วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อสุภะ ๑๐ ที่อาจารย์คณานันท์เคยเอ่ยถึงไว้ ธรยังหาไม่เจอนะคะว่าอยู่ตรงหน้าไหน... ถ้าหาเจอแล้วจะนำมาลงเสริมไว้ให้ได้พิจารณากันค่ะ...

    ธรมีบันทึกเล็กๆ ของตัวเองเกี่ยวกับอสุภะกรรมฐานมาให้อ่านกันค่ะ...

    "....บันทึกวันที่ ๒๐ มิ.ย. ๔๓

    วันนี้ขออาราธนาบารมี "พระ" ท่าน ขอดูตัวเองตั้งแต่เกิดจนตาย

    ท่านให้ดูภาพดังนี้
    - ไข่กับอสุจิวิ่งไล่วนกันไปมาจนผสมกัน
    - ไข่ฝังตัวในผนังมดลูก
    - ไข่ค่อยๆ ขยายเป็นตัว มีปุ่มเล็กๆ เกิดขึ้นมา ๕ ปุ่ม เหมือนเต่า... ตอนนี้เรานอนอบอุ่นสบายอยู่ในท้องแม่
    - ตัวค่อยๆ โตขึ้นๆ นอนคลุกอึ คลุกฉี่ คลุกน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำคร่ำในท้องแม่
    - ยิ่งโตๆ ก็ยิ่งอึดอัด จึงเริ่มทั้งเตะทั้งถีบท้องแม่... ภายนอก พ่อแม่กลับดีใจที่ลูกดิ้น... แต่ภายในแล้ว ลูกทรมาณ...มาก
    - ต่อมาใกล้คลอด ค่อยๆ กลับเอาหัวลง
    - น้ำคร่ำแตกออกมา ต้องค่อยๆ ไหลออกมา... พอพ้นตัวแม่ มันแสบเนื้อแสบตัวไปหมด... พอมองไปที่หน้าแม่ เห็นแม่เจ็บปวดทรมาณมาก
    - ตอนยังแบเบาะ เวลาอึ เวลาฉี่ถ้าไม่ร้องบอก ก็ต้องนอนคลุกอึคลุกฉี่อยู่อย่างนั้น... อยากกินอะไร หรือไม่อยากกินอะไรก็บอกไม่ได้
    - มีพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงทางกายมาเรื่อยๆจนวัยกลางคน
    - วัยสูงอายุ... เริ่มแก่ตัว เริ่มผอมแห้งลง หนังเริ่มเหี่ยวย่น ผมเริ่มหงอก เดินเหินลำบาก หลังเริ่มค่อมลง ตาเริ่มฝ้าฟาง ผมหงอกมากขึ้น ฟันเริ่มโยกคลอน ตอนนี้ผอมแห้งลงมาก ผมหงอกทั้งหัว ฟันเริ่มหลุดล่วง ผอมจนหนังหุ้มกระดูก นอนหายใจรวยรินใกล้ตาย มีอาการกระตุก ๒ - ๓ ทีก็ตาย
    - เราขึ้นไปอยู่ที่วิมานบนพระนิพพาน มองลงมาดูร่างที่เป็นซากของตัวเอง
    - ๒ - ๓ วันเริ่มพองน้ำ ขึ้นอืด น้ำต่างๆ พยายามหาทางดันกันออกจากร่าง น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลกันเลอะเทอะสกปรก
    - เริ่มมีหนอนเล็กๆ ไต่ตามตัวยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ไชเข้าทางนั้น ชอนออกทางนี้ ค่อยๆ แทะเล็มซากศพนั้น แล้วหนอนก็เริ่มกลายเป็นแมลง แย่งกันกินเนื้อหนังมังสาต่างๆ ต่อไป
    - แมลงบางส่วนตายอยู่กับซากรุ่งริ่งที่เหลือ
    - ซากบางส่วนมีราเขียวคล้ำ
    - ซากตอนนี้กะพร่องกะแพร่ง ขาดวิ่น ซากแมลงตายอยู่บนซากศพ
    - ซากที่ยังพอมีเหลือ เริ่มแห้งเป็นหนังติดกระดูก
    - ศพแห้งลงอีกเหมือนมัมมี่
    - กระดูกเริ่มผุผัง แตกออกเป็นส่วนๆ เริ่มจากส่วนที่เป็นกระดูกซี่เล็กๆ ก่อน
    - ตอนนี้ กะโหลกแหว่งไปครึ่งหัวแล้ว จมูกแหว่ง ตาโบ๋
    - กระดูกค่อยๆ สลายตัว หล่นลงเป็นทรายเม็ดเล็กๆ
    - สลายตัวจนหมดไม่มีอะไรเหลือ

    โลกนี้ไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิต วัตถุ สิ่งก่อสร้าง ใหญ่โตแค่ไหน ก็ล้วนสูญสลายหายกันไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนว่างเปล่า... นี่คือความจริงของโลก

    ............................................................
     
  2. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ว่าด้วยบทสวดจักรพรรดิ์และคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า

    วันนี้ไปประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อปิดกิจการโรงงานไบโอดีเซล
    ของเราดี แต่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ สามรัฐบาลสองม็อบขอลาไปก่อน
    กลัวผู้ถือหุ้นจะต่อว่า จึงต้องขอพระเข้าช่วย
    สวดบทจักรพรรดิ์ขณะขับรถไปโรงงาน ให้กายทิพย์ เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาของผู้ถือหุ้น และเทวดารักษาโรงงานอนุโมทนาบุญ
    สวดเสร็จแล้วยังไม่มั่นใจ เลยสวดคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า
    ยังท่องได้ไม่คล่องเลย เพราะยังไม่ได้เตรียมมาจะสวด พอช่วงสามก็เริ่มดำน้ำ ... ปิดด้วยพุทธปิติอิ

    "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ"


    รอบแรกวางพระไว้ข้างหลัง รอบสองวางพระไว้ข้างหน้า ฯลฯ
    พอรอบสี่รอบห้า เริ่มยิ้มขึ้นมาเองจากข้างใน
    พอรอบที่เก้าวางไว้เหนือศีรษะ ให้ครอบลงมาทั้งตัว รู้สึกอบอุ่น คราวนี้มั่นใจแล้ว
    เลยอธิษฐานขอให้พระครอบเรา จะพูดอะไรให้พระคุม
    ให้มีแต่พรหมวิหารสี่ ไม่ให้ใครเดือดร้อน ให้ทุกคนเป็นสุข ให้ปิดฉากด้วยดี

    คนที่มาประชุมสองสามคนเคยจ้องจะเอาแต่ได้ หาว่าเราโง่ไม่ทันคน ไม่รู้จักเซ่นไหว้ให้ก้าวหน้า กลัวอยู่ว่าจะโดนตำหนิว่าไร้ความสามารถ (เหมือนกลัวม็อบบุกทำเนียบ ประมาณนั้น)

    ปรากฏว่าเรียบร้อยอย่างผิดสังเกตทุกประการ
    ทุกคนเห็นด้วยกับเหตุและผล ไม่มีการปะทะคารมใดๆ
    ตัวเองดำเนินการประชุมได้แถมรักษากรรมบท ๑๐ ได้ครบ

    พระพุทธคุณไม่มีประมาณค่ะ

    แจ้งเพื่อทราบว่า ขนาดว่าไม่คล่องดี (ดำน้ำด้วย) พระท่านยังเมตตาเลยค่ะ สาธุ

     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ผมมีการพิจารณาความทุกข์สมัยเรายังเป็นเด็กมาให้ลองคิดตามครับ

    -ครั้นเรายังเป็นเด็กนั้น มีอายุประมาณ3-4ขวบ ก็ต้องถูกจับส่งไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาล
    เราก็ต้องตื่นนอนตั้งแต่6โมงเช้า ทั้งๆที่เป็นเด็ก ต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว กินอาหารมื้อเช้า เตรียมตัวทุกๆเช้าแบบนี้ ทุกๆวัน ติดต่อกันเป็น10ๆปี

    -พอเราไปถึงโรงเรียนนั้น เราก็ได้พบกับคุณครูและเพื่อน แต่ด้วยความเป็นเด็กนั้น ทำให้เรามักจะถูกคนอื่นแกล้งอยู่เสมอ ทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนรู้สึกเข็ดขยาดไม่อยากจะมาโรงเรียนอีกต่อไป

    -เราก็จึงไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า "พ่อแม่ครับ ผมไม่อยากไปโรงเรียนแล้วครับ มันเป็นสถานที่ที่มีแต่ความทุกข์ ผมโดนคนอื่นแกล้งทุกๆวันเลยครับ ผมอยากจะอยู่กับบ้านเท่านั้นครับ" แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้น
    ในวันต่อๆมาเราก็ยังต้องไปโรงเรียนเหมือนเดิม แล้วก็ต้องไปให้ชางบ้านเขาแกล้ง ต้องไปทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานับหมื่นๆวัน

    -นี่แค่ก่อนเข้าเรียนเท่านั้น พอเริ่มเข้าสู่เวลาเรียนมันก็ยิ่งทุกข์เข้าไปอีก
    เราต้องเรียนวิชาต่างๆที่ส่วนมากจะยิ่งส่งเสริมกิเลสตัณหา ก่อให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความสามารถที่ได้รับมา ซึ่งไม่อาจจะช่วยให้เรามีความสุขได้เลย

    -แถมเรายังต้องทำการบ้านทุกๆวัน บางวันเราก็ต้องนอนดึกถึงเที่ยงคืน เพราะงานที่ได้รับมามันไม่เสร็จ เราต้องทำงานๆๆๆ เป็นระยะเวลานับ10ๆปี ต้องเจอแต่อารมณ์ที่เครียดกดดัน หาความสุขอะไรไม่ได้เลย

    -เราไปโรงเรียนแต่ละวัน เพื่อรอคอยเวลาที่เราจะได้เลิกเรียน ได้หยุดเรียน ได้พักผ่อน
    จนถึงช่วงปิดเทอม ที่แสนสุข แต่มันก็หาได้มีความจีรังยั่งยืนไม่ พอถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องกลับไปสู่สถานที่ที่มีแต่ความทุกข์เช่นนั้นอีก
    เปรียบกับการเกิดในสุคติภูมิแม้จะมีความสุขดี แต่ก็ยังไม่จีรัง ต้องกลับไปสู่ความทุกข์อีกเรื่อยๆ ตราบจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    -พอเราทำการบ้านไม่เสร็จหรือเรียนไม่ได้ตามความคาดหวัง เราก็ต้องมาทนทุกข์ กับการถูกคนอื่นดุด่าต่างๆนานา ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ของเราเอง อยู่ที่โรงเรียนก็ทุกข์ พอกลับมาถึงบ้าน ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆที่โรงเรียนก็ย้อนกลับมาทำให้เราทุกข์อีก
    พ่อแม่ของเราก็ดี หรือเราเป็นพ่อแม่ของคนอื่นก็ดี ควรที่จะต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ทำให้ลูกของเราเกิดความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นไปอีก
    เพราะแค่การมีสังขารร่างกายก็ทุกข์จะเป็นจะตายอยู่แล้ว เราจึงไม่ควรไปเสริมเพิ่มเติมความทุกข์ให้กับผู้อื่นอีก

    -ตอนสอบ เราก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเครียด ความกดดัน ความคาดคั้น จากผู้อื่น
    สอบได้ดีก็ทุกข์ เพราะต้องพยายามรักษาไว้ สอบได้ไม่ดีก็ทุกข์ เพราะถูกหาว่าไร้ความสามารถ
    -พอจบการศึกษาไปจะได้ทำงาน จากที่ทนทุกข์มาเป็น10ๆปีจากการเรียนแล้ว

    ++ยินดีด้วยครับ คราวนี้คุณต้องทุกข์ไปอีก40ปี จากการทำงานหาเงินจนกว่าคุณจะเกษียณ
    ความทุกข์จากการทำงานนั้นทุกๆคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะเจอกับตัวเองในอดีต ในปัจจุบัน และยังเจออีกในอนาคต หากยังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานฉันใด

    เมื่อเราได้เห็นทุกข์ของการเกิดแล้ว ว่ามีความทรมานใจแค่ไหน
    +++ชาติหน้าเรายังอยากจะมาเกิดอีกไหมครับ+++
    คงจะไม่ นะครับ

    ดังนั้นขอให้ทุกๆคนเร่งความเพียรด้วยใจสบายๆ แล้วรีบเข้าพระนิพพานให้ได้โดยเร็วนะครับ

    ใครที่จะเกิดต่อไปอีก ให้คิดว่าเราเกิดมาเพื่อทำงานให้บวรพระพุทธศาสนาเท่านั้น
    เราจะไม่มีอารมณ์ใจที่ข้องเกี่ยวยึดเหนี่ยว กับเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอีกต่อไป
    อารมณ์ใจนะครับ อาจจะต้องฝืนทำไปแต่ใจเราจะไม่ไปยึดกับมันอีกต่อมัน
    เราจะตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขของผู้อื่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    ขอให้ทุกๆคนสามารถปลดอารมณ์อยากเกิดอยากทุกข์ ออกไปจากจิตใจให้ได้โดยเร็วนะครับ สาธุ
     
  4. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว
    ยังไม่ได้เข้ามหาลัยเลย น้องชัชทำไมรู้เยอะจัง
    คนอื่นเขาไม่รู้หรอก เหมือนกบในน้ำเย็น เขาต้มน้ำมีกบอยู่ในหม้อกบกับน้ำก็ร้อนไปพร้อมกัน ตายแล้วไม่รู้ว่าตาย

    นำม็อบนักเรียนออกจากกองทุกข์ดีไหมเอ่ย ล้อเล่นนะคะ

    สาธุค่ะ
     
  5. jamrus

    jamrus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +1,141
    ร่างกายเป็น ทุกข์ ตั้งแต่ปฎิสนธิ หิว กิน ถ่าย กินมาก ทุกข์ (อ้วน)กินน้อย ไม่กิน ทุกข์ทั้งนั้น แถมเอาร่างกายร่างกายอื่น มาร่วม ทุกข์ อีกบวกไป ขันธ์ 5+5+5 มีครอบครัว โรคต่างๆ ทุกข์ ไม่สิ้นสุดตลอดที่ยังมีไอ้ตัวนี้แหละ เกิด พอดับ ก็ไปตามกรรมของแต่ละคน กรรมดี เทวดา พรหม เผลอมื่อไหร่ก็มา เกิด บางท่านสะสมบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าสะสมกันไป แต่ตัว ชิน นี่ทำคนเราไม่ค่อยรู้สึก ทุกข์ เท่าใหร่ ไม่เอาล่ะเป็นเทวดา พรหม ก็สุข แต่เผลอก็มา ทุกข์ อีกเผลอมากก็โน่นต่ำลงไปหน่อยไฟแดงๆรออยู่ ไม่เอา ขอไปที่สบายๆ ไม่ทุกข์ ไม่ห่วง ไม่กังวล ไม่มีเพศ สบายๆจริงๆ ตลอดกาล (พยายามเตือนตัวเอง และจำจากหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน)
     
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    โมทนาด้วยจ้ะชัช...

