กู้เงินมาทำบุณ??????

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โบ๊ต, 19 กันยายน 2008.

  1. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +847
    [​IMG]
     
  2. 90

    90 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +67
    ใครเป็นสมาชิกสหกรณ์ฯก็ทำกันไป ใครไม่เป็นก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา สบายใจดี เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า วางลงเสียบ้างแบกไว้มันหนักนะครับ
     
  3. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ขนาดนี้กันแล้วเหรอเนี่ย อ่านดูแล้วก็ ปลงจริง

    ทำบุญแล้วสร้างหนี้สิน เพื่ออะไรครับเนี่ย
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    สติระลึกรู้ตัว เท่านั้น จะช่วยคุณได้
    ความอยากได้ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    สติมาความอยากหาย
    สติมาความทุกข์ก็คลาย
    สติมาปัญญาเกิด ได้โปรดเถิดมวลชน
    ความสุขมาพร้อมกับความทุกข์
    บางทีสุขนั้นไม่รู้จะได้เสวยสุขเมื่อใด
    แต่ทุกขังมารอตรงหน้าแล้ว
    ฤาจะเป็นความสุขบนกองไฟ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2008
  5. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ถ้าตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอน การทำบุญต้องไม่กระทบตนเองด้วยนะครับ คือทำบุญแล้วต้องไม่ให้ตนเองเดือดร้อน ถ้าทำบุญแล้วตนเองเดือดร้อนจิตก็จะเศร้าหมอง จะส่งผลให้อานิสงส์ที่เราได้รับจากการทำบุญนั้นแม้เราจะได้รับมาในตอนแรกแต่ก็จะมีเหตุให้ต้องสูญเสียไปในที่สุดครับ การทำบุญที่ถูกต้อง ก่อนให้ ขณะให้ และ หลังจากให้แล้ว จิตควรจะผ่องใสทั้งสามกาลน่ะครับ
     
  6. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ทำตามกำลังดีกว่าครับ

    ไม่เดือดร้อนตนเอง และไม่ให้คนอื่นเป็นทุกข์ด้วยกับหนี้ที่เราก่อ
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ปรกติ การเป็นหนี้นั้น พระพุทธองค์ตรัสชี้โทษไว้ ใครหนอเห็นเป็นดอกบัว

    แบบไม่ปรกติยิ่งกว่า ตรงจ่ายเป็นคูปอง พอนึกออกไหมครับว่า คุณกู้กระดาษ
    ไม่ใช่เงิน แต่สภาพหนี้กลับเป็นเงิน โดยที่ไม่มีโอกาศรู้เลยว่า เม็ดเงินนั้นไหล
    เข้าสู่วัดหรือไม่ แบบนี้สหกรณ์ก็เข้าข่ายพิมพ์แบงค์เอง จะต้องโดนยุบเหมือนกับ
    สหกรณ์ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ทำคูปองออกมาในลักษณะเดียวกัน และพิภากษา
    แล้ว

    หากสหกรณ์นี้ได้เคยจ่ายเงินกู้ออกไปแล้ว คราวนี้คือ ล้มทั้งสหกรณ์ เรียกว่า บาป
    ล้วนๆ ไม่ใช่บุญ เพราะคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ฝากเงินกินดอกกินผลก็ล้มทั้งยืน แบบ
    เดียวกับ เลยแมน บารเทอร์ ที่กำลังโด่งดัง

    ใครมีเงินฝาก ก็แน่นำเลยครับว่าให้ถอนเหน่วยลงทุนโดยไว

    เอ....แต่พอสังเกตชื่อสหกรณ์ ก็อ๋อ ตั้งเพื่อล้มนี่หน่า
     
  8. แสนสุขใจ

    แสนสุขใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +45
    เห็นแล้ว งง! ค่ะ
    ทุกอย่างอยู่ที่ใจ และการกระทำค่ะ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ลองคิดดูสิครับ อยู่ดีๆ ก็ตั้งบริษัท บอกว่าปล่อยกู้ แต่พอถอนออกมาได้เป็นคูปอง

