รบกวนขอประวัตินิโกลา เทสลา หรือ เวปที่มีประวัติก้ด้ายคับ

อยากด้าย ประวัติ นิโกลา เทสลา ขอบคุณ ที หา เวปมา ให้

 

ใช้ google search สิครับ คำว่า Tesla มีมากมายเลย
ถ้าอยากได้หนังสือ แบบแปลกๆ ของ tesla ก็ลอง search คำว่า The lost journal of Tesla
ก็มีเกี่ยวกับเรื่อง มนุษย์ต่างดาว ที่เขาว่า Tesla เอาเทคโนโลยีมาจากพวก ต่างดาวนี้ด้วย

ก็สนุกดีนะ

 

ในหนังเดอะ เพรสทีจ ก็พูดถึงนิโคล เทสลาร์ แสดงโดยเดวิด โบวี่



หนังพูดถึงเบื้องหลังการเล่นกลว่า นักมายากลมีเครื่องมือเล่นกล ไปจ้างคนที่เก่งทางนี้สร้างให้ ต้องเก็บเป็นความลับ แล้วก็มีเทคนิคหลอกตาคนดูสารพัดต่างๆ





หนังสนุกดี





สงสัย นี่จะเป็นตัวจริง

 

ความคิดเห็นที่ 4

"นิโคลา เทสล่า" เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่อาภัพเอามากๆครับ นั่นก็เพราะพี่แกดันเกิดแลทำงานทดลองในยุคเดียวกับ "โทมัส อัลวา เอดิสัน"ผู้โด่งดังพอดี แถมงานทดลองบางอย่างยังเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแลแสงสว่างเหมือนกันอีก แต่ทว่ากลับเป็น "โทมัส อัลวา เอดิสัน" ที่สามารถสร้างชื่อแลกอบโกยเงินตราให้กับตนเองจนเป็นที่รู้จักของชาวโลกมากกว่า ส่วนเทสล่านั้นแม้เขาจะมีผลงานทดลองแลทฤษฏีต่างๆที่ดีเลิศยังไง แต่ในยุคนั้นกลับต้องมาตกระกรำลำบาก จนกว่าที่ผลงานของเขาจะเป็นที่สนใจอย่างจริงจังแลยอมรับในวงกว้างก็ต้องเป็นช่วงที่ตนเองมีอายุมากแล้ว


ซึ่งนั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีคนรู้จัก "ดร.เทสล่า" น้อยเอามากๆ ยิ่งถ้าใครไม่ได้ทำงานหรือศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์ในวงการนี้แล้วล่ะก็ยิ่งจะไม่มีทางรู้จักตัวตนของเขาเลย ซึ่งแตกต่างกับเอดิสันที่ปรากฏเรื่องราวชีวประวัติในทุกสื่อแม้กระทั่งหนังสือความรู้สำหรับเด็กก็ยังมีเรื่องราวของนักประดิษฐ์ชื่อก้องให้ได้อ่านกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะผลงานของเอดิสันนั้นสามารถแสดงออกมาได้เป็นรูปธรรมกว่าคือผู้คนสามารถเห็น จับต้อง แลใช้งานได้จริง อย่างเช่น หลอดไฟ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องฉายหนังอะไรเทือกนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนในวงกว้างชื่นชอบ ส่วนเทสล่านั้นกลับมีผลงานออกมาในเชิงทฤษฏีหรือไม่ก็งานทดลองเกี่ยวกับสัญญาณคลื่นแลไฟฟ้าซึ่งผู้คนทั่วไปเข้าถึงได้ยากกว่าครับ

