พุทธทำนาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย soonyata, 18 ตุลาคม 2005.

  1. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->พุทธพจน์ทำนาย <!-- InstanceEndEditable -->​


    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนาย จากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน แปลได้ดังนี้

    "สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ใกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพพานตามกาลเวลา จึงได้ตรัสแก่ พระอานนท์ผู้ศิษย์อันสนิทพากเพียรพยาบาลว่า

    ดูกร อานนท์ สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่ง ทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย จนถึง สมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ 5,000 ปี

    เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (2,500 ปี) มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ 30 ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น

    ยักษ์หินถูกสาปให้หลับก็กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมา ก็ทวีภัยขึ้นทุกทิวาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดิน และแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มีอำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมาจากสัตว์ป่าอำมหิต

    ส่วนศาสนิกชนที่ขวนขวายในทางบุญตามเดิม วัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง

    บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์ และกาสาวพัสตร์ จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

    เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ 2485 ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เมืองหลวงจะร้อนเป็นไฟ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสูญสิ้น ราชตระกูลอำมาตย์ ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม ไม่เคารพหลักธรรมโดยปรวนแปรนิยม เชื่อถือถ้อยคำของคนโกง คนกล่าวเท็จ คนประจบสอพลอ ย่อมได้รับการเชื่อถือท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลประพฤติชอบไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อแต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดแม่ แม่จะพลัดจากลูก โคกจะเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อแสนหนึ่งมาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ

    เมื่อศาสนาอาตมาล่วงมาได้ 2507 (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ 2508 (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ 2512 (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหง อิจฉาพยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมและยึดถือคาถาของอาตมา จะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

    "หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติโหตะถิโหคะหะคะเน" ให้ท่องบ่นคาถาภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาว ปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศรีษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์

    ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์โลกเป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ได้กึ่งยุคสลาย เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงได้ พ.ศ. 2513 (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ พ.ศ. 2515 (ปีชวด) นับพ้นระยะ 30 ปี (ปี 2545) พวกอธรรม คือ พวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลสัตย์ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดไป เพราะพวกมิจฉาทิฐิจะดับสูญไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุงบำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะอยู่คู่บ้านเมืองต่อไป การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง และจะเกิดภายในความอุปถัมภ์ของพระมหาเถระองค์หนึ่ง โพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้นจะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น "ยุคศรี-วิไล" พระมหาเถระโพธิสัตว์ จะเกิดในสมัยของอาตมาล่วงมาแล้ว 2454 ปี

    เมื่อล่วงได้ 2467 ถึง 2486 พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชณิมประเทศ ระหว่างปีจอ และปีกุน เมื่อศักราช 2513 กับ 2514 ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยงแท้สมณชีพาหมณ์จะเสด็จมา 84,000 รูป

    ดูกรพระอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลาพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที

    คำทำนายของอาตมานี้ ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่เล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ ต่างสิ้นสุดกันตามกาลเวลา <!-- InstanceEndEditable -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : เว็บนวกาพรหม หัวข้อนวกาพรหม
    http://www.navagaprom.com/index.php#<!-- InstanceEnd -->
     
  2. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    ระยะเวลาอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงได้ใช้พระบารมีเพื่อยืดเวลาเอาไว้ ใครจะเชื่อหรือไม่สุดแท้แต่บุญกรรม แค่อยากคัดลอกมาให้อ่านกันดู
     
  3. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->อดีตกรรม <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->เอกัง สะมะยัง ในสมัยหนึ่งพระพุทธโคดมได้เสด็จเลียบมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ในแคว้นสุวัณณภูมิ ซึ่งไหลผ่าน ภูเขาตักกคีรี พระองค์ลงสรงน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เอาผ้าอาบตากไว้บนฝั่งแม่น้ำ จึงเสด็จขึ้นประทับอยู่บนภูเขาลูกนั้น มีลิงแม่ลูกอ่อนฝูงหนึ่งอุ้มลูกออกจากชายป่า พลันก็ถ่ายอุจจาระของมันลงบนผ้าอาบของพระองค์ ซ้ำเอาหว่านเล่นเสียเลอะเทอะ คงเหลืออยู่ชายเดียว ณ บัดนั้นก็ได้มีนกยางปอน (นกยางขาว) ตัวหนึ่งบินมาจับลงที่ศรีษะของแม่ลิงตัวหนึ่ง แล้วก็เหลียวหน้ามองไปโดยรอบทั่วทุกทิศ ในทันใดรัศมี ซึ่งเป็นสีต่าง ๆ ได้พุ่งปราดออกจากพระเขี้ยวทั้งสี่ของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ผู้อุปัฏฐาก จึงทูลถามเหตุการณ์อันประหลาดนั้น พระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ว่า:-

    "ดูก่อนอานนท์ ผ้าอาบของตถาคต ได้แก่ ศาสนาที่ตถาคตวางไว้ ลิงแม่ลูกอ่อนที่มาถ่ายมูลเลอะเทอะหมดถึง 3 ชายนั้น ได้แก่ กองทัพ ซึ่งจะมารบราฆ่าฟันกันตาย เหลือที่จะคณานับ ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมทรุดไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงค้างอยู่แต่เพียงส่วนเดียวและนกยางขาวที่บินมาจับหัวแม่ลิงนั้น คือ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จะมาปราบอธรรม และช่วยสืบอายุศาสนาของตถาคต เริ่มตั้งแต่ 2,500 ปีขึ้นไป จนครบ 5,000 ปี"

    "พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์กับตถาคต ได้สร้างกรรมไว้ในอดีตชาติ" พระองค์ทรงเล่าให้พระอานนท์ฟังต่อไปว่า

    <CENTER>"อันชาติหนึ่งสองเราสหายสนิท
    ช่วยกันคิดเอาบัวมาอธิษฐาน
    เพื่อเสี่ยงทายบารมีพุทธกาล
    ให้บัวบานบอกแจ้งเป็นผู้ใด"
    </CENTER>

    ในชาตินั้นเราทั้งสองจึงเอาดอกบัวมาคนละดอก เข้าไปอธิษฐานในพระวิหารว่า ถ้าใครจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน ก็ขอให้ดอกบัวของผู้นั้นบานก่อน

    ครั้นวันรุ่งขึ้นพระตถาคตได้เข้าไปดูดอกบัวนั้น แต่ยังไม่ทันสว่างแจ้ง เห็นดอกบัวของพระศรีบานก่อน ด้วยความที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าก่อนพระศรี จึงลักเปลี่ยนดอกบัวของพระศรีมาไว้ที่พระตถาคต สับเปลี่ยนกันเสีย

    <CENTER> "บัวของน้องบานแล้วนะพี่จ๋า
    สัมพุทธาน้องย่อมได้ไปก่อนแน่
    แต่ไฉนบัวในมือเดี๋ยวหุบเดี๋ยวก็แบ
    พุทธยังไม่เที่ยงพุทธยังไม่แท้น่าอายจริง"
    </CENTER>
    ฝ่ายพระศรีนั้นเขาฌานแก่ รู้ว่ามีการสับเปลี่ยนบัว จึงทำนายว่า "โอ! สหายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนเราจริง แต่ทว่าฝูงมนุษย์ยุุคนั้นจะเป็นคนขี้ลักขี้ล่าย และใช้เงินดำ เงินแดง เงินกระดาษกัน อย่างพร่ำเพรื่อ มนุษย์จะไม่ซื่อสัตว์ต่อกัน จะทุจริต คิดมิชอบนานาประการ พระสงฆ์องค์เณรพุทธบริษัทในศาสนานั้น จะหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เดี๋ยวบวช เดี๋ยวสึก เดี๋ยวหุบ เดี๋ยวแบดังบัวดอกนี้"

    เพราะกรรมที่พระพุทธโคดมได้สับเปลี่ยนบัว ถึงแม้ว่าพระองค์และเหล่าพระอรหันตสาวกจะเข้าพระนิพพานไปแล้วก็ตาม แต่กรรมนั้นยังติดอยู่ในศาสนาของพระองค์ ตราบเท่าทุกวันนี้ ที่เหลือไว้แต่สมมติสงฆ์ในศาสนาของพระองค์ จึงรู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ศาสนาสามส่วนก็ถูกพราหมณ์ ยักษ์ และมารเอาไปครอง เหลือจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ข้อวัตรปฏิบัติจึงถูกปนเป็น จนแยกแยะไม่ออก ผู้คนเกิดมาสมัยหลัง จึงไม่เข้าใจทางปฏิบัติที่ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพานในฝ่ายสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว นั้นคืออะไร

    พระพุทธโคดมทรงเล่าอดีตกรรมจบลง พร้อมพยากรณ์เหตุการณ์สืบไปอีกว่า

    "เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาในพุทธกาลของพระตถาคตนั้น จะมีสรรพวัตถุทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่โลก อย่างแปลกประหลาดเหลือจะคณานับ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์นานาชนิด ก็จะไม่ได้ปั่นและทอด้วยมือ เหมือนในศาสนาของตถาคตจะมีแต่ผ้าเนื้อบริสุทธิ์ ฝูงมนุษย์จะไม่ติเตียนว่า เป็นขี้หูขี้ตาเขาเท่าจะวัดวา (วัดหลาและเมตร) ก็จะมีในยามนั้น แม่หญิงจะนุ่งซิ่นเสื้อลายเหมือนหนังแย้ จะนุ่งเสื้อผ้าแขนกุดขาก้อม หญิงชายจะนุ่งผ้าเป็นอย่างเดียวกัน จะว่าชายก็บ่จริง จะว่าหญิงก็บ่แม่น แม่หญิงจะหวีผมปกหน้า จะใส่ต่างหูยาวง้ำหน้า พ่อชายจะใส่หมวกหุ้มหน้า สิ่งที่ไม่รู้จะได้รู้ สิ่งที่ไม่พบเห็นก็จะได้เห็น พร้อมด้วยบุรพนิมิตอันชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลกมากมายยิ่งนักดังนี้

    1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง
    2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป
    3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย
    4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ
    5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน
    6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ
    7. อุทกภัย น้ำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา
    8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร
    9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย
    10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง

    ในขั้นสุดท้าย แผ่นดินจะไหวเดือนละหลายครั้ง จะมีสุริยคราสและจันทรคราสบ่อยครั้ง จะเห็นผีพุ่งไต้บ่อยๆ ดาวหางและแสงประหลาดจะบังเกิดให้เห็นไม่ขาดระยะ จะได้ยินเสียงดังในอากาศคล้ายระเบิดและปืนใหญ่ แร้งกาจะบินลงเกาะบ้านเมืองอย่างผิดธรรมดา ฝูงมนุษย์จะเดือดร้อนและขวักไขว่กันไปมา จะบังเกิดสงครามฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วงไปทุกหนทุกแห่ง ครั้นแล้วถึงกาลที่องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกตามบุรพกรรมสัญญา
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  4. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->บุรพกรรมสัญญาแห่งองค์พุทธที่ 5 <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->สมัยหนึ่ง ที่องค์พระเมตไตรยต้องบุรพกรรม มาเกิดเป็นนางยักษ์ รูปร่างร้ายอยู่ในป่า องค์พระ โคตมะกำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอราวดี ด้วยสัพพัญญุตญาณทราบว่า นางยักษ์นี้ได้ก่อสร้างบารมี 30 ทัศมามากมาย แต่เพราะผลกรรมที่กระทำกาเมสุมิจฉาจารกับภรรยาผู้อื่น จึงมาเกิดเป็นนางยักษ์ชาตินี้ พระองค์จึงเสด็จมาโปรด นางยักษ์แลเห็นลักษณะอันประเสริฐ จิตเลื่อมใสก้มลงกราบ เมื่อองค์พระโคตมะตรัสเทศนาพระธรรม นางยักษ์ปลงใจเด็ดขาด ตัดเอาเต้านมทั้งสองถวายเป็นพุทธบูชา อานิสงส์นางยักษ์ตัดเต้านมทั้งสองมากระทำสักการบูชาพระตถาคตครั้งนั้น ส่งผลให้นางยักษ์พ้นจากอิตถีเพศ คือ ท่านจะเกิดเป็นหญิงแต่เพียงชาติเดียวเท่านั้น นางยักษ์นี้ได้สร้างพุทธวิริยบารมีมาถึง 80 อสงไขยกัป คือ ปรารถนาอยู่ในใจถึง 36 อสงไขยกัป ลั่นวาจาว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าอีก 28 กัป

    และในกาลก่อน พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า "มหุตชินสีห์" ได้ทรงพยากรณ์ว่า "ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดสืบต่อไปอีก 16 อสงไขยกัป ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย ในอนาคตกาล" และในท่ามกลางพระพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม ท่านจะมาช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปจนตลอด 5,000 ปี

