น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    พระอาจารย์ศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาไทยที่ได้แปลแล้วโดยผู้รู้ภาษาท่านอื่นๆๆ
    หรือว่าจากภาษาบาลีโดยตรงเลยครับ
    ..อันนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ไรนะครับ อยากรู้เฉยๆครับ..


    --------------------------------

    ***เป็นคำถามที่น่าสนใจ ***

    ***เริ่มต้นศึกษาจากพระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชน ของสุชีพ ปุญญานุภาพ***

    ***จากนั้นก็ศึกษาจากพระไตรปิฏกของมหามกุฏฯ ที่เขาแปลไว้แล้ว ***

    ***แม้แต่คัมภีร์วิสุทธิมรรค มิลินทปัญหา ก็ศึกษามาหมดแล้ว***

    ***จากนั้นก็ศึกษาจากครูอาจารย์ที่ดังๆเกือบทั้งหมดของไทย(โดยเฉพาะของมหาวีระฯ-รู้จักหรือเปล่า?)***

    ***จนสุดท้ายมาศึกษาชุดธรรมโมฆษณ์ของท่านพุทธทาส***

    ***ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ตำราหรือที่ใครๆ แต่อยู่ที่ธรรมชาติที่เราสามารถพบเห็นหรือรู้สึกได้จริงนี่เอง***

    ***ตำรา หรือ ครูอาจารยเป็นแค่แผนที่เท่านั้น***

    ***เมื่อเราทดลองเดินตามแผนที่ใดแล้ว ไปไม่ถึง เราก็ทดลองเดินตามแผนที่ใหม่เรื่อยไป จนกว่าจะไปถึงจุดหมาย***


    ***ที่จริงธรรมชาติก็แสดงธรรมให้เราพบเห็นกันอยู่เต็มตาแล้ว แต่เรามันตาบอดมองไม่เห็นกันเอง***

    ***คือจุดเริ่มต้นก็ศึกษาจากความจริงที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมากจาเหตุปัจจัย" นี่เอง***

    ***เมื่อเข้าใจและยอมรับจุดนี้แล้ว ก็จะค่อยๆเข้าใจธรรมะอื่นๆได้ไปด้วยในตัว***

    ***แต่ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจจุดนี้ หรือไม่ยอมรับจุดนี้ ถึงศึกษาธรรมะไปจนตายก็ไม่มีวันเข้าใจธรรมะที่แท้จริงได้***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    ตอบความมั่วได้ใจของเตชะปญฺโญ โดย ธรรมะสวนัง

    ***ถ้าใครเป็นคนจริง กรุณาตอบคำถามง่ายๆนี้***

    ***๑. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมากจากเหตุปัจจัยเท่านั้น?"***

    ***ตอบ พระองค์ก็ทรงสอนอยู่แล้วว่า
    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก(เรื่องในโลก) ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
    และพระองค์ก็ได้ทรงสอนโลกุตตรธรรม คือ ธรรมเหนือโลก นอกโลก
    (เหนือสิ่งปรุงแต่ง นอกสิ่งปรุงแต่ง)
    ฉะนั้น พระองค์บอกให้รู้แล้วว่า มีสิ่งที่ไม่เกิดจากเหตุปัจจัย

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ตัวตนของเรา (จะเรียกว่า จิต หรือวิญญาณธาตุก็แล้วแต่จะเรียก) เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ?***

    ***ตอบ ใช่ พระองค์ตรัสไว้ว่า
    จิตที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักรนี้ มีอยู่นานมาแล้ว
    ไม่อาจตามรู้ได้ว่ามาจากไหน และจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อใด

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด)ไม่ใช่ตัวตน?" (สัพ เพ ธัมมา อนัตตา)***

    ***ตอบ ควรดูบริบทข้างต้นด้วย อย่ายกมาแค่ท่อนหลัง
    ทำให้คนเข้าใจผิดและพุทธพจน์เสียหาย ซึ่งเป็นการลบหลู่พุทธองค์
    สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    บอกไว้ชัดแล้วว่า สิ่งที่ถูกปรุงแต่งทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
    พระองค์จึงทรงสอนสิ่งที่อยู่เหนือการปรุงแต่ง
    ไม่เข้าใจล่ะสิ ...บอกแล้ว...เปลืองข้าวสุก
    ถ้าพระพุทธองค์สอนตื้นๆแบบที่คุณนอกรีตคิด คงจะเป็นศาสดาเอกของโลกไม่ได้หรอก
    คนไม่มีศาสนาเค้าคิดได้แบบคุณแหละ คนมีศาสนาเค้าไม่คิดอย่างนี้หรอก
    ถึงเรียก คุณนอกรีต ไง

    ***ผู้ที่สมควรจะบรรลุธรรม ต้องเป็นผู้ที่มองเห็นความเกิด-ดับได้ เป็นผู้ไม่มีมารยา ไม่โอ้อวด มีใจสงบ ตั้งมั่น กล้าหาญ และเป็นคนจริง***
    เอ่อ ถ้ามองด้วยตาแบบที่สอนอะนะ
    แล้วคนตาบอดจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ก็ไม่มีสิทธิบรรลุธรรมดิ
    แล้วใครล่ะที่มีมารยา ใครล่ะที่โอ้อวด ทำกร่างท้าเค้าไปทั่ว
    ถ้าเป็นคนกล้าหาญและเป็นคนจริง ต้องกล้าบอกแล้วว่า
    หลักสูตรบ้าๆบอๆเนี่ย ไปเผยแพร่ไว้ที่โรงเรียนไหนบ้าง
    คนที่มีใจสงบ ตั้งมั่น คงไม่ทำกร่างเที่ยวท้าชาวบ้านเหยงๆหรอก