    หลังจากที่ได้อ่านหลักการพิจารณาของชัชแล้ว... ภาพที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของพี่ คือ...

    วงจรชีวิตของคนและสัตว์นั้นไม่ต่างกันเลยจ้ะ...

    สัตว์เดรัจฉาน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว... ไม่ว่าจะอยากรึไม่ก็ตาม... ลูกสัตว์ทุกชีวิต ต้องพยายามเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด มีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด...

    ไม่ว่า เมื่อเกิดมาปั๊บ... เอาอย่างสัตว์สี่เท้านะ... พวกเขาต้องพยายามกระเสือกกระสน ไม่คลาน ก็ลุกตุปั๊ดตุเป๊ ไปหาเต้านมแม่กินให้ได้... ถ้าไม่พยายามที่จะไปหานมกินเอง... ถ้าไม่พยายามยืนทรงตัวไปให้ถึงนมแม่... หรือคลานดุ๊บดิ๊บดุ๊บดิ๊บไปกินนมให้ทันพี่น้องตัวอื่นๆ... ก็คงต้องทนทรมาน ทุรนทุราย หิวตายอยู่ตรงนั้นเอง...

    พอกินนมได้สักระยะ... ก็ต้องเรียนรู้ที่จะหากินเอง... ต้องจำให้ได้ ว่าหญ้าชนิดไหนกินได้ ชนิดไหนกินไม่ได้ ชนิดไหนกินเพื่อรักษาอาการไม่สบายได้ หรือน้ำแบบไหนที่กินเข้าไปแล้วไม่ตาย ดินแบบไหนที่ต้องกิน เพื่อให้ร่างกายเกิดสมดุล...

    ต้องเรียนรู้ว่า ถ้าเจอสัตว์หน้าตาแปลกๆ แบบนี้ต้องวิ่งหนีให้สุดชีวิตนะ... สัตว์แบบนี้เข้าไปล้อเล่นด้วยได้... สัตว์แบบนี้ถ้าลอยมาตามน้ำ ก็ต้องรีบขึ้นจากน้ำนะ...

    ถ้าฝนตก ต้องหลบอยู่ใต้ต้นไม้นะ นอนหมอบๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นที่สุด... ถ้าอากาศหนาวเย็นต้องหาโพรง หาถ้ำอยู่นะ... ถ้าอากาศร้อน แดดจ้า ก็ต้องรู้วิธีคลายร้อน... ฯลฯ

    กว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้จนโต ก็สะบักสะบอมสาหัสสากรรจ์...

    ไม่ต่างจากคนเรา อย่างที่ชัชบอกว่าไม่ว่าจะอยากเรียนหรือไม่... ยังไงก็ต้องทนเรียน...

    เมื่อโตมาได้... ก็ถึงวัยเจริญพันธุ์... ต้องมีครอบครัว ต้องมีลูกเล็กๆ ให้ต้องเลี้ยงดู ทั้งๆ ที่ตัวเอง หลายๆ ครั้งยังจะเอาตัวไม่รอดเลย...

    ทั้งคนและสัตว์ ต่างต้องคอยหลบหลีก ปัญหา ศัตรู ความลำบากแสนเข็ญที่ประดังประเดกันเข้ามารอบด้าน...

    พอแก่ตัวลงหน่อย... ถ้าเป็นคนก็นึกว่า เอ้อ! เดี๋ยวคงมีลูกๆ คอยเลี้ยงดู เอาใจใส่เราบ้างนะ... บางคนมี ก็ดีไป... แต่หลายๆ คน ไม่มี แถมยังต้องคอยมานั่งเลี้ยงหลานให้ลูกซะอีก... หรือบางคน ไม่มีใครเลย (มีก็เหมือนไม่มี) ต้องไปอยู่ตามสถานรับเลี้ยงคนชรา... ต่อให้เรียกอย่างเลิศหรูแค่ไหน ก็คงไม่ดีไปกว่าลูกหลานช่วยกันดูแลอยู่ที่บ้านด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และเคารพนับถือพวกท่าน...

    ส่วนสัตว์... พอแก่ตัวลง ก็ต้องถูกตัวที่ยังอายุน้อยกว่า แย่งชิงความเป็นใหญ่บ้าง... โดนทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตัวเดียวบ้าง... กลายเป็นอาหารสัตว์ที่แข็งแรงกว่าบ้าง...


    เมื่อตายลง ทั้งคนและสัตว์ ต่างกันที่ตรงไหน.... เหลือแต่ซากที่เน่าเปื่อย... ผุพัง สลายจนไม่เหลืออะไรเลย...

    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งธรรมดาของชีวิต... ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่... วงจรเหล่านี้ก็ยังคงต้องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก...

    เพียงแต่พวกเราจะจำกันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง...

    อย่างไรก็ตาม... มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คนและสัตว์ไม่เหมือนกัน...


    นั่นคือ... คนเรามีสติ มีปัญญา รู้จักที่จะไตร่ตรองได้ถึงเหตุ และผลต่างๆ... สามารถที่จะพิจารณาตามความเป็นจริง ตามพระธรรมคำสั่งสอน ที่องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ได้...

    พวกเราที่เกิดมาเป็นคน... ยังนับว่าโชคดี... ยิ่งได้มาเกิดในแผ่นดินไทย ใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... ได้มาพบพระพุทธศาสนาที่น้อยคนนักจะได้พบเจอ...

    เราเลือกได้ว่าจะเกิดแบบไหน... มีชีวิตอยู่อย่างไร และตายแบบไหน... (ทั้งการเกิด มีชีวิตอยู่ และตาย โดยที่ดวงจิตของเราผ่องพิสุทธิ์ แม้กายจะต้องทนทุกข์ทรมาณก็ตามที)

    ที่สำคัญเราเลือกที่จะไม่ขอเกิดอีกได้...

    ในเมื่อรู้แล้วว่า ชีวิตมันเป็นทุกข์ มันมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความบีบคั้น ทรมานกาย ทรมานใจ หาความสุขจริงๆ ไม่ได้เลย... สังขารร่างกายที่เรายึดว่ามันเป็นเรา มันเป็นของเรา จริงๆ แล้ว เราบังคับอะไรมันไม่ได้สักอย่าง... เราพยายามทำทุกอย่างให้มันดูดีที่สุด ดูหล่อที่สุด ดูสวยที่สุด ดูเด็กที่สุด แต่อย่างมากก็ได้ไม่กี่สิบปี... บางคนทำศัลยกรรมจนหน้าตึงเปรี๊ยะ แต่ฟันฟางหลุดจะหมดปากอยู่แล้ว...
    หรือสังขารร่างกาย ภายนอกยังดูดี แต่ระบบภายในร่างกายรวนจนต้องหาหมอซ่อมแล้วซ่อมอีก... พอจะตายขึ้นมาก็ต้องกระเสือกกระสนหายใจเอาอากาศเฮือกสุดท้ายเข้าไปให้ได้... หลายๆ คนทวารทั้ง 9 เปิดตั้งแต่ยังไม่ทันจะหมดลม...

    มันช่างทุกข์ทรมานจริงๆ...


    ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการสงเคราะห์คน หรือทำเพื่อคนส่วนใหญ่ในทางแห่งสัมมาทิฐิ... พวกเราทุกคนยังอยากที่จะต้องกลับมาวนเวียนอยู่ในหลุมแห่งขวากหนามนี้กันอีกหรือไม่...

    เบื่อหรือยังกับการที่จะต้องเวียนเกิดเวียนตาย ในวงจรของความทุกข์เหล่านี้อีก...

    อธิษฐานขอเข้าพระนิพพานกันชาตินี้ไม่ดีกว่าหรือ... เพราะไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม หรืออรูปพรหม... ก็ล้วนแต่สุขไม่ยั่งยืนทั้งนั้น...

    ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้นกันดีไหมคะ...
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ธรหาคำสอนในเรื่องอสุภะ ๑๐ ของอาจารย์คณานันท์เจอแล้วนะคะ... มาศึกษากันเลยค่ะ...


     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    วันนี้ขอนำวิธีการทำบุญของอาจารย์ท่านหนึ่งมาให้ทุกท่านได้อ่านค่ะ
    อาจารย์ท่านบอกว่าส่วนมากคนเราเวลาจะทำการตักบาตรหรือสะเดาะเคราะห์ให้กับตนเองมักจะทำแค่วันเดียวเช่นคนเกิดวันศุกร์ทำแต่วันศุกร์อย่างเดียว แต่วันที่เสริมดวงให้ตัวของเราเองแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้ทำ พอได้ฟังท่านอาจารย์พูดแบบนั้น ก็อยากให้ทุกท่านลองนำไปปฏิบัติดูเผื่อชีวิตที่มีอุปสรรคต่างๆจะดีขึ้นค่ะ การปฏิบัติคือ ให้ทำวันที่เราเกิดก่อน จากนั้นค่อยไปทำวันที่เสริมดวงของเราค่ะ
    คนเกิดวันจันทร์ วันเสริมดวงคือวันพฤหัส
    คนเกิดวันอังคาร วันเสริมดวงคือวันศุกร์
    คนเกิดวันพุธ วันเสริมดวงคือวันเสาร์
    คนเกิดวันพฤหัส วันเสริมดวงคือวันอาทิตย์
    คนเกิดวันศุกร์ วันเสริมดวงคือวันจันทร์
    คนเกิดวันเสาร์ วันเสริมดวงคือวันอังคาร
    คนเกิดวันอาทิตย์ วันเสริมดวงคือวันพุธ
    (f)
     
  9. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
     
  10. pipat

    pipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +126
    อนุโมทนากับทุกกระทู้ครับ ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทุกคน เทอญฯ สาธุ
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ถ้าจะให้ดี...

    คิดดี ทำดี พูดดี สวดมนต์บทที่ชอบ จับลมสบาย จับภาพพระ พิจารณาวิปัสสนา - กฏพระไตรลักษณ์บ้าง มรณานุสสติบ้าง อสุภะบ้าง อาหาเรบ้าง อริยสัจ ๔ บ้าง - ... ทำทุกวัน วันละนิด วันละหน่อย... ก็ยิ่งเสริมดวง เสริมบุญ บารมีของตัวเองและครอบครัวได้ทุกวันนะจ้ะ
     
  12. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    [​IMG]

    ...มีอะไรในความสงบนิ่ง
    มีความจริงนอนนิ่งสงบอยู่
    มีอะไรให้จิตต้องเรียนรู้
    มีความจริงอิงอยู่ให้คิดเอา
    ...มีอะไรในความว่างเปล่า
    มีเรื่องราวให้ย้อนพินิจเข้า
    มีอะไรแอบอยู่ภายในเรา
    มีเรื่องราวให้สืบจิตพินิจดู
    ...ตรองใจจิตพินิจพิเคราะห์
    เฝ้าเล็มเลาะเคาะจิตให้ได้รู้
    เตือนจิตย้ำใจหมั่นตรองดู
    ให้ได้รู้ทันจิตคิดภายใน
    .............ธรรมดา(ฯ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  13. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    [​IMG]

    ...มิตรภาพน้ำหวานชโลมใจ
    ไมตรีใสน้ำทิพย์ชูชีวิต
    จริงใจมอบวิเศษยาเลิศฤทธิ์<O:p</O:p
    รักใส่ใจเนรมิตโลกงามตา
    ...ส่งมอบมิตรภาพให้แก่กัน<O:p</O:p
    ส่งไมตรีสัมพันธ์เชื่อมขอบฟ้า
    ส่งจริงใจสัมผัสรู้ตรึงตรา<O:p</O:p
    ส่งรักใส่ใจพาไปกับลม
    ...ด้วยชื่นชมมิตรภาพที่ถักทอ<O:p</O:p
    ด้วยยินดีไมตรีก่อสู่สุขสม
    ด้วยรอยยิ้มจริงใจอภิรมย์<O:p</O:p
    ด้วยความรักสร้างโลกกลมให้สวยงาม<O:p</O:p
    .................................ธรรมดา(ฯ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  14. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ถ้าอยู่ กทม. หรือปริมณฑล ว่างๆ มาฝึกสมาธิด้วยกันซิครับ (smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008
  15. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปถวายสังฆทานร่วมกับพี่ๆ น้องๆ ในเวปไซต์
    ที่วัดปทุมวนาราม กับพระอาจารย์ยุคลธรณ์ ธัมมปุตโต พระอาจารย์ได้ให้
    คำสอน มาเป็น ชีท เห็นว่ามีประโยชน์ต่อทุกท่าน เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ

    " สมาธิเป็นสัจธรรม มีหนึ่งเดียวจะแตกต่างกันไม่ได้ แต่วิธีการนั้นเราอาจจะใช้
    อุบายวิธีต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็คือ สมาธิเดียวกันนั้นเอง "

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008
  16. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ในขั้นต้น เราจะต้องอาศัยความอดทนและสัจจะความจริงใจ เมื่อเราอาศัยความอดทน สัจจะความจริงใจ อดทนต่อสิ่งที่จะ<O:p</O:pเป็นเหตุให้เราละเมิดล่วงเกินศีล ๕

    ข้อใดข้อหนึ่ง ตั้งใจให้แน่วแน่ว่าเราจะละเวนโทษตามกฏเกณฑ์ของศีล ๕ ด้วยความจริงใจเราอาศัยหลัก ๒ ประการนี้ แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติไปจนกระทั่ง