    แปลว่าอะไร

    แปลว่า บริษัทนั้น ไม่จำเป็นต้องมีเงินกันสำรอง ไม่ต้องมีเงินทุนเลยสักกะบาทเดียว
    แต่สามารถทำให้คนเป็นหนี้ได้

    เรียกว่า จับเสือโผนกลางอากาศเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่มือเปล่า

    ไม่ต้องลงทุนอะไรสักแดงเดียว แต่จะมีรายได้จากการชำระเงินกู้

    เงินนั้นก็ใช่ว่าจะเห็นว่าจะไหลออกไปทำบุญได้ เพราะไม่มีทางที่
    เม็ดเงินตามวงเงินกู้เต็มจะไหลออกไปจากบริษัทได้ มันจะไหลออก
    ไปได้ก็ต่อเมื่อมีคนเริ่มชำระเงินมาบาทสองบาท

    แล้วเงินบาทสองบาทนั้นแหละ ที่ไหลออกไปทำบุญ ไม่ใช่เงินหมื่น
    เงินแสนที่เป็นเพียงแค่ คูปอง

    อ้อ บางคนอาจจะได้ เพชร พลอย สีกลับมาสวมใส่ แต่เอาไปส่อง
    ดูเหลี่ยม ดูแสงสะท้อนให้ดีๆ นะครับ มันของสังเคราะห์ทั้งนั้นที่ใส่อวด
    โฉมบุญบารมีด้วยวัตถุอยู่นั้น จะเอาออกไปขายคงได้สองสลึงก็บุญแล้ว
    แลกกับราคาเรือนหมื่นที่แรกไป

    เรียกว่า หมดทางปริวัตรเงินตรากลับ เป็นหนี้ท่วมตัวสถานเดียว

    แต่ถ้า นิยมบุญ เห็นแต่ส่วนบุญได้ ก็ทำไปนะครับ หากข้อความนี้ไม่สามารถ
    สกิดใจให้สงสัย เกิดนิวรณ์ได้แล้ว ก็โอเค อยู่พอสมควร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2008
  10. โอมศิวะ

    โอมศิวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +133
    ความไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ การทำบุญคือการสละออก หากเรามีเราก็ทำไม่เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่น หากต้องกู้เงินมาทำบุญนี่ถือว่าเบียดเบียนตัวเองนะคะ
     
  11. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    เงินหนึ่งบาททำบุญไป...
    สุขใจไร้หนี้....
    เงินหนึ่งล้านบุญข้านี้...
    หนักหัว....
    ข้าพเจ้ากู้มาเพื่อหน้า
    ยศศักดิ์สังคม
    ยามนี้ข้าพเจ้าตรอมตรม
    หน้าก้มหาเงิน
     
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ทราบว่าสหกรณ์นั้นเป็นหน่วยงานภายในให้บริการเฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เป็นเรื่องกิจการภายในของเขา ซึ่งจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าสมัครใจกู้และสามารถชำระเงินคืนได้ก็ไม่เป็นไร
    หลายท่านกล่าวตู่พระพุทธเจ้า อ้างหลักธรรมนอกพระพุทธศาสนาเข้ามาตัดสินและก็โจมตีแบบผิดๆย่อมประสบบาปอันมหันต์นัก
    กรณีแบบนี้ มีข้อวินิจฉัยชี้ขาดในพระไตรปิฎกอยู่แล้ว ดังในเรื่องของ พระปิณฑปาติยติสสเถระ ซึ่งเป็นเรื่องของอุบาสกท่านหนึ่งที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงกับเอาบุตรสาวไปเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินมาทำบุญ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
    --------------------------------------------------------------------------------