    ***ทีปัญหาเล็กๆน้อยๆละก็รีบตอบสวนทันที แต่ทำไมปัญหานี้กลับไม่ยอมตอบกันเลย***
    ตัวเองอ่านไม่เข้าใจเอง ตอบกันไม่รู้กี่หนแล้ว
    เฮ้อ คนโง่ดักดานย่อมไม่เข้าใจคิดวนเวียนแต่ว่าคนอื่นโง่กว่าตัวเอง

    อ้อ ถ้าเป็นคนจริง ไม่ต้องส่งหน้าม้าไปเรียกมาตอบหรอก
    แวะเข้าไปที่ profile ของเรา ก็กล้าๆหน่อย เขียนบอกก็ได้ จะให้มาตอบ
    ไม่ต้องกลัวหนีหรอก บอกไว้แล้วยังไม่ครบ ๑๐๐ หน้า ไม่เลิกแน่ ^_^
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ของฝากสำหรับกบในกะลาแถมตาบอด(เตชะนอกรีด)

    พระเถระกุมารกัสสปะตรัสตอบพระเจ้าประยาสิผู้มีมิจฉาทิฐิว่า "คนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง มองอะไรไม่เห็นเลย จึงได้กล่าวว่าสีดำ สีขาว สีเหลือง เป็นต้น ไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้น ก็ไม่มี ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ก็ไม่มี ผู้ที่เห็นดวงดาวเป็นต้นนั้น ไม่มี เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็นจึงไม่มี" ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวถูกหรือกล่าวชอบหรือไม่ พระราชาตรัสตอบว่า กล่าวไม่ชอบ

    อ่านบ่อยๆ นะเตชะนอกรีด เผื่อจะเกิดปัญญา เห็นแสงสว่างกับเขาบ้าง
    คนโง่ถ้ารู้ตัวว่าโง่ และยอมรับว่าตัวเองโง่ แสดงว่าเริ่มจะฉลาดบ้างแล้ว
    แต่คนโง่ แล้วคิดว่าตัวเองฉลาด เขาเรียกว่าบรมโง่

    <!-- / sig -->
     
  4. มโนปุพพังคมา

    มโนปุพพังคมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +92
    ขอโทษครับพี่ธรรมะสวนัง....ผมไม่ใชหน้าม้าของใครนะครับ....
    คือผมอยากจะตอบกระทู้ของท่านเตชเหมือนกันแต่คิดว่าตัวผมเองคงตอบได้ไม่ดีพอเลยไปเชิญพี่มาตอบแค่นั้นครับ
    ...เพื่อความเข้มข้นในแสดงทัศนะคติเท่านั้นเองแหละ...กรุณาอย่าเข้าใจผิดนะครับ...
     
  5. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    กู่ไม่กลับซะแล้ว สมมุติสงฆ์รูปนี้

    เข้ามาบวชในศาสนาพุทธ แล้วกลับค้านหลักของศาสนาที่ตนเองบวช

    พระไตรปิฏกก็ไม่ให้เชื่อ, พระสงฆ์ครูอาจารย์ที่ปฏิบัติดีทั้งหลายก็ไม่ให้เชื่อ
    ท่านเก่งขนาดนี้ก็ไม่ต้องเข้ามาบวชแล้วมั่งครับ สร้างลัทธิขึ้นมาใหม่ ทำตัวเป็นเจ้าลัทธิ,ทำตัวเป็นศาสดาในศาสนาของท่านเองไม่ดีกว่าหรือท่านสมุติสงฆ์ จะเอาศาสนาพุทธมาอ้างทำไม?


    ท่านตั้งใจบวชมาเพื่อทำลายศาสนาพุทธหรือเปล่า?? ผมชักจะเริ่มสงสัย

    หลักคำสอนของศาสนาพุทธก็มีอยู่ แต่ดันไปเอาแนวความคิดของตนเองซึ่งเป็นแนวความคิดที่ผิดๆ มาสอนเยาวชน แล้วมาอ้างว่าคือพุทธแท้ ซึ่งมันค้านกับพระธรรมโดยสิ้นเชิง

    พระธรรมบอกว่ามี สมมุติสงฆ์รูปนี้บอกไม่มี
    ถ้าทางจะเก่งเกินพระพุทธเจ้ากระมังนี้ แนวความคิดของสมมุติสงฆ์รูปนี้ ในพระไตรปิฏกก็บอกอยู่ทนโท่ว่ามันผิด แต่ท่านก็ยัง..ไปเรื่อย ใครอธิบายพูดอย่างไรก็ทำเป็นไม่เข้าใจ(หรือเข้าใจแต่ทำแกล้งเป็นไม่เข้าใจ เพราะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่ อันนี้ผมก็ไม่ทราบได้)



