จัดการวัดห้ามไหว้พระ นำเสนอ ที่ประชุมมส.

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 28 กรกฎาคม 2008.

  1. ศิษย์อริยะ

    ศิษย์อริยะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +66
    อลัชชีแฝงตัวในผ้าเหลือง
    ต้องกำจัดออกไป ให้หมดจากรพระศาสนา
     
  2. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    เห็นด้วยครับที่ต้องกำจัด อลัชชี ถ้าเวปพลังจิต เอาด้วยผมคนหนึ่งจะยืนสู้ด้วย

    แต่ว่า พระสงฆ์ปัจจุบัน ประมาณ 400,000 อลัชชี ผมว่าเกิน300,000 เอาม่ะ

    พระดีๆๆ จริง ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติ ชอบจริง ๆ มีอยู่จริงๆๆ แต่สังคมฟอนแฟะ มองเห็นได้ยาก

    ท่านห้ามกราบพุทธรูปและ ทำลายพุทธรูป และท่านก็กราบพุทธรูป ด้วย พี่ จะว่าไง ฮาาาา

    โปรดทำความเข้าใจอลัชชีคืออะไรที่นี้ครับ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=129523
     
  3. srirote

    srirote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +393
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับคุณ คนตาบอด ครับ พระพุทธรูปเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าที่มองด้วยตาเนื้อ เป็นพุทธานุสสติ ให้กับพุทธศาสนิกชน ที่กราบไหว้ หรือ ปฏิบัติธรรม ความจริงหลวงพ่อท่านควรอธิบายให้เข้าใจไม่ควรไปเขียนป้ายติดไว้ที่พระพุทธรูปโดยเฉพาะคำว่า"มัน"ผู้ที่ไม่ได้มารับฟังการอบรมสั่งสอนของท่านจะเข้าใจผิด แล้วถ้าพระทั้งประเทศเกิดมีแนวคิดแบบนี้ไม่ให้ไหว้พระพุทธรูปคงยุ่งน่าดูและถ้าเป็นแนวคิดที่ถูกพระพุทธเจ้าท่านคงบัญญัติไว้ในพระไตรปีฏกแล้วว่าห้ามกราบไหว้ พระพุทธรูป
     
  4. MVPhoenix

    MVPhoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +102
    อนาคามีหรือไม่ผมไม่รู้ ผมมันคนกิเลสหนาธรรมดา แต่ถึงพระอนาคามีก็ยัง
    มีอวิชชาอยู่นะ อีกอย่างเรื่องแบบนี้เป็นโลกะวัชชะ โลกตำหนิติเตียน
    ผมไม่รู้คุณไปรู้มาจากไหนแต่ แต่ควรยึดตามหลักกาลามะสูตรดีกว่า...
    หากคุณคิดว่าพระที่ไม่รับเงินทอง ไม่รับสมณะศักดิ์แปลว่าต้องทรงความดี มากกว่าพระที่รับเงิน ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว...
     
  5. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    ถูกแล้ว ชอบแล้ว (||)
     
  6. พระวิภังค์

    พระวิภังค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +2,238
    ในส่วนที่เป็นความดีของท่าน เช่นที่ได้ โลกียฌาณ หรือการรักษาคนด้วยการแผ่เมตตาจิต สอนให้คนอุทิศส่วนกุศลนั้น ก็ต้องอนุโมทนากับท่าน

    แต่ส่วนที่ท่านกระทำแล้วเป็นเหตุให้สังคมติเตียน หรือเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งในหมู่ชาวพุทธ ท่านก็ควรแก้ไข

    ...เพราะแม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงตรัสแสดงความจริงไว้ ๒ ประการ คือ สมมติ และ สัจจะ แล้วพระองค์เองก็ทรงเคารพความจริงทั้ง ๒ ประการนั้น
     
  7. Natnapat

    Natnapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +296
    เห็นด้วยค่ะ สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด สิ่งที่เราคิดก็มักจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นซะส่วนใหญ่

    ดังนั้น เพียงแต่รับรู้ไว้ อย่าวิจารณ์ดีกว่าค่ะ เพราะเราไม่รู้ความคิดของผู้อื่น ในหลาย ๆ ครั้งเรายังตามความคิดเราไม่ทันเลย จริงไหมคะ สิ่งใดดีก็ยอมรับไว้ปฏิบัติ สิ่งใดไม่ดีเราก็ไม่ต้องรับ เป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ

    ใครทำกรรมใดก็ได้กรรมนั้น สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นตัวกำหนดนะคะ เพราะฉะนั้น อย่าเอาตัวเราไปผูกกรรมกับคนอื่นดีกว่าค่ะ ถ้าเป็นกรรมดีก็ดีไป ถ้าเป็นกรรมชั่วถึงแม้เราจะวิจารณ์ในสิ่งที่เขากระทำว่าเป็นสิ่งไม่ดี การที่เราวิจารณ์นั้นก็เป็นวจีกรรมที่เราต้องรับผิดชอบเช่นกัน แล้วเราแน่ใจได้ยังไงค่ะว่าสิ่งที่เราวิจารณ์นั้นถูกต้อง ความคิดของตัวเราเองถูกต้อง เสี่ยงเกินไปค่ะ

    ส่วนตัวนั้นเมื่อได้อ่านข่าวก็มีความรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าคิดอะไร เพราะเหตุผลตามที่กล่าวข้างต้นแหล่ะค่ะ ก็เลยไม่อยากให้พี่น้องญาติธรรมต้องมีอกุศลกรรมติดตัว ถ้าหากว่าเราคิดผิดค่ะ

    ต้องขออภัยด้วยนะคะที่อาจจะแสดงความคิดเห็นไม่ตรงใจใคร เพียงแค่เป็นห่วงพี่น้องญาติธรรมค่ะ เลยขออนุญาตดึงสติสักนิด ขออโหสิกรรมด้วยนะคะ
     
  8. สวนะ

    สวนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +201
    เริ่มแรกเมื่อเห็นหัวข้อกระทู้นี้
    เรียนตามตรงว่า ไม่แวะดีกว่า
    "ไม่ขอ ปรามาสผู้ใด"
    วันนี้ลองแวะมาพิจารณาดู
    ก็เป็นอย่างที่คิด..
    เอาเป็นว่า..ส่วนใหญ่ผู้ที่แวะเข้าเว็บนี้
    ล้วนเป็นผู้พื้นฐานการศึกษา และปฏิบัติดี
    แล้วจิตใจก็น้อมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง
    ต่างแต่ว่า ใครจะศึกษาลึกซึ้งเพียงใด
    จะยึดสิ่งใดเป็นแนวทางปฏิบัติของตน
    เพียงแต่ขอให้ละเสียซึ่งการ เบียดเบียนสรรพสิ่ง ด้วยกาย วาจา ใจ
    เพียรแสวงหา ทางหลุดพ้นเป็นที่สุดเทอญ
    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
    <!-- / message -->
     
  9. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +1,936
    จริงๆ พระองค์นี้ ท่านเก่งเรื่องสมาธิมาก
     