    ดังได้สดับมา มีบุรุษเข็ญใจผู้หนึ่งชื่อว่า ทารุกัณฑกมหาดิส เหตุว่าเลี้ยงชีวิตด้วยขายฟืน อยู่มาวันหนึ่ง บุรุษนั้นคิดถึงความยากของตน แล้วก็มีความสังเวชว่าแก่ภรรยา ว่าชีวิตของเรานี้หามีประโยชน์ไม่ เพราะเหตุว่าเราไม่ได้ขวนขวายบำเพ็ญทาน ทานของคนยากอย่างเรานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญว่ามีผลมาก เราเป็นคนยากไม่อาจบำเพ็ญทานได้ทุกวัน เราจะกระทำแต่ปักขิตภัตรถวายพระสงฆ์ข้างขึ้นสักครั้ง ข้างแรมสักครั้ง ถ้ามีของอันใดบังเกิดประหลาดมา เราก็กระทำเป็นสลากภัตร ภรรยาได้ฟังก็เห็นด้วย
    วันต่อมาเวลาเช้าก็กระทำปักขิกภัตรด้วยของที่ตนได้มา ครั้งนั้นเป็นกาลที่พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงฟุ่มเฟือยด้วยจตุปัจจัย ภิกษุหนุ่ม และสามเณรทั้งปวง ก็เลือกฉันแต่จังหันที่ประณีตบรรจง จังหันที่ภรรยาของบุรุษนั้นถวายเป็นจังหันเศร้าหมองไม่ประณีต ภิกษุหนุ่ม และสามเณรทั้งหลายทิ้ง ๆ เสียมิได้ จำเป็นจำรับไว้ แต่พอรับแล้วก็สาดเทเสียต่อหน้าต่อตา ภรรยาของบุรุษนั้นก็นำความไปบอกแก่สามี แล้วก็เพิกเฉยอยู่ มิได้เดือดร้อนกินแหนง สามีจึงว่าแก่ภรรยาว่าเราจะทำไฉนจึงเอาใจพระภิกษุทั้งปวงให้ฉันได้ ภรรยาจึงมีวาจาว่าผู้ที่มีบุตรเช่นเรานี้หาได้ชื่อว่าเข็ญใจไม่ จงเอาธิดาของเราไปขายฝากไว้ในตระกูลหนึ่ง เอาเงินสักกหาปณะซื้อโคนมมาตัวหนึ่ง เราจะถวายสลากภัตรด้วยนมและเนยก็อาจจะเอาใจภิกษุทั้งปวงได้เป็นแท้ บุรุษนั้นก็รับคำภรรยาแล้วกระทำเหมือนดังนั้น
    ด้วยเดชบุญญานุภาพของคนทั้งสอง โคนมตัวเดียวรูดน้ำนมได้วันละหกมานิก มานิกหนึ่งนั้นได้ ๑๒ ทนาน ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้า ก็ช้อนเอานมที่ข้น เข้าเป็นทธินั้นสิ้นแล้ว ยังแต่นวนิตคือนมใสก็นำไปเคี่ยวเป็นน้ำมันเนย เอาน้ำนมไปหุงกับข้าวสารสุกแล้ว เอาน้ำมันเนยรดระดมให้ดี แล้วก็ถวายเป็นสลากภัตรในเรือนของบุรุษนั้น