    (ลบข้อความบางส่วนไปนะครับ กลัวว่าจะแรงไปไม่เหมาะสม)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เห็นด้วยค่ะ ถ้าทุก ๆ ท่านได้อ่านไปช่วงระยะกลาง ๆ ของกระทู้ จะมีพี่ท่านหนึ่งท่านก็คิดเช่นเดียวกัน ยิ้มก็คิดเช่นกัน...แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยัน

    เข้าค่ายต้องสงสัยมากกว่า .... ถ้าใช่จริง...เขาไม่เพียงจะเบียดเบียน เขาจะทำการล้มล้างพระพุทธศาสนาตามคำสั่งการก่อการร้ายเชียว

    และก็ขอบอกว่า "มันคงเป็นไปได้ยากมาก" ถ้าพวกเราช่วยกันสอดส่องและสามัคคีปรองดองช่วยกันรักษาปกป้องเยี่ยงชีวิต เช่นกัน

    หากทุกท่านได้เปิดใจสัมผัส...ก้าวอย่างเข้ามาด้วยความศรัทธาและพิจารณาด้วยปํญญาแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านได้สัมผัสพระอริยสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญโดยแท้แล้ว ท่านจะไม่สงสัยอีกต่อไป...จะเหลือแต่พยายามตะกายและหาวิธีทำอย่างไรให้สิ้นทุกข์สู่ความสุขอันเป็นนิรันดร์(คือพระนิพพาน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  7. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    [๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๗ ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.


    [๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๗ ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้



    พวกที่มีทิฏฐิว่าขาดสูญ ... พวกที่มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน ... พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต ...พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๖๒ ประการ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกถูกต้องๆ แล้วด้วยผัสสายตนะทั้ง ๖ ย่อมเสวยเวทนา
    เพราะเวทนาของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณและโทษ แห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากผัสสายตนะเหล่านั้น
    เมื่อนั้น ภิกษุนี้ย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้ทั้งหมด

    -----------------------------------------------------------------------

    นี่คือเหตุปัจจัยตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก

    ไม่ใช่ กายแตกแล้วจิตดับหรือตายแล้วสูญตามที่ท่านสมมุติสงฆ์เข้าใจ

    อ่านแล้วพยายามคิดหน่อย ท่านสมมุติสงฆ์ผู้อัจฉริยะ อย่าสักแต่ว่าอ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  8. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอให้ท่านกลับไปอ่าน บทสุดท้ายของท่านเองให้ถ่องแท้เถิด ... พระท่านกล่าวไว้แล้ว่า ไม่มีผู้ใดใหญ่เกินกรรม/ไม่ท่านก็กล้า ๆ หน่อยประกาศตนเป็น พระพุทธเจ้า(ตามลัทธิของท่าน)ไปเลย