    กาลต่อมา ในชาติหนึ่งที่พระเมตไตรยมาเกิดเป็นมนุษย์ชาวไร่ กระทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่ริมภูเขา ตักกคีรี ซึ่งเป็นภูเขาเดียวกับที่ฝูงลิงถ่ายอุจจาระใส่ผ้าอาบของพระพุทธเจ้านั้นเอง ขณะที่เมตไตรยกระทาชายวิ่งไล่ขับฝูงลิงที่ลงมากินแตงโมในไร่นั้น ก็เลยวิ่งเลยถลำ ไปเหยียบเอาพระฉาย คือ เงาของพระพุทธเจ้าโดยไม่ทันสังเกต เมื่อเหลียวมาพบพระโคตมะ จิตเลื่อมใสศรัทธา จึงนำเอาแตงโมมาถวาย 7 ลูก แต่มีลูกหนึ่งที่รอยหนูกัดเป็นโพรง กุศลผลทานครั้งนั้น จะส่งท่านมาเกิดเป็นพระยาจักรพัตราธิราชอันประเสริฐ ในท่ามกลางศาสนาของพระตถาคต และจะช่วยสังคายนา ชำระสะสางพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ศาสนาของพระพุทธโคดมจะปกแผ่ไปทั่วทั้งเมืองคนขาว เมืองคนเทา ปกแผ่ไปทั่วโลก ส่วนวิบากกรรมที่ท่านได้เหยียบเงาพระตถาคตนั้น เมื่อท่านได้มาเกิดเป็นมนุษย์จะมีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ บนศรีษะก็จะมีรอยแผลเป็น ดุจดังรอยหนูเจาะแตงโม แต่ในภายหลัง ท่านจะมีผิวพรรณวรรณะ สวยสดงดงามดั่งเทพบนสวรรค์ เพราะได้บริโภคของทิพย์ ของพระอิศวรเทพเจ้า

    ตามบุรพกรรมสัญญาที่มาระหว่างองค์พุทธที่ 4 และองค์พุทธที่ 5 ทำให้องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จะต้องมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม จวบจนครบพุทธกาลดั่งนี้แล และในระหว่างกาลแห่งการรักษาศาสนจักร อาณาจักรแห่งองค์พุทธที่ 4 จะอยู่ในนามว่า "ภายใต้รังสีพระศรีอาริยเมตไตรย" เพราะอำนาจสิทธิแห่งวงศ์ศาสนจักรยังเป็นขององค์พุทธที่ 4 แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  5. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->ขอประกาศพระนามองค์พระศรี เปล่งรังสีคลายทุกข์โศกทั่วภพสาม <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->และแล้วกาลก็ก้าวมาถึงกึ่งพุทธกาลหลัง ที่พราหมณ์ ยักษ์และมาร เข้ามาปนเป็นในศาสนาพระพุทธโคดม จนวุ่นวายไปทั่วด้วยการเห็นผิดเป็นชอบ ด้วยไฟโลภะ โทสะ และโมหะ ผลสุดท้ายชาวพุทธก็ทำลายกันเอง พุทธล้างพุทธ...สัพเพสัพตา มนุษย์เกิดมาเบียดเบียนกันเอง ความเป็นยักษ์เข้าครอบงำจิตใจ ผู้คนและพระสงฆ์องค์เจ้า ความละโมบโลภมากก็ทวีคูณ เกิดเหล่าเกจิคณาจารย์ต่าง ๆ สร้างเครื่องรางของขลังมาทำการค้าขาย อวดอ้างคุณของพระศาสนา มาขายกันอย่างไม่เกรงกลัวกรรม พระสงฆ์ไม่อยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ ผลสุดท้าย คุณของพระพุทธศาสนาก็เสื่อมสูญไป จากจุดนี้เอง พระพุทธศาสนาทุกวันนี้จึงเหลือเพียงค่า ไม่เหลือคุณไว้คุ้มครองชาวพุทธอีกแล้ว แม้ชาวพุทธจะเคยบริจาคทำบุญไว้มากมายมหาศาล แต่ก็ไม่อาจจะเข้าถึงคุณของพระศาสนาได้

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    เมื่อพระพุทธศาสนาถูกเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนในบ้านเมืองก็เปลี่ยนแปลงตาม ไม่เคารพซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังจะเป็นใหญ่ ชาวพุทธชาวบ้านผู้ต่ำต้อยก็ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย บ้านเมืองเต็มไปด้วยอบายมุขทั่วทุกหนทุกแห่ง ผู้คนลุ่มหลงเดือดร้อนด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบ ไฟแห่งโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบครองเผาลนจิตใจของผู้คนไปทั่วปฐพี กฏเกณฑ์การปกครองในทางโลกนั้นไม่อาจที่จะแก้ไขเยียวยาได้เสียแล้ว โลกก็เริ่มจะลุกเป็นไฟ เพราะยักษ์ มาร เอาพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติในทางที่ผิด ใจคนทุกวันนี้จึงร้อนยิ่งกว่าไฟ เพราะจิตใจของเขาเหล่านั้นขาดน้ำ น้ำใจ มันแห้ง ก็เลยขาดจากเมตตากรุณา ขาดจากศีลธรรม ชะตาบ้านเมืองก็เลยขาดออกจากพระพุทธศาสนา ชะตาโลกก็ขาดตาม คือ ชะตาบ้าน ชะตาเมืองและชะตาโลก มันขาดออกจากความสงบ ร่มเย็นเป็นสุขนั้นเอง หรือชาวโลกจะไม่เอา "พระ" มาปกครองโลกเสียแล้วหนอ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  6. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->อาราธนาอัญเชิญ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->ที่ธรรมสภา สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก่อนพุทธศักราช 2500 องค์อินทราธิราชเจ้า พร้อมเหล่าทวยเทพทั้งหลายได้ทราบว่า ถึงกาลที่พระพุทธศาสนาจะผันเปลี่ยนเวียนลงต่ำ ทรามเสื่อม ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น พระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ครบพุทธกาล จึงพร้อมเพรียงกันมาประชุมหาผู้ที่มีบารมีมากที่สุด ที่จะช่วยพระพุทธศาสนาได้แล้วเหล่าทวยเทพน้อยใหญ่ทั้งหลายเห็นว่า บารมีของพระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ องค์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในภายหน้านั้น บารมีมากล้นสุดพอที่จะมาต่อชะตาเมือง ประสานศีลธรรม และสืบอายุพุทธกาลไว้ได้


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    องค์อินทราธิราชเจ้าพร้อมทั้งเหล่าทวยเทพน้อยใหญ่ทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันไปอาราธนาอัญเชิญ พระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ ยังดุสิตเทวโลก ขออาราธนาอัญเชิญพระองค์ท่านมาช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนา ด้วยเถิดพระเจ้าข้า...พวกเกล้ากระหม่อมขอธุลีการ ฝ่าพระบาท โปรดลงไปช่วยต่อชะตาชาวพุทธ ต่อชะตาบ้านเมืองและศีลธรรม สืบอายุอาณาจักรและพุทธจักรให้ครบพุทธกาล ขอได้ทรงพระเมตตาไปช่วยชาวโลก โปรดโลก เปิดธรรม ตัดเวร และอโหสิกรรม สะสางธาตุธรรม ชี้ทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง และเที่ยงธรรม ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว แก่เหล่ามนุษย์ด้วยพระเจ้าข้า...ขอธุลีการฝ่าพระบาท...โปรดประทานพระมหาเมตตามหากรุณาชาวโลกเถิดพระเจ้าข้า...
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  7. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->ดุสิตเทวโลก ชั้นที่ 9 วิมานพระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" --><CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ถึงกาลสะสางภพภูมิ สะสางโลก สะสางธาตุธรรม ให้ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพานในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว รวบรวมฟองไข่ศาสนา ร้อยเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแห่งโองการนวกาพรหม นามแม่กาเผือก เคลื่อนรัตนจักรแผ่นดินรัตนโกสินทร์ เข้าสู่ยุคถิ่นกาขาว-ชาวศิวิไลซ์ ภายใต้รังสีพระศรีอาริย์

    ขณะนั้น พระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์มองลงมายังโลกมนุษย์แผ่นดินสุวัณณภูมิ ตามปรมัตถ์นาม แห่งโองการ นวกาพรหม เห็นพระพุทธโคดมลุกออกจากอาสนะบัวกลายเป็นหมู่สงฆ์แทนที่ ฉับพลันบังเกิดไฟลุกท่วมพระสงฆ์จึงทราบว่า ถึงเวลาที่จะต้องมากระทำศาสนกิจตามบุรพกรรมสัญญาที่ต่อองค์พุทธที่ 4 อีกทั้งเสียงเพรียกร้องของเหล่าทวยเทพน้อยใหญ่ทั้งหลายที่อาราธนาอัญเชิญพระองค์ดับทุกข์เข็ญ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    พระองค์ทรงเล็งเห็น ความเป็นมาของแผ่นดินสวัณณภูมิว่า แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ที่องค์พุทธที่ 4 ประทานนามแผ่นดินให้แก่ พระเจ้าทับไทยทอง เจ้าผู้ครองแผ่นดินแหลมทอง นำผังสุวัณณภูมิกลับไปยังบ้านเมือง ในพุทธพัสสาที่ 44 คือ ก่อนพระองค์ท่านปรินิพพานหนึ่งปี และพุทธศักราชที่ 100 องค์พระอวโลกิเตศวร ได้นำเสนอต่อธรรมสภาว่า ศาสนาพุทธของพระพุทธโคดม จะอยู่ในแผ่นดินมัธยมประเทศ (อินเดีย) ได้เพียงพันปีเท่านั้น แล้วจะเสื่อมหมดไปจากแผ่นดินแม่นี้ สมควรที่เหล่าทวยเทพจะหาแผ่นดินที่รองรับสืบอายุ พระพุทธศาสนา ที่ประชุมธรรมสภาต่างเสนอแผ่นดินศรีลังกา และแผ่นดินสุวัณณภูมิ องค์พระอวโลกิเตศวร และพระเมตไตรยทรงเล็งเห็นว่าจิตใจผู้คนในแผ่นดินสุวัณณภูมิละเอียดอ่อนกว่า เหมาะด้วยภูมิประเทศและผู้คน สมควรเป็นแผ่นดินที่จะสืบอายุศาสนาได้จวบจนสิ้นพุทธกาล

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  8. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->ดาวสงคราม-ดาวสันติ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" --><CENTER>[​IMG]</CENTER>
    พระมาลัยได้กล่าวขี้น ท่ามกลางธรรมสภาว่า บัดนี้ใกล้วาระที่จะถึงกึ่งพุทธกาล ปรากฏว่าดาวเทพเจ้าสงคราม ได้ลงจุติยังโลกมนุษย์แล้ว เพื่อดับดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ทั้งนี้เป็นการดับดาวศาสนา ดาวสงครามจึงครองอำนาจ ก่อเหตุให้เกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ผู้ปกครองแว่นแคว้นทั้งหลายจิตใจมากด้วยอำนาจ โลภะ โทสะ และโมหะ ต้องการชิงความเป็นใหญ่ ต้องการเป็นจ้าวโลก โยนบาปสับเปลี่ยนให้ดาวศาสนาใช้กรรมวิบากของตน คนดีจะถูกเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเป็นซีกโลก ก่อเกิดเป็นสงครามโลกประหัตประหารชีวิตผู้คนด้วยอาวุธร้ายแรง สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้นในเมืองคนขาว สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น เมืองคนขาวลุกลามไปถึงเมืองคนเหลือง และในครั้งที่สามจะเกิดขึ้นในเมืองคนเหลือง เทพเจ้าดาวสงครามต้องการทำลายความเจริญของแผ่นดินของพระศาสนา ดับดาวศาสนาอย่างสิ้นเชิง แล้ว "พระ" จะปกครองสัตว์โลกได้อย่างไรพระเจ้าข้า.......

