คาถาย่นระยะทาง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 23 สิงหาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ถาม : จะถามเรื่องคาถาย่นระยะทาง เราจะใช้ภาวนาคาถาเงินล้านหรือว่าภาวนาพุทโธนี่ถือเป็นการย่นระยะทางได้หรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : จริงๆ การย่นระยะทางมันต้องเป็นพื้นฐานของวาโยกสิณ แล้วโดยเฉพาะมันไม่ใช่วาโยกสิณตัวเดียว ลักษณะของการย่นระยะทางเป็นของผู้ชำนาญในกสิณ ๑๐ พอตั้งใจใช้กำลังของอภิญญา กำลังของกสิณอธิษฐานแล้วมันจะเป็นไป แต่ว่าเท่าที่เคยใช้ได้ผลน่ะ สัมปจิตฉามิ อาตมาเดินน่ะเขาควบมอเตอร์ไซค์ไล่ไม่ทัน เราไม่รู้หรอก เรารู้สึกว่าเราเดินปกติ

    สมัยที่ไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ๆ แล้วเดินบิืณฑบาตไป ๕ กิโลกว่า กลับ ๕ กิโลกว่ารวมแล้ว ๑๐ กิโลเศษๆ น่ะ คราวนี้มันก็ขึ้นเขาขึ้นเนินตั้งหลายลูก พอไปบิณฑบาตได้พวกข้าวของมาเยอะ พอได้ข้าวของมาเยอะ ชาวบ้านเขาก็ถือมาส่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมอญพวกทวายที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้นั่นล่ะ ไปอยู่กันแค้มป์ข้างบน เขาก็ถือของมาส่ง วันแรกวันสองวันสามก็มาส่ง พอท้ายๆ มันหายกันหมด พอหายกันหมด ไอ้เราก็ไม่รู้

    พอจนกระทั่งวันหนึ่งหัวหน้าคนงานเขาบอกว่าหลวงพี่เดินเร็วจริงๆ ครับ ถามว่าทำไมวะ ? เขาบอกปกติพวกคนงานมันเดิน ผมต้องวิ่งไล่ตาม แต่หลวงพี่เดินน่ะคนงานมันต้องวิ่งไล่ มันก็เล่ไล่กันไม่ไหว...มันเหนื่อยเขาว่างั้น เสร็จแล้วผมก็สงสัยหลวงพี่เดินยังไงผมเอามอเตอร์ไซด์ไล่ตามดูไล่ไม่ทันจริงๆ ครับ มันว่างั้น เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้อยู่อย่างเดียวว่าเราเดินปกติ

    ถาม : ภาวนาอะไรคะ ?

    ตอบ : สัมปจิตฉามิ เพราะว่าหลววงพ่อท่านสั่งไว้ตั้งแต่บวชพรรษาแรกบอกว่าให้ภาวนาบทนี้ให้เป็นปกติ เพราะว่าบทนี้จะเป็นคาถาสำหรับสร้างอภิญญา ถ้าใครทำทรงตัวจะเหมือนกับได้กสิณ ๑๐

    ท่านบอกว่านานไปข้างหน้าบรรดาเดียรถีย์จะโจมตีศาสนาพุทธมาก โดยเฉพาะเรื่องของอภิญญาสมาบัติเขาจะกล่าวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงกัน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพวกแกจะต้องไปแสดงให้เขาดูว่าเรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องจริง ท่านสั่งให้ทำตั้งแต่พรรษาแรกเลย