    ผู้ใดชอบใจ ถูกใจในหลักธรรมของท่าน เชิญไปกราบไปไหว้กันให้สมควรแก่การปฏิบัติเถิด;aa21
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  9. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    สวัสดีค่ะ คุณเตช
    คุณบอกว่าคุณเป็นคนจริงแล้วได้ลองทำในสิ่งที่ข้าพเจ้าเสนอหรือยัง คือการท่อง สุปินานังและการไปกินนอนในป่าช้า หาก คุณคิดว่า ตัวคุณไม่ใช่ตัวตน แล้ว คุณกลัวตายไหม ตามที่คุณ ธรรมะสวนังได้กล่าวแล้ว ทำไมคุณไม่โดดเข้ากองไฟ แล้วรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับไฟ หรือเป็นธรรมชาติที่คุณกล่าว
    ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้ว เพื่ออยากสะกิดให้คุณได้ฉุกคิดว่า เราที่เกิดเป็นตัวเป็นตนกันทุกวันนี้ ไม่สามารถปฏิเสธ ความมีอยู่แล้ว คงอยู่ แล้ว ของรูปและ นาม ไม่ได้ รูป และ นามก็เป็น ธรรมอันมีอยู่ แล้ว คงอยู่ แล้ว
    คำว่า อนัตตา ในที่นี้ จริงๆแล้ว หมายถึง ธรรมชาติของธาตุ เดิมมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เสื่อมไป สลายไปเป็นวัฏฏะ อยู่อย่างนั้น ไม่มีใครมาควบคุม ไม่มีผู้กำหนดกฏเกณฑ์ นั่นคือ สัจจะ
    แต่ ณ. วันนี้ เราไม่ใช่มีแค่ธาตุ แต่เรามีตัว อุปทาน คือ ตัวทึกทักว่า ธาตุนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ควรอย่างนั้น อย่างนี้
    นั่น คือเรายึดเอาว่ารูปนามธาตุขัณฑ์ มีตัวตน เมื่อมีการทึกทักเอา นั่นแหละเรียกว่าเราสร้างตัวตน ขึ้นในรูปนาม เตัวตนเกิดขึ้นย่อมมี ผู้รู้ ( จิต)สิ่งรับรู้ (วิญญาณขัณฑ์) สิ่งถูกรู้ คือวัตถุหรืออารมณ์ตกกระทบ นั่นคือที่เราเรียกว่ารูปนาม เมื่อรูปนามแบ่งย่อยซอยถี่ก็เป็นอายตนะนอกใน 6 เพื่อรองรับสัมผัส แล้วเกิดเวทนา(รับอาการกระทบ) เมื่อมีเวทนาก็ย่อมมีตัณหา(ตัณหาเกิดจาก เมื่อมีการรับสัมผัส เพราะจิตมีตัวแยกแยะสิ่งรับรู้การกระทบ=สัญญาขัณฑ์ แล้วก็เกิด ความยินดีพอใจไม่พอใจในสัมผัส( การปรุงแต่ง=สังขารขัณฑ์) เมื่อมีการปรุงแต่ง ก็ มีกรรมคือการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เมื่อมีกรรมก็มีวิบากชาติภพมารองรับ
    นี่คือหลักปฏิจจสมุหบาทนะคุณเตช สิ่งที่คุณคุณต้องพิจารณาต่อคือ ณ.ขณะที่เราเราเกิดแล้วนั่นคือเป็นผลวิบากจากการยึดตัวตนในธาตุขัณฑ์
    เราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเป็นผลผลิตแห่งอวิชชา คือการหลงรู้หลงยึดว่าธาตุขัณฑ์เป็นเรา
    นั่นเป็นสิ่งที่ สมเด็จพระจอมไตรบรมครู บอกว่า สิ่งใดมี สิ่งนั้นย่อมมี คือ ณ. วันนี้มันมีอยู่แล้ว เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีอยู่
    พระพุทธท่านจึงทรงสอนว่า เมื่อ มันมีการจะหักดิบว่ามันไม่มีย่อมเป็นไปไม่ได้ ท่านจึงตรัสสอนว่า การจะเห็นได้อย่างแท้จริงต้องพิจารณาให้แจ้งว่า ขัณฑ์ ทั้ง 5 คือ รูป อารมณ์ ความจำ ความคิด การรับรู้ มันเกิดดับ แต่ ณ. เวลา เราเราฟังเราอ่าน มันก็คือการยอมรับความคิดใช่ไหม ท่านตรัสว่า ความคิดไม่ใช่ตัวตน ดังนั้น ในกระบวนการเราจึงถูกความคิดซ้อนความคิดหลอกเอาอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่คุณยังวนอยู่ในการเกิดดับ นั่นหมายความว่าคุณยัง เข้าไปรับรู้การปรุงในแต่ละขณะอยู่ คุณ ยังไม่ยกตัวออกมาให้เห็น เหตุปัจจัยในของไตรลักษณ์ นั่นคือ สาเหตุแห่งการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของขัณฑ์ 5
    หวังว่า ข้างบนจะนำความกระจ่างในใจคุณเตชไม่มากก็น้อย ความรู้ข้างต้น ไม่ใช่ของข้าพเจ้าข้าพเจ้ารู้จากครูอาจารย์อีกที แต่เชื่อเถิดคุณเตช พระพุทธท่านตรัสไว้ถูกต้องดีแล้ว เชื่อข้าพเจ้าสักครั้ง ยกตัวเองจากการมองแค่การเกิดดับ มาดูทั้งระบบการเป็นไปของธรรมชาติธาตุขัณฑ์ เถอะนะ อย่าปฏิเสธ การเป็นไปของกรรมวิบาก ของอันเกิดเนื่องจากการถือเอารูปความคิดความจำการรับรู้ในแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนะ เพราะเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น(วิบาก หรืออนุสัยหรือตะกอนเก่าอันเป็นสัญญาขัณฑ์ มันทำงานอยู่)คุณปรุงต่อ(เข้าไปช่วยมันทำงานก็คือตัณหา) นั่นคือคุณสร้างปัจจัยแห่งภพชาตินะ คือมันย่อมมีวิบาก ชาติภพ มารองรับ ไม่ว่าจะปฏิเสธมันอย่างไรมันก็เป็นไปของมันอยู่อย่างนั้น คือวงล้อแห่งวัฏฏะ