  10. อัสติสะ

    อัสติสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +392
    ปกติเหรียญจะมีสองด้านเสมอ
    ถ้าเรามองจากด้านหนึ่งก็จะมองไม่เห็นอีกด้านหนึ่ง
    การจะทำให้เห็นทั้งสองด้านพร้อมกันนั้น เป็นเรื่องที่ยาก
    นอกจากเราจะมีกระจกสักบานหนึ่ง คอยสะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่ง
    ของเหรียญ...
    การที่เราต่างด่วนสรุปว่าคนนี้ผิด คนนั้นถูกจึงเป็นการมองเหรียญ
    เพียงด้านเดียว ซึ่งคนสมัยปัจจุบันที่อ้างว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาด
    รอบรู้ทุกอย่างส่วนใหญ่จะมอง และตัดสินปัญหากันโดยฟังความข้างเดียว
    จึงไม่แปลกอะไรที่บ้านเมืองเรา จะวุ่นวายมากมายขนาดนี้
    ในเรื่องนี้ผมเข้าใจถึงหัวอกชาวพุทธทั้งหลาย ที่ต่างก็มีความรัก ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    และพระพุทธเจ้า ย่อมมีความรู้สึกไม่ดีเมื่อมีอะไรบางอย่างเข้ามากระทบกระทั่งต่อความเชื่อความศรัทธาเดิม
    แต่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า
    "การที่จะทำให้คนอื่นมีความคิดเหมือนกัน เสมอกันทุกอย่างนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
    เหมือนกับการทำให้พื้นดินมีผิวราบเรียบเสมอกันนั้นก็ย่อมเป็นไปได้ยากฉันนั้น"
    ตามประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนชีพอยู่
    จนถึงยุคสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช สมัยนั้นยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป หรือรูปวาดของพระพุทธเจ้า
    สาเหตุส่วนใหญ่คือ คนสมัยพุทธกาลนั้นมีความเคารพและศรัทธาพระพุทธเจ้ามาก การสร้างรูปเหมือนหรือภาพวาด
    คนสมัยนั้นจะไม่ทำ เพื่อถือเป็นการให้ความเคารพสูงสุด
    ตามที่ข้าพเจ้าได้รับฟังมาเทศนาอธิบายธรรมบรรยาย จากเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
    ท่านได้อธิบายไว้ว่า
    ในสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยพระเจ้าอโศกจะยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูปหรือรูปวาดของพระพุทธเจ้า
    แต่จะมีเพียงสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพระพุทธเจ้า เช่น ตอนประสูตรก็จะมีรูปของพระมารดา และดอกบัวเจ็ดดอก
    แต่ไม่มีรูปของเจ้าชายสิทธัตถกุมาร
    หรือตอนตรัสรู้ก็จะมีสัญลักษณ์รูปต้นโพธิ์เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
    แม้แต่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่นำมาบันทึกเป็นลายลักอักษร
    ไม่ใช่ว่าสมัยนั้นไม่มีการเขียนอักษร แต่หากว่าการเขียนหรือการคัดลอกนั้น
    เป็นการเลี่ยงต่อการบิดเบือนหลักธรรมคำสั่งสอนมากที่สุด เพราะสมัยนั้นยังไม่มีการพิมพ์จะมีเพียงการคัดลอก ต่อๆ กันมา
    การคัดลอกจึงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้คำสอนถูกบิดเบือนไป
    วิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการท่องจำหรือมุขปาถะ เพราะการท่องจำเป็นกลุ่มคณะเป็นการรักษาพระะธรรม
    คำสั่งสอนได้ดีที่สุด หากมีใครท่องจำผิดก็จะทราบ และแก้ไขได้ทันที
    การท่องจำคำสั่งสอนได้พัฒนาจนเป็นการสวดมนต์ในปัจจุบัน
    การสร้างพระพุทธรูปนั้นได้รับอิทธิพลมาจากยุโรปในสมัยที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
    ยกทัพมาชิดชายแดนอินเดียในสมัยนั้น และได้นำวัฒนธรรมการสร้างรูปปั้นเทพเจ้ากรีก
    เข้ามาเผยแพร่ผู้ปกครองที่มีชื่อเสียงในสมัยที่เริ่มสร้างพระพุทธรูปนั้นคือพระเจ้ามิลินท์
    การสร้างพระพุทธรูปจึงค่อย ๆ เป็นที่นิยมและเฟื่องฟูในสมัยต่อมา
    หลายคนมีความเข้าใจผิดว่าพระพุทธรูปนั้นมีมาตั่งแต่สมัยพุทธกาล
    แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ใช่เพราะพระพุทธรูปได้ถือกำเนิดมาในภายหลังสมัยพระเจ้าอโศกเสียอีก
    เหตุที่คนยุคพุทธกาลไม่นิยมสร้างหรือวาดรูปของคนที่เคารพและศรัทธานั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง
    หรืออาจจะมีเหตุผลบางประการที่เกินกว่าปัญญาเราจะไตร่ตรองไปถึง
    เมื่อมีการนิยมสร้างพระพุทธรูปมากขึ้น สิ่งที่เป็นผลตามมาก็คือพระพุทธรูปองค์เล็กหรือที่เราเรียกว่าพระเครื่อง
    นั่นเอง ในสมัยสุโขทัย และอยุธยาจะนิยมกันมากเพราะบ้านเมืองอยู่ในช่วงของสงคราม หรือเกิดสงครามมบ่อย
    บรรพบุรุษเราจึงมักจะใช้พระเครื่องวัตถุมงคลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อรบชนะก็จะอวดอ้าง
    สรรพคุณของวัตถุมงคล สิ่งนี้จึงเป็นการฝังค่านิยมกันมาอยู่ในสายเลือดชาวไทย มากกว่า 700 ปี
    เรียว่าฝั่งตัวอยู่ในยีนส์เลยก็ว่าได้
    ด้วยเหตุนี้เองการสร้าง การเคารพบูชาพระพุทธรูปจึงมีมาคู่กับสังคมไทย อีกตราบนานเท่านาน
    เมื่อสังคม และวัฒนธรรมความเชื่อเปลี่ยนไป เราสร้าง วัด วิหาร พระพุทธรูปมากมาย มหาศาล
    ทุกแห่งหนตำบล ป่าเขา เต็มไปด้วย วัด และพระพุทธรูป
    ผกผันกับผู้ปฏิบัติเพื่อ มรรค ผล นิพพาน กับน้อยเต็มที มีแต่ผู้ที่อาศัยศาสนาเพื่อหากินและดำรงชีพ
    และถ้าจะมีใครสักคนเริ่มมองเห็นความผิดปกติ ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
    และอยากจะย้อนกลับไปปฏิบัติ และรักษาแนวทางและรูปแบบตามสมัยพุทธกาล
    เพื่อรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ให้เห็นถึงหลักธรรมคำสั่งสอนที่บริสุทธิ์
    และฟื้นฟูความรุ่งเรื่อง แห่งอริยสาวกให้เกิดขึ้นดังเดิม
    แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยากแล้วก็ตาม แต่ก็ควรทำ ควรที่จะกระตุกสังคมชาวพุทธให้รู้จักวิถีแห่งพุทธ
    ที่บริสุทธิ์
    การที่เราออกมาต่อว่า ด่าทอพระท่านนั้น เป็นเรื่องน่าละอายมาก ๆ
    มันสะท้อนให้เห็นถึงความโง่ ความหลง ความเบาปัญญา แม้ร่างกายจะเป็นมนุษย์
    แต่ก็มีจิตที่เป็นเดรัจฉาน ยากต่อการอบรมสั่งสอน
    กรรมที่ได้ติเตียนผู้ปฏิบัติเพื่อ มรรค ผล นั้น จะส่งผลร้ายแรงมากมายเกินที่จะประมาณได้
    หลวงพ่อเกษม อาจจะสุดโต่งไปนิด เหมือนกับหักด้ามพร้าด้วยเข่า
    ข้าพเจ้าเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการ แต่เห็นชอบด้วยหลักการ
    จึงฝากให้ชาวพุทธทั้งหลายจงอ่านและใคร่ควรดู
     