    แล้วอีกครั้งหนึ่งก็เดินทางไปเยี่ยมสถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง ก็เดินขึ้นไปดูพื้นที่การจัดการลุ่มน้ำของเขาน่ะ เดินไปเรื่อย ๆ มันก็ ๑๑ โมงครึ่งแล้ว ๑๑ โมงครึ่ง ห่างจากสถานีประมาณ ๔ กิโลเมตรเศษ หัวหน้าเขาบอกว่านิมนต์ฉันเพลด้วยครับ เพราะว่าสั่งเขาจัดของไว้แล้ว เราก็มองนาฬิกาตายห่า ! ๔ กิโลครึ่งชั่วโมง.....ยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้วใช่ไหม ? ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ บอกเออ.....ถ้าอย่างนั้นขอเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วกันนะ พวกโยมตามมาทีหลังก็แล้วกัน แล้วก็เิดินของเรา ตั้งใจเสร็จเดินมา มาถึงข้างสถานีรถมันออกมาบอกว่ากำลังจะไปรับพอดีเออ.....ไปรับหัวหน้ากับคนอื่นเขามาก็แล้วกัน ไอ้ของฉันแค่นี้มาถึงแล้ว ก็...ลงไปนั่งฉันดูนาฬิกามันเพิ่งจะ ๑๑ โมง ๔๐ นาทีเท่านั้น ปรากฎว่าเขาตามมาถึงก็โน่นน่ะ แม่จุ๊บเขาบอกว่าท่านเดินยังไงเร็วขนาดนั้น จุ๊บมันวิ่งตามซะจนเลือดกำเดาไหลไล่ไม่ทัน บอกไม่รู้เหมือนกัน เราเดินปกตินี่แหละ รู้สึกว่าระยะทางมันไกลเท่าเดิม แต่ว่ามันถึงเร็ว เท่าที่ใช้ดูก็ใช้บทนี้แหละ แต่ว่าถ้าหากว่าอย่างหลวงปู่จงพาหลวงพ่อไปสุวรรณวิหารอย่างนี้ อันนั้นเป็นอำนาจของกสิณ ๑๐ ไม่ใช่ประเภทคาถงคาถาอย่างนี้หรอก

    ถาม : ยังสงสัยนิดหนึ่งค่ะ ที่บอกว่าภาวนาคาถาสัมปจิตฉามิเนี่ย เรานั่งรถคนอื่นขับให้เราเี่นี่ย แล้วเรา่ภาวนาคาถานี้ จะช่วยทั้งคันเลยใช่ไหมคะ หมายถึงว่าไปถึงเร็ว ?

    ตอบ : ช่วยได้ แต่ว่า...ถ้ารู้สึกว่ามันเร็วกว่าปกตินะ ตอนนั้นเราอย่าเพิ่งพูด เราปล่อยมันไปก่อน คนอื่นน่ะถ้าหากว่าอำนาจของคาถามันแสดงผลน่ะ เขาจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จะไปรู้อีกที เอ๊ะ ! ทำไมมัน ถึงเร็วแต่ว่าตัวเราถ้าตั้งใจจับอยู่นี่บางทีระยะทางมันสั้นไปเฉยๆ

    สมัยก่อนไปทองผาภูมิ พอรู้สึกก็บอกให้คนอื่นเขาช่วยเป็นพยาน เอ้า ดูสิ ตอนนี้มันหลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่แล้ว บอกเขาเขียนอีก ๒๐ กิโลถึงทองผาภูมิ บอกจ้องไว้เลยนะว่าหลักกิโลต่อไปเป็นหลักกิโลที่เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่จ้อง นั่นแหละ กิโลต่อไปคือ ๘ กิโลถึงทองผาภูมิ หายไป ๑๒ กิโล...วึ๊บเดียว





    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2008
  2. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    ไม่มีอภิญญา หรือ พลังอะไรใช้ได้ป่าวอ่ะ
    จะได้ใช้เวลาเดินทางไปไหนไกล ๆ นะจะได้ถึงเร็ว ๆ
     
  3. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"


    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ




    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
     
  4. SaveMax

    SaveMax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +582
    กราบหลวงพี่เล็กด้วยเศียรเกล้า
    กราบหลวงปู่ฤาษีด้วยเศียรเกล้า
     
  5. อนูดิน

    อนูดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +2,012
    ลองภาวนาดูสิ ถึงตอนนี้อภิญญายังไม่มี ลองภาวนาวันละชั่วโมง

    ทำเป็นกรรมฐาน เดี๋ยวก็คงจะเกิดฤทธิ์ขึ้นมาบ้างไง ถ้าชาติก่อน(ไม่รู้ชาติไหน)