    อริยะสัจ กับวงจร ปฏิจจสมุหบาท

    ในวงจรเมื่อมีสัมผัสก็เกิดเวทนา เริ่มจากตรงนี้เองที่พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาอริยะสัจจ 4 เวทนา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์(อันเกิดจากการกระเทือนของธาตุขัณฑ์ ทุกข์ มี 2 ลักษณ์ คือ ทุกขสัจจ์ คือ ความรู้สึกจริงอันเกิดจากการกระเทือนของธาตุขัณฑ์ เช่น ความหิว ความหนาว ความร้อน(อันนี้เป็นทุกข์ปกติตราบใดที่ยังมีกาย) และ อุปาทานทุกข์ คือ ทุกข์ทึกทักคาดหวังไม่อยากได้อยากได้ ก็คือ ความปรุงขึ้นแห่งตัณหา สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ก็คือ การสัมผัสซึ่งมันดับไปแล้ว จึงเป็นอนัตตา แต่ที่เรายังไม่จบเพราะยังคิดคาดหวังกับอดีต ปัจจุบันอนาคต สิ่งนี้ควรละ ก็คือไม่ควรยึดว่า ความคิดเป็นตน สักแต่ว่าเป็นสภาวะที่เกิดจาก การยึดเอาหวังได้นั่นเอง ถ้าละอุปาทานทุกข์ได้ เราก็จะทุกข์เฉพาะการกระเทือนของธาตุขัณฑ์ ซึ่งเราจะปฏิเสธว่า ทุกข์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ได้เพราะมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นตราบเท่านที่ยังมีกาย นิโรธ คือ การดับแห่งทุกข์ ซึ่งทุกข์สัจจ์มันก็ดับของมันอยู่แล้ว มรรค คือทางแก้ทุกข์ ก็คือคิดเป็น แก้ถูกที่ คลำให้ถูกจุด มรรค 8 อย่างช่วยคุมใจให้ถูกตรงเพื่อตัดอุปปาทานทุกข์ นั่นเอง เมื่อไหรที่มรรครวมองค์คือกาศัยปัญญาในการพิจารณาแยกธาตุขัณฑ์ก็จะถึงความสิ้นทุกข์
    การ แยกธาตุขัณฑ์เป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ขัณฑ์ 5 อันกล่าวไว้แล้ว มันผุดเองเป็นขณะๆๆตามกรรมวิบากจิต อุตุ อาหาร ขั้นแรก เมื่อมันผุดกเราจะหักดิบด้วยการกดอารมณ์ ไม่ให้มันสืบต่อ นั่นคือ การใช้องค์ฌาณ แล้วตัดมันด้วยการพิจารณาด้วยปัญญาที่ถูกตรง การพิจารณานี้ เองเป็นการทรงไว้ให้มันมีอารมณ์กุศลก่อนให้มันเกิดวิบากดี เมื่อปัญญามันมีพลังขึ้นเราจะทราบว่าดีหรือไม่ก็ดับเหมือนๆกับเราก็จะไม่เข้าไปปรุงกับความคิด
    คือยกตัวขึ้นมา เมื่อยกตัวขึ้นมาก็จะไม่ปรุงอุปาทานทุกข์ แต่เราก็ยังมีทุกข์แท้อันเกิดจากการมีขึ้นเพราะธาตุขัณฑ์อยู่ดี
    ฏ็คือเราไม่สามารถปฏิเสธรูปนามได้นั้นเอง หวังว่าคุณคงเข้าใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    --เวบไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถ้าเห็นว่าใครสอนผิดจากหลักธรรมในพุทธศาสนาก็แจ้งได้ที่นี่---

    http://www.onab.go.th/

    ---ขนาดพระที่สอนไม่ให้ไหว้พระพุทธรูป(ตามที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้) เพราะในพระไตรปิฎกไม่ได้สอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป ยังถูกสั่งให้สึกทันทีเลย !!!!---

    ---ถ้าใครคิดว่าตัวเองรักพุทธศาสนาจริง ก็ขอให้แจ้งความด่วน---

    ---ถ้าไม่ทำแสดงว่า ไม่ได้รักพุทธศาสนาจริง แต่รักชื่อเสียงของตัวเอง หรือรักผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า---

    ***ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้าใครเป็นคนจริง กรุณาตอบคำถามง่ายๆนี้***

    ***๑. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมากจากเหตุปัจจัยเท่านั้น?"***

    ***ตอบ.........

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ตัวตนของเรา (จะเรียกว่า จิต หรือวิญญาณธาตุก็แล้วแต่จะเรียก) เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ?***

    ***ตอบ...........

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด)ไม่ใช่ตัวตน?" (สัพ เพ ธัมมา อนัตตา)***

    ***ตอบ............

    ***ผู้ที่สมควรจะบรรลุธรรม ต้องเป็นผู้ที่มองเห็นความเกิด-ดับได้ เป็นผู้ไม่มีมารยา ไม่โอ้อวด มีใจสงบ ตั้งมั่น กล้าหาญ และเป็นคนจริง***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้าใครเป็นคนจริง กรุณาตอบคำถามง่ายๆนี้***

    ***๑. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมากจากเหตุปัจจัยเท่านั้น?"***

    ***ตอบ (ไม่ยอมรับ เพราะยังมีสิ่งที่ไม่เกิดจากเหตุปัจจัยอยู่)

    ***ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงเช่นนี้ ไม่สมควรสนทนาด้วย เพราะเมื่อเขาไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่มีทางที่จะเกิดดวงตาเห็นธรรมได้อย่างแน่นอน เพราะดวงตาของเขามีธุลี(คือกิเลส)มาปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิด***


    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ตัวตนของเรา (จะเรียกว่า จิต หรือวิญญาณธาตุก็แล้วแต่จะเรียก) เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ?***

    ***ตอบ (ใช่ จิตสามารถเกิดขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย)

    ***เมื่อมีการคาดเดาเอาว่าจิตสามารถเกิดขึ้นมาได้โดยไม่อาศัยเหตุปัจจัย ก็ตรงกับการไม่ยอมรับความจริงที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุปัจจัย***

    ***อ้าว ?? แล้วจิตทำไมถึงได้มีการเกิดและดับอยู่เสมอล่ะ ถ้ามันเกิดขึ้นมาได้โดยไม่อาศัยเหตุปัจจัย ก็แสดงว่ามันจะไม่มีการเกิดและดับซิ?***