    วันหนึ่ง บุรุษนั้นจึงว่าแก่ภรรยาว่าทุกวันนี้เราพ้นจากความละอาย บัดนี้เราจะปลดเปลื้องธิดามาให้พ้นจากทาสี ตนจะไปสู่ประเทศที่เขากระทำน้ำอ้อย จะไปรับจ้างเขาหีบน้ำอ้อย ได้ค่าจ้างครบค่าตัวธิดาแล้วตนจะกลับมา ให้ภรรยาอุตส่าห์กระทำบุญอย่าได้ขาดอย่าได้ประมาทในการกุศล แล้วเขาก็ไปรับจ้างหีบอ้อยได้หกเดือน ได้ค่าจ้างมา ๑๒ กหาปณะ ครบค่าตัวธิดาแล้วก็กลับมา
    ในกาลครั้งนั้น พระบิณฑปาติยเถระอยู่ในอัมพริยวิหาร ท่านปรารถนาจะไปนมัสการพระเจดีย์ในติสสมหาวิหาร จึงออกเดินทางไปได้พบกับบุรุษนั้น บุรุษนั้นเห็นพระเถระก็ปรารถนาจะใคร่ได้สดับธรรมกถา จึงรีบเดินตามพระเถระไปจนเวลาใกล้ที่จะกระทำภัตตกิจบุรุษนั้นจึงคิดว่าเราไม่มีห่อข้าวอยู่ในมือ มีแต่กหาปณะ เราจะซื้อจังหันถวาย ดำริดังนึ้แล้วก็เห็นบุรุษผู้หนึ่ง ถือห่อข้าวเดินมา บุรุษอุบาสกเห็นดังนั้น จึงอาราธนาพระเถระให้ยับยั้งอยู่ก่อน บุรุษอุบาสกจึงไปหาบุรุษผู้ถือห่อข้าว ขอซื้อด้วยเงินหนึ่งกหาปณะ บุรุษผู้ถือห่อข้าวมาคิดว่าห่อข้าวของเรานี้มีค่าไม่ถึงหนึ่งมาสก ชะรอยจะมีเหตุอะไรในบุรุษนี้เป็นแม่นมั่น จึงตอบบุรุษอุบาสกว่ายังไม่ขายให้ บุรุษอุบาสกก็ทวีราคาขึ้นไปจนถึง ๑๒ กหาปณะ บุรุษผู้ถือห่อข้าวก็ยังไม่ยอมให้ บุรุษอุบาสกก็ว่ากหาปณะของเรามีเท่านั้น ถ้ามีมากกว่านี้ ก็จะให้อีก แต่เราไม่ได้เอาไปกินเอง แต่จะถวายพระเถระ ขอให้เอาบุญด้วยกัน บุรุษผู้ถือห่อข้าวก็รับเอาเงิน ๑๒ กหาปณะ ก็ส่งห่อข้าวให้ บุรุษอุบาสกก็นำจังหันนั้นมาใส่บาตรพระเถระ เมื่อใส่จังหันได้ครึ่งหนึ่ง พระเถระก็ปิดบาตรไว้ บุรุษอุบาสกจึงว่า จังหันนี้พออิ่มผู้เดียว ตนแสวงหาด้วยเจตนาเฉพาะพระเถระ ขอให้พระเถระจงอนุเคราะห์รับให้สิ้นเถิด
    พระเถระนึกในใจว่าเหตุผลจะมีในบิณฑบาตนี้จึงรับบิณฑบาตจนสิ้น เมื่อพระเถระกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ก็พากันเดินทางต่อไป พระเถระได้ถามบุรุษอุบาสกว่า เหตุใดเขาจึงไม่บริโภคอาหารนั้น บุรุษนั้นก็บอกความแต่หนหลัง พระเถระได้ฟังก็บังเกิดธรรมสังเวช การกระทำของเขายากที่ผู้อื่นจะกระทำได้ ตัวพระเถระได้ฉันบิณฑบาตทานนี้ สมควรจะมีกตัญญูรู้คุณของอุบาสก ถ้าเราได้เสนาสนะที่สบายแล้ว ถ้าเรามิได้พระอรหัตตราบใด เราจะไม่คลายสมาธิ จะไม่ลุกออกจากที่ตราบนั้น เราจะกระทำเพียรให้ได้พระอรหัต ด้วยอำนาจบิณฑบาตของอุบาสก จะให้อุบาสกเสวยผลเป็นอันมาก