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    พระเมตไตรยทรงพิจารณาเยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายว่า กาลเวลานี้อายุสัตว์โลกน้อยต่ำกว่า 100 ปี ด้วยเหตุที่อายุสั้นนัก ชาวโลกก็จักมีกิเลสตัณหา ราคะมาก เพราะเกรงว่าจักตายเร็ว จึงแสวงหากามคุณหนุนเนื่องความอยาก รับศีลแต่ปาก แต่ใจรวนเรมากด้วยเล่ห์กล ปากกับใจไม่ตรงกัน แม้เพียงศีล 5 คือ นิจศีลก็พากันรักษาไม่ได้ จึงเป็นเหตุที่ยังไม่สมควรจะจุติเพื่อดับทุกข์เข็ญ และเมื่อกาลถึงกึ่งพุทธกาล ก็หมดเขตสาวกภูมิของพระศาสดาพุทธโคดม พระสงฆ์ถึงแม้จะเรียนรู้จนจบพระไตรปิฎกสักร้อยครั้งพันครั้ง แต่ไม่อาจบรรลุธรรมไปได้ เหล่าพุทธบริษัทที่เหลืออยู่ ก็ต้องภายใต้อำนาจยักษ์มารที่มาครองรักษาตามที่ได้ขอไว้กับพระศาสดา เมื่อขอต่อแล้วเอาไปปฏิบัติรักษาไม่ได้ เพราะว่าพวกเหล่านี้บารมีไม่เพียงพอ จึงไม่รู้แจ้งในข้อวัตรปฏิบัติ คุณของพระศาสนาก็เลยถูกปกปิด และเสื่อมไปเหลือเพียงค่า ซึ่งนับว่าเป็นอัครวิบัติของศาสนา ทำให้เกิดภัยพิบัติกวาดล้างผู้คน คนดีจะถูกเข่นฆ่า เหมือนหยกกับหินที่อยู่ปะปนกัน เมื่อภัยพิบัติมาย่อมต้องถูกภัยไปด้วยเช่นกัน

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ครบพุทธกาล กรรมของพระโคดม กับพระศรีอาริย์ก็จะไม่ขาดจากกัน ฉะนั้น พระบรมนิตยโพธิสัตว์ เห็นสมควรที่จะอาราธนาพระอริยะสาวก ที่มีหน้าที่สืบอายุพุทธศาสนาเสมือนหนึ่งพุทธกาล เอาพระศาสนามาคืนเจ้าของเดิม กรรมที่พระโคดมได้เปลี่ยนเอาดอกบัวพระศรีอาริย์ถึงจะขาดจากกัน นี้คือกรรมของพระศาสนา ต่อจากนั้นพระองค์ก็จะได้มาฟื้นฟูให้ใหม่ เปิดนิมิติออก ตัดเวรแก้กรรม แล้วนำสร้างบารมีขึ้นมาใหม่ให้ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพาน ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว <!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 width=800 border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD colSpan=5></TD></TR><TR bgColor=#ffffcc><TD colSpan=5>
    คำพยากรณ์ 10 ยุค กรุงรัตนโกสินทร์
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD colSpan=5 height=2>....</TD></TR><TR vAlign=top><TD colSpan=5 height=32>......"ในหนังสือ "ปัญญาไทย 1" ที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับประวัติผลงาน อภินิหาร และเกียรติคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) ของมหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันทน์ ) ซึ่งเขียนบันทึกรวบรวมโดย ม.ล พระมหาสว่าง เสนีย์วงค์ ณ ในปี พ.ศ. 2473 โดยไม่มีแก้ไขข้อความความเดิมในหน้า 27 มีการพยากรณ์ถึงชะตาเมืองไทยไว้อย่างน่าสนใจดังนี้"
    </TD></TR><TR><TD colSpan=5>......"หลังจากที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี ) ได้มรณะภาพลงเมื่อวันเสาร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ตอนเที่ยงคืน เช้าวันรุ่งขึ้นนายอาญาราช (อิ่ม) ศิษย์ก้นกุฏิของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าไปเก็บกวาดในกุฎิของท่าน ขณะทำความสะอาดพื้นกุฏิ นายอาญาราชได้พบเศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุกอยู่ใต้เสื่อ เป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จเขียนสั้นๆ โดยสั่งการเป็นคำทำนายเมืองมีความว่า "มหากาฬ ภาณยักษ์, รักมิตร, สินทธรรม, จำแขนขาด ,ราษฎรชนร้องทุกข์ ,ยุคทมิฬ ,ถิ่นกาขาว ,ชาววิไล"
    "คำทำนายเหตุการณ์ในยุครัตนโกสินทร์ เล่าขานกันมาว่าเป็นการทำนายของพระรูปหนึ่งในสมัยอยุธยา และเจ้าประคุณสมเด็จคัดลอกมานี่ ตรงกับเหตุการณ์ในเวลาต่อมาทุกรัชกาลเห็นได้จากการนำเอาเหตุการณ์บ้านเมืองมาเปรียบเทียบกับคำทำนายที่สอดคล้องอย่างน่าสนใจดังนี้
    </TD></TR><TR><TD colSpan=5>......1. ยุคมหากาฬ ในรัชกาลที่ 1 สถานการณ์ในยุคนี้เรียกว่า "มหากาฬ" เพราะเมื่อปราบดาภิเษกก็ต้องเสด็จออกปราบปรามความไม่สงบทั้งภายนอกภายใน ทรงทำศึกสงครามกับพม่าอีกหลายครั้งทรงยกทัพไปตีเมืองทะวายเป็นต้น จำต้องประกาศกฏสำคัญเช่น กฏปราบกบฏ กฏมณเทียรบาล กฏอัยการศึก เกิดอุบัติการณ์ที่น่าหวาดเสียวมาก ผู้ทำนายจึงเรียกเหตุการณ์บ้านเมืองยุคนี้ว่า "มหากาฬ"</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......2. ยุคภาณยักษ์ อย่าว่าแต่ในยุโรปที่มีโรคระบาดในยุคนอสตราดามุสเลย ในสมัยรัชกาลที่2 พ.ศ. 2363 ได้เกิดโรคอหิวาตกโรค ระบาด อย่างร้ายแรงในกรุงเทพฯ ชีวิตมนุษย์ต้องล้มหายตายจากไปวันละมากๆ ตามป่าช้าวัดสระเกศ วัดสังเวช วัดบพิตรพิมุข ฯลฯ เนืองนองไปด้วยซากศพของผู้เสียชีวิต ตามลำน้ำลำคลอง ซากศพมนุษย์ลอยฟ่องจนใช้น้ำรับประทานไม่ได้กลิ่นซากศพกระจายไปทุกแห่งหน ตามถนนหนทางเงียบสงัด หาผู้คนเดินแทบไม่พบเพราะต่างก็พากันหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านด้วยเกรงโรคร้ายจะติด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ทำพิธียิงปืนใหญ่ รอบกำแพงพระมหาราชวัง 1 คืน นำพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุออกแห่แหนให้วัดต่างๆ ทำพิธีสวด "ภาณยักษ์" เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรอันเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บโรคนี้ระบาดอยู่เกือบ 2 เดือน มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 หมื่นคน ในยุคนี้เจ้าพระคุณสมเด็จจึงเรียกว่า "ยุคภาณยักษ์" </TD></TR><TR><TD colSpan=5>......3. รักมิตร ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมืองไทยได้ทำความสัมพันธ์ไมตรีกับนาๆ ประเทศ เช่น พ.ศ. 2367 ประเทศไทยได้ประกาศสงครามเข้าข้างอังกฤษรบกับพม่ากองทัพไทยได้เคลื่อนเข้าตีเขตแดนรามัญ ครั้น พ.ศ. 2369 อังกฤษได้ส่งกัปตันเฮนรี่ เบอร์นี่ เป็นทูตเข้าเฝ้า ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี และในปี พ.ศ. 2376 เอส.โรมัน โรเบิร์ต ชาวอเมริกันก็ได้ถือสาสน์ของประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา นายแอนดรูว์ แจ๊คสันเข้ามาขอทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับไทยในรัชกาลนี้จึงเรียกว่า "ยุครักมิตร"</TD></TR><TR><TD colSpan=5>...... 4. ยุคสนิทธรรม ในสมัยรัชกาลที่ 4 กษัตริย์พระองค์นี้ทรงฝักใฝ่ทางศาสนาถึงกับได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลานาน 27 ปี ก่อนขึ้นครองราชย์ ทรงสร้างวัดธรรมยุตินิกายขึ้นเป็นจำนวนมากได้มีการติดต่อกับบรรดานานาชาติในยุโรปและทรงนำวัฒนธรรมของยุโรปเข้ามาดัดแปลงใช้ในไทย ยุคนี้จึงเป็นสมัยที่เรียกว่า "สนิทธรรม"</TD></TR><TR><TD colSpan=5>...... 5. ยุคจำแขนขาด ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นยุค "จำแขนขาด" นับว่าผู้พยากรณ์เล็งเห็นการณ์ไกลได้อย่างแม่นยำที่สุดเพราะในรัชกาลนี้เมืองไทยต้องเผชิญกับอุปสรรคร้ายแรงจากการแผ่อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจตะวันตก</TD></TR><TR><TD colSpan=5>ที่พยายามล่าเมืองไทยให้เป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสกับอังกฤษพยายามทุกวิถีทางที่จะแย่งยึดเอาเมืองไทยไปอยู่ใต้อำนาจร่มธงของเขาให้ได้ ชาวไทยต้องน้ำตาตกเพราะผืนแผ่นดิน</TD></TR><TR><TD colSpan=5>เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทย จึงต้องถูกเชือดเฉือนไปมากมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับความเป็นเอกราชของประเทศ จึงนับว่าเป็นยุคที่คนไทยจำต้องยอมแขนขาดเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......6. ยุคราษฎรจน พอขึ้นรัชกาลที่ 6 ภายในราชสำนักฟุ้งเฟ้อขนานใหญ่ข้าราชบริพารพากันแสวงหาความร่ำรวยกับยศถาบรรดาศักดิ์กันอย่างน่าใจหาย ระบบแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นไปตามอารมณ์จากความฟุ้งเฟ้ออย่างนี้เองทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจตกต่ำลงข้าวยากหมากแพง ผู้คนยากจนประชาชนเริ่มเผชิญกับความเดือดร้อนเป็นสำคัญ</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......7. ยุคชนร้องทุกข์ พอขึ้นรัชกาลที่ 7 บ้านเมืองได้เริ่มระส่ำระสาย กระแสของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบใหม่เริ่มเข้ามาในเมืองไทยผู้คนกล้าแสดงออกมากขึ้นจึงเป็นยุคของ "ชนร้องทุกข์" แม้แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ยังรับสั่งว่าฉันเกิดมาในสมัยที่ม่านจวนจะรูดอยู่แล้ว ความเดือดร้อนของพลเมืองได้เป็นไปอย่างหนักด้วยความตกต่ำของเศรษฐกิจ จนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร์ล้มระบอบกษัตริย์อยู่เหนือกฏหมายลงด้วยเหตุนี้เองยุคนี้จึงเป็นยุคที่ประชาชนคนเดินถนนลุกขึ้นร้องทุกข์โดยแท้</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......8. ยุคทมิฬ ครั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เวลาต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองได้ย่างเข้าสู่ความมืดมนยิ่งขึ้นเกิดการกบฏจลาจลอยู่เนืองๆ มีการประหารชีวิตผู้ต้องหาทางการเมือง…ในระยะหลังประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะสงครามประะชาชนพลเมืองประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส ค่าครองชีพสูงลิ่วนักการเมืองกอบโกยฉ้อราษฎร์บังหลวงและในที่สุดแม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังถูกลอบปลงพระชนม์อย่างลึกลับยุคนี้จึงตรงกับคำทำนายว่าเป็น "ยุคทมิฬ" อย่างสมเหตุสมผลทุกประการ</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......9. ยุคถิ่นกาขาว ในแผ่นดินนี้ปัจจุบันนี้ เป็นยุคที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับนานาชาติเป็นอย่างดี ดังปรากฏที่มีชนชาติเป็นอย่างดี ดังปรากฏที่มีชนชาติต่างๆ เข้ามาตั้งสำนักงานองค์การช่วยเหลือระหว่างประเทศ และเป็นสมัยที่คนไทยพากันแตกตื่นไปเล่าเรียนวิชาการ คณะผู้แทนราษฎรมีโอกาสเดินทางไปเปิดหูเปิดตายังต่างประเทศกันเป็นกลุ่มๆ เข้าสู่ยุคสังคมสื่อสาร ประชาชนทำธุรกิจไร้พรมแดน บริษัทข้ามชาติเข้ามามีอิทธิพลมากมายถึงกับเรียกว่าเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ มีการเปิดเสรีด้านการเงินความเจริญก้าวหน้าของประเทศเป็นการนำแบบแผนกับเทคโนโลยีของชาวตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ เป็นยุคที่ผู้คนใช้การเมืองเป็นธุรกิจเปิดธุรกิจผูกขาด พาณิชย์การเมืองฉ้อราษฎร์บังหลวง ตัดไม้ทำลายป่าจนประเทศไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้แก่ต่างชาตินับได้ว่าเป็นยุค "ถิ่นกาขาว" หรือถิ่นของคนผิวขาว ก็ไม่ผิดจากความเป็นจริงตามคำทำนายไว้ทุกประการ</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......10. ยุคชาววิไล สำหรับเหตุการณ์ต่อไปนั้นก็น่าจะเป็นไปตามคำทำนายอีกว่าหลังจากความยุ่งยากผ่านพ้นไปแล้วเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว เป็นสมัยที่ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างผาสุข มีวัฒนธรรมอันดีตามคำพยากรณ์ว่า เป็นยุคของ "ชาววิไล" ที่บอกว่าเป็นยุคแห่งสันติภาพและในศาสนาคริสต์บอกว่าเป็นยุคแห่งแผ่นดินโลกใหม่เป็นแผ่นดินความชอบธรรมดำรงอยู่ได้"</TD></TR><TR><TD colSpan=5>......จึงได้รวบรวมให้ผู้สนใจ ได้พบและเข้าใจในยุคต่อไปนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุค "ชาววิไล" เพื่อจะได้ไม่หมดกำลังใจเนี่องจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ประดังกันเข้ามาทั้งเครื่องบินชนถล่มช๊อกโลก หรือสงครามครั้งที่ 3 และคิดที่จะทำร้ายทำลายตัวเองไปก่อน ตีตนไปก่อนไข้ ให้ใจเย็นไว้เขารบกันแต่ประเทศของเราจะเป็นแหล่งอาหารของทั้งสองฝ่ายจึงเป็น "ชาววิไล" ได้ยังไงล่ะ</TD></TR><TR><TD colSpan=5>
    .......................................................................................
    </TD></TR><TR><TD width=27></TD><TD width=24></TD><TD width=423>ข้อมูลจาก : www.winnerluckybaby.com</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->โอม มุนี มุนี มหามุนี สวาหะ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" --><CENTER>[​IMG]
    [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]พระอชิตะ[SIZE=+1] พระพุทธโคดม พระมหามุนี [/SIZE][/FONT]</CENTER>
    ดวงแก้วบรมพุทธจักรดวงที่ 6 ผู้สำเร็จธรรม ในฝ่ายบุญภาคปราบล้วนทั้งลับและเปิดเผย ถอยพืด (แบ่งธาตุธรรม) ลงจุติสมัยศาสนาพระพุทธโคดม เป็นพระมหามุนี พระสหายของพระอชิตะ (องค์พระศรีอาริย์ในอนาคต) ตั้งปรารถนาจิตว่า "ข้าพเจ้าจะเป็นทนายแก้ต่างให้ศาสนาพระโคดม" เมื่อสิ้นภพชาติของพระมหามุนี ไปจุติรอคอยช่วยงานขององค์พระเมตไตรยอยู่ยังดุสิตเทวโลก ชั้น 11 ได้รับโองการลงจุติยังโลกมนุษย์เพื่อดับทุกข์เข็ญในยุคก่อนกึ่งพุทธกาล