จากคุณ : เจไดหนุ่ม


ความคิดเห็นที่ 7

คห 4 ไม่จริง

ผลงานของเทสล่านั้น ยิ่งใหญ่กว่าเอดิสันหลายเท่านัก แต่น่าเสียดายที่เค้าเกิดผิดยุค

เอดิสัน นั้นโด่งดังในการประดิษฐ์หลอดไฟ และ กระแสไฟฟ้าตรง และรวยจากธุรกิจนี้

เทสล่า ก่อนหน้านั้น เค้าเคยไปเป็นลูกจ้างของเอดิสันด้วยซ้ำ เทสล่าไปเสนอ เรื่องกระแสไฟฟ้าสลับ ให้กับเอดิสัน เอดิสันก็ไม่สนใจ แถมยังทำลายชื่อเสียงของเทสล่าในขณะนั้น โดยการฆ่าแมวโดยใช้กระแสไฟฟ้าสลับ เพียงเพราะเทสล่าไปขัดผลประโยชน์ไฟฟ้ากระแสตรงของเอดิสัน

พูดง่ายๆก็คือ เทสล่า ประดิษฐ์ killer application ของกระแสไฟตรง

เทสล่ามีความคิดที่น่ายกย่องนั้นก็คือ ทำอย่างไร ผู้คนถึงจะใช้ไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งสายไฟ ซึ่งเป็นที่มาของ เทคโนโลยีwireless ที่เราใช้กันในปัจจุบัน

ผลงานที่เป็นรูปธรรมของเทสล่าก็คือ ระบบไฟฟ้ากระแสสลับและการส่งพลังงานแบบไร้สายนี้แหละ

ในสมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ร่วมยุค ขนานนามเทสล่าว่า mad scientist เพราะเค้าชอบคิดอะไรที่ล้ำหน้ามากๆ

ถึงบอกว่าเกิดผิดยุคไง

จากคุณ : !!!



ความคิดเห็นที่ 12

นิโคลัส เทสลา เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เกิดในโครเอเชีย แต่อยู่ในหลายประเทศ (หนังสือที่ผมอ่านบอกว่าเป็นคนฮังการี แต่ดูประวัติจริงๆ แล้ว อยู่หลายประเทศทีเดียว) แกเป็นทำให้โลกหันมาใช้ไฟฟ้ากระแสสลับแทนไฟฟ้ากระแสตรง ครับ ซึ่งตอนนั้นต้องรบราฆ่าฟันกับเอดิสันซึ่งสนับสนุนไฟฟ้ากระแสตรงอยู่กันดุเดือดทีเดียว แต่สุดท้ายกระแสสลับก็ชนะ การทดลองที่ทำโลกต้องสนใจแกคือ การส่งกระแสไฟฟ้าผ่านอากาศครับ ไม่ต้องใช้สายไฟ แต่ส่งผ่านอากาศเลย โดยใช้เทสลาคอย์ด แต่รู้สึกมีปัญหามาก แหม มันน่ากลัวไหม อยู่คุณเดินอยู่บนท้องถนน ก็มีประกายไฟแลบออกมาจากรองเท้าของคุณกับท้องถนน กินน้ำก๊อกอยู่ก็ไฟแลบออกมาจากก๊อก แต่เชื่อไหมว่า หลอดไฟทุกดวงจะติดหมด โดยไม่ต้องต่อสายไฟ แต่ถึงจะดีแต่การควบคุมไม่ได้ ก็เลยไม่มีใครเอากับแกด้วย เทคโนโลยีของแกมันไฮเทคเกินไป

จากคุณ : แตกต่าง



ความคิดเห็นที่ 22

จะบอกว่า เทสล่านี้เป็น นักวิทย์ที่ผมชื่นชอบที่สุด ในความเป็นนักวิทย์ของเค้า

เค้าไม่ต้องการร่ำรวย เค้าขายpatentให้ จอร์จ แต่เค้าขอแค่ ให้เค้ามีเงินที่จะใช้วิจัยก็พอ นี้คือความสุขของเค้า

ผมอ่านประวัติเทสล่าแล้ว ต้องบอกว่า นี้ละ ไอดอลของผมเรยล่ะ

ถ้าไปอ่าน เรื่อง war of currents แล้ว จะรู้สึกเกลียดขี้หน้า เอดิสันขึ้นมาทันที

จากคุณ : !!!