    พระเถระดำริดังนี้แล้ว ก็ไปสู่ติสสวิหารกระทำอาคันตุกวัตรแล้ว ก็นั่งตั้งกายสมาธิถือเอามูลกรรมฐาน กระทำความเพียรสิ้นเพลาราตรีวันหนึ่ง ก็มิอาจจะยังบาตรว่าโอภาสให้บังเกิดได้ ท่านก็เด็ดภิกขาจารบริโภคเสีย วันรุ่งขึ้นเช้าไม่ไปบิณฑบาต พิจารณามูลกรรมฐานนั้นเป็นอนุโลม เวลารุ่งอรุณในวันคำรบเจ็ด ท่านก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฎิสัมภิทาญาณ แล้วท่านมาดำริว่ากายของเรานี้ทุพพลภาพยิ่งนัก เมื่อพิจารณาดูก็รู้ว่าอายุสังขารนั้น จะสิ้นเสียแล้ว จึงให้ประชุมสงฆ์ทั้งปวง และแจ้งว่า ถ้าพระภิกษุรูปใดมีความสงสัยในมรรค และผลให้ไต่ถามท่านเถิด ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านถึงสาเหตุที่ทำให้ท่านเกิดธรรมสังเวช ท่านก็ได้แสดงเรื่องราวให้ทราบทุกประการ บริษัททั้งสี่ได้ฟังก็ซ้องสาธุการ
    พระเถระก็อธิษฐานว่า เมื่อท่านนิพพานแล้ว สังเค็ตเรือนยอดที่ใส่ศพของท่านนั้น ต่อเมื่อใดที่ทารุภัณฑกมหาติสสอุบาสก มายกศพ สังเค็ตจะลอยขึ้นไปในกาลนั้น เมื่อท่าอธิษฐานดังนี้แล้ว ก็เข้าสู่พระปรินิพพาน มีกรรมชรูปและวิบากขันธ์สิ้นสูญ มิได้บังเกิดสืบต่อไป
    พระยากากวัญณติสสมหาราช ทราบข่าวพระเถระปรินิพพานก็เสด็จออกไปสู่ติสสวิหาร บูชาพระศพพระเถระแล้ว ให้ยกศพพระเถระใส่ในสังเค็ต ชนทั้งปวงมิอาจยกสังเค็ตขึ้นได้ กษัตริย์จึงถามพระภิกษุสงฆ์ถึงสาเหตุ เมื่อทราบความแล้ว จึงให้หาตัวอุบาสกนั้นมา แล้วถามความเมื่อได้ความแล้ว จึงให้อุบาสกนั้นไปดูศพพระเถระ อุบาสกเห็นแล้วก็จำได้ กษัตริย์ก็พระราชทานเครื่องประดับอันมีราคาเป็นอันมากแก่อุบาสกแล้ว ให้ยกสังเค็ตไปสู่เชิงตะกอน สังเค็ตนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเถระ ครั้นเผาสรีรของพระเถรพเสร็จแล้ว เหลือแต่อัฐิธาตุ กษัตริย์จึงให้บรรจุอัฐิธาตุไว้ในพระสถูป เป็นที่สักการบูชาของมหาชนทั้งปวง
    http://www.heritage.thaigov.net/religion/priest/priest51.html