    งานที่ได้รับมอบหมายก็คือ
    1. ประกาศวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นพระสัทธรรม ดั้งเดิมของพระบรมศาสดาทั้งส่วนของ
    พระอริยสาวก และส่วนของพระโพธิสัตว์
    2. แก้ไขภัยพิบัติต่าง ๆ ของโลก และของสัตว์โลก
    3. รักษาสืบทอดอายุพระศาสนา ปลดเปลื้องสัตว์โลก ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม บ่วงมาร
    และวัฏสงสาร


    แล้วท่านจะจุติแห่งใดหนอ...ผู้ดับดาวสงคราม มาในสายสงฆ์ (มุนี) ปรมัตถ์นามจากเบื้องบนว่า "พระเทพ" ยุติสงครามในไตรภพด้วยระแบบแสง คือ การนั่งสมาธิภาวนาด้วยวิชชาธรรมกายขั้นสูง วิชชาสะสางธาตุธรรม

    แผ่นดินรัตนโกสินทร์

    เมื่อองค์พระมหามุนีเจ้า รับโองการจุติดับดาวสงคราม ก็เล็งแลดูไปที่มัธยมประเทศ แผ่นดินสุวัณณภูมิ และแผ่นดินจีน ท่านดำริว่า แผ่นดินสุวัณณภูมิมีผังอาณาจักรเป็นรูปดอกบัว เหมาะสมกับการสืบอายุพุทธศาสนา โดยเฉพาะประเทศสยามมีความเป็นไท ไม่มีสิ่งผูกพัน เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และมีสายธาตุธรรมของท่านที่ลงมาเกิดอยู่แล้ว เป็นบุรพชนต้นตระกูลตามปรมัตถ์นามจากเบื้องบนว่า "เสียมล้อ" เป็นเชื้อสายระหว่างชาติไทยและชาติจีน "เสียม" คือ สยาม "ล้อ" (ลว้า) คือ ชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมทองเดิม เป็น บุรพชนแผ่นดินสุวัณณภูมิ คำว่า "ล้อ" หมายถึงผู้คนที่มีคุณธรรม 4 คือ

    1. รักยุติธรรม
    2. รักสัจจะ
    3. มีมรรยาท
    4. ละอายแกรงกลัวต่อบาป

    โดยที่ตำหนิการเกิดของสายเผ่าพันธุ์ คือ ต้องมีปานสีฟ้าแก่ที่ก้น พอโตขึ้นก็หาย พอโตเล็บนิ้วก้อยเท้าขวามีรอยขึ้นตามยาว ปลายเล็บที่เลยเนื้อออกมาแตกปลายจึงเป็นสองเล็บ เมื่อนับรวมเข้าเป็น 6 เล็บ จึงเป็นเมืองคน 6 เล็บ (ลักกักฟี้) ล้วนเป็นคนเก่ง คนกล้า มีคุณธรรม เหมาะกับเป็นผู้ช่วยรักษาศาสนาจวบจนสิ้นพุทธกาล

    พระมหามุนีเจ้าทราบว่า บัดนี้มารนำผังศาสนาไปเก็บซ่อนไว้ที่สุดละเอียด จนเหลือนิดเดียวในภพ 3 ทำให้คนนับถือศาสนาพุทธหมดไป ยิ่งในพุทธศาสนาแผ่นดินรัตนโกสินทร์ มารตั้งศาสนาพุทธให้เล็กลง แล้วมีเครื่องย่อยแยกให้มีสองนิกาย คือ ธรรมยุต กับมหานิกาย ทำให้ศาสนาพุทธกระเทือน มารยึดการปกครองศาสนจักรไม่ให้ขยาย ซ้ำยังทำให้เรียวลง ๆ จนหมดไปจากแผ่นดิน พระมหามุนีเจ้าจึงจัดกองทัพธรรมลงจุติเพื่อแก้ไขและรักษาอาณาจักร พุทธจักรให้สืบไป โดยแบ่งกองทัพธรรมออกเป็น

    - ฝ่ายปราบ เป็นนักรบมีหน้าที่ทำวิชชารบกับมาร
    - ฝ่ายโปรด มีหน้าที่เผยแผ่สั่งสอนพระธรรมในฝ่าย สัมมาทิฐิ
    - ฝ่ายเสบียง มีหน้าที่ทำนุบำรุงศาสนา มาเกิดเป็น เศรษฐีผู้ใจบุญ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ณ แผ่นดินทอง เมืองทอง

    พระมงคลเทพมุนี (สด มีแก้วน้อย) หลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) เกิดวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ณ บ้านสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี วัยเยาว์ วันใดจันทร์เพ็ญ ก็จะร้องเอาพระจันทร์ พี่เลี้ยงชื่อยายบู่ ต้องทำเป็นเอาไม้กระทู้มาพาดที่ชายคาบ้าน แล้วไต่ขึ้นไปทำเป็นว่าจะหยิบพระจันทร์มาให้ จึงจะหยุดร้องไห้

    เมื่ออายุย่างเข้า 22 ปี อุปสมบท เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2449 ณ วัดสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีฉายาว่า "จนฺทสโร" จำพรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยต่อไป จนกระทั่ง พ.ศ. 2459 จึงมาครองวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) ในฐานะผู้รักษาการเจ้าอาวาส

    <CENTER>[​IMG]
    [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำไม[/FONT] </CENTER>
    วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 พรรษาที่ 15 ณ โบสถ์วัดบางคูเวียง พระคุณเจ้าปรารภแก่ตนเองว่า "เราตั้งใจจริงมาบวชจำเดิมแต่อายุ 19 ปี ได้ปฏิญาณตนบวชจนตาย จนบัดนี้ของจริงที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเห็น เรายังไม่ได้บรรลุ ยังไม่รู้ไม่เห็น สมควรแล้วที่จะต้องการกระทำอย่างจริงจัง" เมื่อตกลงใจได้ดังนี้ก็เข้าอุโบสถแต่เวลาเย็น ตั้งสัจจาธิษฐานแน่นอนลงไปว่า "ขอพระพุทธเจ้าทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้า ทรงประทานธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อย่างน้อยที่สุดแลง่ายที่สุดที่พระองค์ได้ทรงรู้แล้วแด่ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้า รู้ธรรมของพระองค์แล้ว เป็นโทษแก่ศาสนาของพระองค์แล้ว ขอพระองค์อย่างทรงพระราชทานเลย ถ้าเป็นคุณแก่ศาสนาของพระองค์แล้ว ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานแด่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์รับเป็นทนายศาสนา ในศาสนาของพระองค์จนตลอดชีวิต"

    <TABLE><TBODY><TR><TD> รักษ์ร่างพอสร่างร้าย </TD><TD>รอดตน</TD></TR><TR><TD> ยอดเยี่ยม"ธรรมกาย"ผล </TD><TD>ผ่องแผ้ว</TD></TR><TR><TD> เลอเลิศล่วงกุศล </TD><TD>>ใดอื่น</TD></TR><TR><TD> เชิญท่านถือเอาแก้ว </TD><TD>ก่องหล้าเรืองสกล</TD></TR></TBODY></TABLE>
    จากวันนั้นที่พระเดชพระคุณเจ้าได้ดวงปฐมมรรค และตั้งใจฝึกฝนวิชชาธรรมกาย อยู่เป็นเวลา 6 ปี พ.ศ. 2477 พระคุณเจ้าพบว่า [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ต้นธาตุ (สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์แรกสุดบนอายตนะนิพพาน) ใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร[/FONT] เพราะมารเข้ามาปนเป็นในศาสนาพุทธ ปล่อยสายมาปกครองมนุษย์ ให้มนุษย์มีกิเลส ตัณหาอวิชชา เป็นทาสของโลภะ โทสะ โมหะ พระคุณเจ้าเข้าธรรมกายสุดละเอียดจึงรู้และเห็นหมดว่า...

    สมัยที่พระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ เสด็จไปประทับ ที่ใต้ควงไม้ อชปาลนิโครธ พญามารนิมนต์จะให้นิพพานเสียทีเดียว แต่พระองค์ว่าจะโปรดสัตว์ให้ครบบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา พระแม่ธรณีขึ้นมาบีบมวยผม แสดงพุทธบารมีที่ได้สั่งสมมาแล้วอุทิศกรวดน้ำแด่สรรพสัตว์ น้ำเหล่านั้นออกจากมวยผมไหลท่วมพญามารหนีไป

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    เมื่อพญามารหลีกไป พระพุทธเจ้าภาคมารก็มาท้ารบกับพระพุทธโคดม พระพุทธองค์จึงเข้านิโรธสมาบัติไปเจ็ดวัน ขึ้นทูลถามพระพุทธเจ้าที่ในนิพพานแก่ ๆ ขึ้นไป จนถึงพระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ จึงทราบว่าพระองค์ท่านตรัสรู้เพียงหนี่งรอบ คือ 84,000 พระธรรมขันธ์ พระธรรมกายนั้นยังอ่อนอยู่ เปรียบเหมือนอย่างกุ้งหรือปูที่ลอกคราบก้ามและกระดองอ่อน ๆ อย่างนั้น พระบารมียังน้อยกว่าภาคมาร จะไปทำอะไรได้ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าชั้นแก่ ๆ ที่เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์เป็น ๆ ไปนั้นถึงจะสู้รบกับภาคมารที่มีฤทธิ์เดชมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธโคดมจึงขอโปรดสัตว์โดยอยู่ในกติกาที่ภาคมารตั้งให้ 4 ข้อ ดังนี้

    ข้อ 1. ห้ามพูดถึงภาคมารที่ให้ความทุกข์ กิเลส ตัณหา อวิชชา แก่สรรพสัตว์
    ข้อ 2. ห้ามพุทธสาวกแสดงฤทธิ์เดชจนไปแตะต้องถูกงานของ ภาคมาร
    ข้อ 3. ความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ให้ว่า เป็นกฎแห่งกรรม อย่าโทษว่าภาคมารทำ
    ข้อ 4. เมื่ออายุท่านครบ 80 ปี ต้องปรินิพพาน

    เมื่อรับกติกาดังนี้ ก็จะไม่รุกรานกัน ส่วนพระพุทธโคดมก็ตั้งกติกาไว้เพียงข้อเดียวคือ "ศาสนาของเราไม่มีข้อกำหนด มรรค ผล ยังมีอยู่ตราบใด ศาสนาก็ตั้งอยู่ตราบนั้น"

    ต้นธาตุจึงตรัสแก่พระคุณเจ้าว่า บัดนี้มารได้ส่งสายปกครองลงมาเกิด เป็นผู้นำแว่นแคว้นเผ่าพันธุ์ อีกทั้งเทพเจ้าสงครามก็ลงมาจุติแล้ว เห็นทีสงครามแห่งการล้างเผ่าพันธุ์เชื้อชาติต้องเกิดขึ้นแน่ ผู้คนจะล้มหายตายจาก การเข่นฆ่าด้วยอาวุธสงครามที่ร้ายแรง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แผ่นดินสุวัณณภูมินี้จะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า พุทธจักรอาณาจักรจะถูกมารเข้ายึดครองและทำลายจนไม่เหลือเศษ [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ขอพระคุณเจ้าจงทำวิชชารบกับมารเถิด แยกพระ แยกมาร ให้ออกจากกัน เก็บภัยสงคราม[/FONT] มารเอาบ้านเมืองมาล่อ เอาความเจ็บความตายมาให้ ปราบมารเหล่านี้ลงเสียได้ มนุษย์ถึงจะอยู่สุข การรบกับภาคมารนี้ต้องทำอย่างจริงจัง และต่อเนื่องตลอดเวลา 24 ชั่วโมง อย่างน้อยเป็นเวลา 25 ปี จึงจะชนะหมด ขอท่านจงรับหน้าที่เหล่านี้เถืด เพื่อประโยชน์สุขแห่งประเทศชาติและประโยชน์อย่างยิ่งแก่พระนิพพาน ในการดำรงรักษาและสืบอายุพุทธจักร และสืบอายุพุทธจักร อาณาจักรในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียวที่ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพาน

    โอ้หนอ... ภาระนี้ใหญ่หลวงนัก พระคุณเจ้าเฝ้าตรึกตรองว่าเมื่อรับแล้วจะกระทำได้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็เผยแพร่วิชชาธรรมกายไปอย่างกว้างขวาง มีผู้คนเข้ามาปฎิบัติมากขึ้น ๆ สายธาตุธรรมที่มีหน้าที่ก็เริ่มเข้ามาอยู่ในสายการปกครองของพระคุณเจ้า โดยเฉพาะธาตุธรรมที่ต้องมาทำวิชชารบ เพียงฝึกฝนก็ปฏิบัติได้เป็นอัศจรรย์ พระคุณเจ้าคิดว่า[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เมื่อจะรับงานต้นธาตุ คำว่าถอยหลังไม่เคยใช้[/FONT] ท่านเฝ้าเคี่ยวกรำหน่วยทำวิชชานี้อย่างเคร่งครัดชนิดไม่ให้ไปไหนหรือปฏิบัติอย่างอื่นอย่างใด นอกจากการปฏิบัติวิชชาธรรมกายขั้นสูงแต่อย่างเดียว ใช้เวลาทั้งหมด 8 ปี เมื่อพร้อมที่จะทำงานพระคุณเจ้าจึงตั้งโรงงานทำวิชชาขึ้นที่วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) ใช้คำว่าโรงงาน เพราะต้องผลัดกันทำวิชชาเป็นกะ กะละ 3 ชัวโมง ส่งงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีการหยุดพัก ปี พ.ศ. 2485 จึงเริ่มต้นทำวิชชารบกับภาคมาร เก็บดาวสงคราม สร้างดาวสันติ ถ้ามารไม่แพ้ พระคุณเจ้ายอมตายอยู่วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ)
    <CENTER>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]
    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=370 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=179>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]หลวงพ่อสดฝึกศิษย์เนื่องติดต่อ[/FONT]</TD><TD width=26>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD width=165>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ไม่ย่นย่อฝึกจิตเป็นกิจใหญ่[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]นั่งภาวนาสมาทานสถานใน[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]พวกจิตใสที่จัดไว้เงียบเหมาะดี[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ประจำวันหมั่นทำกรรมฐาน[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ประจำกาลค่ำเช้าท่านเข้าที่[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เป็นเวลาภาระประเพณี[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทำจนมีมาตรฐานการภาวนา[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ควบคุมพระระวังนั่งฝึกจิต[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ควบคุมศิษย์ฝึกใจให้ก้าวหน้า[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทั้งคืนวันหมั่นทำประจำมา[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทุกเวลาล้วนทำประจำไป[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ส่วนแม่ชีมีสิทธิ์กิจสอนสั่ง[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เจริญนั่งภาวนาอัชฌาสัย[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]สมาธิแสนสว่างแจ่มแจ้งใจ[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ท่านมอบให้ห้องทำประจำวาร[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]แบ่งฝ่ายพระคฤหัสน์เป็นสัดส่วน[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทุกฝ่ายล้วนฝึกทำกรรมฐาน[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]มีชื่อหนึ่งซึ่งโยงเข้าโครงการ[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เรียก"โรงงาน"สมาธิภาวนา[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]โรงงานหนาขานได้ฟังไม่แปลก[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]สงสัยแทรกสำนึกเมื่อตรึกตริ[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]"โรงงานทำกรรมฐาน"เรียกขานสิ[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ใช่ตำหนิหากมนัสอัศจรรย์[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]"หลวงพ่อ"ชั่งตั้งชื่อถือว่าแปลก[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ยินครั้งแรกรู้สึกให้นึกขัน[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]นึกแหล่งผลิตกิจกรรมทำขายกัน[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]แต่ทุกวัน "กลับฝึกธรรมกาย"[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]คล้าย "โรงธรรม"คำนี้มีหลักฐาน[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ดุจ "โรงงาน"คำนี้มีจุดหมาย[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ที่ฝึกธรรมบำเพ็ญเย็นสบาย[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ที่สืบสาย "วิชชา"มาเนิ่นนาน[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ยังคงอยู่คู่สำนัก "วัดปากน้ำ"[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทุกเช้าค่ำคงศิษย์กิจประสาน[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เข้าที่นั่งยังวิชชาประเทืองการ[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]สมาทานสมาธิมิเสื่อมคุณ[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]มีการจัดผลัดเปลี่ยนเวียนกันนั่ง [/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ตลอดทั้งคืนวันช่วยกันหนุน[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]คำนวณบุญผังวิชชาเพื่อเชื่อมคุณ[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]นั่งเวียนหมุนธรรมจักรสืบต่อไป[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ห้าพันปีที่พุทธศาสน์[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]จักโอภาสพิสุทธิ์พุทธสมัย[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]แผ่มิ่งขวัญบันดลมงคลชัย[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]อดิสัยพร้อมพรั่งทุกสังคม[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]โดย "หลวงพ่อ" หวังปลูกฝังศาสน์ [/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]เป็นขวัญชาติคู่ไทยได้งามสม[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทุกดวงใจบรรลุธรรมเอกอุดม[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]พึ่งพิงร่มพุทธศาสน์ชาติชื่นเย็น[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]มีคุณธรรมอมตะประดับจิต[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]มีนิมิตถูกมรรคาสว่างใส[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ปฏิบัติขัดเกลาทั้งนอกใน[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ทั้งกายใจพบสุขนิจนิรันดร์[/FONT]</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ปฏิบัติสัมมาหลวงพ่อบอก[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]การเดินนอก หยุดใน นั้นไร้ผล[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ให้เดินใน หยุดนอก ทุกกมล[/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT]</TD><TD>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]บันดาลดลเป็นผลดีพ้นเกิด-ตาย[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    [/FONT]</CENTER>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  11. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->บูรพนิมิตหรือลางร้ายต่าง ๆ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->"กาโก สัมมิโก กิปิโล กุนโถ ถาปิ กะลี จะอัญญะมัญญัง ปะหะรันตา มะนุสสา ยุทธะการะตาติ"

    แปลความว่า "กาและปลวก และนกเอื้ยง, มดดำ, มดแดง ประหารจิกตีกันเป็นกลุ่ม ๆ ผิดประหลาดกว่าธรรมดา ก็เป็นนิมิตที่แสดงให้โลกรู้ว่า จะบังเกิดรบพุ่งชิงชัยกันเป็นโกลาหล"

    เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2481 ที่วัดวังตะวันออก จังหวัดนครศรีธรรมราช มดดำกับมดแดงยึดเขตต้นไม้ฝ่ายละต้น ยกทัพเข้ารบกัน ต่างฝ่ายก็ล้มตายกันมาก ๆ และได้เกิดรบกันตั้งแต่ พ.ศ. 2480 ก็ครั้งหนึ่ง ผลัดกันแพ้ และชนะทั้งสองครา เวลาถัดมา กองทัพกิ้งกือ ก็ยกพลขึ้นบุกโคราชมาถึงดอนเมืองและบางเขน รบกันบนทางรถไฟ จนต้องมีคนขึ้นไปกวาดทหารกิ้งกือลงจากทางรถไฟ เพราะมันถึงกับทำให้รถไฟวิ่งลื่นไปบนรางรถ กองทัพกิ้งกือ คราวนั้นมีมากเหลือประมาณ มองดูมืดมิดทางรถไฟไปหมด นอกจากนี้ กา และนกเอี้ยง นกกิ้งโคลง ก็ชอบจิกตีกันเป็นฝูงๆ เป็นเวลาหลายปี และกลางเดือนมีนาคม พ.ศ. 2482 ก็เกิด "กลาบาต" ลอยไปในอากาศในระยะต่ำ จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดวงขนาดใหญ่เท่าผลมะพร้าว มีแสงสว่างเป็นหางยาวสีน้ำเงินเข้ม และมีเสียงลั่นดังเปรี๊ยะ ๆ หลายครั้ง

    อีกทั้งแผ่นดินก็เกิดไหวขึ้นที่ย่างกุ้ง, ตองอู, และปีมานา ในประเทศพม่า เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย และในประเทศไทยที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำปาง, แพร่, น่าน แผ่นดินไหวติด ๆ กันหลายครั้ง อีกทั้งเกิดอสุนีบาตฟาดลงมาโดนโคมไฟฟ้าบนยอด ภูเขาทอง วัดสระเกศโคมไฟแตกกระจาย

    ลางร้ายได้บังเกิดขึ้นมากมายหลายแห่ง และแล้วเหตุก็ติดตามมา ประเทศญี่ปุ่นประกาศศึกในภูมิภาคเอเซีย เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2482

    สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิด พ.ศ. 2457 ยุติ พ.ศ. 2461
    สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิด พ.ศ. 2482 ยุติ พ.ศ. 2488

    เวลาถัดมาถึง พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นยกพลบุกขึ้นประเทศไทยที่ปักษ์ใต้ทันที ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2482 กองทัพญี่ปุ่นก็ตีตะลุยมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทะลุเลยไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือเข้าประเทศพม่า ดั่งนิมิตที่บอกเหตุร้ายนี้เอง

    พ.ศ. 2485 พระคุณเจ้าพระมงคลเทพมุนี เริ่มทำวิชชารบเก็บเหตุภัยสงครามอย่างเต็มกำลัง โดยตั้งผลัดเวรทำวิชชาธรรมกายขั้นสูงอย่างไม่ลดละตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคุณเจ้าตรวจสอบถึงผัง สุวัณณภูมิ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองนี้นองเลือดเสียแล้ว...หากดับดาวเทพเจ้าสงครามลงมิได้ เห็นทีศาสนจักรและอาณาจักร จักล่มสลายเสียสิ้น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งผ่านพ้นความทุกข์ยากไป ยังไม่ทันจะลืมเลือน ผลพวงแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ยังกระทบกระเทือนถึง ผังสุวัณณภูมิ จากเดิมทีเป็นรูปดอกบัว อยู่กันอย่างสันติร่มเย็นดุจน้องพี่

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    สุวัณณภูมิ หรือที่ชาวต่างชาติในอดีต เรียกกันว่า "อินโดจีน" เป็นแผ่นดินที่เป็นแหลมยื่นออกสู่ทะเล มีทะเลแวดล้อมทั้ง 3 ด้าน คือ

    - ด้านตะวันออกอิงอยู่กับทะเลจีนใต้
    - ด้านใต้ยื่นลงไปในเขตที่มหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้มา บรรจบกัน
    - ด้านตะวันตกอยู่ในอ่าวทะเลอันดามัน

    มีอาณาเขตประมาณ 900,000 ตารางกิโลเมตร (876,557 ตร.ก.ม.) มีแม่น้ำสำคัญ 5 สาย คือ แม่น้ำ อิระวดี, แม่น้ำสาละวิน (ในพม่า), แม่น้ำโขง (ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามตอนใต้), แม่น้ำเจ้าพระยา (ในไทย) และแม่น้ำแดง (ในเวียดนาม) ปรมัตถ์จากเบื้องบน แผ่นดินดอกบัว อาณาจักรแห่งการสืบศาสนจักรขององค์พระพุทธโคดม บัดนี้ถูกย่อยแยกออกเป็นที่ตั้งของประเทศ 6 ประเทศ คือ พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย โดยเฉพาะประเทศไทยมีผืนแผ่นดินกลับกลายเป็นรูปขวาน อาวุธแห่งการทำลายล้าง ปรมัตถ์ที่ดีงามถูกมารย่อยแยกแตกทำลายเสียป่นปี้ สุวัณณภูมิจะกลับกลายเป็นแผ่นดินแห่งการเข่นฆ่าทำลาย ชิงดีชิงเด่น แย่งอำนาจการปกครองเสียแล้วหรือนี่ ความสมานฉันท์แห่งบ้านพี่เมืองน้องไม่มีอีกแล้ว

    สงครามโลก การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ บัดนี้ถึงขั้นใช้อาวุธสงครามที่ร้ายแรงเข้าประหัตประหารกัน พระคุณเจ้าฯ ตรวจไปในอนาคต ปรากฎแผ่นดินมาตุภูมิแห่งนี้ถูกอาวุธร้าย "ลูกเหล็ก" จากอากาศ ระเบิดทำลาย โอ้...มารนี้ช่างร้ายนัก จะทำลายแผ่นดินแห่งการสืบศาสนจักรไม่เหลือเลยหรือนี่

    <CENTER>[​IMG]
    [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ภาพจำลองเมือง ฮิโรชิมา ก่อนถูกระเบิดนิวเคลียร์[/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]ภาพภายหลังถูกระเบิด[/FONT]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]หนึ่งในซากอาคาร ที่ยังเหลืออยู่[/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]สภาพผู้คนในภาวะสงคราม[/FONT] </CENTER>

