วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตอนช่วงนี้ผมอยากจะให้ทุกๆคนหมั่นพิจารณาวิปัสสนาญาณมากๆนะครับ
    เอาให้ละเอียด ละเอียดขึ้น ไปเรื่อยๆนะครับ
    มีเรื่องที่ได้พบเจอจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
    คือว่าวันนี้หลังจากที่ผมสอนสมาธิไป ก็รู้สึกว่าไม่สบาย แล้วก็มีอาการปวดหัว มีไข้ ต่างๆนานา
    ผมก็พยายามหาทางแก้ ก็ยังแก้ไม่ได้
    จนผมคิดว่า เอออยากป่วย อยากปวด อยากหนาว ก็เชิญไปเลย
    ร่างกายที่มีแต่ความทุกข์แบบนี้จะเป็นยังไงก็เป็นไปเลย ไม่สนใจ ช่างมัน
    แล้วอยู่ดีๆอาการป่วยดังกล่าวก็หายไปในระยะเวลาไม่นาน
    ผมจึงเข้าใจว่า เราป่วยแค่เพราะเราคิดว่าเราป่วย
    เมื่อเราคิดว่า ถ้าจะป่วยก็เรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา
    คือจิตไม่ป่วยตามไปด้วย มันก็หายป่วยได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไร
    แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่กรรมด้วย แต่อย่างไรถ้าเราจะไม่สนร่างกาย
    มันจะสบาย ก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน มันจะเจ็บจะทรมานก็ช่างมัน เราไม่สนใจ
    ร่างกายตายเมื่อไหร่ เราจะไปนิพพานเท่านั้น
    มันก็จะสามารถระงับทุกขเวทนาไม่ให้เกิดขึ้นกับจิตใจได้
    ผมถึงจะเข้าใจว่าฌาณโลกียนั้นยังเนื่องด้วยร่างกาย
    แต่ถ้าเราวางร่างกายไปได้แล้ว อารมณ์มันก็สุขเอง เย็นเองโดยไม่ต้องตั้งใจจะทรงฌาณ

    แต่คิดว่าอารมณ์เบาสบายแบบนี้ หลายๆคนๆคงจะทำได้ไปตั้งนานแล้ว
    ผมพึ่งจะรู้จักตอนนี้ ก็ยังถือว่าช้าและหยาบไปอยู่มาก ยังหาความดีมิได้
    ยังไงก็ขอให้ทุกๆคนลองหันมาพิจารณาวิปัสสนาญาณดูนะครับ แล้วใจเราจะสบายครับ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วิธีที่น้องชัชใช้ ก็คือ การรักษาโรค ด้วยการใช้ธรรมโอสถ ครับ

    เราเจริญวิปัสนาญาณในอาการเจ็บป่วย ให้เห็นทุกข์ เห็นโทษภัยในการมีสังขารร่างกาย

    จนท้ายที่สุด วางอารมณ์ใจปล่อยวางจากร่างกายขันธ์ห้าของตนเอง จิตปล่อยวางจากทุกขเวทนาในอาการเจ็บป่วยไม่สนใจใยดีกับอาการนั้นอีก

    เมื่อจิตปล่อยวางจากกายอย่างแท้จริง เวทนาจากโรคภัยต่างๆก็หายไปได้อย่างอัศจรรย์ครับ
     
  3. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    จิต วาง ออกจากทุกข์
    ทุกข์ร่างกายยังคงอยู่เป็นธรรมดา
    แต่จิตไม่เกิดยินดีหรือยินร้ายเท่านั้น
    ...
    โมทนากับน้องชัชครับ
    สำหรับท่านอื่น ที่จะฝึกข้อธรรมนี้
    ต้องลองปล่อยให้เห็นทุกข์ในทุกข์จนถึงที่สุด
    เช่น นั่งสมาธิ เมื่อย จน ปวดชา จนกระทั่งรู้สึกขาเราแทบจะขาด
    ขาเรา ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเราต่อไป
    มันเป็นสักว่ากองทุกข์ กองหนึ่ง
    กำลังจิตเป็นสิ่งสำคัญ มากครับ
    พิจารณาทุกข์ไป ว่ามันเกิดขึ้น เป็นอยู่ปวดอยู่เปลี่ยนแปลงอยู่ เจ็บมาก เจ็บน้อย
    เปลี่ยนไป
    สุดท้ายก็จะดับไป
    จิตจะเห็นแจ้งในทุกข์ อย่างสิ้นเชิงครับ
    ปิติ สุข...จะเกิดขึ้นต่อเป็นลำดับ
    ...
    การฝึกธรรม ข้อนี้ เนืองเนือง
    จะเป็นประโยชน์ อย่างน้อยในยาม
    กายเกิดภาวะทรมานจากการป่วยไข้ครับ
    และถ้ากายแตกดับแล้ว
    และยังเกิดผลดี เมื่อไปสู่ภพภูมิใหม่ด้วยเช่นกัน