ความคิดเห็นที่ 23

เหตุที่เค้าต้องตายอย่างเดียวดายก็เพราะ หลังจาก เทสล่าขายpatentให้ จอร์จ โดยมีข้อแม้ว่า ต้องหนุนเงินทุนการทำวิจัยให้เค้า

จอร์จ ก็ร่ำรวยจากไฟกระแสสลับ

แต่

เทสล่า ไม่หยุดเพียงแค่นั้น เค้าพยายามที่จะส่งไฟฟ้าแบบไร้สาย
ซึ่งจอร์จก็เรยถอนตัวไม่สนับสนุนเค้าอีก เพราะ มันจะการเป็นkiller application อีกตัวนึง แบบที่เคยเกิดขึ้นกับกระแสตรงของเอดิสัน จอร์จ จากสนับสนุนเรยกลายเป็นขัดขวาง ไม่งั้นธุรกิจเค้า จบแน่ๆ

อัจฉริยะที่โลกลืมโดยแท้

จากคุณ : !!!


ที่มา http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6752242/X6752242.html

 

ท่านยังค้นพบหลักการเหนี่ยวนำแบบหมุนในมอเตอร์ไฟฟ้า ...และเป็นนักประดิษฐ์อื่นอีกหลาย

เห็นด้วยครับ.....ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจด้วยแล้วคงยากที่จะถูกใครต่อใคร(ถ้ามีนะ)แอบอ้างนำผลงานของท่านมาเป็นของตน....แต่ท่านยอดนักปฏิบัติและประดิษฐ์ที่มีผลงานมากกว่า 100 ชิ้น....กว่าจะสร้างผลงานของท่านบางชิ้นก็ได้ใช้ประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้(เช่นหม้อแปลงเทสล่า เป็นต้น)...แต่อย่างที่รู้มีน้อยคนนักที่จะระบุชี้ชัดลงไปว่างานประดิษฐ์ชิ้นนั้นชิ้นนี้เป็นของท่านหรือพัฒนาต่อยอดมาจากผลงานวิจัยของท่าน (จากเหตุผลข้างต้น).....อย่างไรก็ตามท่าน " นิโคล่า เทสล่า " ก็ยังคงอยู่ในใจของใครอีกหลายคนที่นำผลงานของท่านมาต่อยอด(พัฒนาปรับปรุง)....รวมถึงข้าพเจ้าด้วย...( คนทำดี ดีบ่หาย แม้ตัวตาย ดีคงอยู่ คู่ใจนาน) ....ฝากถึงใครก็ตามที่นำผลงานท่านไปต่อยอดด้วยว่า ให้คิดถึงท่านด้วยและบอกให้ผู้อื่นรู้ด้วยว่าผลงานที่ท่านนำเสนออยู่มีรากมาจากใคร...เพื่อความเจริญของท่านต่อไป(เพราะไม่ลืมคุณคน)....จบ.

 

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jiggee&month=10-2005&date=31&group=6&gblog=9


เวปนี้ก็ดีนะครับเป็นภาษาไทย (ภาษาอังกฤษผมแปลไม่ได้เหมือนกัน)

 

เรื่องที่น่าสนใจ ก็ เห็นเอามาโพสกัน คือเรื่อง scalar wave นี่แหละ น่าจะเป็นตัวแปร นำไปสู่งานวิจัยอีกหลายๆด้าน

 

ขอบ คุณ ทุก คน คับ ที เอา ข้อ มูล ดีๆ มาบอก คับ ตอน นี้ ผม กำลัง หา ข้อ มูล ของ นิโกลา เพราะ ว่า เขา มี พลัง จิต จิง หรือ ป่าว อยาก รู้ เทคนิค เขา แหะ ๆๆ

 

5555+ หา บท ความ ดีๆ มา ให้อ่าน เกี่ยว กับ นิโกลา

http://www.fringer.org/?p=184 ไป อ่าน กัน นะ คับบบบบบบบบบบบบบบบบบ

 

http://www.dekchalad.com/watch/?video=104573134670

เท่ มาก ไป ดุ สะ 55+
(smile)

 

ขอ ความ คิด เห็น ด้วย คับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

 

555555555555555555555+

 

ไม่เคยอ่านเจอว่าเทสลามีพลังจิต

 