  11. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    คุณอัสติสะ กล่าวได้เป็นธรรมที่สุดเเล้วค่ะ
     
  12. พิม

    พิม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +95
    จากพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม

    ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ที่แท้จริง เล่ม 60 หน้า 267

    ...พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจดีย์มีกี่อย่าง.
    พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่างอานนท์.
    พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้าง พระเจ้าข้า.
    พระศาสดาตรัสว่า ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑.
    พระอานนทเถระทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป
    ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ.
    พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น
    จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
    สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น...

    *** เจดีย์ แปลว่า ที่เคารพนับถือ , บุคคล – สถานที่ หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา
    *** ภิกษุสงฆ์รุ่นหลังให้ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ว่า
    เจดีย์ที่สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป

    แต่พระพุทธเจ้าให้ถือเจดีย์คือธรรม (คำสอนของพระองค์) เล่ม 21 หน้า 202

    ครั้งนั้นแล มื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปแล้วไม่นาน
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้
    ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจาเคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จหลีกไป
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์นี้ไว้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
    ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.


    อุทเทสก แปลว่า ผู้แสดง หรือ ผู้สวด

    เจดีย์ แปลว่า สิ่งที่ควรระลึกถึงและควรค่าแก่การบูชา

    อุทเทสิกเจดีย์ จึงแปลว่า สิ่งที่ควรระลึกถึงผู้ที่ีแสดง

    ในกรณีของพุทธศาสนานี้ต้องหมายถึง การระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ประกาศพระธรรมคำสอน

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะระึลึกถึงพระพุทธเจ้าในกรณีนี้่ก็คือ พระธรรมวินัยทั้งหมดที่พระองค์ได้แสดงไว้

    ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เหรียญ ไม่ใช่วัตถุใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น



    ธรรม – วินัย ที่พระองค์ตรัสต่างหากเล่า คือตัวแทนพระศาสดา เล่ม 13 หน้า 320

    ....ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์ (พุทธพจน์)
    มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
    ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ
    ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา......




    เล่ม 30 หน้า 444

    ...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่ล่วงไปแล้วก็ดี
    จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
    ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่านี้นั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ.




    พิจารณาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=210.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กรกฎาคม 2008
  13. nopam

    nopam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +1
    เอ้อ! ถ้าเป็นผู้ศึกษาธรรมะละก้อ ทำไมสุดโต่งแบบนี้กันนะ ไม่เข้าความรู้ของอาจารย์ตัวเอง ไม่ถูกจริตตัวเองละก้อไม่ได้กันเล้ย อยากถามอีกนะ พระพุทธเจ้าเนี๋ย มีรูปเปรียบได้ด้วยเหรอ... อะไรในโลกธาตุนี้มีอะไรมาเปรียบเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยหรือ นั่นมันอิฐ หิน ดิน ทราย ทองเหลือง ทองแดง แล้วก็มีพระสงฆ์นำเอาสวด เป่า เสก ให้เป็นพระพุทธเจ้าได้หรือ! ในมหาศีล พระสงฆ์ที่ทำพิธีปลุกเสก ของแบบนั้นนะ ก็ผิดแล้ว ผิดตั้งแต่ผิด คิดดูดี ๆ นะคิดลึก ๆ หลักธรรมวินัยของพระสงฆ์มีอะไรบ้าง ทำกันทั่วบ้านทั่วเมือง หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า มีแค่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่เห็นมีบอกว่าให้สร้างอิฐ หิน ดิน ทราย ทองแดง ทองเหลือง มาเป็นรูปเปรียบพระองค์ได้เลยหรือสร้างวัดใหญ่โตราคา หลายร้อยล้านอยู่เลย คิด ดีๆ หลาย ๆแง่ ทีสร้างกันไว้เต็มแผ่นดินนะ มันผิดมาตั้งแต่แรกหรือเปล่าตั้งแต่โคตรบรรพบุรุษโน้น แล้วเสพกันซะติดแน่นแกะไม่ออกเลย แล้วงัยพอสร้างกันมาแต่ละวัดมีแต่วัตถุ บางทีก็แพง,มีค่ามาก พอโจรขโมยก็เดือดร้อน เพราะมันมี...งัยจึงโดนขโมย ธรรมะของพระพุทธองค์ลึกซึ้งนะซับซ้อนซ่อนเงื่อนด้วยแต่ถ้าคนมีปัญญามันก็จะง่ายๆๆๆๆ มองแป๊บเดียวไง ถึงว่าสมัยพุทธกาล คนถึงบรรลุธรรมได้เร็ว แล้วมาเดี่ยวนี้จะหาแต่ทางไปนิพพาน แค่วัตถุเนี๋ยยังไม่ผ่านเลย แล้วจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร เท่ากับคา ..... แล้วหละ อย่าเลยไปเข้าโรงเรียนอนุบาลใหม่ดีกว่า เริ่มจากการให้ทานบริบูรณ์ รักษาศีลให้บริบูรณ์ ภาวนา(แล้วต้องตัดกังวลด้วยนะ)ไม่ใช่ ไปทำสมาธิกันแต่ไปรักษาศีลอยู่ 1 วัน ก็ภาวนาเลย ก็คงเป็นได้แค่ออกความเห็นมาเรื่องวัตถุนี้แหละ จะเป็นจะตายของข้าใครอย่าแตะ โอยชาวพุทธน่าสงสาร เออ...แล้วที่เรียกพระพุทธรูปน่ะ องค์ไหนคือพระพุทธเจ้าหละ พระพุทธชินราช พระแก้วมรกต พระ......ฯลฯ โอ๊ยงง .....แล้วที่ขายอยู่ที่ท่าพระจันทร์หละ แล้วที่อยู่ในร้านขาย ร้านปั้นหละ เขียนอย่างหลวงปู่เกษมได้มั๊ย ....ไม่ได้เข้าข้างนะแต่ด้วยเหตุผลที่ว่า หลงสมมติกันยกใหญ่ เชื่อมั๊ยว่า กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ ตรงไหนของแผ่นดินก็ถูกตรงไปยังพระรัตนตรัยหมด ไม่จำเป็นต้องไปกราบที่นั่นที่นี่หรอก แล้วพระสงฆ์น่ะถ้าเรียนพระธรรวินัยแล้ว ปฏิบัติชอบแล้วชาวพุทธคงมีศรัทธาเหลือล้น กว่าที่จะสร้างวัตถุขายเพื่อไปสร้างโบถ์วิหารหรอก เชื่อเถอะนะ นี่เต็มบ้านเต็มเมือง ห่มผ้าเหลืองเดินตามห้างเรียนทางโลกจบสูงด๊อกเตอร์ สึกออกมาพร้อมเงินแต่งเมีย เพราะอะไรหรือ ........เพราะไม่ได้สอน เอาแต่สวด เสก เป่า ให้เป็นวัตถุไง ....เนี๋ยน่าเสียดายเงินที่หมุนเวียนอยู่ในประเทศนะ ไปอยู่ทีวัดหมด ไปอยู่กับโบถ์ราคาร้อยล้านบ้างพระพุทธรูป ที่สร้างด้วยทองบ้างคิดๆๆๆๆๆ ซิมันจำเป็นมั๊ย ทำไมไม่เรียนพระไตรปิฎก ทำไมไม่อ่านศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ชาวไทยถึงเป็นแบบนี้แบบที่ตีกันอยู่นี่ไง...รู้หรือยังว่ากำลังหลงทางมารแล้ว .....
     