    เราเคยทำได้

    ถ้าแบบไม่ใช้อภิญญาหรือพลัง

    ก็ต้องใช้รูปในหลวงเอา(สีแดงๆม่วงๆหน่ะ) อันนั้นก็ถึงเร็วดีถ้ามีเยอะนะ

    ถ้าไม่อยากเสียรูปท่าน(อยากเก็บไว้เยอะๆไว้บูชา)ก็คงต้องลองภาวนาดูล่ะ
     
  6. โมฆบุรุษ

    โมฆบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +6,023
    เห็นท่านทิดโต๋วเคยกล่าวถึงบท"มรรคคะ มรรคคา ขิปปา ภิญญา"
    ไม่ทราบว่าเป็นคาถาย่นระยะทางด้วยหรือเปล่าครับ

    ถ้าใช่ ผมสะกดถูกต้อง ตรงตามอักขระที่เทียบเคียงมาเป็นภาษาไทยหรือเปล่าครับ
     
  7. tidtou

    tidtou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +442
    ครับผม คาถาบทนี้ พระอาจารย์ท่านเคยให้ลองใช้ลองท่อง ตอนที่เข้าไปตะลุยบึงลับแลกับท่านน่ะครับ ผมเดินตามท่านไม่ทัน ท่านบอกว่าให้ลองใช้คาถาบทนี้"มรรคคะ มรรคคา ขิปปา ภิญญา" "มรรคคะ มรรคคา"มาจากคำว่า"มรรค"ที่แปลว่า"ทาง"หรือ"การเดินทาง" "ขิปปา"นั้นแปลว่า"เร็ว" "ภิญญา"นั้นแปลว่า"ยิ่ง"น่ะครับ รวมๆกันก็แปลพอได้ใจความว่า"การเดินทางอันเร็วยิ่ง"ประมาณนั้นน่ะครับ ไม่ทราบเหมือนกันครับว่า หลวงพี่ท่านไปได้คาถาบทนี้มาจากที่ใด แต่ในเมื่อท่านเมตตาบอกมาให้ลองทำดูแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ติดตามท่านแล้ว ก็ต้องลองกันให้ถึงที่สุดล่ะครับ(เพราะเดี๋ยวไม่อย่างนั้นเดินตามท่านไม่ทัน มีหวังได้หลงป่าเป็นผีเฝ้าต้นไม้แน่นอนครับ แหะๆ")ก็หลังจากภาวนาๆไปพอใจสบายๆโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ภาวนาอย่างเดียว ก็ถึงที่หมายได้เร็วกว่าปกติพอสมควรเลยครับ เพราะคราวหลังที่ไปกันอีก จากจุดนั้นที่เริ่มต้นภาวนา จนไปถึงที่บึงลับแล เดินไปปกติ ก็รู้สึกว่าระยะทางมันไกลขึ้นอีกพอสมควรทีเดียวครับ ที่สำคัญก็คือใช้เวลานานมากกว่าการเดินทางครั้งแรกที่ภาวนามาเป็นชั่วโมงๆน่ะครับ ทั้งๆที่ก็ใช้เส้นทางเดิมๆและก็ใช้ความเร็วในการเดินในระดับเดิมๆอีกด้วยครับ แปลกแต่จริงครับ(หรือเป็นเพราะบารมีครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่รู้ หุหุ)
     
  8. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    อนุโมทนานะจ๊ะ ใครที่ไปทริปคราวนี้ คงต้องรีบฝึกภาวนากันนะจ๊ะ ไม่งั้นจะเดินตามพระท่านไม่ทันแน่
     
  9. assadin

    assadin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2010
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +228
    อนุโมทนาครับ ผมจะลองใช้ดู แต่อยากทราบว่า คาถา สัมปจิตฉามิ กับคาถาที่ท่าน tidtou ให้มานั้นเป้นคาถาเดี่ยวกับหรือเปล่าครับ สาธุ สาธุ
     
  10. Tanagrit

    Tanagrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +658
    สะหัสสะเนตโต เทวินโธ เทวะรัชชะสิรีนะโต สังขิปิตวาณะตัง มัคคัง ขิปปัง สาวัตถิมาขะมิ

    คาถาย่นระยะทางอีกบทหนึ่งครับ ไม่รู้จะพิมพ์ถูกหรือเปล่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...