    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด)ไม่ใช่ตัวตน?" (สัพ เพ ธัมมา อนัตตา)***

    ***ตอบ (ไม่ยอมรับ เพราะจิตเป็นตัวตน)

    ***กฎไตรลักษณ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า...***

    **สัพเพ สังขารา อนิจจา = สิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ไม่เที่ยง (ไม่ถาวร)**

    **สัพเพ สังขารา ทุกขา = สิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นทุกข์ (ต้องทน)**

    **แต่ทรงสรุปว่า***

    **สัพเพ ธัมมา อนัตตา = สิ่งทั้งหลายทั้งปวง (คือทั้งสิ่งที่ปรุงแต่งจากเหตุปัจจัย และแม้สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งจากเหตุปัจจัย อันหมายถึงนิพพาน) ล้วนไม่ใช่ตัวตน***


    ***แต่มีผู้พยายามบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า สิ่งปรุงแต่งเท่านั้นที่เป็นอนัตตา เพราะจะได้แยกเอาจิตไว้ว่าเป็น อัตตา ที่ไม่เกิดมาจากเหตุปัจจัย***

    ***แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า บิดเบือน ไม่ยอมรับความจริง แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร????***


    ***ผู้ที่สมควรจะบรรลุธรรม ต้องเป็นผู้ที่มองเห็นความเกิด-ดับได้ เป็นผู้ไม่มีมารยา ไม่โอ้อวด มีใจสงบ ตั้งมั่น กล้าหาญ และเป็นคนจริง***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***เอ...เวบนี้ไม่มีผู้รู้หรือผู้มีปัญญากันบ้างเลยหรือไร???***

    ***ช่วยลองไปหาคนที่คิดว่ามีปัญญามากๆมาสนทนากันบ้างซิ จะได้เพิ่มรสชาติ จะได้ไม่จืดชืดอย่างนี้***

    ***หรือช่วยหาเวทีโต้ธรรมะให้ผู้รู้ไปโต้ธรรมะอย่างสมัยพุทธกาลบ้าง จะดีไม่น้อย จะได้รู้กันว่าใครผิด ใครถูก***

    ***แต่คงไม่มีใครกล้าทำ เพราะกลัวความจริง กลัวเสียหน้า กลัวเหงื่อตก เพราะถูกไล่ต้อนด้วยเหตุผลจนตอบไม่ได้***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  14. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    จริงๆแล้วข้าพเจ้าเป็นคนพิมพ์ช้า และไม่ถนัดพิมพ์ภาษาไทย เพราะเพิ่งติดไทยสติ๊กเกอร์ เวลาพิมพ์ทีไรก็ต้องลงโน๊ตแพทก่อนแถมต้องจิ้มทีละตัวและใช้เวลาในการหาตัวอักษร ขอโทษเพื่อนๆในบอร์ดหากอ่านแล้วรำคาญตัวอักษรผิดค่ะ

    ขอบใจคุณเตชที่แนะนำ แต่คงต้องขอรายละเอียดหนังสือ ตั้งแต่ ชื่อหนังสือ ปีที่ที่พิมพ์ ชื่อและที่อยู่สำนักพิมพ์ เลข ISBN ของหนังสือ จริงๆอยากได้รายละเอียดแต่คงหาซื้อหนังสือไม่ได้ เพราะอยู่ต่างประเทศ ถ้าจะให้ดี
    คุณเตชช่วยบอกชื่อผู้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่อง เบอร์ อีเมล์ท่านผู้พิจารณาด้วยก็ดีมาก ข้าพเจ้าเข้า web ที่คุณให้แล้ว แต่หาใบคำร้องไม่เจอ ถ้าจะกรุณา attached มาให้ด้วยก็จะเป็นการดียิ่ง
    เหตุผลหนึ่งที่พวกเรา(ขออนุญาตเพื่อนชาวพลังจิตผู้มีสัมมาทิฏฐิด้วยนะค่ะ) แย้งเพื่อสะกิดให้คุณคิดเพราะเห็นว่า เราทุกคนอันเป็นพุทธมามกะ ลูกพ่อเดียวกัน คือ พ่อพระพุทธ ย่อมเตือนกันได้ ฉุดดึงกันเมื่อใครล้ม แนะนำสะกิดกันเมื่อมีคนเดินหลงทางหรือแตกแถว บางทีคุณเตชอาจมองไม่เห็นความหวังดีของพวกเรานะเวลานี้ หวังใจว่าสักวันคงกลับลำได้ทันนะค่ะ

    คุณเตชค่ะ
    ข้าพเจ้าได้ตอบคำถามคุณไปหมดแล้วกรุณากลับไปอ่านที่โพสๆมานะค่ะ อ่านดีๆจับประเด็นให้ได้นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    จิตกับเจตสิกต่างกันยังไงครับ...........
    ------------------

    ***จิต เป็นคำสมมติเรียกถึงสิ่งที่เราสมมติเรียกว่าจิตโดยตรง คือเป็นแค่สิ่งที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้เท่านั้น โดยจิตก็คือวิญญาณขันธ์ ที่เกิดขึ้นเมื่อระบบประสาทของร่างกายได้กระทบกับอารมณ์หรือสิ่งภายนอก เช่น ตากระทบรูป ก็เกิดจิตหรือการรับรู้ขึ้นมาที่ตา***