  14. ซุปเปอร์แมน

    ซุปเปอร์แมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +195

    โดยส่วนตัวเชื่อว่าท่านเก่งสมาธิ...แต่ไม่ให้ไหว้พระพุทธรูปนี่ซิ แหมมมมมมม..นะ

    แล้วท่านเอาพระพุทธรูปไปไว้ในวัดท่านทำไม
     
  15. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  16. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
  17. PrasertN

    PrasertN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +195
    เรื่องนี้แยกได้เป็นหลายประเด็น
    ประเด็นแรก การนับถือรูปเคารพ
    ประเด็นที่สอง พุทธพาณิชย์
    ต้องแยกกันออกให้เด็ดขาดแล้วพิจารณาทีละประเด็น

    ประเด็นแรก การนับถือรูปเคารพ
    ผมว่าเรื่องนี้มันแล้วแต่จริตคน
    คนปัญญาสูงพอที่จะเรียนธรรมมีไม่มาก
    แล้วคนที่ไม่สามารถเรียนธรรมได้ (ไม่อยากเรียน ไม่ชอบเรียน เรียนไม่รู้เรื่อง) จะสร้างกุศลได้อย่างไร
    พระอริยเจ้าแต่โบราณท่านจึงไม่ห้าม ท่านเมตตาไม่ตัดทางของผู้เบาปัญญา
    ฉะนั้นการกราบรูปเคารพโดยน้อมจิตรำลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นผมเห็นด้วย
    แต่การกราบรูปเคารพโดยมิได้น้อมจิตรำลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นไม่ดีแน่
    สองอย่างนี้กายกรรมต่างกันตรงไหนครับ แทบไม่ต่างกันเลย

    ประเด็นที่สอง
    การสร้างวัตถุมงคลต่างๆ และยึดติดในวัตถุมงคลนั้น เช่นพุทธพาณิชย์นั้นเห็นด้วยว่าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
    แต่สองประเด็นนั้นที่ว่าเหลื่อมกันอยู่ จึงต้องแล้วแต่บุคคลจะพิจารณา ต้องวางอุเบกขาบ้าง
    ผมว่าเหตุการณ์เช่นนี้มิใช่เพิ่งเคยเกิด ผู้ที่ยึดตามพระไตรปิฎกตั้งแต่โบราณมาก็มี หาใช่สำนักนี้เป็นสำนักแรก

    แนวทางของพระเกษมคล้ายเซ็นใช้สอนเฉพาะบุคคล ขยายกว้างไม่ได้ ยิ่งคนนอกเอามาโพสทั้งเน็ต และหนังสือพิมพ์ยิ่งแล้วใหญ่ จึงเป็นเรื่องอย่างที่เห็นเพราะมีคนที่จริตไม่เหมาะสมกับแนวทางนี้มากมาย

    คำสอนพระเกษมท่านเหมาะสำหรับปัญญาชน และคาดว่าลูกศิษย์ท่านเป็นปัญญาชนทั้งสิ้น ที่พระเกษมเทศน์ มีลูกศิษย์คนใดเข้าใจท่านได้ร้อยเปอร์เซ็นบ้าง เป็นไปได้ยาก เนื่องจากภูมิปัญญาไม่เท่าท่าน บางคำอาจเป็นเพียงการยกตัวอย่าง แต่ลูกศิษย์อาจเอาไปขยายต่อจนเป็นเรื่องเป็นราวได้ การที่ลูกศิษย์ออกมาแก้ต่างแทน ผมว่าพระเกษมท่านต้องห้ามปรามแน่นอน
    ขอให้สังเกตจากแต่ละคำแต่ละตัวอักษรที่โพสมา มีโทสะแฝงอยู่
    คนอ่านรู้สึกได้และต่อต้านโดยอัตโนมัติ