    มามืด ไปมืด
    มามืด ไปสว่าง
    มาสว่าง ไปสว่าง
    และ มาสว่าง ไปมืด
    เป็นไปได้ทั้งสิ้น
    ...
    เคยอ่านพบ ในพระไตรปิฏกว่า
    มีพระภิกษู ที่เข้าไปธุดงค์ในป่าถูกเสือกัด
    ตั้งแต่เท้า มาลำตัว เรื่อยจน สิ้นลมหายใจ
    ยังเหลือสติ และกำลังจิตอันแน่วแน่
    ก็ฝึกธรรมนี้ พิจารณาเรื่อย จิตจากผลสมาบัติอันเป็นธรรม
    อันเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้า
    ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
    ...จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ครับ
     
  4. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    [​IMG]

    เคล็ดลับในการอธิฐานจิตให้สำเร็จผล


    ให้ทรงภาพพระที่ท่านชอบ นึกถึงคุณความดีของท่าน แล้วขอบารมีพระรวมกองบุญของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์
    ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แล้วให้อธิฐานเป็นมโนภาพขึ้นในจิต เห็นภาพของความสำเร็จในคำอธิฐานนั้น ว่าได้สำเร็จไปแล้วตามภาพอย่างชัดเจน

    เคล็ดลับนี้เป็นพื้นฐานของอภิญญาด้วยเพราะกสินซึ่งเป็นบาทฐานของฤทธิ์นั้นก็ต้องใช้การเพ่งรูปเพื่อให้จำได้หมายรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
    จนสภาพจิตรวมเป็นหนึ่งได้จนมีคลื่นความถี่มากจนสามารถส่งผลต่อสภาพทางกายภาพได้

    หมายเหตุ : อธิฐานฤทธิ์ ที่เป็นสัมมาทิฐิจริงๆ เป็น กสิน+อนุสติ (อนุสติในที่นี้หมายเฉพาะ พุทธานุสสติกรรมฐาน, ธัมมานุสสติกรรมฐาน, สังฆานุสสติกรรมฐาน)
    เพราะถ้าไม่มีอนุสติแล้ว คือไม่มีพระอยู่ในใจแล้วก็อาจพลาดพลั้งหลงทางใช้ไปในทางที่ผิดได้

    By Nakamura


    (ไม่ได้โพสนาน คนแถวนี้ถามหา เลยมาโพสซะหน่อย แอบปฎิบัติอยู่เงียบๆ ^^)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ขออนุโมทนาบุญหลวงพ่อพุธ ดร. ดาราวรรณ และคุณภาวิโตค่ะ
    <table id="post1389127" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">[​IMG] เมื่อวานนี้, 08:26 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #127 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> ภาวิโต <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1389127", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 08:13 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2007
    ข้อความ: 140
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,886
    ได้รับอนุโมทนา 1,202 ครั้ง ใน 143 โพส
    <if condition=""></if> พลังการให้คะแนน: 165 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1389127" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> -ไปปฎิบัติธรรมกันทั้งทีจะไม่มีของดีมาฝากก็ดูกระไรอยู่
    วิธีแก้กรรม ของหลวงพ่อพุธ
    ๐ วิธีแก้กรรม ก็คือยอมรับสภาพความจริงว่าเราเกิดมา
    เพราะกฎของกรรม กรรมพาเรามาเกิด แล้วกฎของกรรมนั่น
    แหละ มันติดตามให้ผลเราอยู่ตลอด เมื่อเรารู้อยางนี้ ยอมรับ
    สภาพความจริงแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำกรรมดีเรื่อยไป มีเท่านั้น
    ทางปฎิบัติ
    หลวงพ่อเกิดมาเป็นเด็กกำพร้าอนาถา พ่อแม่ตายตั้งแต่ ๔
    ขวบ จิตมันยอมรับว่าเพราะบาปกรรมที่เราเคยทำมาแล้วจึง
    พลัดพ่อพลัดแม่ พอรู้เดียงสาขึ้นมา ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่กรรมดี
    จนกลายเป็นบุคคลสำคัญในสังคมของศาสนาคนหนึ่งขึ้นมา
    เพราะเราตั้งใจทำแต่ความดี๐
    </td></tr></tbody></table>
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอโมทนาในความดีที่วันนี้ น้องเจน Swiiika ได้ไปบวชปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นเวลา 3 วันครับ

    ได้ต่อวิชชาอีกไม่น้อย ขอโมทนาบุญกับความตั้งใจใฝ่ดีของน้องเจนด้วยครับ

    รูปก็ปรากฏสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากฝีมือของน้องซัน ห้องแกลลอรี่ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]



    รูปนี้ มีติดดวงเทวดาด้วยแหล่ะ
    [​IMG]

    [​IMG]<!-- / message --><!-- sig -->
    __________________
    ______________________
     
  7. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    จากโพสต์ของคุณ kong_sarit ที่มาจากของคุณ MBNY
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    โดยสมเด็จองค์ปฐม

    [​IMG]

    • หมายเหตุ​
    • อารมณ์คือกระแสของจิต (คลื่นอารมณ์) โดยหลวงพ่อฤาษี​
    • เรื่องจริต ๖ โดยหลวงปู่ตื้อ​
    พิมพ์จากหนังสือ ''ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น''
    หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ)
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    (โดยสมเด็จองค์ปฐม)​