    ***ส่วน เจตสิก หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิต อันได้แก่ ความรู้สึก(วทนาขันธ์), การจำได้(สัญญาขันธ์), และการปรุงแต่ง (สังขารขันธ์) คือถ้ามีแต่จิต มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมันแค่รับรู้ได้เท่านั้น มันจึงต้องมีสิ่งมาประกอบ มันจึงจะเกิดเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ขึ้นมา(คือรู้สึกนึกคิดได้)***

    ***ดังนั้น การเรียกสั้นๆว่า จิต จึงไม่ถูกต้องนัก ควรเรียกว่า เจตสิก จะถูกต้องกว่า แต่ไม่นิยมเรียก เพราะมันยาวและไม่ไพเราะ(คำว่า เจตสิก ดูว่าจะเป็นคำที่แต่งขึ้นมาในภายหลังของพวกอภิธรรม***

    --------------------
    ...ธรรมอะไรคือเครื่องอยู่ของพระพุทธเจ้า?
    -----------------------

    ***สุญญตา เป็นเครื่องอยู่ของพระพุทธเจ้า***

    ***คือทรงมองเห็นความว่างจากตัวตน(อัตตา)ในทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ ***

    ***เมื่อมองเห็นความว่างจากตัวตนอยู่ จิตก็จะไม่ยึดถือในสิ่งใดๆ แล้วจิตก็จะไม่มีทุกข์***

    ***ถ้าไม่มีสุญญตาเป็นเครื่องอยู่ ก็จะมีทุกข์***

    ***พระพุทธเจ้าทรงต่อสู้กับความเชื่อว่าจิตเป็นอัตตามาโดยตลอดพระชนชีพ แต่เราที่ปฏิญาณตัวว่าเป็นพุทธบริษัท กลับไปคว้าเอาอัตตามาเชื่อกันอีก น่าเสียใจมาก***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอบใจคุณเตชที่แนะนำ แต่คงต้องขอรายละเอียดหนังสือ ตั้งแต่ ชื่อหนังสือ ปีที่ที่พิมพ์ ชื่อและที่อยู่สำนักพิมพ์ เลข ISBN ของหนังสือ จริงๆอยากได้รายละเอียดแต่คงหาซื้อหนังสือไม่ได้ เพราะอยู่ต่างประเทศ ถ้าจะให้ดี
    คุณเตชช่วยบอกชื่อผู้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่อง เบอร์ อีเมล์ท่านผู้พิจารณาด้วยก็ดีมาก ข้าพเจ้าเข้า web ที่คุณให้แล้ว แต่หาใบคำร้องไม่เจอ ถ้าจะกรุณา attached มาให้ด้วยก็จะเป็นการดียิ่ง
    เหตุผลหนึ่งที่พวกเรา(ขออนุญาตเพื่อนชาวพลังจิตผู้มีสัมมาทิฏฐิด้วยนะค่ะ) แย้งเพื่อสะกิดให้คุณคิดเพราะเห็นว่า เราทุกคนอันเป็นพุทธมามกะ ลูกพ่อเดียวกัน คือ พ่อพระพุทธ ย่อมเตือนกันได้ ฉุดดึงกันเมื่อใครล้ม แนะนำสะกิดกันเมื่อมีคนเดินหลงทางหรือแตกแถว บางทีคุณเตชอาจมองไม่เห็นความหวังดีของพวกเรานะเวลานี้ หวังใจว่าสักวันคงกลับลำได้ทันนะค่ะ

    -----------------------------

    ***คราวนี้มานิ่มๆน่าสนทนาด้วย ไม่ใช่เอาแต่โจมตีอย่างเดียว***

    ***อาตมาเข้าใจคุณโยมทุกท่านได้ดี เพราะอาตมาเคยเป็นมาก่อน***

    ***ขอให้ยอมรับเหตุผล ยอมรับความจริงกันบ้าง แล้วจะเข้าใจ คนไทยถูกครอบงำด้วยความเชื่อกันมานาน พอจะให้มามีปัญญาด้วยตัวเองตามหลักพุทธศาสนาที่แท้จริงบ้างก็ยาก อาตมาเข้าใจ***

    ***พุทธศาสนา ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้เพียงแค่การฟังมา หรืออ่านมา***

    ***แต่จะเข้าใจได้ด้วยการค้นพบ(ตรัสรู้)ด้วยตัวเองเท่านั้น***

    ***การฟังมา หรืออ่านมา หรอืแม้แต่คิดคำนวนเอาเอง ยังอาจมีความผิดพลาดได้ทั้งสิ้น***

    ***พุทธศาสนามีหลักในการค้บพบ ซึ่งมีลำดับขั้น และมีเหตุมีผลไปตามลำดับ ถ้าปฏิบัติตามถูกต้องก็จะค้นพบความจริงด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเชื่อจากใครๆ***

    **ถ้าคุณโยมใจเย็นๆ อย่าใช้อารมณ์ และลองตอบคำถามของอาตมาดูบ้าง แล้วลองโต้แย้งดู แม้ไม่ต้องมีความรู้ทางศาสนามาก่อน ก็จะเข้าใจได้ เพราะธรรมะคือสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตของเราทุกคน ***

    ***ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติ(ที่มีปัญญา)จะยอมรับ เพราะมันประกอบด้วยเหตุผลและความจริงอย่างที่อาจจะไม่เคยมีใคนรนำเสนอมาก่อน***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
    ------------------------------------

    สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
    อาคารหอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ พุทธมณฑล
    25/25 หมู่ 6 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
    งานประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0 2441 4515 , 0 2441 5140 โทรสาร 0 2441 4515
    ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ โทรศัพท์ 0 2441 4585
    ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา โทรศัพท์ 0 2441 4547


    สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
    e-Mail : webrad@emisc.moe.go.th
     
  17. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +715
    สยอง !!!!!