    เรารู้สึกคล่องตัวชำนิชำนาญต่อการงดเว้น เมื่อเรามีการงดเว้นไม่ทำอะไรตามคำบงการ ตามอำนาจบงการของกิเลส โลภ โกรธ หลง ก็ได้ชื่อว่าตัดกรรมตัดเวร

    ตัดผลเพิ่มของบาป แม้โลภ โกรธ หลง จะมีอยู่ในใจของเรา เราก็พยายามใช้ให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรมคือเอาศีล ๕ มาเป็นขอบเขตเป็นเส้นขนานของ

    การใช้กิเลสให้ถูกต้อง เมื่อเราใช้กิเลสทำประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควรโดยเอาศีล ๕ เป็นหลักประกันความปลอดภัย เมื่อเราปฏิบัติจนคล่องตัวชำนิชำนาญ

    ราจะรู้สึกว่าเบาสบาย จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องตั้งใจจะงดเว้นสิ่งใดๆ แต่เพราะอาศัยความคล่องตัวอันนั้น จิตของเราจะงดเว้นเองโดยอัตโนมัติเมื่อเรามีศีล ๕

    บริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้เราจะทำสมาธิภาวนายังไม่เป็น ก็ได้ชื่อว่าตัดบาปตัดกรรมให้หมดสิ้นไปแล้ว เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ กายของเราก็สงบคือสงบ

    จากการทำบาป วาจาของเราก็สงบ คือสงบในการพูดในทางที่เป็นบาป แม้จิตของเรายังคิดที่จะทำบาป แต่เราไม่ละเมิดล่วงเกินศีล ๕ บาปกรรมอะไรก็ไม่เกิดขึ้น

    เมื่อเรามีคุณงามความดีพอกพูนมากขึ้น ๆ กำลังของศีลมีพลังแก่กล้าขึ้น กายเป็นปกติ วาจาเป็นปกติ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยส่งหนุนให้จิตใจของเราเกิดความเป็นปกติ

    เมื่อความปกติเริ่มเกิดขึ้นที่ใจของเรา ความคิดจะฆ่าเบียดเบียนข่มเหงหรือรังแก มันก็น้อยลงหรือหมดไปไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ประกันความปลอดภัย

    ของเราได้ว่าเราจะไม่ต้องตกนรก แต่เพื่อที่จะให้จิตของเรามีความมั่นคงต่อการที่จะละบาปกรรมตามกฏของศีล ๕ เราจึงจำเป็นจะต้องปฏิบัติสมาธิเพื่อสร้าง

    พลังจิตให้มีความมั่นคงต่อการที่จะละความบาปนั้นๆ การทำสมาธิ ถ้าท่านจะนึกถามในใจว่า การทำสมาธิ ทำอย่างไร ก็จะได้คำตอบว่า การทำสมาธิคือการทำ

    จิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จะเป็นอะไรก็ได้ ถ้าหากว่าท่านผู้ใดยังภาวนาไม่เป็นหรือไม่เคยภาวนาเลย ถ้าจะตั้งใจปฏิบัติสมาธิด้วยความจริงใจ

    แม้แต่เพียงท่องพุทโธเอาไว้ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ แม้ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม เราท่องพุทโธไว้ได้ตลอดเวลา การท่องพุทโธนี้ท่องเหมือนกับเรา

    ท่องเล่นๆ ไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆ แต่เราท่องไม่หยุด และเราก็ไม่บังคับจิตให้เกิดมีสมาธิ เป็นแต่เพียงตั้งสติ กำหนดสติ ท่องพุทโธ พุทโธ พุทโธ เอาไว้ตลอด

    เวลาท่องอย่างนกแก้วนกขุนทองไปก่อน แม้ว่าใครจะว่าเราปฏิบัติไม่รู้เหตุรู้ผลก็ตาม ถ้าหากว่าเราท่องต่อเนื่องกันทุกขณะจิตทุกลมหายใจที่เราตื่นอยู่ เมื่อเราท่อง

    ไม่หยุด สมาธิ คือ จิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน จะบังเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติผู้ท่องพุทโธอย่างความไม่ถึงเพราะฉะนั้น ในขณะที่เราปฏิบัติ นอกจากการท่อง พุทโธ

    ก็ยังมีสัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ เมื่อใครจะท่องบทใด ก็ให้ตั้งใจท้องต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ

    เราสามารถที่จะท่องได้ตลอดเวลา แต่ในขณะใดที่เราจะต้องพูด เมื่อพูดก็ให้มีสติรู้อยู่ที่ความพูด เมื่อคิดก็ให้มีสติรู้อยู่ที่ความคิด การทำ การพูด การคิด ให้มีสติรู้ตัว

    อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราไม่ถนัดในการที่จะมาท่องบริกรรมภาวนาดังที่กล่าวแล้ว เราสามารถที่จะกำหนดสติรู้จิตของเราเฉยอยู่ ถ้าจิตของเรานิ่งเฉยเป็นชั่วโมง

    เราปล่อยให้เฉย แต่ถ้าหากว่าจิตเกิดความคิดขึ้นมา เราปล่อยให้คิดแต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ความคิดเรื่อยไป ถ้าจิตของเรายังไม่มีพลังงานเพียงพอ เมื่อคิดขึ้นมา

    แล้วเรากำหนดรู้ จิตจะหยุดคิดทันทีเมื่อจิตหยุดนิ่งก็ปล่อยให้นิ่ง ถ้าคิดปล่อยให้คิด เราเอาสติตัวเดียวเท่านั้นเป็นเครื่องกำหนดรู้ความนิ่งและความคิด ถ้าหากว่า

    ท่านผู้ใดทำความรู้สึกให้รู้อยู่ในที เหมือนๆ กับเราไม่ได้ตั้งใจจะดู จะรู้ แต่เอาความรู้อยู่โดยธรรมชาติของจิตนั้นรู้เรื่อยไป ถ้าทำได้อย่างนี้ เผื่อว่าสมาธิกำลังจะเริ่ม

    แล้วสมาธิจะไม่ถอน แต่ถ้าจิตแสดงอาการสงบลงไปบ้าง เราเอาความตั้งใจของเราเข้าไปแทรก สมาธิจะถอนทันที อันนี้เป็นวิธีการปฏิบัติสมาธิโดยไม่มีอุปสรรค

    ใดๆ มาขัดขวาง เราสามารถที่จะปฏิบัติได้ทุกโอกาส แม้เวลาเราทำงานทำการ เวลาเราสอนนักเรียน เราก็เอาสติตัวเดียวเท่านั้นกำหนดรู้สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน

    ตลอดเวลา อาตมาขอยืนยันกับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่เรียนจบสูงๆ มาแล้ว เคยปฏิบัติสมาธิมาแล้วทั้งนั้น แต่ท่านเองก็ไม่รู้สึกตัวว่าได้ปฏิบัติสมาธิ

    เพราะความไม่เข้าใจหรือไม่ก็ได้ยินได้ฟังวิธีการปฏิบัติสมาธิอยู่ในวงแคบเกินไป แต่ความจริงนั้นเราทำ เราพูด เราคิดด้วยความมีสติสัมปชัญญะรอบคอบ

    อยู่ในขณะที่ทำ ที่พูด ที่คิด นั่นคือการปฏิบัติสมาธิ ที่ยืนยันว่าท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติสมาธิมาแล้ว เพราะเวลาท่านวิจัยงานของท่าน ท่านใช้ความคิดวกไปเวียนมา

    ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ ในขณะนั้นท่านกำลังเริ่มปฏิบัติสมาธิ พอคิดไปคิดมาเรารู้สึกเคลิ้มๆ หรือ เผลอๆ ไปนิดหนึ่ง จิตว่างลงสิ่งที่เราต้องการรู้มันผิด

    โผล่ขึ้นมา นั่นคือปัญญาในสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008
  17. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เพราะฉะนั้น การปฏิบัติสมาธิอย่าไปยึดหลักและวิธีการมากเกินไป แบบและวิธีการที่ท่านบัญญัติเอาไว้ในหวมดกรรมฐาน ๔๐ ก็ดี หรือการเจริญวิปัสสนา

    พิจารณารูปนามธาตุขันต์อายตนะก็ดี อันนั้นเป็นแต่เพียงวิธีการเป็นวิธีที่ท่านเขียนเป็นแบบอย่างเอาไว้เท่านั้นเอง แต่เมื่อใครจะตั้งใจปฏิบัติสมาธิอย่าง

    เอาจริงเอาจัง เราอาจจะไม่ ไปยึดหลักในคัมภีร์ก็ได้ เราอาจจะบริกรรมภาวนาอย่างอื่นก็ได้ เช่น อย่างเราจะค้นคิดพิจารณา ตามตำราท่านให้พิจารณาธาตุขันธ์

    อายตนะ แต่เราจะเอาวิชาการที่เราเรียนจบมาทางโลกมาเป็นอารมณ์พิจารณาก็ได้เพราะการทำสมาธิคือทำจิตให้มีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่ง

    ระลึก ธรรมชาติของจิตจะต้องเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกทีพลังงานตัวที่สำคัญก็คือ จะทำให้เรามีสติดีขึ้นและว่องไวขึ้น แม้ว่าจิตจะยังไม่สงบ

    เป็นสมาธิ ได้ญาณได้ฌาณใดๆ ก็ดี แล้วจะทำให้เกิดสมาธิเมื่อภายหลังจิตของเราจะมั่นคงต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างไม่ลดละ สมาธิอันใดที่เราปฏิบัติแล้ว

    มันรู้สึกว่าเบื่องานเบื่อการอยากจะโกนหัวบวช อย่าเพิ่งไปเชื่อมัน ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิได้ดีแล้วนี้ จะต้องมีความรักความเคารพบูชาในบิดามารดา ปู่ย่าตายาย

    ตลอดทั้งครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะเกิดมีจิตเมตตาปรานีต่อผู้น้อยเป็นอย่างดี สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน เมื่อก่อนอาจจะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ

    แต่เมื่อมาปฏิบัติสมาธิได้ดีแล้ว การทะเลาะเบาะแว้งเหล่านั้นก็จะหายไปเองและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตของคนเรานี่เป็นอยู่ด้วยพลังของสมาธิ

    ผู้ที่ทำอะไรจับจดจับโน่นวางนี่ไม่เอาจริงเอาจังคือคนขาดสมาธิ แต่ว่าท่านผู้ใดทำอะไรอาศัยสัจจะความจริงใจประพฤติสิ่งใดให้ได้สิ่งนั้น

    ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสมาธิที่มั่นคง แม้จะยังไม่ถึงสมาธินานได้ญาณได้ฌาณอะไรก็ตามก่อนที่จะจบนี้ จะขอนำเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่กันฟัง

    พอเป็นคติเตือนใจ ท่านเคยคิดไหมว่าพระพุทธเจ้าเจริญกรรมฐานปฏิบัติสมาธิภาวนา เอาอะไรเป็นอารมณ์จิตในการภาวนา สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด

    คำว่าพุทโธก็ไม่มี สัมมาอรหังก็ไม่มียุบหนอพองหนอก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านเอาอะไรเป็นหลักเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติสมาธิเราจะได้คำตอบว่า

    พระพุทธเจ้าอาศัยอารมณ์ ๒ อย่าง<O:p</O:p
    ๑. อารมณ์ทางกาย ได้แก่ ลมหายใจเข้าหายใจออก<O:p</O:p
    ๒. อารมณ์ทางจิต คือความซึ่งมันเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
    <O:p</O:p
    และพระองค์จะเริ่มต้นด้วยการกำหนดรู้ลมหายใจ การกำหนดรู้ลมหายใจของพระองค์ เพียงแต่ว่ามีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกเฉยอยู่เท่านั้นเอง

    ไม่ได้นึกว่าลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด แล้วก็ไม่ได้บังคับจิตให้เกิดมีความสงบ แล้วก็ไม่ได้แต่งลมหายใจให้หยาบให้ละเอียด

    เพียงแต่มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ทีนี้ในช่วงใดจิตของพระองค์เกิดว่างลง พระองค์ปล่อยให้ว่าง ช่วงใดจิตของพระองค์เกิดความคิด

    พระองค์ปล่อยให้คิด พระองค์ให้จิตของพระองค์เดินอยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง ลมหายใจ ความคิด ความว่าง ให้เดินอยู่ใน ๓ จังหวะ ธรรมชาติของจิตนี้

    ถ้าเวลาอยู่ว่างๆ จิตกับกายยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ ต้องรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ ทีนี้ในเมื่อว่างอยู่สักพักหนึ่งก็จะเกิดความสัมพันธ์กันอยู่ ต้องรู้ลมหายใจเอง

    โดยอัตโนมัติ ทีนี้ในเมื่อว่างอยู่สักพักหนึ่งก็จะเกิดความคิดขึ้นมา คือคิดขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ พระองค์ปฏิบัติโดยอาศัยหลักดังที่กล่าว ทีแรกจิตของพระองค์

    ก็เดินอยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง ลมหายใจ ความคิด ความว่าง อยู่ใน ๓ จังหวะนี้ แล้วในที่สุดจิตของพระองค์ก็มาจับลมหายใจอย่างเหนียวแน่นยึดลม

    หายใจเป็นอารมณ์ มหายใจกับสติและความรู้สึกทางจิตไม่ได้พรากจากกัน จนกระทั้งลมหายใจละเอียดๆ ลงไปตามขั้นตอนแห่งความสงบของจิตในระยะต้นๆ

    ถ้าพระองค์กลัวว่าจิตของพระองค์จะเลยเถิด พอลมหายใจแผ่วเบาลงไป ๆ ๆ พระองค์ก็มานึกว่าลมหายใจยังอยู่ จิตก็หยาบขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็ปรากฏเห็น

    ลมหายใจอย่างชัดแจ้ง ในที่สุดจิตของพระองค์สงบละเอียด วิ่งตามลมหายใจเข้าไปข้างในกาย ไปสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย แต่ว่าเปล่งรัศมีออกมา