    [​IMG]

    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่าจะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อ
    ดังนี้ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด​

    [​IMG]

    จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุด
    จากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้น
    แล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขาก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ''บ้า'' อีก

    ท่าน หนึ่งพูดว่า ''ทะลึ่ง'' ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรม และวจีกรรม ทั้งคู่)

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อ ๆ) ดังนี้

    ๑. ''เหตุที่จิตมีอุปทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าว
    เป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิตที่ยึดเอาอุปทานนั้น ๆ (บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา)
    ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคน
    มาแล้วจับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มี
    อารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
    มีอารมณ์พอใจสนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น
    ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรม อันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้
    กล่าวคือ จะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย
    และปลานั้น กลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิดเท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น​

    ''วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง"

    [​IMG]

    ๒. ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรม หรือ วจีกรรม

    ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด

    ในโลกนี้มัน เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วน ๆ''

    ๓. '' ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน

    จากคนที่เป็นปลาก็ต้องตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรม หรือ กรรมของผู้อื่น

    อันสืบเนื่องเป็นสันตติ ประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    แล้วพวกเจ้าจักเอาชาติไหนมาตัดสินว่า ใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้

    เพราะกิเลส-ตัญหา-อุปทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ

    ทำให้จิตของคนกระทำกรรม ให้เกิดแก่มโน-วจี และกายได้อยู่เป็นอาจิณ''

    [​IMG]

    ๔. ''เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิด

    ก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้​

    ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้​

    ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น​

    จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่ก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก''​

    [​IMG]

    ๕. '' เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด​

    ค่อยๆวาง ค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ​

    กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือ​

    กฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆ เข้ามรรคผล ก็จะปรากฎขึ้นเอง​

    อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรม

    ให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนตลอดเวลาอยู่กับจิต

    ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้นๆ กรรมใดกรรมมัน​

    พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆ มาตำหนิเลว เพราะเท่ากับมีอุปาทานเห็น​

    กรรมนั้นๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้ง​

    ไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก ''​

    ๖. " ถ้าบุคคลที่ไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่า ต่อขานคนที่จับ​

    ปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน​

    จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันเข้าไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน​

    สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไป​

    ด้วยความหมั่นไส้เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน ​

    ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก​

    ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม​

    ก็ต้องยุติลง ใช้ ศีล-สมาธิ-ปัญญา อันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงใน​

    สันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฏของกรรม​

    โทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด​

    จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าเข้าไปมีหุ้นส่วน

    กรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรม เป็นอันขาด จำไว้นะ ''



    [​IMG]


    <!-- / message --> <!-- sig --> __________________ขออนุโมทนาบุญค่ะ
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    โมทนาค่ะพี่ไก่ หลังจากได้อ่านธรรมะที่โพสต์แล้ว เหมือนเป็นการสิ่งที่มาตอกย้ำในการกระทำของตัวเองมากขึ้น ขอยอมรับค่ะเป็นคนที่จะไม่ค่อยระมัดระวังในความคิดเท่าไหร่ พอเห็นสิ่งที่อยู่ตรงข้างหน้าแล้ว ยังไม่ทันได้ตรวจสอบว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นถูกหรือผิด จะอคติเขาไว้ก่อน พอมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมันผิด ก็ทำให้เกิดความเสียใจในสิ่งที่เราได้คิดได้ทำลงไปแล้ว ถึงแม้จะกล่าวคำว่าขอโทษ นั้น บางที่ก็ยังไม่สามารถจะลบรอยแผลที่เราเป็นคนทำให้จางลงได้ จึงทำให้นึกถึงข้อเตือนใจของหลวงพ่อชาคือ
    "เธอจงระวังความคิดของเธอ เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ เธอจงระวังความประพฤติของเธอ จะกลายเป็นความเคยชินของเธอ เธอจงระวังความเคยชินของเธอ จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ เพราะอุปนิสัยของเธอ จะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต "
     
  9. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    [​IMG]

    ธรรมสบายจิต : "ช่างมัน" คำเตือนใจที่ได้ผลในการปล่อยวาง <SUP></SUP>
    การปล่อยวางคือการทำให้เกิดความสุข ถือไว้มันจะเกิดทุกข์ "ช่างมัน ช่างเถิด ช่างเขา ทนเอา ใจเรา พอ"
    ในโอกาสที่ได้อ่านหนังสือธรรมหลาย ๆ เล่ม รู้สึกชอบในคำสอนของท่านอาจารย์ ว. วชิรเมธี ที่เขียนไว้ในหนังสิอธรรมสบายใจว่า การปล่อยวางคือการทำให้เกิดความสุข ถือไว้มันจะเกิดทุกข์ การเตือนตนด้วนคำว่า "ช่างมัน" น่าจะช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้น มีคำกลอนที่เตือนใจใด้ดีที่ท่านได้ยกไว้เป็นตัวอย่างว่า
    มีสมภารวัดหนึ่งลึกซึ้งมาก ถูกลมปากถากถางอย่างเสียหาย
    ท่านไม่โต้ตอบคำทำวุ่นวาย คิดอุบายผันผ่อนสอนใจตัว
    เอาตาชั่งตั้งหราอยู่หน้ากุฎิ์ แล้วขุดมันวางข้างละหัว
    ใครมาเห็นออกปากทักกันนัว ท่านเจ้าขรัว "ช่างมัน" เสียยันเต
    การเตือนตนด้วยคำง่าย ๆ ว่า "ช่างมัน" อาจจะไม่ได้ผลในบางคน มีคำกลอนที่สอนไว้และถูกใจจนต้องนำมาเขียนติดไว้ที่โต๊ทำงานว่า
    ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
    ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
    ใครบ่น ใครเบื่อ ทนเอา
    ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
    แล้วอย่างนี้จะถืออะไรไว้อีกเล่าในชีวิต
    ช่างมัน ช่างเถิด ช่างเขา ทนเอา ใจเรา พอ