    พระคุณเจ้าฯ เข้าธรรมกายขั้นสูงไปทูลถามต้นเหตุ ต้นธรรม ว่าจะแก้ไขประการใด ต้นธาตุชี้แนะว่า เมื่อต้องการยุติสงครามโลกอย่างจริงจัง มิใช่เกิดครั้งที่ 1 เกิดครั้งที่ 2 แล้ว 3,4...จะมีมาอีก ทางโลกให้หาประเทศที่มีอำนาจดับสงคราม ทางธรรมดับเทพเจ้าสงคราม ผู้ส่งผังแห่งการเข่นฆ่าทำลาย และสร้างดาวสันติให้เกิดแก่ชาวโลก พระคุณเจ้าฯ เข้าใจทันที ประเทศใหม่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปรมัตถ์ก็คือประเทศ แม่กา อยู่แล้ว(อ-เม-ริ-กา) และยังมีเทพีสันติภาพ อยู่ที่เมืองหลวงของประเทศ พระคุณเจ้าฯ จึงรีบรุดบอกวิชชาให้คณะในโรงงานทำวิชชาของวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) คำนวณเอาประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นผู้ดับสงครามโลกครั้งที่สองนี้ และปัดภัยจากฟ้าที่จะมาทำลายแผ่นดินมาตุภูมินี้ คือ ลูกระเบิดนิวเคลียร์ พ้นจากแผ่นดิน <!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  12. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    <!-- InstanceBeginEditable name="title" -->เหตุการณ์ผันผวนในเมืองไทย หลากปัญหาที่ต้องเผชิญวิกฤตการณ์ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->ในช่วงปลาย พ.ศ. 2481-2488 มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินสุวัณณภูมิ ประเทศทั้ง 6 ต่างประสบกับความยุ่งยากทางการเมืองการปกครอง แม่น้ำสำคัญ 5 สาย ดุจดังนิ้วมือทั้ง 5 ที่เคยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข บ้านพี่เมืองน้อง ต่างก็เกิดการแตกแยกสามัคคี แย่งชิงอำนาจการปกครองบ้านเมือง ประเทศไทยก็เช่นกันสถานการณ์ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ความไม่ราบรื่นทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งมีปัญหาเรื่อยมา ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย โดยมีกษัตริย์เป็นพระประมุขของชาติ

    พระเดชพระคุณเจ้าฯ พบว่า มารส่งผังเข้ามาให้มนุษยตกทุกข์ยากลำบาก มีจิตใจใคร่ในสงคราม การทำลายเข่นฆ่า อีกทั้งให้รับวิบัติต่าง ๆ มีโรคภัยไข้เจ็บ รบราฆ่าฟัน ข้าวยากหมากแพง ให้วิบัติไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้ยากจนข้นแค้น ให้มีความชั่วร้ายต่าง ๆ อีกทั้งให้มีการเปลี่ยนแปลงลัทธิการปกครอง สงครามโลกแผ่ขยายไปทั่ว เมื่อ พ.ศ. 2485 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นในแผ่นดิน โดยเฉพาะกรุงเทพฯ หลังน้ำท่วมไทยต้องเข้าสู่สงครามมหาเอเซียบูรพา พระคุณเจ้าฯ จึงคำนวณวิชชาธรรมกายขั้นสูง เก็บผู้รุกราน รัสเซีย ญี่ปุ่น เยอรมัน เป็นต้นคิด ส่วนอเมริกาเป็นผู้คอยรับช่วยเหลือในสันติภาพ มีกำหนดให้มนุษย์รบกันอีก 3 ปี จึงสิ้นสุด ใน พ.ศ. 2488 พระคุณเจ้าฯ ทำวิชชายกประเทศของเราขึ้นให้พ้นจากความเสียหายทั้งปวง โดยเอากำเนิดจีนซ้อนในกำเนิดของไทยเป็นผลให้

    เมื่อสงครามโลกจบสิ้นลง ไทยประสบกับปัญหาทางการเมืองในฐานะผู้แพ้สงคราม คนไทยกลุ่มหนึ่งทั้งระดับผู้นำทั้งใน และต่างประทศ ร่วมกันจัดตั้งขบวนการ "เสรีไทย" ร่วมกับฝ่ายพันธมิตรต่อต้านญี่ปุ่น ในช่วงสงคราม ทำการช่วยเหลือเชลยศึกฝ่ายพันธมิตรและอเมริกาเป็นอย่างดี ในช่วงที่อยู่ระหว่างเจรจาต่อรองเกี่ยวกันสนธิสัญญาสมบูรณ์แบบระหว่างไทยกับอังกฤษที่จะเข้ามาปกครองไทย รัฐบาลจีนได้ประกาศให้โลกทราบ ต่อการเห็นว่าไทยเป็นประเทศเอกราช และไม่ให้ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม และด้วยความเห็นอกเห็นใจของบรรดาชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ที่เห็นว่าไทยต้องอยู่ในสภาวะจำยอมเข้าสู่สงคราม จึงยอมรับและลงความเห็นเหมือนกับจีนตามประกาศ เมื่อต้นปี พ.ศ. 2489 คือ ไทยเป็นประเทศเอกราชไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะของ ผู้แพ้สงคราม

    และเมื่อค้นวิชชาต่อไป พระคุณเจ้าฯก็พบผังการเปลี่ยนลัทธิการปกครองทั่วสุวัณณภูมิ ให้เห็นเหตุและแผนผังที่ฝ่ายมารส่งมาทั่วทั้งสุวัณณภูมิ ให้ทุกประเทศแตกแยก และเปลี่ยนลัทธิการปกครอง เป็นลัทธิแดง(คอมมิวนิสต์) ส่งสงครามให้เกิดในประเทศไทย และจะเป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมัยกึ่งพุทธกาลล่วงไปแล้วไม่กี่มากน้อย มาตุภูมินี้ต้องเป็นปิ่นของนานาประเทศ พระคุณเจ้าฯ จึงให้รักษาปกปักแผ่นดินมาตุภูมิไว้อย่างเต็มที่ โดยการเก็บผังสงครามโลกครั้งที่3 ผังที่กลับชาวไทย ให้เป็นคอมมิวนิสต์ออก และรักษาผังกษัตริย์ไว้ให้อยู่คู่ไทย

    แต่ด้วยกรรมของศาสนา ที่จะต้องเป็นไปในวงศ์ของพระพุทธโคดม ในสมัยกึ่งพุทธกาลล่วงไปแล้ว จะมีบังเกิดขึ้น ให้ผู้คนในแผ่นดินต้องด้วย 3 ภัย 8 ทุกข์

    3 ภัย คือ :- ภัยเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และภัยโรคร้าย (ที่รักษาไม่ได้)

    8 ทุกข์ คือ:-
    1. ข้าวยากหมากแพง
    2. เงินไร้ค่า
    3. ผู้คนยากจนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว
    4. วิบัติด้วยโรคร้าย
    5. วิบัติด้วยภัยธรรมชาติทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ
    6. บุตรหลานไม่อยู่ในโอวาท
    7. วิบัติด้วยยาเสพติด
    8. โจรผู้ร้ายชุกชุม


    พระคุณเจ้าฯ จึงทูลต้นธาตุให้ซ่อนประเทศชาติ ศาสนา วิชชาธรรมะ ตลอดทั้งพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พ้นภัยสงครามโลก และยกประเทศชาติ ศาสนา ถวายองค์พระศรีฯ ผู้รับช่วงงานสืบต่อศาสนจักร อาณาจักรในยุคกึ่งพุทธกาลหลัง ให้พระองค์ส่งผู้คนชาวศิวิไลซ์มาเกิด เพื่อสืบงานสันติภาพต่อไป หากแม้นกรรมของศาสนาพระพุทธโคดมที่พระคุณเจ้ารับเป็นทนายแก้ต่างให้ ยังไม่หมด พระคุณเจ้าฯ ยินดีเอาตัวท่านและวิชชาธรรมกายรับกรรมแทนแก่เหล่ายักษ์ มารทั้งหลาย และแล้วพระคุณเจ้าฯ ก็มรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ชั่วชีวิตที่เกิดมาเป็นพระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) ก็เพื่อรักษาศาสนจักร อาณาจักรให้อยู่เสมือนหนึ่งพุทธกาล เป็นการทำประโยชน์อย่างยิ่งแก่พระนิพพานอย่างแท้จริง

    <CENTER>[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif](นวกาพรหมสายมุนีจบลงแล้วโปรดติดตาม นวกาพรหมสายมณี
    (แก้วมณีศรีอริยะ) ตอนต่อไป)
    [/FONT]
    [​IMG]</CENTER><!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- InstanceEnd -->
     
  13. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    การที่ลูกได้นำข้อความข้างบนนี้มาเผยแพร่ ไม่ทราบเท็จจริงอย่างไร แต่ลูกมิได้มีเจตนาร้ายบ่อนทำลายหรือดูหมิ่นศาสนาของพระพุทธโคดม หากกรรมอันใดที่ลูกได้ล่วงเกินพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์อันเป็นที่เคารพสูงสุดของลูก ลูกขอกราบเบื้องบาทขอขมาในการกระทำที่ไม่ได้มีเจตนาเหล่านั้น
     
  14. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    โมทนานะครับ ได้ความรู้มาอีกเพียบครับ
     
  15. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" background=/images2006/bg_head_money.gif border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <!-------------------------open Head News-------------------------><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>[​IMG]
    </TD><!--------------open column1 photo---------------><TD class=F1 vAlign=top bgColor=#ffffff>'ของจริง' Coming Soon
    [​IMG]
    19 ตุลาคม 2548 09:29 น.
    พาเหรดพายุและน้ำท่วมที่ป่วนโลกอยู่ในตอนนี้ นอกจากความเสียหายระดับพระกาฬที่ทิ้งไว้ ยังแถมคำถามสำคัญมาให้ขบคิดด้วยว่า "เกิดอะไรขึ้นกับโลก"
    หรือคำทำนายบางอย่างจะเป็นจริง และโลกกำลังจะถึงจุดวิกฤติหรือไม่ ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ พาไปหาคำตอบตามหลักวิทยาศาสตร์
    ในแต่ละปีศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งสหรัฐอเมริกาจะเตรียมชื่อเฮอร์ริเคนเอาไว้ถึง 21 ชื่อ แต่ขณะนี้ชื่อที่ 17 ได้ถูกใช้ไปแล้วคือ 'ริต้า'(Rita) และเกรงว่าอีก 4 ชื่อที่เหลือจะไม่เพียงพอต่อฤดูเฮอร์ริเคนที่เหลืออีก 2 เดือนเต็ม จึงขอไปยังองค์การอุตุนิยมวิทยาสากลในการใช้อักษรกรีกมาเรียงลำดับต่อ เพื่อรองรับเฮอร์ริเคนลูกที่ 22 ที่อาจโฉบขึ้นฝั่งมาก่อนสิ้นปี
    ข่าวเล็กๆ ชิ้นนี้ ดูเผินๆ ใจความอาจอยู่ที่เรื่อง 'ชื่อ' แต่ถ้าอ่านเอาเรื่องจริงๆ ความไม่ปกติที่ว่านั้น เข้าขั้นน่ากลัวเลยทีเดียว เพราะปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น และแน่นอน...มันมีที่มาที่ไป พร้อมกันนั้นมันคือสัญญาณเตือนภัยบางอย่างระดับโลก
    เรื่องนี้ ดร.อนนท์ สนิทวงษ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโลก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายอย่างง่ายๆ ว่า "มันเหมือนสินค้าตัวอย่าง ก่อนที่ของจริงจะตามมาในอนาคต" แต่ยังไม่กล้าฟันธงว่าช้าหรือเร็ว
    แม้จะหอบหายนะมาฝาก แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องขอบคุณแคทรินา ริต้า กระทั่งน้องๆ อย่างดอมเรย ที่แทคทีมดึงเราท่านให้หันกลับมาตั้งคำถามอย่างซีเรียสว่า "เกิดอะไรขึ้นกับโลก"
    ทั่วโลก กำลังพยายามหาคำตอบเรื่องนี้อยู่....