    รอบกาย ทำให้พระองค์มองเห็นร่างกายเหมือนแก้วโปร่ง มองเห็นอวัยวะภายในกายทั่วหมด ในขณะจิตเดียวทั้งอวัยวะภายนอกด้วยในขณะจิตเดียว จะมองเห็น

    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด ผังพืด ครบอาการ ๓๒ ซึ่งในขณะนั้นจิตของพระองค์สงบ นิ่ง แล้วรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สักแต่ว่ารู้

    ร่างกายหายไป ลมหายใจก็หายขาดไป ในที่สุดยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสวอยู่ในท่ามกลางแห่งจักรวาลอันกว้างใกญ่ ในขณะนั้น พระองค์จะรู้สึก

    มีแต่จิตของพระองค์ดวงเดียวเท่านั้นไม่มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้น ตอนนี้จิตของพระองค์อยู่ในจตุตถฌาน เป็นจิตพุทธะซึ่งบังเกิดขึ้นกับพระองค์ ถ้าจะว่าโดยจิต

    ก็อัปปนาจิต ว่าโดยสมาธิก็อัปปนาสมาธิ ว่าโดยฌานก็จตุตถฌาน


    <<<<<<<< มีต่ออีกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008
  18. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY>
    ธรรม สบายๆ ของหลวงปู่
    พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทฺโท)
    [​IMG]

    </TBODY></TD></TR><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2 height=2></TD></TR><TR><TD colSpan=2 height=2><!--tbody-->