    ข่อความดีๆจากเวปครับ*-*
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เอามาลงทวน ให้พิจารณาธรรมกันครับ

    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ดอกขจร<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 08:09 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2007
    ข้อความ: 230
    ได้ให้อนุโมทนา: 3,904
    ได้รับอนุโมทนา 4,504 ครั้ง ใน 231 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 154 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ขอถามค่ะ
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ถ้าหนูจะเอาธรรมะที่พี่เคยโพสต์ไปสอนเขาได้ไหมเพราะหนูรู้สึกว่าถ้าเขาอ่านคงจะเข้าใจมากขึ้น

    "มโนมยิทธิ แปลว่าฤทธิ์ทางใจ"

    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นกุศล ย่อม ยังประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม

    ธรรมมะที่พระพุทธองค์ท่านทรงได้เมตตาสั่งสอนมานั้นมีผล ที่ปรากฏกระจ่างแก่ใจเราผู้ปฏิบัติได้ถึง ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านทรงมีพุทธประสงค์

    ย่อมยังศรัทธา ให้ตั้งมั่น เมื่อศรัทธาตั้งมั่น ความเจริญในธรรมก็ยิ่งขึ้นไป

    สิ่งสำคัญที่หลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ ก็คือ "จงอย่าได้ทิ้งครูบาอาจารย์ และครูบาอาจารย์ที่ท่านสำคัญที่สุดก็คือ พระพุทธเจ้า "

    "อภิญญา สมาบัติก็ดี ปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ก็ดี ขอจงอย่าได้ทิ้ง เป็นมรดกของพ่อที่มีต่อลูกรักทุกคน"

    จากหนังสือสมบัติพ่อให้

    ขอให้พวกเราจงรักษาอภิญญาสมาบัติ วิชามโนมยิทธิ ตลอดจน อารมณ์นิพพาน พรหมวิหารสี่กันเอาไว้ยิ่งชีวิต เพราะเป็นเครื่องยืนยัน เครื่องพิสูจน์ในพระสัทธรรมเทศนาขององค์พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธรรม ในสัมมาทิษฐิ ว่าเป็นความจริงทุกประการ พิสูจน์ได้ รู้ได้ด้วยตนเอง

    และเมื่อรู้ ด้วยญาณทัศนะแล้วก็ขอจงอย่าได้ลืมอุเบกขาในฌาน ในญาณทั้งปวง จงอย่าได้ลืมว่า เรารู้เพื่อละ เพื่อวาง ไม่ใช่เพื่อการยึดติดอยู่ในสิ่งที่รู้นั้นๆ

    เมื่อรู้แล้วละ จิตจะยิ่งโปร่ง ยิ่งเบา ยิ่งสะอาดจากกิเลส

    เมื่อรู้แล้วยึด จิตจะยิ่งหนักขึ้น หนักขึ้น จนท้ายที่สุด เมตตาก็ไม่อาจแผ่ไปได้

    เมื่อยิ่งยึดหนักเข้าไปอีก มีคนมายกย่องสรรเสริญ ไอ้ตัว เก่ง ตัวมานะทิษฐิอันเป็นกิเลสละเอียดเกิดขึ้น เพราะไปเที่ยวดูนั่นดูนี่ให้เขามากเข้า สุดท้ายก็ เฝือ พอเฝือก็มั่ว เอากิเลสตนไปปนกับนิมิตร จนกลายเป็นมิจฉาทิษฐิไปโดยตนเองก็ไม่รู้ตัว

    มิหนำซ้ำยังพาคนอื่นเป็นมิจฉาทิษฐิไปด้วย


    ดังนั้นการปฏิบัติขอจงมุ่งที่การตัดกิเลสและปฏิปทา สาธารณะประโยชน์เป็นสำคัญ


    ขอจงวางอุเบกขาในฤทธิ์อภิญญาทั้งปวง

    อภิญญาเป็นผลของการตัดกิเลส

    อภิญญาเป็นผลของการเสียสละในปฏิปทาสาธารณะประโยชน์

    เมื่อสร้างกุศลด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ก็จะบังเกิด บุญฤทธิ์