    (เนื้อความโดยละเอียดสามารถดูได้จาก พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้า 249-255)
    http://www.samyaek.com/tripidok/book33/201_250.htm
    http://www.samyaek.com/tripidok/book33/251_300.htm

    --------------------------------------------------------------------------------

    กรณีที่ยกมาจากพระไตรปิฎกนี้พึงชี้ขาดได้เลยว่า การกู้เงินมาทำบุญดังที่ยกมาก็ไม่ต่างจากศรัทธาของอุบาสกในกาลก่อน จึงไม่มีความผิดใดๆ (หากสามารถคืนเงินกู้ได้) เป็นความศรัทธาที่เปี่ยมล้นของผู้ที่อยากกระทำ ไม่ควรไปตำหนิ ควรอนุโมทนากับเขาต่างหาก
    ส่วนผู้ที่ตำหนิติเตียนการทำบุญกุศลนี้ ก็จะพบวิบากคือได้รับความอัตคัตขัดสน ทำความดีใดๆก็จะถูกติเตียนเพ่งโทษในทางที่ร้าย เมื่อสิ้นลมก็ไปสู่อบายภูมิ ดังนั้นใครทำผิดก็สมควรแก้ไขนะ อย่าแบกบาปไปเลย
    ในสมัยพุทธกาล อุบาสกและอุบาสิกาที่มีศรัทธาต่างก็ทำบุญอย่างที่คนสมัยนี้ไม่กล้าคิด พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญท่านเหล่านั้น ไม่เคยตำหนิติเตียน ปรากฏเรื่องในพระไตรปิฎกอย่างมากมาย ลองอ่านพระไตรปิฎกมากๆก็จะดีนะ จะได้เข้าใจพระพุทธศาสนาตามความเป็นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2008
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  14. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เอ....อ่านพระสูตรแล้วไม่ตรงนะครับ

    เงินที่กู้มานั้น เอาไปซื้อวัว แล้วรีดนมโค แล้วถวายจังหันให้พระกลุ่มหนึ่ง

    ทุกอย่างเสร็จสิ้นไปแล้ว เงินกู้นั้นก็ทำบุญกับสมณะศาสนาอะไรไม่อาจรู้

    แต่ตอนหลังนี้ อุบาสกไปทำงานรับจ้าง จึงได้เงินมาโดยชอบ(สัมมาอาชีวะ)
    ระหว่างทางกลับไปพบพระเถระ จึงใช้เงินนั้นซื้อภัตราหารจนหมดเพื่อถวายพระ

    ต่างกรรมต่างวาระ ต่างก้อนเงิน ต่างผู้รับบุญ

    เพราะเป็นหนี้ จึงต้องไปทำงานมาชดใช้

    เพราะพระเถระได้สดับความเป็นมาของเงิน จึงรู้สึกว่าต้องชดใช้ ก่อนปรินิพพาน
    จึงได้อธิษฐานจิตเพื่อให้ อุบาสกนั้นได้เงินกลับคืน เพื่อที่จะได้ไปไถ่ตัวลูกสาว

    บุญจึงไม่ใช่เหตุที่มาจากการกู้เงินมาทำบุญ

    แต่บุญมาจากการยอมสละเงินที่ได้มาโดยชอบเพื่อไถ่ตัวลูกสาวแลกเป็นภัตราหารถวายพระเถระ

    หากวิเคราะห์ไปแล้ว ทำไมจึงทุกข์จากการเอาลูกสาวไปขาย ก็เพราะบาปที่อยาก
    ได้เกรียติจากการถวายทานแก่กลุ่มพระ(ไม่ทราบศาสนา) ทำให้ต้องทำผิดพลาด
    ร้อนจนต้องไปกู้เงินและก็ทำให้เป็นทุกข์จนต้องไปทำงาน ณ ที่ห่างไกล

    * * *

    กรณีที่กล่าวว่า กลุ่มภิกษุกลุ่มแรกที่ได้รับทาน ไม่ทราบศาสนา เพราะดูตามจรณะ
    ที่มีการเลือกทานอาหาร และปราถนาอาหารฟุ่มเฟือย ตรงนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่ภิกษุ
    ที่อยู่ในวินัยของพุทธศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2008
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้อ แล้วอีกอย่าง ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับการอนุญาติให้ตั้งองค์กรภายในเลย

    ตระกูลอีกตระกูล ก็ไม่รู้ว่าอยู่ศาสนาอะไรด้วยซ้ำ แต่แน่นอนละ นิยมการค้า
    มนุษย์ นี่ก็คงไม่ใช่พุทธแน่นอน ไม่ว่าหน่วยปล่อยเงินกู้นั้นจะเป็นองค์กร
    ประเภทไหน
     