สงสัยคุณคนตั้งกระทู้คงดูรายการที่นี่หมอชิต ที่คุณวิน เอี่ยมอ่อง มาเป็นแขกรับเชิญ
แล้วได้พูดถึงเทคนิคการขยับเหรียญ
โดยอ้างอิงถึง ให้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเทสลา ที่เอามือเปล่าถือหลอดไฟแล้วไฟติดใช่ไหมครับ
ถ้าใช่ จะบอกว่าคุณมองตรงประเด็นเกินไปแล้วครับ
เขาจะบอกเป็นแนวๆให้คุณหาข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีของเทสล่า
เช่นร่างกายของคนเราสามารถส่งผ่านกระแสไฟฟ้าได้
คุณควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ สนามแม่เหล็กว่าเกิดจากอะไร
แล้วทำไมถึงต้องใช้เหรียญ 2 บาท ซึ่งต่างจากเหรียญอื่นๆตรงที่ใช้แม่เหล็กดูดติดครับ

เทสล่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังจิต ที่ทำให้ขยับเหรียญ2บาทได้แต่อย่างใด
เพียงแต่คุณวินเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ ซึ่งการแสดงแบบนี้ มีคนนำมาแสดงเยอะมากครับไอขยับเหรียญเนี่ย

แต่ถ้าไม่ใช่ประเด็นจากรายการนั้น ก็ขออภัยด้วยครับ อิอิ

 

อะหามาให้ครับ

อัจฉริยะที่โลกลืม
ในประวัติศาสตร์ของโลกอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงาน
ไว้ประดับโลก หรือนักประดิษฐ์ ผู้ซึ่งคิดค้นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
ที่ให้ประโยชน์แก่มนุษย์ในยุคต่อมาอย่างมหาศาล
มักจะผ่านมรสุมชีวิตและประสบกับชะตากรรมต่างๆ นาๆ
บางคนต้องฝ่าฟันอุปสรรคอยู่หลายสิบปีกว่าจะได้รับการยอมรับ
บางคนแม้เสียชีวิตแล้วก็ยังไม่มีใครในโลกรู้จักเลยด้วยซ้ำ
นิโคลา เทสลา นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวโครเอเซียน
...คืออัจฉริยะอีกคนหนึ่งที่โลกลืม...


นิโคลา เทสลา นักประดิษฐ์ชาวโครเอเซียน
เดินทางมายังสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1884 โดยไม่มีเงินติดกระเป๋า
แม้แต่สตางค์แดงเดียว จะมีก็เพียงมันสมองอันเฉลียวฉลาดเท่านั้น
เขาค้นพบมอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าที่ใช้งานได้เป็นครั้งแรกในปี 1888
เขาพยายามหาช่องทางขายสิทธิบัตรมอเตอร์ไฟฟ้า
แต่ก็ถูกปฏิเสธจนต้องไปเป็นกรรมกรในนิวยอร์กอยู่หลายเดือน
เทสลาต้องย่ำต๊อกอยู่เกือบ 10 ปี
กว่าจะทำให้มอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าได้รับการยอมรับ
นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง นิโคลา เทสลา
จึงถูกนำชื่อมาใช้เป็นหน่วยหลักของแม่เหล็กไฟฟ้า
เพื่อเป็นเกียรติในเวลาต่อมา[SIZE=-1]

[SIZE=-1][/SIZE][/SIZE]
เขาคือใคร...มาจากไหน?
นิโคลา เทสลา เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ สมิลจาน ในเมืองโครเอเทีย
ประเทศออสเตรียฮังการี ( ปัจจุบันคือประเทศยูโกสลาเวีย )
ตอนเที่ยงคืนของวันที่ 9 ต่อกับวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1856
และความบังเอิญอันแปลกประหลาดที่เขาตกฟากตอนเที่ยงคืนตรง
ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่น่าพิศวงของนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
มิลูติน พ่อของนิโคลาหวังจะให้เขาเป็นนักบวชเหมือนพ่อ
แต่นิโคลากลับไปเหมือนดจูกา แม่ของเขามากกว่า
ที่ชอบประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ ไว้ใช้เองในบ้าน
ทั้ง ๆ ตัวนางเองเรียนหนังสือมาน้อย