    ลูกถีบหลวงปู่ชา… เรื่องมีอยู่ว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นพระฝรั่งองค์หนึ่ง…..พระอาจารย์ญาณธัมโม ชาวออสเตรเลีย.เล่าให้ฟังว่า…………
    "….วันหนึ่ง อาตมามีเรื่องขัดใจกับพระรูปหนึ่ง.รู้สึกโกรธ หงุดหงิดอยู่ทั้งวัน.รุ่งเช้าไปบิณฑบาตก็เดินคิดไปตลอดทาง.ขากลับเข้าวัด พอดีเดินสวนทางกับหลวงพ่อ.ท่านยิ้มและทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่ากู๊ด มอร์นิ่ง!!! ซึ่งทำให้อารมณ์ของอาตมาเปลี่ยนทันที….ที่กำลังขุ่นมัวหงุดหงิด กลับเบิกบานปลื้มปิติที่หลวงพ่อทักเรา.
    ถึงเวลาสวดมนตร์เย็นทำวัด หลวงพ่อให้อาตมาเข้าไปอุปัฏฐากถวายการนวดที่กุฏิของท่านเป็นการส่วนตัว.อาตมารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกับโอกาสใกล้ชิดอยู่สองต่อสองที่หาได้ยากอย่างนั้น…. แต่ขณะที่กำลังถวายการนวดอย่างตั้งอกตั้งใจและปลื้มปิติ
    ทันใดนั้นเอง อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หลวงพ่อก็ถีบเปรี้ยงเข้าที่ยอดอกซึ่งกำลังพองโตด้วยความรู้สึกภาคภูมิของอาตมาจนล้มก้นกระแทก แล้วท่านก็ตำหนิว่า"…..จิตใจไม่มั่นคง พอไม่ได้ดังใจก็ขุ่นเคืองหงุดหงิด เมื่อได้ตามปรารถนาก็ฟูฟ่อง…." ผมฟังท่านดุไปหลายๆอย่างแล้วร้องให้เลย……ไม่ใช่เพราะโกรธหรือเสียใจ แต่เพราะซาบซึ้งในพระคุณของท่าน หลวงพ่อเมตตามากที่ช่วยชี้กิเลสของเรา ไม่เช่นนั้นเราก็คงมือบอดมองไม่เห็น คงเป็นคนหลงอารมณ์ไปอีกนาน….."
    (เรื่องนี้ หารายละเอียดอ่านได้ในหนังสืออุปลมณี น.363)
    ปล. #นิกายเซ็นจะใช้การตีเพื่อเรียกสติ.....แต่หลวงปู่ชามาแปลกกว่าอีก#
    หลวงปู่ช่วยด้วย!!!…แต่กลับไปไหว้แอร์โฮสเตส!!!
    วันที่ 6 พค. 2520 (บันทึกการเดินทางจาริกไปต่างประเทศครั้งแรก)
    บินต่อถึงเมืองการาจีประเทศปากีสถาน บินผ่านอิตาลีถึงกรุงลอนดอน….
    …..ในขณะที่บินอยู่ เครื่องบินได้เกิดอุบัติเหตุ ยางระเบิด1เส้นบนอากาศ….เครื่องบินมีอาการเอียงวูบๆ…. พนักงานบินจึงได้ประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรัดเข็มขัด มีฟันปลอมก็ต้องถอดออก แม้กระทั่งแว่นตาหรือรองเท้าหรือเครื่องบริขารทุกอย่าง ต้องเตรียมพร้อมหมด คนผู้โดยสารทุกคนเมื่อเก็บบริขารทุกอย่างหมดแล้ว ต่างคนต่างก็เงียบ คงคิดว่าเป็นวาระสุดท้ายของพวกเราทุกคนเสียแล้ว….ทางหอบังคับการบิน ได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ รถดับเพลิงพร้อมสรรพ…..
    หลวงปู่ชาท่านได้เล่าไว้ว่า"….เป็นครั้งแรกที่เราได้เดินทางมาเมืองนอกเพื่อสร้างประโยชน์แก่พระศาสนา จะเป็นผู้มีบุญอย่างนี้เทียวหรือ?….เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ตั้งสัตย์อธิฐาน มอบชีวิตให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ….แล้วก็กำหนดจิตรวมลงในสถานที่ควรอันหนึ่ง….แล้วก็ได้รับความสงบเยือกเย็น ดูคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น…..พักในที่ตรงนั้น จนกระทั่งเครื่องบินได้ลดระดับลงมาถึงแผ่นดินด้วยความปลอดภัย….." ฝ่ายผู้โดยสารก็ปรบมือกันด้วยความดีใจ คงคิดว่าเราปลอดภัยแล้ว…..
    สิ่งที่แปลกก็คือ ขณะเมื่อเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ ต่างคนก็ร้องเรียกว่า"หลวงพ่อช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทุกคนด้วย" แต่เมื่อพ้นอันตรายแล้ว เดินลงจากเครื่องบินเห็นประนมมือไหว้พระเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นไหว้แอร์โฮสเตสทั้งหมด!!!
    (เรื่องนี้ หารายละเอียดอ่านได้ในหนังสืออุปลมณี น.504 และหนังสือร่มเงาวัดหนองป่าพง น.24)
    คนตายแล้วไปไหน
    ครั้งหนึ่งมีแหม่มฝรั่งมาถามปัญหาโลกแตกกับหลวงปู่
    แหม่มฝรั่ง"…คนตายแล้วไปไหน…."
    หลวงปู่จึงเป่าเทียนเล่มที่อยู่ใกล้นั้นให้ดับและถามกลับไปว่า"….เทียนดับแล้วไปไหน….."
    แหม่มฝรั่งรู้สึกงุนงงในคำตอบของท่านมาก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ท่านจึงถามอีกว่า"….พอใจหรือยังที่ตอบปัญหานี้…"
    แหม่มตอบว่า"….ไม่พอใจ…."
    ท่านจึงตอบว่า"….เราก็ไม่พอใจในคำถามของเธอเหมือนกัน…."
    (จากหนังสืออุปลมณี น.524)
    เพลงของพระพุทธเจ้า
    สมัยหนึ่งเพลงลูกทุ่ง "มัน บ่ แน่ดอกนาย"กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย....ไปถึงไหนๆก็ต้องได้ยิน.
    วันหนึ่งหลวงพ่อบังเอิญมีธุระผ่านเข้าเมือง ก็พลอยได้ยินไปกับชาวบ้านเขาด้วย และเมื่อกลับถึงวัดท่านได้ปรารภเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์ฟัง ในระหว่างการอบรมว่า"...เออ นั่นมันร้องเพลงของพระพุทธเจ้าเลยน่ะนั่น...."
    (จาก .อุปลมณี น.306)
    รูปแบบภายนอก VS จิตใจภายใน
    พระอาจารย์ทองรัตน์ กันตสีโลซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่หลวงปู่ชายกย่องเป็นอาจารย์และเคารพอย่างสูงสุด. พระอาจารย์ทองรัตน์เป็นผู้มีปัญญาบารมีและอารมณ์ขัน แต่มักมีพฤติกรรมแปลกๆ แผลงๆ เป็นต้นว่ามารยาทในการฉันอาหารซึ่งดูไม่งดงามเลย.ทั้งๆที่พระอาจารย์สอนลูกศิษย์ให้ฉันสำรวม.
    และครั้งหนึ่งเมื่อไปบิณฑบาตในหมู้บ้าน ท่านก็ไปหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้านเหลือบมาเห็นพระก็ร้องขึ้นว่า" ข้าวยังไม่สุก"....
    แทนที่ท่านอาจารย์ทองรัตน์จะเดินผ่านไป ท่านกลับร้องบอกว่า"บ่เป็นหยังดอกลูก พ่อสิท่า ฝ่าว ๆ เร่งไฟเข้าเด้อ" (ไม่เป็นไรลูก พ่อจะคอย เร่งไฟเข้าเด้อ )
    มีอีกเรื่องหนึ่ง.....ระหว่างพำนักอยู่กับหลวงปู่มั่น และไม่ค่อยได้ฟังเทศน์.พระอาจารย์ทองรัตน์ก็มีอุบายหลายอย่างที่ทำให้หลวงปู ่มั่นต้องแสดงธรรมให้ฟังจนได้!!! อย่างเช่นครั้งหนึ่งไปบิณฑบาต ท่านก็เดินแซงหน้าหลวงปู่มั่น แล้วก็ควักแตงกวาจากบาตรออกมากัดดังกร้วมๆ และอีกครั้งหนึ่งท่านไปส่งเสียงเหมือนกำลังชกมวย เตะถีบต้นเสาอย่างอุตลุตใต้ถุนกุฏิหลวงปู่มั่นนั่นเอง ในขณะที่เพื่อนสหธรรมมิกต่างก็กลัวกันหัวหด ผลก็คือ ตกกลางคืน.........ลูกศิษย์ลูกหาต่างได้ฟังเสียงหลวงปู่มั่นอบรมด้วยเทศน์กัณฑ์ใหญ่ทั้งสองครั้ง!!!หลวงปู่ชาเล่าว่า พระอาจารย์ทองรัตน์ เป็นผู้อยู่อย่างผ่องแผ้วจนวาระสุดท้าย.
    (จาก อุปลมณี น.116)
    พระอรหันต์ไม่สมบูรณ์100%...เพราะอธิวาสนา
    เรื่องนี้หลวงปู่ชาเล่าให้ฟังถึง พระอาจารย์ทองรัตน์
    ...หลวงปู่ชาตอนฝึกออกปฏิบัติเที่ยวธุดงค์อยู่นั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปกราบท่านอาจารย์ทองรัตน์ด้วยได้ยินชื่อเสียง ( ไม่เคยพบกันมาก่อน).....เมื่อไปกราบท่าน ท่านอาจารย์ทองรัตน์ทักทายว่า " ชา...มาแล้วหรือ" ซึ่งแปลกมากเพราะไม่เคยพบกันมาก่อนเลย!!!
    ท่านกล่าวไว้ว่า "...คนเรานั้นเป็นคนเหมือนกันจริง แต่ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด.....ในด้านของพฤติกรรม เพราะเหตุปัจจัยที่ผ่านเข้ามาสร้างเป็นจริตนิสัยนั้นต่างกัน
    เมื่อทำอะไรบ่อย ๆ เข้ารวมเป็นนิสัย
    ทำซ้ำบ่อย ๆ มากขึ้นกลายเป็นอุปนิสัย (นิสัยที่แน่นอนหรือสันดาน)
    อุปนิสัยก็ยิ่งพอกพูนเป็นเรื่องอธิวาสนาคือเป็นพฤติกรรมประจำตัวที่แก้ไม่ได ้....
    ***ผู้ที่จะแก้อธิวาสนาได้ มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้นพระอรหันต์ก็ไม่สามารถแก้อธิวาสนาได้***...."
    (จากอุปลมณี น.๒๙๘)
    ธรรมแท้...ต้องออกจากใจ สดๆ....
    ท่าน อ.โรเบิร์ต สุเมโธ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า
    "....การจัดให้ลูกศิษย์ขึ้นเทศน์นี้ หลวงพ่อมีกติกาอยู่ข้อหนึ่งคือ ห้ามเตรียมตัวเตรียมเนื้อหาของเรื่องที่จะเทศน์ แต่ให้แสดงออกถึงสิ่งที่มีอยู่ในใจขณะนั้น ท่านสอนไม่ให้หวังอะไรจากการเทศน์ ไม่ใช่พูดเพื่อให้ใครนับถือ หรือเกิดความชอบใจซาบซึ้ง ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีอัตตาแอบเข้าไปในการแสดงธรรม...
    มีอยู่ครั้งหนึ่งผมดื้อมาก เตรียมคำเทศน์ไว้ก่อนอย่างละเอียด ล้วนแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น เมื่อเทศน์จบผมก็หลงภูมิใจตนเองว่าเทศน์ได้ดีมาก แต่พอลงจากธรรมาสน์เข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านทำหน้าขรึมแล้วก็ดุว่า ...ไม่เข้าท่า อย่าทำอย่างนี้อีกต่อไป...."
    (จาก อุปลมณี น.357)
    อายกันคนล่ะแบบ
    หลวงปู่ชามีความรักและเคารพต่อข้อวัตรปฏิบัติของท่านมาก จนกระทั่งเคยบอกศิษย์ว่า"...ถ้าจะให้ผมละเมิดพระวินัย ผมยอมตายก่อน ไม่เสียดายชีวิตเท่าเสียดายพระวินัย..."
    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ชาได้รับนิมนต์ไปฉันจังหันในพระบรมมหาราชวัง ขณะลงจากรถ ได้พบกับเจ้าคุณรูปหนึ่งพอดี ท่านเจ้าคุณรูปนั้นมองเห็นว่าหลวงปู่สะพายบาตรอยู่ ก็ถามอย่างเยาะหยันว่า...
    "คุณชา ไม่อายในหลวงหรือ สะพายบาตรเข้าวัง"
    หลวงปู่ตอบว่า"....ท่านเจ้าคุณไม่ละอายพระพุทธองค์หรือครับ ไม่สะพายบาตรเข้าวัง..."
    (จากอุปลมณี น.113)
    จงใจใช้กรรมให้หมดสิ้น
    ปกติเรื่องที่พิสูจน์ยาก...หลวงปู่ชามักจะเลี่ยงที่จะพูดถึง และบางครั้งก็จะไม่อธิบายไปเลย.....เรื่องนี้เกี่ยวกับตาเสยที่เป็นลูกศิษย์ คนหนึ่งได้เล่าไว้....
    .ครั้งหนึ่งหลวงพ่อตาเจ็บ ผมเห็นแล้วทนไม่ได้ พยายามหายามาถวาย แต่ท่านไม่ยอมใส่ยาแถมบอกว่า " เอาวางไว้นั่นแหละ ถ้ายาดีจริง ไม่ใส่มันก็หาย"
    ผม(ตาเสย)จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรเลยร้องไห้ ก็โดนท่านดุไปด้วยสอนไปด้วยว่า
    " แก่จะตายแล้วยังร้องไห้อีก หัวเราะซี มันเจ็บก็ตาต่างหากที่เจ็บ เราต้องหัวเราะเหมือนไม่เจ็บ ต้องสู้ตาย เอาให้มันเลยตายไปโน่น"
    อีกสองวันต่อมา หลวงพ่อคงนึกได้ ให้ผม (ตาเสย) ไปหาใบกุยช่ายมาขยี้แล้วป้ายตาให้ท่าน จึงหาย...
    "นี่แหละกรรม" ท่านเล่าให้ฟัง
    "รู้อยู่หรอกว่าเป็นผลกรรมที่สร้างไว้ สมัยเด็กๆเห็นตุ๊กแกเป็นไม่ได้ ต้องทิ่มตาโปนๆของมันทุกที แล้วก็จับเอาไปสับกับหัวหอม ปิ้งไฟ อร่อยดีแท้ๆ....ทีนี้มันตามมาทันซิ...."
    (จากอุปลมณี น.501)
    ปฏิจจสมุปบาทแบบคนตกต้นไม้
    หลวงปู่ชาจะเปรียบเทียบธรรมที่ลึกซึ้งด้วยการเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ เช่นในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องบาป-บุญ หรือเรื่องบางอย่างที่พิสูจน์ได้ยาก.....เพียงแต่ท่านบอกว่ามันไม่ใช่เรื่อง ลึกซึ้งอะไร ไม่ควรสนใจมากเพราะไม่ใช่แนวการดับทุกข์โดยตรง...ผมคัดลอกการอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาให้อ่านเผื่อว่ามีคนจะอยากอ่าน
    (จากบทเทศนา กุญแจภาวนา
    http://developer.thai.net/ajahn.chah/thai/text/html/The_Key_to_Liberatio n.html)
    ....มันจะเกิดยินร้ายก็เป็นสังขาร มันอยากจะไปโน่นไปนี่ก็เป็นสังขาร ถ้าไม่รู้เท่าสังขารก็วิ่งตามมันไป เป็นไปตามมัน เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใดก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขารคือจิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
    เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ท่านให้พิจารณาอันนี้ ท่านจึงให้รับทราบสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้พิจารณาสังขารเหล่านี้ ปฏิจจสมุปบาทธรรมก็เหมือนกัน....
    อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
    สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญ-ญาณ
    วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปฯลฯ
    เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามาก็เป็นจริงคือท่านแยกเป็นส่วนๆไปเพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อมันเกิดมาจริง ๆ แล้วท่านมหานับไม่ทันหรอก
    อุปมาเหมือนเราตกจากยอดไม้ก็ตุ๊บถึงดินโน่น ไม่รู้ว่ามันผ่านกิ่งไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊บขึ้นมาถ้าชอบใจก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้มันไปตามที่ปริยัติรู้นั่นเองแต่มันก็ไปนอกปริยัติ ด้วย มันไม่บอกว่าตรงนี้เป็นอวิชชาตรงนี้เป็นสังขารตรงนี้เป็นวิญญาณตรงนี้เป็นนามรูปมันไม่ได้ให้ท่านมหาอ่านอย่างนั้นหรอกเหมือนกับการตกจากต้นไม้ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆอาตมาจึงมีหลักเทียบว่าเหมือนกับการตกจากต้นไม้ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆอาตมาจึงมีหลักเทียบว่าเหมือนกับการตกจากต้นไม้เมื่อมันพลาดจากต้นไม้ไปปุ๊บมิได้คณนาว่ามันกี่นิ้วกี่ฟุตเห็นแต่มันตูมถึงดินเจ็บแล้ว
    ทางนี้ก็เหมือนกันเมื่อมันเป็นขึ้นมาเห็นแต่ทุกข์โสกะปริเทวะทุกข์โน่นเลยมันเกิดมาจากไหนมันไม่ได้อ่านหรอกมันไม่มีปริยัติที่ท่านเอาสิ่งละเอียดนี่ขึ้นมาพูดแต่ก็ผ่านไปทางเส้นเดียวกันแต่นักปริยัติเอาไม่ทัน
    เรื่องเกี่ยวกับน้ำมนต์
    วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมากราบนมัสการหลวงพ่อ ตอนจะลากลับเขาคลานเขาคลานเข้าไปหมอบอยู่แทบเท้าท่าน และขอให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ สักครู่หนึ่งหลวงพ่อจึงพูดออกมาว่า"….วันนี้ไม่ได้ต้มน้ำร้อน….."
    อีกเรื่องหนึ่ง….
    มีนายทหารท่านหนึ่งมาคุยสนทนาธรรมกับหลวงพ่ออยู่สองชั่วโมง ก่อนที่เขาและลูกน้องจะกลับเขาก็พูดว่า"….หลวงพ่อครับพวกผมจะลากลับแล้วน่ะค รับ ขอรดน้ำมนต์หน่อย…."
    หลวงปู่ชา"….รดแล้ว…."
    นายทหารทักท้วง"….รดที่ไหนครับหลวงพ่อ ผมเป็นคนรับผมต้องรู้สิ…."
    หลวงปู่ชา"….รดมาตั้งสองชั่วโมงแล้วคุณยังไม่รู้สึกอีกหรือ…"
    (จากหนังสือ อุปลมณี น.434)
    พ่อพ่วงสิ้นใจ
    เรื่อง"พ่อพ่วงสิ้นใจนี้" ผมอ่านพบในหนังสือบุญญฤทธิ์พระโพธิญาณเถระ พิมพ์โดย ชมรมกลุ่มหญ้าคา มีคุณ อำพล เจน เป็นบก. อ่านแล้วประทับใจมาก เลยเอามาเผยแผ่เป็นธรรมทาน….(มีการตัดแต่งข้อความให้สั้นลงเล็กน้อยเพราะผมพิมพ์ช้ามาก แต่ประโยคที่เป็นคำพูดของหลวงปู่ชาจะไม่ตัดแต่งใด ๆ เพื่อความสมบูรณ์ของสาระสำคัญ)
    ก่อนอื่นควรทราบว่าพ่อพ่วง แม่แตง สมหมาย สองสามีภรรยาผู้ชรานี้เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรวัดหนองป่าพงมาตั้งแต่สมัยแรก.พ่อพ่วงเคยปฏิบัติธรรมบวชกับหลวงปู่ชา1 พรรษา สึกออกมาแล้วก็ยังคงเป็นผู้รักษาศีล-ฟังธรรมอยู่ในวัดมาตลอด.พ่อพ่วงศรัทธาหลวงปู่ชามากถึงกับได้ถวายร่างกายให้วัดโดยให้เอากระดูกของท่านมาให้คนอื่นพิจารณาธรรม…ซึ่งหลวงปู่ชาก็ได้รับคำ.
    มกราคม 2508 พ่อพ่วงป่วยกระเสาะกระแสะ…เข้า-ออกโรงบาลหลายครั้ง.หลวงปู่ชาก็ได้หาโอกาสไป เยี่ยมอยู่หลายครั้ง…
    12 มค.08 พ่อพ่วงอาการหนักมาก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ได้ ไม่ลืมตา มีเพียงเสียงครางฮือๆ อยู่ในลำคอ….
    14 มค.08 หลวงปู่ชาและพระอาจารย์จันทร์ อินทวีโร พร้อมพระลูกศิษย์อีก 2 - 3 รูป รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารเช้าที่กรมทหาร.หลังจากฉันเสร็จ หลวงปู่ได้บอกกับผู้กองบุญสมว่า อยากจะไปเยี่ยมพ่อพ่วง ให้ช่วยหารถคันใหญ่ ๆ สักคันไปได้ไหม….
    ผู้กองบุญสม "…ไปเยี่ยมพ่อพ่วงไม่กี่คน เอาคันเล็กไปก็ได้นี่ครับ…"
    หลวงปู่ชายังคนยืนยัน "….เอาคันใหญ่ ๆ นั้นแหละ…"
    นายหนู (ลูกศิษย์ ที่อดีตเคยเป็นศัตรูของหลวงปู่ชา) "….จะไปเยี่ยมหรือไปรับพ่อพ่วงกันแน่…."
    หลวงปู่ชาตอบ "…ไปรับ."
    นายหนูแย้งขึ้นว่า "….ไปรับได้ยังไง ก็แกยังไม่ตาย ลูกหลานเขาจะให้มาหรือ…"
    หลวงปู่ชานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเด็ดขาดว่า "….ตายไม่ตายก็ไปรับเอาวันนี้แหละ ไปกันเถอะพ่อพ่วงกำลังรอ…"
    คณะของหลวงปู่ชาเดินทางถึงบ้านพ่อพ่วงเวลา12.15น. หลวงปู่ชาเข้าไปนั่งลงบนเตียงข้างตัวพ่อพ่วง มองดูพ่อพ่วงอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงเอาฝ่ามือลูบใบหน้าพ่อพ่วงเบาๆ และเรียกชื่อพ่อพ่วง.พ่อพ่วงลืมตาขึ้นทั้งที่ไม่ลืมตามาตลอดเวลามาหลายวันแล้ว
    หลวงปู่ชาถาม "…จำอาตมาได้ไหม…."
    พ่อพ่วงพยักหน้าน้อยๆ และน้ำตาก็ไหลคลอออกมาทันที เสียงครางในลำคอก็ดังขึ้นมาอีก.หลวงพ่อวางฝ่ามือทาบลงที่หน้าผากพ่อพ่วงแล้ว ให้โอวาทว่า "….พ่อพ่วงเราเป็นนักปฏิบัติน่ะ เราเคยสู้มันมาตลอด สู้มานาน ถึงเวลาเขามาเอาก็ให้เขาเอาไป มันของเขา จะหวงเอาไว้ทำไม….เอาของเขามาแล้วก็ส่งเขาคืนไป เก็บเสียงไว้ข้างในสิ ปล่อยออกมาข้างนอกทำไม…"
    พ่อพ่วงเงียบกริบ.
    หลวงปู่ชาให้โอวาทต่อ "…สังขารนี้มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน รูปนี้มันไม่งาม มันเก่าแล้วเพราะว่ามันใช้มานาน ไปหาเอารูปใหม่กายใหม่ ไปยังสถานที่ที่เคยเห็นโน้นน่ะ...."
    ไม่มีใครเข้าใจแน่ชัดว่าหลวงปู่ชาหมายถึงสถานที่อะไร….คงมีแต่หลวงปู่ชากับ พ่อพ่วงเท่านั้นที่รู้ความหมายที่แท้จริง.!!!
    หลวงปู่ชาหันมาถามผู้กองสมบุญ "….ตอนนี้เวลาเท่าไรแล้ว…."
    ผู้กองสมบุญถวายคำตอบ "….เที่ยงห้าสิบห้านาที…."
    หลวงปู่ชาพึมพำพอได้ยินทั่วกัน "….อีกห้านาทีพ่อพ่วงก็จะไปแล้ว….".
    หลวงปู่ชาใช้มือลูบใบหน้าพ่อพ่วงอย่างแผ่วเบาไปเรื่อยๆ.เปลือกตาของพ่อพ่วงก็ค่อย ๆ ปิดลงจนสนิทในเวลา13.00น!!!.
    พ่อพ่วงสิ้นใจด้วยอาการอันสงบต่อหน้าหลวงปู่ชา….
    หลวงปู่ชารับเอาศพพ่อพ่วงกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหนองป่าพงทันที….ส่วนกระดูกของพ่อพ่วง หลวงปู่ชาไม่ได้รับเอาไว้ เพราะเกรงจะกระเทือนจิตใจลูกหลานพ่อพ่วงจนเกินไป…..
    ช่วยเด็กตกน้ำ
    คุณกมล สินธุเชาน์ เล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อสั่งให้เฮียเหมาออกไปที่นอกวัด ให้ไปบอกรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าวัดหนองป่าพงว่าอย่าไปไหนหลวงพ่อจะออกไปทำธุระ จะต้องใช้รถ คุณกมลนึกแย้งในใจว่าหน้าวัดจะมีรถที่ไหน วัดหนองป่าพงสมัยนั้นเรื่องจะมีรถผ่านไปมายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่ขัดคำสั่งไม่ได้ต้องออกไปดู พบว่ามีรถยนต์จอกอยู่คันหนึ่งจริงๆ!!! จึงบอกกล่าวแก่เจ้าของรถตามบัญชาหลวงพ่อ.
    เมื่อกลับมารายงานเรื่องรถถวายหลวงพ่อแล้ว ท่านลุกขึ้นครองจีวรและกล่าวว่า
    "ไปวัดเขื่อนจักคราว"(จักคราว หมายถึง สักนิดหน่อย, สักเดี๋ยว,สักครู่)
    วัดเขื่อนคือวัดวนโพธิญาณ สาขาวัดหนองป่าพง ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนสิรินธร อ.พิบูลมังสาหาร.
    "ไปทำไมหลวงพ่อ" เฮียเหมาสงสัย
    "ไปช่วยเด็กตกน้ำ" หลวงพ่อตอบ
    ระยะทางจากวัดหนองป่าพงไปถึงวัดเขื่อนราวๆ 80 กว่า กม. สมัยนั้นใช้เวลาวิ่งเกือบสองชั่วโมงจึงถึง
    เมื่อไปถึงก็เป็นเวลาพอดีกับครอบครัวของนายอำเภอ ปรีชา ณ ศีลวันต์ กำลังเล่นน้ำที่ริมฝั่งวัดเขื่อน ขณะนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นทันที ลูกของท่านนายอำเภอจมหายลงไปในน้ำ ภรรยาของท่านนายอำเภอก็โผตามไปช่วย เลยมีอันจมหายไปด้วยกันทั้งคู่
    หลวงพ่อซึ่งไปถึงวัดพอดีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ท่านไม่ได้เดินไปที่ริมฝั่งเกิดเหตุแต่อย่างใด ท่านเพียงเดินขึ้นไปศาลาวัดเหมือนมีธุระกับทางวัดและนั่งลงพักที่นั่น
    ครู่เดียวก็ได้ทราบข่าวอุบัติเหตุ แม่ลูกจมน้ำจะตาย แต่กลับปลอดภัยดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ…..รายละเอียดการรอดตายไม่ทราบชัดว่ารอดขึ้นมาได้อย่างไร…..คงทราบแต่ว่าเมื่อแม่ลูกปลอดภัยแล้ว หลวงพ่อก็กลับวัดหนองป่าพงทันที….
    เป็นการเดินทางไปถึงแล้วนั่งพักแป๊บเดียวแล้วก็กลับดังคำที่ท่านบอกว่า "จะไปช่วยเด็กตกน้ำ"!!!
    (จากหนังสือ บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถระ ชมรมกลุ่มหญ้าคาพิมพ์ น.53)
    พระเครื่องเสด็จมาเอง
    …….พระอาจารย์มหาอมร เขมจิตโต เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ ได้บันทึกจากปากคำของร้อยเอกสมบุญ บุญญรังสรรค์ (ยศขณะ พ.ศ.2510) เรื่องมีอยู่ว่าผู้กองเพิ่งย้ายมาอยู่อุบลใหม่ๆ ก็ถามไถ่ใครต่อใครว่ามีอาจารย์เก่งที่ไหนบ้าง เนื่องจากว่าเป็นผู้สนใจในเรื่องเครื่องรางของขลังอยู่เป็นนิสัย จึงมีผู้บอกให้ไปหาหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง
    วันแรกที่ได้พบหลวงพ่อ ก็เพียงสนทนาธรรมทั่วไป จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา แต่ยังไม่กล้าขออะไรจากท่าน
    …..อีกสัปดาห์ก็กลับมาใหม่และกราบขอของดี แต่หลวงพ่อกลับบอกว่าอาตมาไม่มีของดีอะไร ของที่ดียิ่งกว่าของดีทั้งหลายคือธรรมะ ผู้ปฏิบัติตามธรรมะแล้วสามารถคุ้มครองตนเองได้
    ถึงยังงั้นแล้วผู้กองสมบุญยังคงรบเร้าจะเอาให้ได้
    …หลวงพ่อจึงบอกว่า อาตมาเคยมีพระเครื่องเหมือนกัน 12 องค์…..เหตุที่มีนั้นเกิดจากโยมคนหนึ่งนำกระเป๋าที่ลูกสาวเคยใช้มาถวายเพราะลูกสาวตาย คิดถึงลูกสาวมากทุกครั้งที่เห็นกระเป๋าใบนี้……หลวงพ่อไม่รู้จะเอากระเป๋าไปทำอะไรเพราะเป็นของที่พระใช้ไม่ได้ แต่เพื่อรักษาน้ำใจจึงรับเอาไว้ ตั้งใจจะเอาไว้ใส่เข็มเย็บผ้ากับด้าย เปิดดูแล้วไม่มีอะไรในกระเป๋าจึงเอาไปแขวนไว้ข้างฝาด้านหัวนอน
    หลายวันต่อมาเห็นกระเป๋าแกว่งไปแกว่งมา เข้าใจว่าลูกหนูคงเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วออกไม่ได้ จึงลุกไปเปิดกระเป๋าดูและเห็นพระเครื่องรูปใบโพธิ์อยู่ในกระเป๋า12 องค์ ไม่ทราบว่ามาอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไร!!!……ต่อมามีผู้ทราบเรื่องและมาทยอยขอไปจนหมดไม่เหลือ ผู้รับพระเครื่องไปบอกว่าเป็นพระเครื่องหลวงพ่อลี วัดอโศการาม ปากน้ำ!!!
    (จากหนังสือ บุญญฤิทธิ์ พระโพธิญาณเถระ ชมรมกลุ่มหญ้าคาพิมพ์ น.41)
    ซ่ามา...เลยเจอสวนกลับ
    (นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่)
    วันหนึ่งหลวงพ่อพาพระเณรขนดินขึ้นไปใส่ในสนามหญ้ารอบโบสถ์. พอดีขณะที่ท่านยืนสั่งงานอยู่นั้น มีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งมาเที่ยวชมวัด เดินมาพบท่านเข้า. พวกเขาเข้ามายืนใกล้ๆท่านทำท่าแบบฝรั่งวัยรุ่น กิริยาไม่สู้จะอ่อนน้อมเท่าใดนัก. หนึ่งในคณะของเขา ถามท่านหลายอย่าง..............
    และท้ายที่สุดเขาจึงถามทำนองรุกไล่ว่า...."ทำไมท่านไม่พาพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาทำงานอยู่เรื่อย?"
    หลวงพ่อตอบออกไปทันควันว่า "นั่งมากมันถ่ายไม่ออกว่ะ"
    พวกนั้นรู้สึกงุนงงต่อคำตอบของท่าน ทันทีท่านยกไม้เท้าขึ้นชี้ไปยังคนถามปัญหา และสั่งสอนว่า
    "......ที่ถูกนั้นนั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง และทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงจะถูก....กลับไปเรียนมาใหม่ นี้ยังอ่อนอยู่มาก เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันจะขายขี้หน้าตัวเอง"
    (จาก อุปลมณี น.317)
    เหล้าดี ยิ่งกินยิ่งเมา
    เรื่องของฤทธิ์.....อภิญญา หรือการล่วงรู้วาระจิตผู้อื่น เป็นเรื่องที่มีผู้ประสบพบกับท่านบ่อยมากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ แต่ท่านมักจะสอนไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้น.ท่านเปรียบเหมือนเหล้าว่า เหล้าดียิ่งกินยิ่งเมา.....ท่านจะมุ่งเน้นเข้าสู่การทำให้ถึงที่สุดของทุกข์ .อ.หมอ อุทัย เจนพาณิชย์ ลูกศิษย์ฆราวาสคนหนึ่ง(ที่นิมนต์หลวงปู่ไปแสดงธรรมเรื่องบ้านที่แท้จริงให้คุณแม่ของอาจารย์ฟัง อ่านในhttp://developer.thai.net/ajahn.chah/thai/text/html/Our_Real_Home.html) เคยแปลกใจในเรื่องเหล่านี้มาก พยายามจะเรียบเคียงถามว่ามันเป็นไปได้อย่างไร.........แต่ท่านก็จะพูดตัดบทไปเลยว่า"....อย่าไปสนใจเรื่องเหล่านี้เลย มันเป็นเพียงเรื่องของสมาธิไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไร..."
    แต่ผมขอเอามาเล่าให้อ่านกันสักเล็กน้อยแล้วกัน เช่นเรื่องบางเรื่องจากหัวข้ออย่างข้างบน..... เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องหลัก แต่ตามประสาคนชอบเมาส์อย่างผมก็อดไม่ได้เหมือนกัน
    พิสูจน์นักวิทยาศาสตร์
    พระอุปัฏฐากหลวงพ่อรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
    "มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์เขามากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นผมอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อด้วย. เขาบอกว่า พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วิทยาศาสตร์เขาดีกว่า ทำอะไรเขาก็พิสูจน์ได้เยอะ ทำอะไรออกมาก็ปรากฏให้เห็นได้ พุทธศาสนาพิสูจน์ไม่ได้"
    หลวงพ่อตอบว่า"...เฮ้ย เรายังไม่ทันถึงพุทธศาสตร์ก็ได้เว้ย . ก็เหมือนกับว่ามือเรามันสั้น แต่รูมันลึกลงไป.....เราล้วงมือลงไป มือมันสั้น มันสุดแค่นี้ แต่รูมันยังลึกเข้าไปอีก.....เราจะปฏิเสธว่า เอ๊ะ รูมันหมดแค่นี้เอง มันจะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า....ความจริงมือเรามันสั้น เราไม่ได้คิดว่ารูมันลึกเข้าไปกว่านั้น.....
    หรือบางทีสายตาของเรามันสั้น เหมือนกับว่า เครื่องบินมันบินไป เครื่องบินนั้นมีอยู่ แต่สายตาของเรามันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่เห็นเครื่องบิน แต่เครื่องบินมันยังมีและยังบินไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่ามันไม่มี นี้เป็นกุศโลบาย"
    <!--/tbody--></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    เป็นยังไงกันบ้างคะ... ปฏิบัติกรรมฐานตามกันได้ไหมเอ่ย...