    แม่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าแม่ของตาเป็นคนใจดี มีคนบอกว่าเดือดร้อนเรื่องเงิน จึงเอาพระพุทธรูปมาจำนำ ท่านก็รับไว้ แล้วไว้บนหิ้ง ต่อมาสังเกตว่าทำไมคนในบ้านมักทะเลาะกัน มีอุบัติเหตุอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็เลยไปถามเจ้าเข้าทรง ท่านก็บอกว่าพระพุทธรูปที่เอามานั้นมีกระดูกผีบรรพบุรุษของเขาผสมอยู่ให้เอาไปทิ้งเสีย จากนั้นมาทุกอย่างก็สงบเหมือนเดิม ความเข้าใจที่เอากระดูกบรรพบุรุษมาใส่ในพระพุทธรูปเป็นสิ่งดีอาจสืบทอดกันมาถึงปัจจุบันก็เป็นได้ ฉะนั้นหากจะรับวัตถุมงคลต้องรับมาจากวัดและมาจากการทำบุญกับวัด อย่าไปเชื่อคนอื่นที่ไม่รู้จักว่าเอามาจากวัดโน้นวัดนี้และให้เช่าต่อ
    ในเรื่องทำนองนี้(จิตของผีสิงอยู่ในวัตถุ)ผมก็เคยได้อ่านเจอในหนังสือของแม่ชีทศพร วัดพิชยญาติการาม
    ผมเห็นว่าการไหว้รูปเคารพเป็นสิ่งดี แต่ถ้าไปเจอแบบเรื่องที่แม่ผมเล่าให้ฟังก็ถือว่าโชคร้าย
    สมัยก่อนผมสวมพระที่คอ ต่อมาก็พยายามรักษาศีล๕ ให้บริสุทธิ์ ไหว้พระทุกวันถ้าไม่ได้ปฏิบัติก็รำลึกในใจถึงพระรูปพระโฉมของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามที่ได้เคยเห็น ตามที่พอหาได้ โดยมิได้ยึดทองเหลืองหรือกระดาษรูปภาพ ฯลฯ แต่อย่างใด แล้วก็มีความรู้สึกขึ้นมาเองว่าไม่จำเป็นต้องห้อยพระอีกต่อไปเพราะเรามีพระติดตัวอยู่เสมอ จะได้ไม่ต้องกลัวหายลืมถอดทิ้งไว้ที่ไหน ทำบุญก็ไม่อยากได้วัตถุมงคล เพราะรู้สึกเป็นภาระที่จะต้องเก็บไว้ที่สูงตลอดเวลา ทำให้ไม่สบายใจ ที่กล่าวมานี้เป็นเองครับ และไม่ได้บังคับหรือสอนให้ใครทำ
    เคยอ่านที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเคยกล่าวไว้ว่าหาก รำลึกถึงพระรัตนตรัย ก็จะไม่ตายแบบยังไม่หมดอายุขัย ถ้าหมดอายุขัยพระที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ เพียงแค่ตื่นนอนมาไหว้พระ จิตมีสภาพจำ และก่อนนอนก็ไหว้พระอีกครั้ง ที่รถชนกันหนักแต่คนขับหรือคนในรถรอดมาได้แบบปาฏิหารย์แล้วมาอวดมาห้อยพระดี ผมเชื่อว่าเป็นเพราะพุทธานุสสติ กับสังฆานุสติอย่างที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านกล่าวไว้

    พระพุทธรูปมิใช่พระพุทธเจ้า อย่างที่ติดประกาศไว้ ถูกต้อง
    และไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้าด้วยก็ถูกต้องอีก
    และขออธิษฐานจิตตรงนี้ว่าต่อไปจะได้เห็นพุทธนิมิต มาปรากฎให้เห็น


    สรุปว่าผมไม่เห็นว่าพระเกษมผิดตรงไหน เพียงข้อความที่โพสหรือที่หนังสือพิมพ์ลงไม่เหมาะสมที่จะนำมาสอนกับทุกคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  18. แสวงหาความจริง

    แสวงหาความจริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    509
    ค่าพลัง:
    +5,163
    พอเข้าใจท่าน แต่ ท่านแข็งไปหน่อย ผมว่ามีหลายอย่างที่ท่านยอมรับความจริงเกี่ยวกับปุถุชนในโลกนี้ไม่ได้ก็เลยแสดงออกแบบนี้น่าเสียดายพระพุทธรูป นำไปให้วัดอื่นก็ได้ไม่ต้องมาติดป้ายแบบนี้
     