  16. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    หา กิน ชัดๆ

    ทุเรด หวะ
     
  17. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ตอบคำถาม
    กรณีแรกที่อุบาสกถวายทานแด่พระในตอนแรกนั่นคือถวายพระในพระพุทธศาสนา เนื่องจากได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดา ดังข้อความในพระสูตรว่า


    "เขาพูดกะภรรยาของเขาว่า ชื่อว่าความเป็นอยู่ของพวกเราเป็นอย่างไรกัน พระศาสดาตรัสว่า ทลิทททานมีผลมาก แต่เราไม่อาจให้เป็นประจำได้ เราถวายปักขิกภัตแล้ว แม้สลากภัตอันเกิดขึ้นข้างหน้าเราก็จักถวาย. ภรรยา รับคำว่า ดีละนาย แล้วได้ถวายปักขิกภัตตามมีตามได้ในวันรุ่งขึ้น."

    แต่ทว่า ระยะแรกพระภิกษุที่มารับมิใช่พระอริยบุคคลจึงมีการเลือกอาหาร ตามข้อความในพระสูตรดังนี้

    "เวลานั้น เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์ไม่ขัดข้องด้วยเรื่องปัจจัยทั้งหลาย. ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายฉันโภชนะล้วนประณีตรู้ว่า นี้เป็นอาหารไม่สู้ดีก็กระทำปักขิกภัตของคนทั้งสองนั้นให้เป็นแต่สักว่ารับไว้เท่านั้น เมื่อคนทั้งสองนั้นเห็นอยู่นั้นแหละก็ทิ้งเสียแล้วก็ไป."

    หากเป็นคนพาลย่อมโกรธเคืองพระภิกษุเหล่านั้นแล้วเลิกนับถือพระพุทธศาสนาไปเลยก็ได้ แต่อุบาสกนั้นมีศรัทธามั่นคงไม่คลอนแคลนแล้ว จึงคิดไปอีกทางว่าจะทำอาหารที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นวิสัยของบัณฑิตที่จะคิดในลักษณะนี้ จึงได้เกิดเหตุการณ์ที่นำลูกสาวไปขายฝากให้กับเศรษฐี และได้เงินมาซื้อวัวมารีดนม ด้วยบุญที่เกิดจากความตั้งใจอยางแรงกล้าที่ครอบครัวนั้นตั้งใจกระทำในสิ่งที่ทำได้ยากทำให้เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้น ดังเนื้อความในพระสูตรดังต่อไปนี้

    "ท่านจงเอาธิดาคนนี้วางเป็นประกันไว้ในตระกูลหนึ่ง เอาทรัพย์มาสัก ๒ หาปณะ ( ๑ กหาปณะ=๔บาท ของชาวมคธ) แล้วซื้อแม่โคนมมาตัวหนึ่งเราจักถวายสลากภัตปรุงกับนมสดแก่พระผู้เป็นเจ้า เราอาจเอาใจของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นได้ ด้วยอาการอย่างนี้. สามีรับคำว่า ได้ แล้วจึงกระทำอย่างนั้น. ด้วยบุญของคนทั้งสองนั้น แม่โคนมตัวนั้นให้น้ำนม ๓ มาณิกะ ในตอนเย็น (มาณิกะเป็นมาตราตวงของชาวมคธ) ในตอนเช้าให้นม ๓ มาณิกะ. คนทั้งสองทำนมสดที่ได้ในตอนเย็นให้เป็นนมเปรี้ยว ในวันรุ่งขึ้นจึงทำให้เป็นเนยใสจากเนยข้นที่ถือเอาจากนมส้มนั้น แล้วถวายสลากภัตปรุงด้วยนมสดพร้อมกับเนยใสนั่นแหละ จำเดิมเเต่นั้น พระผู้มีบุญจึงจะได้สลากภัตในเรือนของเขา."