    ครั้นบุญฤทธิ์ เต็ม มีเทวดาพรหมท่านโมทนามหากุศลมากๆเข้า ก็บังเกิดกำลัง จากเทพเทวา มาปรากฏเป็น เทพฤทธิ์

    เมื่อบุญกุศล เต็ม บารมีเต็ม วางกำลังใจได้ถูกต้อง เทพพรหมหนุนเนื่องสงเคราะห์ เมื่อนั้น อธิฐานฤทธิ์ก็จะปรากฏได้ ดังใจปรารถนา ดั่งจิตอันตั้งเอาไว้ดีแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้

    พอหนูอ่านแล้วโดนตัวเองทั้งนั้น แหะๆ
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ,,, :)
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตอนนี้ผมกำลังเน้นพิจารณาวิปัสสนาญาณครับ จึงอยากจะนำเอาวิธีที่ผมพิจารณามาเล่าให้ฟัง
    ผมจะบอกตัวเองเสมอๆว่า ร่างกายอยากจะเจ็บ ก็เจ็บไป อยากจะป่วยก็ป่วยไป อยากจะพังก็พังไป อยากตายก็ตายไป
    เราจะไม่สนใจใยดีในร่างกายนี้อีก
    เราจะทำงานเพื่อส่วนรวม ทำงานเพื่อสังคม ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา จนกว่าชีวิตจะหาไม่
    เพราะว่านี่จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีแก่เราอีก
    หากเราตายตอนนี้เราจะกลับบ้าน กลับวิมานบนพระนิพพาน
    ไปอยู่กับองค์สมเด็จบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่อื่นเราจะไม่ไป เพราะบ้านของเราอยู่บนพระนิพพาน ไม่ได้อยู่ที่อื่น

    ดังนั้นถึงต้องแลกมาด้วยชีวิตเราก็จะช่วยให้ผู้อื่นเข้าถึงซึ่งความดี ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ถ้าเราจะทำความดี แล้วร่างกายมันจะตายก็ให้มันตายไป

    ถ้าจิตของเราปล่อยวางจากร่างกายได้
    ความชุ่มเย็นจากอารมณ์พระนิพพานก็จะโผล่ขึ้นมาเอง และจะคงอยู่เป็นเวลาตลอดเวลาที่เราปล่อยวางจากร่างกาย
    ซึ่งง่ายกว่าการประคองอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังสมถะ

    สังโยชน์ 10 ข้อ
    หากเราตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวแล้วใช้ปัญญาประกอบ ก็สามารถตัดสังโยชน์ข้ออื่นออกไปได้หมด
    สักกายทิฏฐิก็คือ ความรักในร่างกาย ความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นตัวเราของเรา
    ดังนั้นหากเราคิดเสมอๆตามที่หลวงพ่อบอกว่า
    ร่างกายจะต้องพังทลาย เราจะไม่เอามันอีก ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพานจุดเดียว

    หากอารมณ์มันแนบ แล้วมันละเอียดถึงที่สุด ก็จะสามารถล้างสังโยชน์ออกไปได้ทั้งหมด

    ดังนั้นเราตีจุดเดียวคือความรักในร่างกาย หากหมดไปได้เราก็สบาย
    ร่างกายจะตาย เราก็ไม่กังวลเพราะมันไม่ใช่เรา
    ร่างกายจะเจ็บจะป่วยจะพังจะหนาวจะร้อน เราก็ไม่สนเพราะมันไม่ใช่เรา
    แล้วอารมณ์ใจเราก็จะสบายตลอดเวลา

    ถ้าอารมณ์ใจสบายได้ตลอดเวลา กิเลสมันก็เบาบางไป
    แต่ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ให้คิดเสมอว่าเรายังเลวอยู่เสมอ
    เราจะดีจริงๆก็ต่อเมื่อเราไปพระนิพพานแล้ว

    เป็นการพิจารณาคร่าวๆนะครับ จริงๆสามารถทำให้ละเอียดขึ้นไปได้เรื่อยๆ
    เอาไว้จะมาอธิบายในโอกาสต่อไปนะครับ
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตอนนี้ผมกำลังเน้นพิจารณาวิปัสสนาญาณครับ จึงอยากจะนำเอาวิธีที่ผมพิจารณามาเล่าให้ฟัง
    ผมจะบอกตัวเองเสมอๆว่า ร่างกายอยากจะเจ็บ ก็เจ็บไป อยากจะป่วยก็ป่วยไป อยากจะพังก็พังไป อยากตายก็ตายไป
    เราจะไม่สนใจใยดีในร่างกายนี้อีก
    เราจะทำงานเพื่อส่วนรวม ทำงานเพื่อสังคม ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา จนกว่าชีวิตจะหาไม่
    เพราะว่านี่จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีแก่เราอีก
    หากเราตายตอนนี้เราจะกลับบ้าน กลับวิมานบนพระนิพพาน
    ไปอยู่กับองค์สมเด็จบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่อื่นเราจะไม่ไป เพราะบ้านของเราอยู่บนพระนิพพาน ไม่ได้อยู่ที่อื่น