    พาเหรดเฮอร์ริเคนเมืองมะกันและน้ำหลากทางภาคเหนือ ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะทั้งคู่เป็นผลพวงมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Climate change หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกมานานแล้ว ว่ากันว่าหายนะที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ เพราะโลกกำลังเดินเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวแล้ว
    "ซีกโลกภาคเหนือ ช่วงนี้ตรงกับปลายฤดูร้อนพอดี น้ำทะเลจะร้อนที่สุด ดังนั้นพายุจึงรุนแรงที่สุด" ผอ.ศูนย์เครือข่ายศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโลก จุฬาฯ อธิบายที่มาของเฮอร์ริเคน ซึ่งก็คือพายุหมุนชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อจุดใดจุดหนึ่งในทะเลมีความร้อนสูงผิดปกติ และเมื่ออุณหภูมิ ณ ระดับน้ำทะเลไม่เท่ากันแล้ว จึงเกิดการดึงมวลอากาศเข้าหา กลายเป็นพายุหมุนขึ้นมา และยิ่งน้ำทะเลร้อนเท่าไหร่พายุก็จะทวีกำลังแรงขึ้นเท่านั้น ซึ่งปีนี้โชคร้ายตกเป็นของชายฝั่งแถบหลุยส์เซียน่า และนิวออร์ลีน
    เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ภาคเหนือเจอทั้งน้ำเหนือและน้ำหนุนรุมจนอ่วม นักวิทยาศาสตร์มองภัยพิบัติต่างทวีปเหล่านี้ว่า เป็นการปรับตัวของภูมิอากาศโลกเพื่อสมดุลของพลังงาน
    ถ้ายังไม่เข้าใจ รศ.ดร.กัณทรีย์ บุญประกอบ จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หนึ่งในคณะกรรมการของ IPCC (InterGovernmental Panel on Climate Change) ชวนให้กลับไปทบทวนตำราวิทยาศาสตร์สมัยประถมในบทที่ว่าด้วยปฏิกิริยาเรือนกระจก (Green House Effect) รับรอง...เรื่องนี้ง่ายขึ้นเยอะ
    "บรรยากาศมีก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปกติ ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีคุณสมบัติดูดกลืนพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้แผ่ออกไปจากโลก"
    พื้นดิน น้ำ ป่าไม้ ธารน้ำแข็งและบรรยากาศ คือ 5 สิ่งที่ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานของโลก และเมื่อคาร์บอนมอนนอกไซด์ในชั้นบรรยากาศ กักกั้นความร้อน จนทำให้ทั้ง 5 สิ่งนี้ซึมซับความร้อนได้ไม่เท่ากัน จึงเกิดการถ่ายทอดพลังงานเพื่อให้เกิดความสมดุล แต่เพราะกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทำให้ทรัพยากรทั้ง 5 เปลี่ยนแปลงไปในระดับที่เลวลง การถ่ายทอดพลังงานเพื่อสร้างความสมดุลจึงผิดรูปเสียขบวน ความแปรปรวนจึงย้อนกลับมาทำร้าย
    และแม้มนุษย์จะออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการชูธงประหยัดพลังงานกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสำนึกดีดังกล่าวจะทำได้อย่างมากก็แค่เลี้ยงไข้เอาไว้ จะไปหวังผลขั้นทุเลา...คงยาก
    จากการศึกษาของ IPCC พบว่า แม้จะลดการใช้พลังงานหรือลดก๊าซเรือนกระจกด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด แต่ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนไปคงที่ในอีก 50 ปีข้างหน้า
    แต่ถ้ามนุษย์ยังเฉยเมยต่อเรื่องนี้ และตั้งหน้าตั้งตาผลาญโลกกันต่อไป ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่อีก 100 ปีข้างหน้าก็ยังไม่มีแนวโน้มลดลง
    "เมื่อความเข้มข้นเพิ่มขึ้น อุณหภูมิจะสูงขึ้น ปรากฏการณ์ธรรมชาติประเภท Extreme Event ก็จะเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พายุ น้ำท่วม น้ำทะเลหนุนสูง และความแห้งแล้ง" รศ.ดร.สิรินธรเทพ เต้าประยูร ประธานสายวิชาสิ่งแวดล้อมบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ร่วมเตือนภัย
    20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพบว่าอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ย 0.5 องศาเซลเซียส สำหรับคนทั่วไปอาจเป็นตัวเลขที่ไม่น่าตื่นเต้น แต่กับภูมิอากาศถ้าลองได้เปลี่ยนแล้ว จะเปลี่ยนเลย ไม่มีกลับไปกลับมา แม้กราฟอุณหภูมิจะขยับขึ้นเพียงนิดแต่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญ ผลลัพธ์ของมันไม่ได้ 'นิด' ตามไปด้วย
    "ทราบหรือไม่ว่า ในรอบ 40 ปีอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเพียง 0.6 หรือ 1 องศาเซลเซียส จะส่งผลต่อระดับความรุนแรงทางธรรมชาติเพิ่มขึ้นถึง 4-5 เท่าตัว" รศ.ดร.กัณทรีย์ เผยผลการศึกษา
    จะบังเอิญหรือไม่ แต่เรื่องนี้ไปสอดคล้องกับรายงานอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติเรื่องการป้องกันภัยพิบัติเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า ภัยพิบัติระหว่างปี พ.ศ.2537-2546 เพิ่มขึ้นถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 20 ปีก่อน
    ถี่ขึ้นยังไม่พอ ซ้ำร้ายกว่านั้น ภัยพิบัติแต่ละครั้งยังเพิ่มระดับการทำลายล้างมากขึ้นเรื่อยๆ จากการศึกษาของเคอรี เอมมานูเอล สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์(MIT) พบว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา พายุลูกใหญ่ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก เพิ่มความรุนแรงแต่ละลูกยาวนานขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจัยสำคัญคือความร้อนเหนือน้ำทะเลที่สูงขึ้น

    ความแปรปรวนที่เขย่าโลกอยู่ ณ ขณะนี้ เกิดขึ้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับทุกประการ แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายคนคิดประหวัดไปถึงคำทำนายโลกบางประการ...เกี่ยวกับวันสิ้นโลก ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ อิสลาม จูเดอิซึ่ม กระทั่งพ่อมดอย่างนอสตราดามุสก็เคยพูดถึง
    นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ไม่มีใครโยงเรื่องนี้มาประกอบคำอธิบาย แต่ก็ไม่ได้ค้านว่ามันไม่จริง
    "มันคงเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป ซึ่งมันอาจจะเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตหลายร้อยล้านปี แต่ประเด็นสำคัญกว่าอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น(อีก)" ดร.อนนท์ พูดในสิ่งที่เป็นไปได้
    พายุ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นถี่ในช่วงนี้ ดร.อนนท์ เผยว่าเป็นเรื่องที่นักวิชาการคาดการณ์กันไว้นานแล้ว เพราะโดยปกติ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่เป็นไปทีละเล็กทีละน้อย
    "แต่พายุหรือน้ำท่วมที่เกิดขึ้นนี้ มันก้าวกระโดด เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งริต้า แคทรินา ก็อาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากที่สุดครั้งหนึ่งของ Climate change"
    เหตุผลที่ผอ.ศูนย์เครือข่ายศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโลกใช้คำว่า 'อาจจะ' เพราะพายุไม่กี่ลูกนี้ เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว แต่ถ้าต้องการคำยืนยันถูกต้องและแน่นอนทางอุตุนิยมวิทยาต้องสังเกตการณ์ยาวนานถึง 30 ปี
    แต่ที่แน่ๆ จากการศึกษาและเฝ้าดูอยู่นานพอสมควร ดร.อนนท์ มั่นใจว่า ต่อจากนี้ พายุจะมีถี่มากขึ้น ฝนจะตกชุกบริเวณชายฝั่งมากขึ้น และมีสองอย่างนี้มารวมตัวกันเข้า ทั้งฝนและพายุจะเพิ่มระดับการทำลายล้างมากขึ้น
    ขณะนี้ ประเทศชั้นนำต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา หรือญี่ปุ่น ต่างก็ใช้โมเดลในการวิเคราะห์แนวโน้มของภูมิอากาศในระยะยาว ซึ่งในประเทศไทยมีโมเดลชื่อ CCAM ที่ใช้วัดระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในความดูแลของ ดร.อนนท์ ซึ่งได้ผลออกมาดังนี้
    "พบว่าการปรวนแปรมีมากขึ้นแต่ไม่ได้มากผิดหูผิดตา บริเวณพื้นที่ที่น่าห่วงคือชายฝั่งหรือสันเขา แต่ผลภัยที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ แต่อาจจะถึง 30 ปีข้างหน้า น่าจับตามองว่า ความเสี่ยงจะเปลี่ยนรูปไปอย่างไร ซึ่งเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่รุนแรงขึ้นแน่ๆ"
    ไม่ว่าวันนั้นจะมาถึงช้าหรือเร็ว ตามความเห็นของ รศ.ดร.กัณทรีย์ พื้นที่ที่จัดว่าสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดหายนะมากที่สุดคือ แอฟริกาและอเมริกาใต้ ทั้งนี้เพราะแอฟริกาเข้าสู่ภาวะแห้งแล้งมานานแล้ว ผู้คนอดอยาก ปลูกพืชผลก็ลำบาก อ่อนแออย่างนี้เกิดภัยพิบัติขึ้นมาที จึงน่าจะบอบช้ำมากที่สุด
    ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ฝนชุกเป็นทุนเดิมอย่างอเมริกาใต้ ถ้าปะเหมาะเคราะห์ร้ายไปเจอหายนะถล่มเข้า คงอ่วมพอๆ กัน แตกต่างจากความเห็นของ ดร.อนนท์ ที่มองว่าภูมิภาคที่สุ่มเสี่ยงมากที่สุดนั้นน่าจะเป็นประเทศที่เทคโนโลยีค่อนข้างต่ำ และประเทศไทยเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
    "เพราะการรับมือกับ Climate Change นั้นต้องใช้ทั้งเงินและความเข้าใจ พูดตรงๆ ประเทศไทยจัดว่าความเสี่ยงอยู่ในระดับค่อนมาทางสูง ทั้งนี้เงินเราพอมีแต่กลับขาดความตระหนักในเรื่องนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลมองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง การเจรจาสนธิสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ มักจะตั้งอยู่บนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก"
    รศ.ดร.กัณทรีย์ ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนในประเทศไทย ก็ตระหนักในเรื่องนี้ดีเพราะที่ผ่านมาได้รวบรวมผลงานวิจัย เสนอไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลเพื่อกระตุ้นให้เริ่มคิดแผนรองรับและป้องกัน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นอกจากความเงียบ
    ผิดกับทั่วโลกที่หันมาวิ่งเต้นเรื่องนี้กันอย่างกระตือรือร้น เตรียมแผนลดการใช้พลังงานโดยเฉพาะน้ำมันและถ่านหิน ยกระดับนโยบายการใช้พลังงานทดแทนขึ้นเป็นวาระระดับชาติ
    ทั้งรศ.ดร.กัณทรีย์และดร.อนนท์ เห็นพ้องต้องกันว่า วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการปลูกต้นไม้ วิธีที่หลายๆ คนอาจจะมองว่ามันสายเกินไป ซึ่งก็มีส่วนจริง
    "ถ้าเราไม่ลงมือตั้งแต่ตอนนี้ ความปรวนแปรที่เกิดขึ้นแน่ๆ ในอนาคตก็อาจเลวร้ายกว่าที่คาดเอาไว้ สมมติทั่วโลกหันมาปลูกต้นไม้ควบคู่ไปกับการลดใช้ถ่านหิน น้ำมัน ผลดีที่สุดของมันคืออุณหภูมิในอีก 50-80 ปีข้างหน้าอาจจะเพิ่มแค่ 1-2 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเรายังเดินหน้าพัฒนาโดยคำนึงถึงเศรษฐกิจอย่างเดียว จาก 1-2 องศาฯ ในเวลานั้น ก็อาจจะเพิ่มเป็น 5 องศาฯ ได้ง่ายๆ" ดร.กัณทรีย์ ชี้ให้เห็นความต่าง
    เช่นเดียวกับอาจารย์จากรั้วจามจุรีที่มองว่าฮาวทูกู้โลกคลาสสิกอย่างการปลูกต้นไม้ ยังเชื่อมือได้เสมอๆ
    "เพราะเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ดังนั้นวิธีใดก็ตามที่พอจะช่วยได้ ถือว่าจำเป็นทั้งนั้น"
    ...............................................................................................
    ครั้งหนึ่ง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้คิดค้นระบบลงจอดบนดาวอังคาร เคยพูดถึงเรื่องความถี่ของภัยพิบัติทางธรรมชาติเอาไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติจะไม่เป็นเส้นตรง แต่จะค่อยๆ ขยับขึ้น
    "ตอนแรกอาจจะดูเหมือนว่าช้ามาก แต่มันจะค่อยๆ ขยับขึ้น และขึ้นเร็วมาก ผมคำนวณดูเห็นว่าจุดวิกฤติต่างๆ จะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง" (กรุงเทพธุรกิจ,เสาร์สวัสดี)
    อาจเป็นไปได้ว่า ธรรมชาติได้ส่งสินค้าตัวอย่างมาให้มนุษย์ได้ทดลองใช้กันแล้ว ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่า 'ของจริง'จะมาถึงเมื่อไหร่ แต่เรื่องที่ร้อนใจยิ่งกว่านั้นน่าจะอยู่ที่ว่า 'เรา' จะนับถอยหลังอย่างไรให้ได้นานที่สุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 19 ตุลาคม 2548 "จุดประกาย"
    http://www.bangkokbiznews.com/2005/10/19/w006l1_45387.php?news_id=45387
     