พลังจิต
นิโคลาเกิดมาพร้อมกับสิ่งที่พิเศษหลายอย่าง
นอกจากมันสมองอันเฉลียวฉลาดแล้ว เขายังมีพลังจิตอีกด้วย
ตั้งแต่เด็ก นิโคลามักจะเห็นแสงไฟแวบเข้าตาตามด้วยภาพหลอน
หลายครั้งที่เพียงเขาได้ยินใครพูดถึงชื่อสิ่งของ
เขาก็เกิดภาพรายละเอียดของสิ่งของชิ้นนั้น ๆ ขึ้นในใจ
สิ่งนี้สร้างความรำคาญใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก
ซึ่
[SIZE=-1][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1]จุดเริ่มต้นของนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่
นิโคลาฉายแววของนักประดิษฐ์ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกของเขาคือเครื่องมือจับกบที่ทำมาจากเชือกกับตะขอ
ซึ่งใช้ได้ผลดีมากจนถึงขนาดว่าแทบจะไม่มีกบเหลืออยู่
ในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่เลย
นอกจากนี้เขายังได้สร้างระหัดวิดน้ำชนิดที่ไม่มีใบพัด และเจ้าสิ่งนี้เอง
ที่เป็นแรงจูงใจให้เขาสร้างเครื่องกังกันน้ำที่ไม่มีใบพัดในเวลาต่อมา
เด็กชายนิโคลายังได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ
อีกอย่างหนึ่งจาก แมลงจูน ( June Bugs )
เขาจับเอาแมลงจูนเป็น ๆ 16 ตัวมาติดกาวลงบนใบพัดกังหันอันเล็ก ๆ แมลงจูนจะกระพือปีกเพื่อพยายามบินหนี ทำให้กังหันนั้นหมุนได้เอง
อยู่มาวันหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งมาที่บ้านนิโคลา
ทันทีที่เจ้าเด็กเกเรคนนั้นเห็นมอเตอร์พลังแมลงจูนของนิโคลา
เขาก็จับเอาแมลงจูนเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
ตั้งแต่นิโคลาได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองต่อหน้าต่อตาเขาในครั้งนั้น
ทำให้นิโคลาไม่ยอมแตะต้องแมลงใด ๆ อีกเลย


โรคประหลาด...ต้นกำเนิดของสิ่งประดิษฐ์อันลือลั่น
ครั้งหนึ่ง นิโคลา ล้มป่วยเป็นโรคประหลาด
ที่หาสาเหตุและเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
ประสาทรับรู้ต่าง ๆ ของเขาไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าปกติ
เพียงแค่ได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินก็ทำให้เขาทรมานเป็นอย่างมาก
เขาต้องนำเอาแผ่นยางมาวางรองไว้ที่ขาเตียงเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน
ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ
สำหรับคนทั่วๆ ไปแรงสั่นสะเทือนนั้นอาจจะธรรมดา
แต่สำหรับนิโคลามันเหมือนกับแผ่นดินไหว
การได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงจ้า นอกจากจะทำให้เขาปวดตาแล้ว
มันยังเผาผิวหนังของเขาจนเป็นแผลผุพอง
หลังจากที่อาการประหลาดทุเลาลง
นิโคลาก็เกิดนิมิตรู้แจ้ง
ถึงกรรมวิธีสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับอันโด่งดัง [/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]