    ดังนั้นถึงต้องแลกมาด้วยชีวิตเราก็จะช่วยให้ผู้อื่นเข้าถึงซึ่งความดี ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ถ้าเราจะทำความดี แล้วร่างกายมันจะตายก็ให้มันตายไป

    ถ้าจิตของเราปล่อยวางจากร่างกายได้
    ความชุ่มเย็นจากอารมณ์พระนิพพานก็จะโผล่ขึ้นมาเอง และจะคงอยู่เป็นเวลาตลอดเวลาที่เราปล่อยวางจากร่างกาย
    ซึ่งง่ายกว่าการประคองอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังสมถะ

    สังโยชน์ 10 ข้อ
    หากเราตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวแล้วใช้ปัญญาประกอบ ก็สามารถตัดสังโยชน์ข้ออื่นออกไปได้หมด
    สักกายทิฏฐิก็คือ ความรักในร่างกาย ความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นตัวเราของเรา
    ดังนั้นหากเราคิดเสมอๆตามที่หลวงพ่อบอกว่า
    ร่างกายจะต้องพังทลาย เราจะไม่เอามันอีก ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพานจุดเดียว

    หากอารมณ์มันแนบ แล้วมันละเอียดถึงที่สุด ก็จะสามารถล้างสังโยชน์ออกไปได้ทั้งหมด

    ดังนั้นเราตีจุดเดียวคือความรักในร่างกาย หากหมดไปได้เราก็สบาย
    ร่างกายจะตาย เราก็ไม่กังวลเพราะมันไม่ใช่เรา
    ร่างกายจะเจ็บจะป่วยจะพังจะหนาวจะร้อน เราก็ไม่สนเพราะมันไม่ใช่เรา
    แล้วอารมณ์ใจเราก็จะสบายตลอดเวลา

    ถ้าอารมณ์ใจสบายได้ตลอดเวลา กิเลสมันก็เบาบางไป
    แต่ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ให้คิดเสมอว่าเรายังเลวอยู่เสมอ
    เราจะดีจริงๆก็ต่อเมื่อเราไปพระนิพพานแล้ว

    เป็นการพิจารณาคร่าวๆนะครับ จริงๆสามารถทำให้ละเอียดขึ้นไปได้เรื่อยๆ
    เอาไว้จะมาอธิบายในโอกาสต่อไปนะครับ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอโมทนากับการตั้งกำลังใจของชัชด้วยครับ

    ทุกๆคนก้าวหน้ากันตามลำดับครับ

    ต่อไปก็จะถ่ายทอดวิชชาในส่วนที่ใช้ในการช่วยเหลือสงเคราะห์ส่วนรวมครับ


    จากที่พวกเราหลายๆท่านเริ่มปรับกำลังใจกันไปจนกระทั่ง

    -ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ

    -เกิดศรัทธาในพระรัตนไตรมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน

    -ได้สมาธิในส่วนของ ฌาน ญาณทัศนะ ไปจนถึง วิปัสนาญาณ

    -เข้าใจกำลังใจในการเสียสละเพื่อส่วนรวมแล้ว

    ก็ได้วาระที่เพาะบ่มอินทรีย์ให้พร้อมสำหรับ การเรียน การฝึกฝนในวิชชาในการสงเคราะห์ส่วนรวมด้วยกำลังบารมีของพุทธคุณบริสุทธิ์
     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    อนุโมทนาจ้าน้องชัช สำหรับธรรมะที่น้องได้โพสต์ ทำให้พี่ได้รู้วิธีจะปฏิบัติธรรมอย่างไรให้ดีขึ้น
     
  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สวัสดีค่ะทุกคน... เป็นอย่างไรกันบ้างคะ... สบายกาย สบายใจกันดีอยู่หรือเปล่าคะ...

    วันนี้ธรมีสิ่งประเสริฐมาให้ทุกคนร่วมกันพิจารณา... อาจจะดูรุนแรง และไม่น่าดูนักสำหรับหลายๆ... แต่นี่คือ ความจริงของชีวิต... เป็นกรรมฐานกองสำคัญกองหนึ่ง จากกรรมฐานทั้งสิ้น ๔๐ กอง ที่เราเคยศึกษากันมาแล้ว...

    ธรต้องกราบโมทนาและ ขอบพระคุณคุณเอ๋ (สาวปีใหม่) เป็นอย่างสูงค่ะ... ที่กรุณาส่งอสุภกรรมฐานซึ่งเป็นข้อกรรมฐานอันประเสริฐนี้มาให้ธร... ธรเคยนำภาพบางภาพมาใช้ในการประกอบการพิจารณาของตัวเอง... แต่ที่คุณเอ๋ส่งมาให้นี่... รู้สึกว่าจะครบหมดทั้งสิบกองเลย...

    ไหนๆ เราก็ตั้งมั่นในความดีกันแล้ว... ลองมาทดสอบกำลังใจของพวกเรากันหน่อยนะคะ... ว่าเมื่อเจอรูปภาพของจริงแล้ว... จิตยังหวั่นไหว สะดุ้งสะเทือนกันอยู่หรือเปล่า... เพราะถ้าภัยมาจริง... ภาพที่เรากำลังจะได้เห็นนี้ คงเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของสิ่งที่เรากำลังจะต้องเผชิญกัน...