  16. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=7 width="98%" bgColor=#b6c0d4 border=0><TBODY><TR><TD class=F1 vAlign=top width="100%" bgColor=#e5e9f1>ความคิดเห็นที่ 1
    </TD><FORM onsubmit='return delchk("กรุณายืนยันการแจ้งลบ ความคิดเห็นที่ 1 ")' action=w006l1_45387.php?news_id=45387 method=post><TD vAlign=top align=right width=29><INPUT type=image src="http://www.bangkokbiznews.com/images2006/icon_del2.gif" border=0 name=delcomment>
    </TD><INPUT type=hidden value=13471 name=cid></FORM></TR><TR><TD class=F1 vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>พิศิษฏ์
    [​IMG]
    ดังที่ท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าวไว้ และจากท่านผู้อาวุโสหลายๆท่านที่ได้ออกมาเตือน ในเรื่องน้ำท่วมเมือเร็วๆนี้ หรือแม้แต่ปรากฎการณ์ น้ำท่วมที่เชียงใหม่ ท่านทั้งหลายอ่านข้อมูลต่อไปนี้แล้วอาจจะคิดว่าเป็นการหลงงมงายหรืออย่าไรก็แล้วแต่ แต่ผมได้รับการตักเตือนมา (จากเบื่องบน ท่านอาจจะสงสัยว่าคืออะไร ถ้ากล่าวมากไปอาจจะหาว่าผมบ้าก็ได้ ก็ถือว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็แล้วกัน พระพรม ผู้สร้างโลก) ว่า "ปัจจุบัน มนุษย์เลวทรามมีจิตใจตกต่ำมาก ทำให้มนุษย์ผู้มีคุณธรรมเดือดร้อน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องชำระมนุษย์ที่เลวทั้งหลายออกไป ด้วย ภัยพิบัติ จากพระแม่คงคา และพระแม่ธรณี ในเร็วๆนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ครั้งเดียวจบ และจะเกิดพระอริยะ ก่อนเข้าสู่ ศตวรรตใหม่ ที่มีแต่มนุษย์ที่รักสงบจิตใจขาวสะอาด สำหรับผู้ที่อยู่ในคุณธรรม และให้ความศรัธราต่อเบื่องบน จะพ้นจากภัยเหล่านี้" เพียงสั้นๆแค่นี้ มีความหมายมาก ถ้านำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลอื่นๆ ซึ่งผมไม่ใช่ นักวิชาการ ที่จะเขียนคำอธิบายได้ดีเหมือนคนอื่น จึงได้แต่ส่งข้อมูลเท่าที่ได้ให้กับท่านที่สนใจในข่างสารนี้ ว่า ตั้งอยู่ในศีลธรรม มีจิตใจที่สะอาด ผ่องใส มองโลกในแง่ดี อย่าเอาหมึกดำมาเปื่อนเสื้อสีขาวของเรา ถ้าจำเป็นต้องถูกหมึก ก็ให้ระวังและล้างจุดที่เปื้อนในตัวเราให้สะอาด ขอบคุณครับ
    [​IMG]
    19 ตุลาคม 2548 เวลา 10:39:57
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    โอกาสเสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทย

    ภัยใต้พิภพที่ไม่ควรมองข้าม
    [​IMG]
    <!--story -->[​IMG]แผ่นดินไหว เขื่อนแตก น้ำท่วม ตึกถล่ม!
    ภัยพิบัติจากธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่อง ไกลตัวคนไทย และประเทศไทยอีกต่อไป
    และคงไม่มีใครกล้ามองว่าเป็นเรื่อง “กระต่ายตื่นตูม” กับคำเตือนที่คนไทยจะสำเหนียก ถึงภัยที่นับวันจะใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ และหาทางล้อมคอก เพื่อป้องกันความสูญเสีย ที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้
    เพราะหาก “แผ่นดินไหว” เป็นเรื่องไร้สาระแล้ว สมาคมวิศวกรรมสถานแห่ง ประเทศไทย คงไม่ลงทุนออกโปสเตอร์คำเตือนภัยแผ่นดินไหวในกรุงเทพมหานคร รวมถึงข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวของคนที่ ทำงานหรืออยู่อาศัยบนตึกสูง ตลอดจนออกมาสะกิดเตือนความคืบหน้าของกฎหมาย ที่ให้ระบุถึงโครงสร้างที่สามารถรองรับแรง สั่นสะเทือนกรณีเกิดแผ่นดินไหว
    ในส่วนของรัฐบาล แม้จะพยายามสร้างความมั่นใจและยืนยันว่าการจะเกิดแผ่นดินไหว ที่กรุงเทพฯ นั้น มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก หรือพูดง่ายๆ เกือบจะเป็นศูนย์เลย เพื่อไม่ให้ ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก
    แต่การที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนศรีนครินทร์ ที่ จ.กาญจนบุรี แบบเร่งด่วน ก่อนจะตามมาด้วยการซักซ้อมแผนอพยพประชาชนในบริเวณดังกล่าว และตามด้วยการเรียกประชุมกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
    [​IMG]ทั้ง นายปลอดประสพ สุรัสวดี ผช.รมต. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะ ผอ. ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ก็เสนอให้มีการ ตั้ง ศูนย์เตือนภัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ
    ล้วนแล้วแต่เป็นเสมือนสิ่ง บอกเหตุถึงความไม่แน่ใจ และไม่นิ่งนอนใจของภาครัฐ ที่เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” ที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นในประเทศไทย
    มิพักต้องกล่าวถึงอีกหลาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งออกมาระบุสอดคล้องต้องกันว่า การเกิดแผ่นดินไหวกำลังคืบคลาน เข้าสู่ประเทศไทย ชนิดที่ถึงวันนี้เรา ไม่สามารถจะอยู่บนความประมาท ได้อีกต่อไปแล้ว
    ล่าสุด นายฐิระวัตร กุลละวณิชย์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผัง เมือง ออกมาระบุว่า ขณะนี้ได้เสนอให้มี การเพิ่มเติมพื้นที่ควบคุมและจัดแบ่งเขตพื้นที่ใหม่เป็น 3 เขต รวม 22 จังหวัด จากเดิมที่มีการประกาศเพียง 10 จังหวัดเท่านั้น โดย เขต 1 พื้นที่หรือบริเวณ ที่มีสภาพดินฐานรากเป็นดินอ่อนมาก มีความเสี่ยงภัยจากแผ่นดินไหวระยะไกล ประกอบด้วย กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี และ นครนายก เขตที่ 2 พื้นที่ที่อยู่ใกล้เขตรอยเลื่อนซึ่งเป็น พื้นที่ควบคุม ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน และ กาญจนบุรี และ เขตที่ 3 เขตเฝ้าระวัง หรือพื้นที่ที่อยู่ใกล้รอยเลื่อนระนอง และ รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ได้แก่ ชุมพร ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และ สงขลา
    ความสูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดิน ไหวที่ประเทศปากีสถาน ซึ่งเฉียด 4 หมื่นชีวิต ต้องเซ่นสังเวยให้กับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นคำเตือนถึงประเทศไทยที่ชัดเจน ที่ไม่ ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด
    แม้ ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติจะพยายาม ใช้ความสงบสยบความแตกตื่น โดยระบุว่า “ประเทศ ไทยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวันอยู่แล้ว คือเกิดระหว่าง 1-3 ริกเตอร์ ก็เหมือนกับเราเจอลมปะทะหน้าทุกวันนั่นแหละ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” แต่ก็คงไม่สามารถหยุดยั้ง ความหวาดระแวงต่อภัยธรรมชาติของประชาชนได้
    ทั้งนี้ เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ฝันร้ายสึนามิ เมื่อปลายปี 2547 คงต้องยอมรับความจริงกันว่า มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิด ขึ้นถี่ยิบ หนักบ้าง เบาบ้าง รู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง และหลายครั้งที่เคยเกิดแผ่นดินไหว ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่จังหวัดพังงา ภูเก็ต สามารถรับรู้ถึง แรงสั่นสะเทือน จนหลายฝ่ายแสดงความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงของประเทศไทย ที่อาจจะเกิดเหตุการณ์วิปโยคแบบปากีสถาน
    [​IMG]ดร.ปัญญา จารุศิริ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะ วิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษาข้อมูลด้านธรณีสัณฐานวิทยา ธรณีกาลเวลา ผนวกกับข้อมูลแผ่นดินไหวของ รอยเลื่อนต่างๆในประเทศ พบว่าประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลังจริงๆ ซึ่งอาจมีการเคลื่อนตัวและเกิดแผ่นดินไหวได้ถึง 16 รอย
    1. รอยเลื่อนแม่จัน 2. รอยเลื่อนแม่ทา 3. รอย เลื่อนเถิน-ลอง-แพร่ 4. รอยเลื่อนน้ำปาด 5. รอยเลื่อนปัว 6. รอยเลื่อนพะเยา 7. รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน 8. รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ 9. รอยเลื่อนปิง 10. รอยเลื่อน เจดีย์สามองค์ 11. รอยเลื่อนระนอง 12. รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย 13. รอยเลื่อนคลองท่อม 14. รอยเลื่อนโคกโพธิ์-สะบ้าย้อย-ยะลา-เบตง 15. รอยเลื่อนเลย-เพชรบูรณ์ 16. รอยเลื่อนระยอง-แกลง
    “หากเกิดแผ่นดินไหวในเมืองใหญ่ เช่น กทม. หรือรอยเลื่อนในบริเวณใกล้เคียงใน ความรุนแรงที่มากพอ ตึกสูงที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้คำนวณความเสี่ยงจาก แผ่นดินไหวไว้ อาจพังลงมา เนื่องจากตัวเสาคอนกรีต โดยเฉพาะเหล็กเส้นที่รับน้ำหนักตึก ไม่สามารถทนแรงสั่นสะเทือนได้ และจะทำความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างใหญ่ หลวง” ดร.ปัญญาระบุ
    สอดคล้องกับข้อมูลของ นายสมศักดิ์ โพธิสัตย์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ที่ยืนยันว่า ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่แนวตะเข็บของเปลือกโลกที่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมีโอกาสที่จะมีการขยับตัวได้ แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไหร่
    “จากการสำรวจทำแผนที่บริเวณเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวพบว่า มี 4 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมากที่สุด คือ กาญจนบุรี ตาก แม่ฮ่อง-สอน และเชียงราย เพราะเป็นพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงที่จะมี ผลทำให้อาคารที่สร้างอย่างมั่นคง ตามปกติเสียหายค่อนข้างมาก ส่วนจังหวัดที่มีความเสี่ยงรองลงมา อาทิ สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา น่าน ลำปาง รวมทั้ง กทม.” อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีกล่าว
    สำหรับมาตรการป้องกัน รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องรีบดำเนินการเร่งด่วนคือ 1. สำรวจรอยเลื่อนที่มีพลังทั้งหมด เพื่อประเมินการเกิดแผ่นดินไหวและอัตราการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อน 2. สร้างฐานข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์และเตือนภัยประชาชน 3. ตรวจวัดความสั่นสะเทือนของอาคารตึกสูงใน กทม.และจังหวัดเสี่ยง 4. ประเมินระดับความต้านทาน แผ่นดินไหวของอาคารใน กทม.และศึกษาหาวิธีปรับปรุง อาคารที่อ่อนแอให้มีความต้านทานแผ่นดินไหว และ 5. ต้องศึกษาถึงการเพิ่มความรุนแรง ของแผ่นดินไหว เนื่องมาจากสภาพดินใน กทม.และจังหวัดที่มีความเสี่ยง เพื่อวิเคราะห์ หาเสถียรภาพของพื้นที่และโครงสร้างใต้ดิน
    [​IMG]บทเรียนจากความสูญเสีย ที่ประเทศปากีสถาน น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ภัยธรรมชาตินั้น อยู่นอกเหนืออำนาจของมนุษย์ ที่พยายามควบคุมหรือเอาชนะ สิ่งที่ทำได้มีเพียงความ ไม่ประมาทและป้องกัน เพื่อให้ เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
    “ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม” มองว่า การตื่นตัวเรื่องแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ดี แต่ที่น่าจะสำคัญกว่าคือ กระบวนการในการรับมือ นั้นจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
    เพราะ “ในโลกนี้ยังไม่มีประเทศใดในโลกพยากรณ์แผ่นดินไหวล่วงหน้าได้”
    หากเรายังคงเมินเฉยต่อสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติ วันใดที่ เกิดภัยพิบัติที่มาเยือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
    แค่คำว่าเสียใจคงไม่สามารถชดเชยกับชีวิตที่ต้องเซ่นสังเวย และความเจ็บปวดของ คนที่ต้องทนทุกข์จากการสูญเสียคนที่รักได้...
    "ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม"​
    ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับที่ 17439 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2548
    http://www.thairath.co.th/thairath1/2548/scoop/environ/oct/18/s_environ.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2005
  18. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    คือ ไปอ่านมาคร่าว ๆ แล้วจะพูดถึงเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ แต่อ่านแล้วงง ๆ เพราะจริง ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ต่อกับตอนแรกค่ะ และจะไม่ค่อยต่อเนื่องกันเหมือนตอนแรก สำนวนการพูดค่อนข้างต่างกัน
    ถ้าอยากอ่านจริง ไว้ว่าง ๆ จะเอามาให้อ่านเพราะว่าค่อนข้างยาวค่ะ
     
  19. Gaze from Darkness

    Gaze from Darkness สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +20
    ......................



    อ้อ.......... มาในฐานะโพธิสัตว์นั่นเอง
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    ขอบคุณ k-soonyata ครับที่นำเอาข้อมูลที่มีประโยชน์มาแบ่งปัน..
     

แชร์หน้านี้

Loading...