    บุญที่ตั้งใจนั้นทำให้วัวที่เป็นสัตว์เดรัจฉานแท้ๆยังรู้จึงผลิตน้ำนมออกมามากเป็นอัศจรรย์ เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเหตุการณ์เดียวกันจากการที่ครอบครัวนั้นกู้เงินโดยใช้ลูกสาวเป็นประกันเอาไว้ พระอรหันต์ทั้งหลายทราบเหตุที่ครอบครัวนั้นทำสิ่งที่ทำได้โดยยาก จึงปรารถนาจะอนุเคราะห์เขาให้ได้บุญมาก จึงมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ได้มารับสลากภัตจากเรือนของอุบาสกท่านนั้น เหตุการณ์นี้เกิดก่อนที่อุบาสกท่านนั้นจะเข้าป่าไปพบกับพระเถระแล้วถวายทานที่เกิดจากทรัพย์ที่เตรียมไว้ไถ่ตัวลูกสาว จนพระเถระฉุกคิดจึงตั้งใจมทำอาหารนั้นให้เป็นอรหัตทาน นี่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นผลพวงโดยตรงจากการกู้เงินมาทำบุญของครอบครัวนั้น
    การกู้เงินมาทำบุญจึงเกิดเป็นบุญมิใช่บาปดังที่เข้าใจ คุณไปสรุปเอาเองว่าเป็นความผิดพลาด เป็นบาป ไม่มีข้อความส่วนใดในพระสูตรเลยที่กล่าวอย่างนั้น และก็ไม่มีข้อความใดเลยที่กล่าวหาว่าอุบาสกท่านนั้นเป็นทุกข์ ตรงข้ามท่านกลับสุขใจที่ได้ทำบุญที่ยอดเยี่ยม ดังข้อความต่อไปนี้

    "สามีกล่าวกะภรรยาว่า พวกเราพ้นจากเรื่องที่น่าละอายก็เพราะมีลูกสาว ทั้งภัตตาหารในเรือนของเราแห่งเดียว เป็นของควรบริโภคแห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย เธออย่าประมาทในวัตรอันดีงามนี้"

    ที่คุณสรุปแบบนั้นก็เพราะเอาทิฐิของตนไปจับ แต่เราไม่อาจเอาวิสัยของเราไปเทียบกับอุบาสกที่มีศรัทธาที่ไม่คลอนแคลนในพระรัตนตรัยแล้วได้ เพราะท่านเหล่านั้นอาจทำสิ่งที่เกินกว่าวิสัยของมนุษย์ในยุคนี้จะเข้าใจได้ อย่าว่าแต่สละแค่นี้เลย ที่มากกว่านี้ก็ยังมีปรากฏในพระไตรปิฎก และก็ไม่ใช่เรื่องเดียว แต่เป็นร้อยๆเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2008
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อืม

    งั้น ถ้ากู้แล้วเอาไปทำบุญกับหลวงตาบัวได้ไหมครับ ทำไมต้องจำกัดอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่ง
     
  19. mainoi

    mainoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +133
    โมทนาสาธุกับการทำบุญ แต่กู้เงินมาทำบุญต้องคิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หน่อย การทำบุญไม่จำเป็นต้องเป็นเงินเสมอไป มี่ทางให้เลือกอีกมากมาย สาธุ สาธุ สาธู
     
  20. apisitTre

    apisitTre Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +60
    ถ้าต้องกู้ แสดงว่า ยังลำบากอยู่ ทำบุญได้มากน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหรือปริมาณ
    อยู่ที่จิต จิตที่ตั้งใจ จิตที่เต็มใจ จิตที่บริสุทธ์ น้อมระลึกถึงพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บาทเดียวก็ได้ถึงบุญเช่นเดียวกัน

    ApisitTre....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...