    ถ้าภาพเหล่านี้ก่อความขุ่นเคืองใจให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่จะได้ชม หรือนำมาศึกษาพิจารณากันแล้ว... ธรขอน้อมรับผิดแต่ผู้เดียว... และขอกราบขอขมาโทษทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยเลยนะคะ...


    <CENTER>อสุภกรรมฐาน

    </CENTER>ความหมายและจุดมุ่งหมาย

    <DD>อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม <DD>กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงานรวมความแล้วได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน กำลังสมาธิของอสุภกรรมฐาน <DD>สำหรับอสุภกรรมฐานนี้เป็นสมถกรรมฐานที่ให้ผลในทางกำจัดราคะจริตเหมือนกันทั้ง ๑๐ กอง นั่นก็คือการค้นคว้าหาความ จริงจากวัตถุที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ที่นิยมชมชอบกันว่าสวยสดงดงาม ที่บรรดามวลชนทั้งหลายพากันมัวเมา หลงใหลใฝ่ฝัน ว่าสวยสดงดงามจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายแก่ตน ลืมชีวิตความเป็นอยู่ของตน เป็นการประพฤติที่ฝืนต่อกฎของความ เป็นจริง เป็นเหตุของความทุกข์ที่ไม่รู้จักจบสิ้น


    อสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง

    <DD>อสุภกรรมฐาน ท่านใด้จำแนกไว้เป็น ๑๐ อย่างด้วยกัน คือ <DD>๑.อุทธุมาตกอสุภ คือ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันเป็นต้นไปมีร่างกายขึ้นบวม พองไปด้วยลม หรือที่เรียก กันว่า ผีตายขึ้นอืดนั่นเอง
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>อุทธุมาตกอสุภ ท่านสอนไว้เพื่อที่เป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดยินดีในทรวดทรงศัณฐาน และแสดงให้เห็นเนื้อแท้ของทรวดทรงสัณฐานวาไม่มีสภาพคงที่ ในที่สุดก็ต้องขึ้นอืดพอง เหม็นเน่า เป็นสิ่งที่น่า โสโครกไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ <HR width="50%">


    <DD>๒.วินีลกอสุภ เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่ที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่ที่มีน้ำเหลืองน้ำหนอง มาก มีสีเขียวในที่ที่มีผ้าสีเขียวคลุมไว้ อาศัยที่ร่างของผู้ตายส่วนใหญ่ก็ปกคลุมด้วยผ้านั่นเอง
    <CENTER>[​IMG]

    [​IMG]

    </CENTER>[​IMG] <DD>ความมุ่งหมาย <DD>วินีลกอสุภ เป็นที่สบายของบุคคลที่หนักไปในทางมีความใคร่พอใจในผิวพรรณที่ผุดผ่องและแสดง ให้เห็นว่าผิวพรรณนั้นไม่สวยจริง ในที่สุดก็จะมีแต่สิ่งโสโครกหลั่งใหลออกมาทำให้กลายเป็นของน่าเกลียดโสโครก






    <HR width="50%">

    <DD>๓.วิปุพพกอสุภ เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
    <CENTER>[​IMG]

    [​IMG]
    </CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>วิปุพพกอสุภ เป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความยินดีในผิวพรรณที่ปรุงด้วยเครื่องหอมที่เอามาฉาบทาไว้ และะแสดงให้เห็นว่า เครื่องหอมที่ฉาบทาประทินผิวไว้นั้นไม่มีความหมาย ในที่สุดก็ต้านทานสิ่งโสโครกที่อยู่ภายในไม่ได้ <HR width="50%">


    <DD>๔.วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลาง มีกายขาดออกจากกัน
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>วิฉิททกอสุภ เป็นที่สบายของบุคคลร่างกายที่มีแท่งทึบ มีเนื้อล่ำที่พอกพูนนูนออกมา ซึ่งเป็นเครื่องบำรุง ราคะของผู้ที่มักมากในเนื้อแท่งทึบที่กำเริบ และแสดงให้เห็นว่า ร่างกายนี้มิใช่แท่งทึบตาามที่คิดไว้ ความจริงเป็นโพรง โปร่งอยู่ภายในและเต็มไปด้วยของโสโครก <HR width="50%">


    <DD>๕.วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกสัตว์ยื้อแย่งกัดกิน
    <CENTER>[​IMG]

    [​IMG]
    </CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>วิกขายิตกอสุภ กรรมฐานนี้เป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดยินดี ในเนื้อกล้ามบางส่วนของร่างกาย เช่น เต้านม เป็นต้น และแสดงให้เห็นว่าในไม่ช้ากล้ามเนื้อนั้นก็จะต้องวิปริตสลายตัวไป <HR width="50%">


    <DD>๖.วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งใว้จนส่วนต่างๆกระจัดระจายออกไปคนละทาง
    <CENTER>[​IMG]