    ผมได้เข้าไปอ่าน หลักสูตรที่ว่า ใน ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
    ------------------------------------

    มีความรู้สึกเดียว

    สยอง สยอง และสยอง

    อย่างไรก็ดี
    ความคิดแนวนี้ มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แม้ในระหว่างพุทธกาล และมีมาจนปัจจุบันมีศานุศิษย์ เยอะด้วย และจะมีไปเรื่อยๆ
    หลังจากมีพระพุทธศาสนาขึ้นแล้ว ก็ยังมีความคิดแนวนี้ แฝงเข้ามาเป็นระยะๆ
    ต้นโพธิต้นใหญ่ เช่นพระพุทธศาสนา กิ่งก้าน สาขา กว้างขวาง ก็ย่อมมีกาฝากมาขึ้นและเจริญเติบโตทำลายต้นโพธิ ได้เป็นธรรมดา
    ข้อสำคัญ สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่ม เมื่อไม่ใช่เวลาของเขา เขาย่อมยังอยู่ในความมืด เช่นกันเมื่อเป็นเวลาของเขา เขาย่อมพบแสงสว่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  18. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ขอรายละเอียดหนังสือด้วยค่ะ

    แต่คงต้องขอรายละเอียดหนังสือ ตั้งแต่ ชื่อหนังสือ ปีที่ที่พิมพ์ ชื่อและที่อยู่สำนักพิมพ์ เลข ISBN ของหนังสือ จริงๆอยากได้รายละเอียดแต่คงหาซื้อหนังสือไม่ได้ เพราะอยู่ต่างประเทศ ถ้าจะให้ดี
    คุณเตชช่วยบอกชื่อผู้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่อง เบอร์ อีเมล์ท่านผู้พิจารณาด้วยก็ดีมาก ข้าพเจ้าเข้า web ที่คุณให้แล้ว แต่หาใบคำร้องไม่เจอ ถ้าจะกรุณา attached มาให้ด้วยก็จะเป็นการดียิ่ง
     
  19. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    -----------------------------------------------------------------------
    คุณ dearestguardian ขอข้อมูลจากท่านแน่ะ ท่านเตชปัญโญ
    นิมนต์ท่านช่วยเมตตาตอบให้ตรงประเด็นด้วยครับ

    รายละเอียดหนังสือ ที่ท่านแต่ง
    ชื่อหนังสือ :..........................
    ปีที่ที่พิมพ์ :..........................
    ชื่อและที่อยู่สำนักพิมพ์ :.........................
    เลข ISBN ของหนังสือ :.........................

    แล้วนามท่าน เตชปัญโญ ภิกขุ นี่ของจริงหรือเปล่าครับ?

    แล้วท่านจำพรรษาอยู่วัดใดหรือครับ? (คำตอบที่ว่าอยู่ในใจนี่ไม่เอานะครับ)

    รบกวนท่านเมตตาตอบด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
  20. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    เตชะนอกรีด

    ถ้าเป็นทองแท้ และแน่จริง ก็บอกชื่อโรงเรียนที่เอาหลักสูตรผิดๆ ไปสอนเด็กพร้อมชื่อ ผอ.ด้วย ถ้าไม่กล้าบอกคงไม่ใช่ทองแท้ซะแล้วคงเป็นแค่
    ตะกั่ว+กบตาบอดอยู่ในกะลา+โจรปล้นพระพุทธศาสนา+พวกนอกรีดที่อาศัยพระพุทธศาสนาเลี้ยงชีพแต่ทำลายศาสนาด้วยการบิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนผิดๆ เช่น
    ตายแล้วสูญ (รับจ้างใครมาหรือเปล่า ถึงได้ทั้งด้านทั้งหนา แบบตราช้าง ๒๐ มิล)


    ที่กล่าวมานี้ไม่มีอคติส่วนตัว แต่สงสารเด็กที่ต้องถูกบังคับให้เรียนรู้สิ่งผิดๆ ถ้ารับปากว่าจะไม่นำสิ่งผิดๆ ไปสอนเด็ก เราก็จะเลิกยุ่งเพราะเรื่องส่วนตัวใครจะปฏิบัติอย่างไร คิดอย่างไร เชื่ออย่างไร ก็ไม่มีใครไปยุ่งด้วยแน่นอน
    ถ้าสำนึกได้ก็ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง
    ถ้ายังดื้อด้านเป็นมิจฉาทิษฐิอีกต่อไป ก็ต้องโดนประจานต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...