  19. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ผมเห็นด้วยกับหลายท่านครับ ก่อนวิจารณ์ใคร เราควรรู้ให้ชัดก่อนถึงแนวคิดของท่าน
    ดังนั้นผมจะรอคำตอบแนวคิดจาก พระเกษม อาจิณฺณสีโล


    ผมอยากทราบฐิทิท่านจึงได้ไปอ่านเวปสามแยก ผมว่าท่านเป็นผู้เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่น้อยไปกว่าใครแน่ๆ


    ขออนุญาติยก ตย.กระทู้ มาเพื่อให้เพื่อนๆเข้าใจ

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>ขออภัยที่วัดสามแยกใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์
    « เมื่อ: วันที่ 25 กรกฎาคม , 2008 เวลา 07:01:20 pm »
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom noWrap align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    จากการที่วัดสามแยกได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์
    ในการทำงานเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย
    ที่วัดสามแยกได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ละเมิดลิขสิทธิ์นั้น
    ก็เพราะว่าการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการใช้งานทั้งหลายนั้น
    ทางวัดสามแยกไม่ได้ดำเนินการเองโดยตรง
    แต่มีญาติโยมที่มารู้จักมักคุ้นกับวัดสามแยกเป็นผู้นำเข้ามาติดตั้งเพื่อการใช้งาน ซึ่งก็มีอยู่หลายคน
    และก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์อันไหนมาติดตั้งเอาไว้ให้ใช้งานที่วัดสามแยกบ้าง

    ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นใครบ้างที่ได้ทำผิดในส่วนนี้ หลังจากสืบสวนกันดูแล้ว
    แต่ฝ่ายพระเองก็ต้องทำพุทธบัญญัติด้วย ซึ่งท่านได้ห้ามไว้ไม่้ให้ระบุชื่อหรือลักษณะของผู้ทำความผิด

    และวัดสามแยกเอง เมื่อรู้ชัดว่ามีโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ใช้งานอยู่ภายในวัด
    ก็ต้องให้นำออกไปให้พ้นทันที วันนี้ทางวัดสามแยก ได้จัดการนำออก - ลบออก - แก้ไข
    ซึ่งโปรแกรมการใช้งานที่ละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว
    ต่อไปทางวัดสามแยก จะพยายามไม่ปล่อยให้มีเรื่องเลอะเทอะแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก

    เพราะฉะนั้นจึงถือโอกาสนี้ ขออภัยถึงผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย
    ที่วัดสามแยกได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของท่านไป และถ้าหากเจ้าของลิขสิทธิ์จะดำเนินการใดๆกับวัดสามแยก
    วัดสามแยกก็จะรับผิดตามสมควรในทุกๆกรณี

    หวังว่าคงได้รับความเป็นธรรมจากทุกๆบริษัทที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง


    พระเกษม อาจิณฺณสีโล และคณะวัดสามแยก
    24 ก.ค. 2551
     
  20. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +3,151
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>แจ้งเตือนหนังสือที่ไม่ถูกต้องและมีอันตราย
    « เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม , 2008 เวลา 07:46:17 pm »
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom noWrap align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>[​IMG]



    คำเตือนอย่างจริงจัง


    หนังสือธรรมะเปิดโลกเล่มนี้มีการเผยแพร่กันในทางอินเตอร์เน็ต
    และในทางอื่นๆด้วย ทางวัดสามแยกได้ตรวจสอบดูเนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้แล้ว
    พบว่า มีเนื้อหาบางส่วนที่ไม่ถูกต้องและเป็นอันตรายประกอบอยู่
    โดยเนื้อหาบางส่วนนั้นบิดเบือน – ผิดพลาดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
    และของหลวงพ่อเกษม อาจิณฺณสีโล
    ซึ่งทางวัดสามแยกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการรวบรวม – เรียบเรียง หนังสือเล่มนี้เลย

    เพราะฉะนั้น หนังสือเล่มนี้จึงไม่ควรเผยแพร่อีกต่อไป
    หากผู้ใดขืนทำการเผยแพร่ทางวัดสามแยกก็ไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
    และจะไม่รับผิดชอบใดๆในหนังสือเล่มนี้



    คณะวัดสามแยก

    18.54 น. 04 / 07 / 51
     

แชร์หน้านี้

Loading...