    ใครปฏิบัติได้ผลอย่างไรบ้าง ช่วยมาแบ่งปันประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ฟังกันบ้างนะคะ...

    วันนี้เป็นกรรมฐานข้ออรูปกรรมฐานนะคะ...

    มาเริ่มกันเลยค่ะ...

    .....................................................


    คำสอนโดย สมเด็จพระอริยวงษญาณ ฯ พระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)


    อรูปฌานสมาบัติ

    ข้าพเจ้าจะภาวนาอรูปฌานสมาบัติเจ้า เพื่อจะขอเอาอุปจารสมาธิในห้องเอกาสานัญจายตนะอรูปสมาบัติเจ้านี้จงได้

    ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้านี้เถิด ฯ ล ฯ [เพื่อจะขอเอาอุปจารสมาธิ ในห้องอากาสานัญจายตนะอรูปสมาบัติเจ้านี้จงได้
    ขอจงเจ้ากู ฯ ล ฯ อยู่นี้เถิด

    (เมื่อได้อุปจารสมาธิแล้ว จึงเปลี่ยนอาราธนาว่า เพื่อจะขอเอาอัปปนาสมาธิต่อไป ได้อากาสานัญจายตนะแล้ว เปลี่ยนคำอาราธนาเป็นห้องวิญญานัญจายตนะ แลห้องอากิญจัญญายตนะ แลในห้องเนวสัญญานาสัญญายตน เรียงไปตามลำดับ จนครบอรูป ๔

    องค์ภาวนาแลผลสมาบัติมีลำดับตามสมาบัติ ดังต่อไปนี้)]

    ๑. อากาโส อนนฺโต ภาวนาปรากฏเห็นอากาศแผ่นดินไม่มีเลย ตัวก็ไม่มี อยู่สบายลอยๆ

    ๒. วิญฺญาณํ อนนฺตํ สมาธิดับอากาศ มีกำลังกายเบา

    ๓. นตฺถิ กิญฺจิ นั่งสบายอยู่เงียบๆ ในที่กายยินดี เป็นสุข ไม่ทุกข์ร้อน สบายเช่นดี (สบายในรูปธรรม)

    ๔. เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ปรากฏเงียบแน่ ไม่รู้ว่าหายใจ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน สบาย (สบายในนามธรรม)


    ...........................................................


    คำสอนโดย หลวงปู่มั่น


    จะได้อธิบายแต่อรูปกรรมฐาน 4 ดังต่อไปนี้

    โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอรูปกรรมฐานที่หนึ่งพึงกสิณทั้ง 9 มีปฐวีกสิณเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเว้นอากาศกสิณเสีย

    เมื่อสำเร็จรูปาวจรฌาณอันเป็นที่สุดแล้วเจริญอรูปาวจรฌาณในอรูปกรรมฐานต่อไป พึงเพิกกสิณนั้นเสีย คืออย่ากำหนดนึกหมายเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์ พึงตั้งจิตเพ่งนึกพิจารณาอากาศที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศ ที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศเปล่าเป็นอารมณ์

    พิจารณาไปๆ จนอากาศเปล่าเท่าวงกสิณปรากฏในมโนทวารในกาลใด ในกาลนั้นให้โยคาวจรพิจารณาอากาศอันเป็นอารมณ์ บริกรรมว่า อนนโต อากาโส อากาศไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ร่ำไป

    เมื่อบริกรรมนึกอยู่ดังนี้เนืองๆ จิตก็สงบระงับตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิไปจนถึงอัปปนาสมาธิโดยลำดับ สำเร็จเป็นอรูปฌาณที่ 1 ชื่อว่า อากาสานัญจายตนฌาณ

    เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 2 ต่อไป พึงละอากาศนิมิตที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่แรกนั้นเสีย พึงกำหนดจิตที่ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์นั้นมาเป็นอารมณ์ต่อไป บริกรรมว่า อนนตํ วิญญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 2 ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนฌาณ

    เมื่อจะเจริญอรูปฌาณที่ 3 ต่อไป พึงละอรูปวิญญาณทีแรกที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 2 นั้นเสีย มายึดหน่วงเอาความที่ไม่มีของอรูปฌาณทีแรก คือกำหนดว่าอรูปวิญญาณแรกนี้ไม่มีในที่ใด ดังนี้เป็นอารมณ์แล้วบริกรรมว่า นตถิกิญจิๆ อรูปวิญญาณทีแรกนี้มิได้มีมิได้เหลือติดอยู่ในอากาศดังนี้ เนืองๆ ไปก็ะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 3 ชื่อว่า อากิญจัญญายตนฌาณ

    เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 4 ต่อไป พึงปล่อยวางอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 3 คือ ที่สำคัญมั่นว่าอรูปฌาณทีแรกไม่มีดังนี้เสีย พึงกำหนดเอาแต่ความละเอียดปราณีตของอรูปฌาณที่ 3 เป็นอารมณ์ทำบริกรรมว่า สนตเมตํ ปณีตเมตํ อรูปฌาณที่ 3 นี้ละเอียดนักประณีตนัก จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนี้เนืองๆ ไป ก็จะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 4 ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ


    จะอธิบายฌาณและสมาบัติต่อไป

    ฌาณนั้นว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่างคือ รูปฌาณและอรูปฌาณอย่างละ 4 ฌาน เป็นฌาณ 8 ประการ ฌาณทั้ง 8 นี้ เป็นเหตุให้เกิดสมาบัติ 8 ประการ บางแห่งท่านก็กล่าวว่า ผลสมาบัติ

    ต่อได้ฌาณมีวสี ชำนาญดีแล้ว จึงทำให้สมาบัติบริบูรณ์ขึ้นด้วยดีได้ เพราะเหตุนี้สมาบัติจึงเป็นผลของฌาณ ก็สมาบัติ 8 ประการนี้

    ในภายนอกพระพุทธศาสนาก็มี แต่ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ได้แต่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหารและเป็นไปเพื่อเกิดในพรหมโลกเท่านั้น เหมือนสมาบัติของอาฬารดาบส และอุทุกดาบสฉนั้น

    ส่วนสมาบัติพระพุทธศาสนานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อรำงับดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่าง คือ ผลสมาบัติและนิโรธสมาบัติ ผลสมาบัตินั้นย่อมสาธารณะทั่วไปแก่พระอริยเจ้าสองจำพวกคือ พระอนาคามีกับพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ 8 เท่านั้น


    อนึ่งฌาณและสมาบัตินี้ ถ้าว่าโดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เพราะฌาณนั้นเป็นที่ถึงด้วยดีของฌานลาภีบุคคล จริงอยู่ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ฌานลาภีบุคคล ถึงด้วยดีซึ่งสมาบัติ คือฌาณเป็นที่ถึงด้วยดี มีปฐมฌาณเป็นต้นดังนี้ อนึ่ง ในพระบาลีแสดง อนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ไว้ คือปฐม ทุติย ตติย จตุตถฌาณ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสมาบัติที่อยู่ตามลำของฌาณลาภีบุคคลดังนี้

    อนึ่งท่านแสดง อนุบุพพนิโรธสมบัติ 9 ไว้ว่า ฌาณลาภีบุคคลเมื่อถึงด้วยปฐมฌาณ วิตก วิจารณ์ดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งตติยฌาณ ปิติดับไป เมื่อถึงด้วยดี ซึ่งจตุตถฌาณ ลมอัสสาสะปัสสาสะดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากาสานัญจายตนฌาณ รูปสัญญาดับไปเมื่อถึงด้วยดีซึ่งวิญญาณัญจายตนฌาณ สัญญาในอากาสานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากิญจัญญายตนฌาณ สัญญาในวิญญานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งเนวสัญญานาสัญญยตนฌาณสัญญาในอากิญจัญญายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับไป ธรรม9 อย่างนี้ชื่อ อนุบุพพนิโรธสมาบัติ สมาบัติเป็นที่ดับหมดแห่งธรรมอันเป็นปัจจนึกแก่ตนตามลำดับฉะนี้ คำในอรรถกถาและบาลีทั้ง 2 นี้ส่องความให้ชัดว่า ฌาณและสมาบัติ สมาบัติเป็นผล วิเศษแปลกกันแต่เท่านี้


    บุคคลใดปฏิบัติชอบแล้ว บุคคลนั้นย่อมพิจารณาความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีน้อยหนึ่งในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เห็นซึ่งอะไรๆ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุดในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งจะเข้าถึงความเป็นของไม่ควรถือเอา อุปมาเหมือนบุรุษไม่เห็นซึ่งที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุด ในก้อนเหล็กแดงอันร้อนอยู่ตลอดวัน ที่เข้าถึงความเป็นของควรจับถือสักแห่งเดียวฉันใด

    บุคคลพิจารณาเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายนั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีในสังขารเหลานั้นแม้น้อยหนึ่งฉันนั้น เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นว่าเป็นของร้อนพร้อม ร้อนมาแต่ต้นตลอดโดยรวบ มีทุกข์มากมีคับแค้นมาก ถ้าใครมาเห็นได้ซึ่งความไม่เป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายไซร้ ธรรมชาตินี้คือธรรมชาติเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สลัดคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา ธรรมชาติเป็นที่ปราศจากเครื่องย้อม ธรรมชาติเป็นที่ระงับความกระหาย ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ ธรรมชาตินั้นเป็นที่สงบ เป็นของปราณีตดังนี้ ฐานที่ตั้งแห่งธรรมอันอุดมนี้คือ ศีล บุคคลตั้งมั่นในศีลแล้ว เมื่อกระทำในใจโดยชอบแล้ว จะอยู่ในที่ใดๆ ก็ตามปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานด้วยประการฉะนี้


    เมื่อโยคาวจรตั้งธรรม 6 กอง มีขันธ์ 5 เป็นต้น มีปฏิจจสมุปบาทเป็นที่สุดได้เป็นพื้น คือพิจารณาให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม 6 กอง ยึดหน่วงเอาธรรม 6 กองไว้เป็นอารมณ์ได้แล้ว ลำดับนั้นจึงเอาศีลวิสุทธิและจิตตวิสุทธิมาเป็นรากฐาน ศีลวิสิทธินั้นได้แก่ปาฏิโมกขสังวรศีล จิตตวิสุทธินั้นได้แก่อัฏฐสมาบัติ 8 ประการ เมื่อตั้งศีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิเป็นรากฐานแล้ว ลำดับนั้นโยคาวจรพึงเจริญวิสุทธิทั้ง 5 สืบต่อไปโดยลำดับๆ เอาทิฏฐิวิสุทธิและกังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นมือซ้ายมือขวา เอาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถยกตนออกจากวัฏฏสงสารได้


    ทิฏฐิวิสุทธินั่นคือปัญญาอันพิจารณาซึ่งนามและรูปโดยสามัญลักษณะ มีสภาวะเป็นปริณามธรรมมิได้เที่ยงแท้ มีปกติแปรผันเป็นต้น เป็นปัญญาเครื่องชำระตนให้บริสุทธิ์จากความเห็นผิดต่างๆ โยคาวจรเจ้าผู้ปรารถนาจะยังทิฏฐิวิสุทธิให้บริบูรณ์ พึงเข้าสู่ฌาณสมาบัติตามจิตประสงค์ ยกเว้นเสียแต่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะละเอียดเกินไป ปัญญาของโยคาวจรจะพิจารณาได้โดยยาก พึงเข้าแต่เพียงรูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 3 ประการนั้นเถิด เมื่ออกจากฌาณสมาบัติอันใดอันหนึ่งแล้ว พึงพิจารณาองค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น แล้วเจตสิกธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนั้นให้แจ้งชัดโดยลักษณะ กิจ ปัจจุปัฏฐานและอาสันนการณ์ แล้วพึงกำหนดกฏหมายว่า องค์ฌาณและธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนี้ล้วนแต่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสิ่งที่น้อมไปสู่อารมณ์สิ้นด้วยกัน แล้วพึงกำหนดพิจารณาที่อยู่ของนามธรรม จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุ เป็นที่อยู่แห่งนามธรรม อุปมาเหมือนบุรุษเห็นอสรพิษภายในเรือน เมื่อติดตามสกัดดูก็รู้ว่าอสรพิษอยู่ที่นี่ๆ ฉันใด โยคาวจรผู้แสวงหาที่อยู่แห่งนามธรรมฉันนั้น ครั้นแล้วพึงพิจารณารูปธรรมสืบต่อไป จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุนั้นอาศัยซึ่งภูตรูปทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้อุปาทานรูปอื่นๆ ก็อาศัยภูตรูปสิ้นด้วยกัน รูปธรรมนี้ย่อมเป็นสิ่งฉิบหายด้วยอันตรายต่างๆ มีหนาวร้อนเป็นต้น

    เมื่อโยคาวจรมาพิจารณารู้แจ้งซึ่งนามและรูปฉะนี้แล้ว พึงพิจารณาธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาโดยสังเขปหรือพิสดารก็ได้ ตามแต่ปัญญาของโยคาวจรจะพึงหยั่งรู้หยั่งเห็น ครั้นพิจารณาธาตุแจ่มแจ้งแล้ว พึงพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย มีเกสา โลมา เป็นต้น จนถึงมัตถลุงคังเป็นที่สุด ให้เห็นชัดด้วยปัญญา โดย วณโณ สี คนโธ กลิ่น รโส รส โอช ความซึมซาบ สณฐาโน สัณฐาน สั้นยาวใหญ่น้อย แล้วพึงประมวลรูปธรรมทั้งปวงมาพิจารณาในทีเดียวกันว่า รูปธรรมทั้งปวงล้วนมีลักษณะฉิบหายเหมือนกัน จะมั่น จะคง จะเที่ยง จะแท้ สักสิ่งหนึ่งก็มิได้มี

    เมื่อโยคาวจรเจ้าพิจารณาเห็นกองรูปดังนี้แล้ว อรูปธรรมทั้ง 2 คือจิต เจตสิก ก็ปรากฏแจ้งแก่พระโยคาวจรด้วยอำนาจทวาร คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ เพราะว่าจิตและเจตสิกนี้มีทวารทั้ง 6 เป็นที่อาศัย เมื่อพิจารณาทวารทั้ง 6 แจ้งประจักษ์แล้ว ก็รู้จักจิตและเจตสิกอันอาศัยทวารทั้ง 6 นั้นแน่แท้ จิตที่อาศัยทวารทั้ง 6 นั้นจัดเป็นโลกีย์ 81 คือทวิปัญจวิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 มโนวิญญาณธาตุ 68 และเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโลกียจิต 81 คือผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิต อินทรีย์ มนสิการ ทั้ง 7 นี้เป็นเจตสิกที่สาธารณะทั่วไปในจิตทั้งปวง การกล่าวดังนี้มิได้แปลกกันเพราะจิตทั้งปวงนั้น ถ้ามีเจตสิกอันทั่วไปแก่จิตทั้งปวงเกิดพร้อมย่อมมีเพียง 7 ประการเท่านี้

    เมื่อโยคาวจรบุคคลมาพิจารณา นามและรูปอันกล่าวโดยสรุปคือ ขันธ์ 5 แจ้งชัดด้วยปัญญาญาณตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมถอนความเห็นผิด และตัดความสงสัยในธรรมเสียได้ ย่อมรู้จักทางผิดหรือถูกความดำเนินและไม่ควรดำเนิน แจ่มแจ้งแก่ใจย่อมสามารถถอนอาลัยในโลกทั้งสามเสียได้ ไม่ใยดีติดอยู่ในโลกไหนๆ จิตใจของโยคาวจรย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหารได้โดยแน่นอนด้วยประการฉะนี้แล
     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คำสอนโดย พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)


    อรูปกรรมฐาน ๔

    อรูปกรรมฐาน ๔...

    อากาสานัญจายตนะ อากาศที่ไม่มีที่สุด อากาศทั่วไป อย่างนี้ต้องพิจารณาด้วย

    วิญญาณัญจายตนะ คือ วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด

    อากิญจัญญายตนะ ไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งใดเป็นอารมณ์ อย่าไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ ยึดแต่อารมณ์ดีมีปัญญาเท่านั้นเอง

    เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีความรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็กำหนดไม่ได้ ที่กำหนดไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องอจินไตย แล้วมันเป็นสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจะออกมาในลักษณะอาการอย่างนี้


    .........................................................



    คำสอนโดยพระครูธรรมธรเล็ก สุธัมมปัญโญ


    สำหรับวันนี้จะกล่าวถึง กรรมฐาน 4 กองสุดท้าย เราได้เรียนมาแล้วทั้งหมด 36กองด้วยกัน คือ อนุสสติ10 กสิน10 อสุภกรรมฐาน10 อาหาเรปฏิกูลสัญญา1 จตุธาตววัตถาน1 และพรหมวิหาร4กอง รวมเป็น 36 กอง วันนี้จะกล่าวถึง 4กองสุดท้าย คืออรุปฌาน

    อรูปฌานทั้ง 4 นี้ จริงๆแล้วเป็นเรื่องยาก แต่ว่าควรจะศึกษาเอาไว้เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาที่กำลังมันเพียงพอ เราจะได้มีแนวทางปฏิบัติได้ง่าย

    เรื่องของอรูปฌานทั้ง 4 กองนี้ เราต้องมีพื้นฐานมาจากกสินทั้ง 10 เมื่อได้กสินทั้ง 10 กองแล้ว เอากสิน 9 กอง คือ ปฐวีกสิน เตโชกสิน วาโยกสิน อาโปกสิน โลหิตกสิน ปีตกสิน โอทาตกสิน นีลกสิน และ อาโลกกสิน ทั้ง9กองนี้ กองใดกองหนึ่ง ยกขึ้นมาเป็นนิมิตก่อน เว้นไว้เสียแต่ อากาสกสิน เพราะว่าอากาสกสินเป็นการจับความว่างอยู่แล้ว ลักษณะมันคล้ายคลึงกัน ถึงไม่สามารถนำมาใช้กับอรูปฌานทั้ง 4 ได้

    การปฏิบัติในอรูปฌานนั้น เราต้องทำกสินได้คล่องตัวแล้ว ตั้งนิมิตของกสินขึ้นมา พออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ผู้ที่ปฏิบัติในอรูปฌานจะมีอารมณ์คิดแทรกอยู่ว่า ความทุกข์ทั้งหลายก็ดี สิ่งต่างๆที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สร้างความทุกข์ให้แก่เราก็ดี มันมีพื้นฐานมาจากร่างกายนี้คือรูปนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้ จะตั้งความปรารถนาไว้ว่า เราไม่ต้องการร่างกายนี้อีก เราไม่ต้องการมีรูปนี้อีก เพราะมีเมื่อไหร่ ก็ลำบากกับมันเมื่อนั้น