[/SIZE][SIZE=-1]จอมเพี้ยน
อาการประหลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนิโคลา
ทำให้เขากลัวการสัมผัสกับบุคคลอื่นทางร่างกาย
เขาปฏิเสธที่จะความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามและไม่ยอมแตะเนื้อต้องตัวใคร
เขาหลีกเลี่ยงที่จะจับมือกับใครๆ
โดยโกหกว่ามือของเขาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในห้องทดลอง
พฤติกรรมเพี้ยน ๆ อีกเรื่องของนิโคลาก็คือ
เขามักจะทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันซ้ำ ๆ หลายครั้ง
จนกว่าจำนวนครั้งที่ทำจะหารด้วย 3 ได้ลงตัว
ถ้าไม่ลงตัวเขาจะทำใหม่จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เช่น การนับก้าวเดิน
จำนวนครั้งที่นิโคลาชอบเป็นพิเศษคือ 27
เพราะว่ามันเท่ากับ 3 ยกกำลัง 3 ( 3x3x3 )
นอกจากนั้นเขายังกำหนดกะเกณฑ์ปริมาณอาหารที่เขากินในแต่ละมื้อ
ด้วยการนำเอาไม้บรรทัดมาวัดดูว่า
ภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารของเขานั้นมีปริมาตร ความจุเท่าใด
แต่ในช่วงที่เขาติดงานสำคัญ ๆ เขามักจะทำแต่งานจนลืมกินลืมนอน
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ร่างกายเขาอ่อนเพลียอย่างหนัก
จนเขาจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร


บั้นปลาย
นิโคลาเสียชีวิตอย่างอนาถาที่โรงแรมโทรม ๆ ในนครนิวยอร์ค
เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1943
ตลอดชีวิตเขาถูกคนในวงการวิทยาศาสตร์ดูถูกในความคิดที่ดูเพี้ยน ๆ
ขณะที่ประชาชนทั่วไปแทบจะไม่มีใครรู้จักเขาเลย ซ้ำร้ายกว่านั้น
ชื่อและสิ่งประดิษฐ์ของเขาถูกนำมาแต่งเป็นผู้ร้ายในการ์ตูนยอดฮิต
ซูเปอร์แมน ( Superman ) มีอยู่ตอนหนึ่งของการ์ตูนเรื่องนี้
ที่เขียนขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1940
ซูเปอร์แมนต้องต่อสู้กับนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องชื่อ " เทสลา "
ที่พยายามทำลายล้างโลกด้วยอาวุธลำแสงมหาประลัย ( Death Ray )
หลังจากที่นิโคลาเสียชีวิต เอฟบีไอ ( FBI )
ได้สั่งการให้สำนักงานทรัพย์สินคนต่างชาติ
( The Office of Alien Property )
เข้ายึดทรัพย์สินทุกชิ้นของนิโคลา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
เนื่องจากนิโคลาได้รับสัญชาติเป็นคนอเมริกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1891
แต่จุดประสงค์ที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อค้นหาข้อมูลสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
ที่นิโคลาเคยคิดค้นนั่นเอง...

ที่มา
http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=63784[/SIZE][SIZE=-1]
[/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1]อาวุธลำแสงมหาประลัย
นิโคลา เทสลา นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
พยายามที่จะทำโลกทั้งใบให้เป็นสื่อนำไฟฟ้า
เพื่อให้สามารถส่งกระแสไฟฟ้าไปให้คนทุกคนในโลก
ได้ใช้กระแสไฟฟ้าอย่างเสรี
นอกเหนือไปจากสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติแล้ว
เทสลายังได้สร้างเครื่องมือประหลาด ๆ อีกหลายอย่างซึ่งก็รวมถึงอาวุธสงครามด้วย
ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวว่า
เขาสามารถสร้างเครื่องมือที่มีอานุภาพร้ายแรง
ขนาดแยกโลกของเราให้แตกออกเป็นสองส่วนได้
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งของเขาที่ถูกปิดเป็นความลับมานานเกือบร้อยปี
นั่นก็คือ " อาวุธลำแสงมหาประลัย "[/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1]ใครอยากอ่านเรื่องลำแสงมหาประลัยต่อ
ตามไปที่นี่ได้เลย
http://board.dserver.org[/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1]คู่ปรับทางความคิด
นิโคลา เทสลา และโทมัส อัลวา เอดิสัน
สองผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่คนละขั้ว
นิโคลา เทสลา เจ้าของแนวความคิดเรื่องไฟฟ้ากระแสสลับ
(อัลเทอร์เน็ต เคอเรนต์-เอซี) ซึ่งสามารถให้พลังไฟฟ้า
ในขอบเขตที่กว้างขวางกว่าไฟฟ้ากระแสตรง
(ไดเร็กต์ เคอร์เรนต์-ดีซี) ซึ่งเป็นแนวคิดของ เอดิสัน
เทสลา ได้ประดิษฐ์ไดนาโม และเจเนอเรเตอร์ ขึ้น
เพื่อผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ
จากนั้นขายให้กับบริษัทเวสติ้งเฮาส์ ในเวลาต่อมา

