต่อมวลเหล่าสรรพสัตว์ผู้ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏ...

    ลูกขอน้อมกราบ ยึดคุณแห่งองค์พระรัตนตรัยเป็นหลัก เป็นชัย เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตสูงสุดของลูก อย่างไม่คลอนแคลน นับแต่บัดนี้ไปทุกภพ ทุกชาติ ตราบจนเข้าสู่พระนิพพานเทอญ...
     
  20. whitenaga

    whitenaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +2,752
    โอ้โห เข้ามาอ่านถึงได้รู้ว่า คนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกันนะ พักนี้จะมีอาการแบบนี้ บางทีรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเอง ใช่คำว่ารู้สึก คือ รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคนอื่น บางทีอยู่ใกล้ใครที่เรารู้ว่า ร้อนๆ ก็หลบออกมาเลย พยายามจะอุเบกขาที่สุด แต่ทำไมยากจัง บางครั้งสัมผัสเรื่องราวเศร้าๆ น้ำตาก็ไหลออกมาง่ายๆ เหมือนคนอ่อนไหว(ปกติไม่ขนาดนี้นะ)

    บางครั้งต้องมาคิดว่า เอ อันนี้มันใช่ความรู้สึกเรา หรือ คนอื่น แล้วก็วางทันที (ที่รู้สึกว่าไม่ใช่เรานี่ แต่ถ้าตัวเราก็ ต้องวางเหมือนกัน)

    บางครั้งที่เงียบนิ่งๆ ก็หลุด กระแทกกระทั่นคนอื่น (ล่าสุด ยังเสียใจไม่หาย) คือเสียใจกับตัวเอง เป็นไปได้ (ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เรื่องนี้ ละเอียดลึกซึ้งสุดประมาณ ) ว่าเราเองพยายามอยู่ยังหลุดๆ แบบนี้ ไม่น่าแปลกที่โดยทั่วไปเหตุการณ์อะไรๆ รุนแรงแบบไม่คาดคิดเกิดได้ง่ายดายเหลือเกิน

    แต่พออ่านข้อความท่านอื่นจึงพอเข้าใจ หายท้อใจไปบ้าง (ท้อว่าตัวเองช่างแย่ เสียจริง)

    พยายามปฏิบัติจิตต่อไป ดูตัวเอง ก็ยิ่งต้องปรับปรุง สู้ๆๆๆ ไหนๆ ก็มาเกิดมาทั้งที ต้องพยายามเอาดีให้ดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...