    [​IMG]
    </CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>วิกขิตกอสุภ อสุภนี้เป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดยินดี ในลีลาอิริยาบถ มีการยกย่ง ก้าวไป ถอยกลับ และการคู้แขนเหยียดแขน ของเพศตรงข้ามแงท่อนกล้ามเนื้อนั้น แต่ในที่สุดก็ต้องกระจัดพลัดพรากกันไปเป็นท่อนน้อยท่อน ใหญ่ตามที่ปรากฏนี้ <HR width="50%">


    <DD>๗.หตวิกขิตตกอสุภ คือซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>หตวิขิตตกอสุภ เป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดยินดีในข้อต่อ คือร่างกายที่มีอาการ ๓๒ ครบถ้วน คนประเภท นี้รักไม่เลือก ถ้าเห็นว่าเป็นคนมีอวัยวะไม่บกพร่องแล้วเป็นรักได้ กรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การติดต่อส่วนต่างๆของร่างกาย นี้ไม่จีรังยั่งยืน ในไม่ช้าก็จะต้องพลัดพรากจากกันตามกฎของธรรมดา <HR width="50%">


    <DD>๘.โลหิตกอสุภ คือซากศพที่มีเลือดใหลออกเป็นปกติ
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>โลหิตกอสุภ เป็นที่สบายของคนรักความงามของร่างกายที่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับ คือเป็นคนที่บูชาเครื่องอาภรณ์ มากกว่าเนื้อแท้ กรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่า อาภรณ์นั้นไม่สามารถที่จะรองรับสิ่งโสโครกภายในร่างกายได้ ในที่สุดก็จะหลั่งใหลออก มา เป็นที่น่ารังเกียจ <HR width="50%">


    <DD>๙.ปุฬุวกอสุภ คือซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินกันอยู่
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>ความมุ่งหมาย <DD>ปุฬุวกอสุภ เป็นที่สบายของคนที่ยึดถือว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา แต่รางกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของเราเป็นสาธารณะ แก่หมู่หนอนที่กำลังกินอยู่ ถ้าร่างกายเป็นของเราจริง เจ้าของร่างคงไม่ปล่อยให้หนอนกัดกินเป็นอาหารได้ <HR width="50%">


    <DD>๑๐.อัฏฐิกอสุภ คือซากศพที่มีแต่กระดูก
    <CENTER>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    </CENTER><DD>ความมุ่งหมาย <DD>อัฏฐิกอสุภ เป็นที่สบายของผู้มีความกำหนัดยินดีในฟันที่ขาวราบเรียบเงางาม กรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่ากระดูกฟันนี้ ต้องหลุดถอนเป็นธรรมดา ไม่คงสภาพสวยงามให้ชมอยู่ตลอดเวลา <HR width="50%">



    การพิจารณาอสุภ

    <DD>การพิจารณาอสุ๓ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ท่านสอนให้ให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ อย่างดังต่อไปนี้ <DD>๑.พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาว หรือเป็นร่างกายที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา <DD>๒.พิจารณาโดยเพศ อย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่ <DD>๓.กำหนดพิจารณาโยสัณฐาน คือกำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ นี่เป็นศรีษะ เป็นท้อง เป็นเอว เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น <DD>๔.กำหนดโดยทิศ ทิศนี้ท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้าน ศีรษะ ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่ทางด้านปลายเท้าของซากศพ <DD>๕.กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะ วางอยู่ที่ตรงนี้ มือวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้ <DD>๖.กำหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์และของ มนุษย์ มีอาการ ๓๒ เป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งน่าเกลียด น่าโสโครกทั้งนั้น

    <DD>อสุภกรรมฐาน ที่ท่านสอนไว้ถึง ๑๐ อย่าง มีความหมายอย่างที่ว่ามานี้แล้วขอท่านนักปฏิบัติ ที่จะฝึกหัดกำจัดอำนาจราคะนั่นก็ คือความกำหนัดยินดีในเพศตรงข้ามหรือเป็นนักนิยมสีสันวรรณะแล้ว ท่านจงเลือกฝึกในอสุภทั้ง ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสม แก่ความรู้สึกเดิม ที่มีความกำหนัดยินดีอยู่นั้นเพื่อผลในการปฏิบัติ ในส่วนวิปัสสนาญาณ เพื่อมรรคผลต่อไปเถิด


    รูปที่น่าสนใจ


    <CENTER>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]</CENTER>

    <CENTER>(สามารถค้นหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ห้องสมุดชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี หลังตกคณะวิศวกรรม)
    </CENTER>

    </DD>
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขอบคุณค่ะพี่ธรที่นำสิ่งดีๆมาให้พิจารณากัน ทำให้เห็นชัดในการปลงสังขารยิ่งขึ้นค่ะ
     
  18. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เอ่อ ผมไม่ได้โรคจิตซาดิสต์ใช่ป่าวครับ ทำไมดูแล้ว เฉยๆ ละพี่


    ปล.เลยต้องอุทิศบุญให้ทุกรูป ทุกศพ เลย


    ขอบคุณครับที่นำมาให้ปลง
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697

    ไม่ได้เป็นหรอกนัท พวกเราคงชินแล้วล่ะ;28
     
  20. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
     

แชร์หน้านี้

Loading...