โธมัส แอลวา เอดิสัน ผู้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากการประดิษฐ์หลอดไฟ
แต่ยังมีสิ่งประดิษฐ์ของเอดิสันที่ไม่ค่อยมีใครรู้
ก็คือเก้าอี้ไฟฟ้าที่ใช้ประหารนักโทษ
ซึ่งเขาคิดค้นขึ้นเพียงเพื่อแสดงให้เห็นอันตรายของการใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ
ที่บริษัทเวสติ้งเฮ้าส์ คู่แข่งสำคัญ ของเอดิสันใช้อยู่ในขณะนั้นเท่านั้น
เหตุผลง่ายๆ ประการเดียวคือ
เอดิสัน ไม่สามารถเข้าใจการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
ตามที่เทสลาอธิบายได้
นี่เป็นการประกาศว่าเอดิสันไม่ยอมรับสิ่งประดิษฐ์อันนี้ของเทสลานั่นเอง[/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]

[/SIZE][SIZE=-1]ภาพจาก
http://www.classictesla.com
http://www.artvrbaski.com/toc.htm
http://www.bielek-debunked.com/ Scientist%20issue.html

เรื่องจาก
http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=63784
http://board.dserver.org
http://rdd.mcot.net/np/np_toy/42/for/for_16.htm

[/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]
[/SIZE]งอาการประหลาดนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่า " พลังจิต " ก็ได้ [/SIZE]

 

Scalar Waves and Tesla Shields
Nikola Tesla - Father Of "Star Wars"?

​

Tesla's Wardencliff Tower at Montauk Point, Long Island, New York. ​

​

Tesla at his Colorado Springs laboratory, 1899.

Thomas Bearden's diagrams of longitudinal wave interference: ​

according to Bearden, these radio waves, known as scalar waves, are far more destructive, and easy to use than lasers. ​

Is this the real system that the USA plans to put in space?
​

In recent years the proposal of a "Star Wars" system in space has gained a great deal of momentum and controversy. This proposed system is said to be the ultimate system to insure the security of the United States--and the world, at least by those who propose it. Those fighting against it maintain that it is not technically feasible.

Supporters in the Reagan Administration propose a system that would work like this: when Soviet ICBM missies, loaded with their nuclear payloads, are launched at the U.S., the "Star Wars" system, hovering in space, would fire super-high powered Lasers at the missiles while they are still in the air, thereby disabling them. These super-high powered Lasers would be powered by small atomic explosions within the "Star Wars" satellites themselves.

Critics charge that Laser technology has not advanced enough to enable the United States, or any country, to pull off such a feat. Yet another alternative rarely discussed in the media is available, and it is a technology fifty years old, invented by Nikola Tesla, the electrical genius who lit the world: Scalar Waves!

Scalar Waves are a form of radio waves creating what is known as Longitudinal Wave Interference. Where two Scalar Waves meet, an energy bottle is created which disintegrates all matter within that bottle, producing what is in effect a miniature atomic explosion but without any resulting radiation.

Thomas Bearden, a retired Pentagon war games expert and active consulting engineer to the Defense Department, has written a number of papers on Scalar Wave systems and often lectures on Scalar Waves at Alternative Energy conferences. According to Bearden, the Soviets are way ahead of the U.S. in Scalar Wave technology and are already using it against the U.S.

Scalar Wave technology is apparently very real and deadly. Furthermore, it is a great deal more simple to use than Lasers, far more effective, and does not require mini-atomic explosions to power it. Is it possible that Scalar "Howitzers," as Bearden calls them, is the real system that the Pentagon would like to put into space? What applications might such a system have?