    นั้นก็กำหนดกำลังใจให้คิดถึงความว่างของอากาศแทนในเมื่อจิตไม่ต้องการรูปอธิษฐานขอให้ภาพกสินนี้หายไป ให้ความว่างไร้ขอบเขตของอากาศปรากฎขึ้นแทน แล้วใช้คำภาวนาว่า อากาสาอนันตาว่าไปเรื่อย ๆ จนกำลังทรงเป็นฌานเต็มที่ คือฌานสี่ ถ้าหากว่าทรงเต็มที่แล้ว บางทีก็มีนิมิตปรากฎด้วย สำหรับอรูปฌานแรกนี้ คือนิมิตจะเป็นอากาศที่กว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด สามารถย่อให้เล็กได้ขยายให้ใหญ่ได้เช่นกัน ถ้าหากว่าทำได้ดังนี้แล้วก็ชื่อว่า อากาสาอนันตา *ได้อรูปฌานที่ หนึ่ง อากาสานัญจายตนะฌาน

    เราก็ทำอรูปฌานที่ 2 ต่อไป เราตั้งภาพกสินขึ้นมา กำหนดถึงความไม่มีขอบเขตของอากาศ จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็ใช้อารมณ์คิดต่อไปว่า ถึงแม้ว่าอากาศนั้นมันจะกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุดแต่ว่ามันยังมีวิญญาณเอกภาพจิตรับรู้ว่าของเรา ที่สามารถกำหนดมันได้อยู่ ดังนั้น แม้ว่าเราไม่มีกายแล้ว แต่ถ้ายังมีจิต คือวิญญาณในการรับรู้นี้ มันก็ยังสามารถรู้สุขรู้ทุกข์ได้ ดังนั้น ไม่ต้องการแม้แต่วิญญาณนี้ แล้วภาวนาว่า วิญญานัง อนันตัง วิญญานัง อนันตัง จับความไม่มีวิญญาณ คือความไม่ปรารถนาแม้แต่ร่างกายนี้ แม้แต่จิตนี้ไปเรื่อย พร้อมกับคำภาวนา จนมันทรงตัวเป็นฌานสี่เต็มที่ของมัน ก็ได้ชื่อว่าเราปฏิบัติใน *วิญญาณัญจายตนะฌาน เป็นอรูปฌานที่สองได้

    หลังจากนั้นก็ให้ปฏิบัติในอรูปฌานที่สามต่อไป คือพิจารณาต่อว่า การมีรูปนี้ก็ดี การมีจิตวิญญาณนี้ก็ดี มันก็ล้วนแต่เป็นตัวพาให้ทุกข์พาให้ลำบากทั้งสิ้นนัตถิ กิญจิ นัตถิ กิญจิความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรทรงตัวอยู่ได้ แม้แต่ภาพกสินที่เราตั้งขึ้นมามันก็ทรงตัวไม่ได้ เพราะว่าเราต้องเพิกมันทิ้งเสีย ก็ไปจับความไม่มีอะไรทรงตัวเหลืออยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในที่สุดก็สลาย ก็ตาย ก็พัง ไปทั้งสิ้น คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ บ้านเรือน โรง ภูเขา อะไรก็ตาม ในที่สุดมันก็ย่อยสลายลง ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ แล้วจับคำภาวนาว่า นัตถิ กิญจิ นัตถิ กิญจิ กำหนดใจว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยหนึ่งเป็นเรื่องปกติ จนอารมณ์ใจทรงเป็นฌานสี่ เต็มที่ ก็ชื่อว่าเราทำอรูปฌาน 3 คือ*อากิญจัญญายตนะฌานได้แล้ว เมื่อได้อรูปฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แล้ว

    ก็ให้ทำอรูปฌานที่ 4 ก็คือ เนวะสัญญานาสัญญายตนะฌาน อันนี้จะจับยากอยู่ซักนิดหนึ่ง เพราะว่ามีสัญญาคือรู้ได้หมายจำ ถ้าทำเป็นเหมือนคนไม่มีสัญญา เห็นก็ทำเป็นไม่เห็น ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ได้กลิ่นก็ทำเป็นไม่ได้กลิ่น ได้รสก็ทำเป็นไม่ได้รส สัมผัสก็ทำเป็นไม่ได้สัมผัส มันร้อนถ้าหากว่าป้องกันได้ ก็ป้องกันให้มัน ถ้าป้องกันไม่ได้มันอยากร้อนก็เรื่องของมัน มันหนาวถ้าป้องกันได้ก็ป้องกันให้มัน ถ้ามันป้องกันไม่ได้ ก็เรื่องของมัน มันหิวถ้ามีให้มันกิน ก็กิน ถ้าไม่มีให้มันกินก็เรื่องของมัน มันกระหายถ้ามีให้มันดื่มก็หาให้มันดื่ม ถ้าไม่มีก็เรื่องของมัน ทำตัวเหมือนคนไม่มีสัญญา กระทบอะไรก็อยู่แต่ในกำลังของสมาธิ กำลังของฌานอย่างเดียว เมื่อตั้งภาพกสินขึ้นมาแล้ว เพิกภาพนั้นหายไป จับอยู่ในอารมณ์ของการมีสัญญา เหมือนกับไม่มีสัญญา จนกำลังใจทรงตัวเป็นฌานสี่เต็มที่ ก็ชื่อว่าเราทำอรูปฌานที่4 คือ*เนวะสัญญา นาสัญญายตนะฌาน ได้แล้ว

    ...ก็ให้พยายามสลับฌานไปเป็น อรูปฌานที่ 1 อรูปฌานที่ 4 อรูปฌานที่ 2 อรูปฌานที่ 3 หรือว่า 1 2 3 4 4 3 2 1 สลับเข้าสลับออกอย่างนี้จนเคยชิน

    กำลังของอรูปฌานนี้มีอนุภาพมาก มีกำลังสูงมาก โดยเฉพาะมีอารมณ์ทิพย์ที่ใกล้เคียงวิปัสนาญาณมาก โบราณาจารย์จึงได้กล่าวว่า ถ้าใครได้อรูปฌานแล้ว เจริญวิปัสนาญาณต่อแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลกเดียวก็กลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เราไม่สามารถทำให้เต็มที่ได้ ก็ลองฝึกลองซ้อมดู เพื่อจะได้เป็นแนวทางที่เราเข้าถึงไว้ก่อน เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาที่เราทรงฌานสมาบัติ ได้เต็มที่ เราก็มาฝึกปรือของเราต่อเพื่อให้เข้าถึงที่สุดของมันกำลังของอรูปฌานนี้เนื่องจากว่ามีพื้นฐานมาจากกสินแล้ว มีความคล่องตัวมาจากกสินแล้ว

    ดังนั้น ถ้าหากว่าก้าวเข้าถึงความเป็นอริยะเจ้า ตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป ก็จะเกิดปฏิสัมภิทาญาณขึ้น คือมีความสามารถครอบคลุม ทั้งสุขวิปัสโก วิชาสาม อภิญญาหก ผู้ที่ได้ฤทธิ์ ได้อภิญญาทำอะไรได้ ผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณก็ทำได้ และมีความคล่องตัวกว่า และยังมีความสามารถพิเศษก็คือ อัตตะ อัทถปฏิสัมภิทา ธรรมาปฏิสัมภิทา คือรู้แจ้งในเหตุในผลทุกอย่าง รู้ว่าธรรมะนี้ เกิดขึ้นมาจากเหตุอะไร เหตุนี้ทำให้เกิดผลอะไร สามารถชี้แจงแสดงเหตุได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง มีปฏิภาณ ปฏิสัมภิทา มีความคล่องแคล่ว สามารถอภิปรายเรื่องราวทุกอย่างได้ โดยย่อก็ดี โดยพิศดารก็ดี อย่างละเอียดลึกซึ้งก็ดี หรือว่าโดยตั้ง หรือว่าโดยสั้น ๆ ก็ดี อธิบายได้ถูกต้องแจ่มแจ้งโดยไม่เสียใจความ และไม่เยิ่นเย้อ มีนิรุตติปฏิสัมภิทา คือสามารถรู้ทุกภาษาไม่ว่าจะภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษาดวงดาวไหน ภาษาของภพไหน ภูมิไหน จะมีความเข้าใจทั้งหมด แต่อย่าลืมว่าอนุภาพของ ปฏิสัมภิทาญาณสี่นั้นกว้างขวางกว่ามาก สูงมากดังนั้น ถึงแม้ท่านทำอรูปฌานได้คล่องแล้ว ถ้ายังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่อนาคามีขึ้นไป ปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ก็จะไม่ปรากฎเช่นกัน

    ดังนั้นจึงให้เราศึกษาแนวทางเอาไว้ ถึงวาระถึงเวลาจะได้ ลองกระทำดู จะได้ปฏิบัติดู ที่กล่าวมานี้เพราะว่าจริตนิสัย ของคนแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกัน บางทีพื้นฐานอาจจะมีของเก่ามาแล้ว ในกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง ถึงได้ต้องกล่าวถึงอานาปานุสติกรรมฐานขึ้นมา จนกระทั่งอรูปฌานทั้งสี่ รวมแล้ว 40 กองครบถ้วน เพื่อที่เราชอบใจกองใหนจะได้ใช้ กองนั้นแต่อย่าลืมว่า ถ้าเราทำกรรมฐานกองไหนได้แล้ว ถึงวาระถึงเวลาเราจะก้าวขึ้นกองต่อไป ต้องทบทวนของเก่าให้มีความคล่องตัวอยู่เสมอ ให้ได้เต็มที่เท่าที่เราทำได้ แล้วค่อยขยับไปกองต่อไป หรือว่าถ้าเราถนัดกองใดกองหนึ่ง จับเฉพาะกองใดกองหนึ่ง ทำให้ได้มรรค ให้ได้ผลไปเลย ก็จะเป็นเรื่องที่วิเศษยิ่ง

    ความจริงในการปฏิบัตินั้นถ้าเรามีความคล่องตัวแล้ว เราสามารถประยุกต์กรรมฐานหลายๆ กองเข้ามา เป็นระบบการปฏิบัติเฉพาะตัว เราเองอย่างที่ผมสอนพวกท่านไป ตอนแรกๆ ถ้ารู้จักพิจารณาแยกแยะ จะเห็นว่ากรรมฐานเกือบทั้ง 40 กอง จะรวมอยู่ในนั้นทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ท่านจะแยกมันออกหรือไม่ ความจริงแล้วกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง เมื่อเราทำจริงๆ ก็เข้าถึงที่สุดได้ทั้งสิ้น แต่เนื่องจากว่าสายของ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่ปานก็ดี หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ดี ท่านศึกษามาในกรรมฐาน 40 และทำได้คล่องตัวทุกกอง เมื่อตกทอดมาถึงยุคของพวกเรา เราก็ควรที่จะ เรียนแบบปฏิปทาของครูบาอาจารย์ไว้ ด้วยการศึกษากรรมฐาน 40 เอาให้ได้มากกองที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อว่าถึงวาระ ถึงเวลา ไปพบกับหลักการปฏิบัติแนวอื่น เราจะได้รู้ว่ามาจากกรรมฐานกองไหน จะได้ไม่ต้องไปปฏิเสธเขาว่าอันนี้ใช้ไม่ได้ เพราะว่าหลักการปฏิบัติทั้งหมด ล้วนแล้วแต่อยู่ในกรรมฐาน 40 และมหาสติปฐานสูตรทั้งสิ้น เพียงแต่จะยกจุดไหนขึ้นมาเท่านั้น

    ธรรมะเฉพาะของแต่ละสายไม่มี ธรรมะเฉพาะของแต่ละครูบาอาจารย์ไม่มี ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่ เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ถึงได้นำมาสั่งสอนสืบต่อ ๆ กันมา เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านได้ ถนัดแบบไหน ท่านก็นำแบบนั้นมาสอน แล้วทำให้ลูกศิษย์ไปเที่ยวแยกว่า เป็นสายนั้น เป็นสายนี้ ความจริงก็สายพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้นเอง เราทำไม่ได้คล่องตัวทั้ง 40 กอง เอากองใดกองหนึ่งเป็นหลัก แล้วพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ว่ามันเกิดขึ้นในเบื่องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ ความทุกข์เกิดอีกเมื่อไหร่ก็ต้องทุกข์อย่างนี้อีก ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้ ตัวเราก็ดีคนที่เรารักก็ดี ของที่เรารักก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ดี ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายธรรม ไปทั้งสิ้น

    ดังนั้นเราควรที่จะ เอาจิตเกาะพระ เกาะนิพพานให้เป็นปกติ เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาเราตายแล้วไปนิพพานจะได้พ้นจากการเกิดมาทุกข์แบบนี้ กำลังใจทุกวันของเราให้ทรงตัวอย่างนี้ เมื่อทำกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้ว พิจารณาวิปัสนาญาณต่อเนื่อง ให้เข้าถึงมรรคเข้าถึงผลจึงชื่อว่า เป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง

    ตั้งแต่กล่าวมาข้างต้นจนบัดนี้ ที่เป็นกรรมฐานทั้ง 40 กอง สมัยที่ผมเองทำอยู่ครูบาอาจารย์ไม่ได้มาจี้มาสอนลักษณะอย่างนี้ ท่านบอกว่าเทปมีหนังสือมี ไปศึกษาเอาไปทำเอา ติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม แต่เนื่องจากว่าบางทีบางวาระพวกท่านทั้งหมดอาจจะ ต้องการในลักษณะที่มีผู้ชักนำบ้าง เพื่อความทรงตัวได้ง่าย ของอารมณ์ และอีกอย่าง คือ จะกล่าวเอาไว้เพื่อเป็นแบบแผน ให้กับคนที่ได้ฝึกปฏิบัติต่อไป จะได้มีแนวทางไว้ ได้นำกรรมฐานทั้ง 40 กองมา กล่าวโดยครบถ้วน ก็คิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายในการที่จะมานำการปฏิบัติกัน ต่อไปท่านก็นำเอาแบบนี้ไปฝึกไปซ้อมไปปฏิบัติติดขัดตรงไหนก็มาสอบถาม ผมจะชี้แจงให้ฟังว่า ขั้นต่อไปของมันเป็นอย่างไรสำหรับตอนนี้ก็ให้รักษากำลังใจของเราให้ทรงตัวเอาไว้ เพื่อที่จะได้ทำวัตร สวดมนต์ของเราต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...