The Pentagon has insisted so far that their proposed "Star Wars" program is entirely defensive, designed to protect the

U.S. from a nuclear attack. Incredibly, Ronald Reagan even said in a press conference once that after the United States had built their "Star Wars" system, they would give it to the Russians, who would then build their own system in space, so the world would be theoretically safe from nuclear war for ever more! Reagan later said in another news conference that maybe this wasn't such a good idea after all.

​

Where two scalar waves meet, an energy bottle is created, and all matter within that bottle is disintigrated. ​

More effective than lasers? ​

What is the real purpose behind star wars?
​

When a "Stars Wars" system using Scalar Wave technology is activated, its uses are in fact more "offensive" than "defensive." If Scalar Wave weapons are real, they are a weapon of such incredible power and versatility, then no one on our planet would be safe from them. Given the proper coordinates, the Scalar transmitters located on satellites in space could disintegrate any target on the planet, be it a missile, enemy base, rioting city district, farm house or persons gathering in a park. Such a "Star Wars" system would be a literal "Death Star" in space! Its uses could be population control, extermination, and military domination of an entire planet. George Lucas may be more of a prophet than he realizes.

On the brighter side, Scalar Waves can be warped into a dome around objects, such as cities or houses (publishing companies included). Such a Scalar Wave force field is generally known as a Tesla Shield, and it would be analogous to the "shields" referred to in the popular "Star Trek" series. Tesla Shields have a definite defensive application, and could not in any way be used for offensive purposes (although a platoon of soldiers charging into a Tesla Shield would be instantly disintegrated). The only defense from a blast of a Scalar Wave Howitzer would be a Tesla Shield.

Therefore, those persons wishing to use Scalar Waves on an unsuspecting population would rather that they were unaware of this technology, and thereby unable to protect themselves by use of the same technology. Is this the reason that the Pentagon does not discuss Scalar Wave technology, but rather maintains that they are going to use impractical Laser technology instead?

Scalar Wave Technology is straight out of science-fiction, yet it was invented more than fifty years ago by Nikola Tesla (see the article by Nikola Tesla in The Anti-Gravity Handbook). Another interesting application of Scalar Wave technology is its use in "Light Sabers." If a Scalar Wave emanates from a gripable handle and then is bent back on itself, it would become exactly like a "Light Saber" as depicted in the "Star Wars" movies featuring Jedi Knights (written and produced by George Lucas).

Are Scalar Waves a real technology? Do the Soviets have this technology? Assuredly so. The Americans do as well. The secret American base at Pine Gap in Central Australia is said to have two Scalar Wave towers in it already. We urge readers to read some of the biographies of Nikola Tesla. Does the Pentagon really plan to put Scalar Wave Howitzers into space? If so, is it purely for defensive purposes? In the following articles and diagrams, the reality of Scalar Waves will be demonstrated.

​

Bearden's idea of a scalar wave-Tesla howitzer in action. ​

Imagine this system hovering above our planet in space - the US military would rather that you didn't. ​

Note the Tesla shield at the bottom of the drawing. ​

A Tesla shield is a essentially a scalar energy bottle warped around an object, ​

such as the scalar howitzer itself or even a city, creating an impenetrable force field.
​

​

​

​

​

TESLA SCALAR WAVE SYSTEMS: THE EARTH AS A CAPACITOR
by Richard L. Clark

Nikola Tesla engineered his communications and power broadcast systems based on the Earth as a spherical capacitor plate with the ionosphere as the other plate. The frequencies that work best with this system are 12 Hz and its harmonics and the "storm" frequency around 500 KHz. The basic Earth electrostatic system and the basic Tesla designs are shown in the figure below. All lengths or circuits must be one-quarter wavelength or some odd multiple of it.

The elevated capacitor has really "two functions." ​

• Capacity to Ground (Cg) ​
• Capacity to Ionosphere (Ci)​

​

The bottom plate only to ground is Cg, and both plates arc Ci. L2 and C3 are a resonant step-down air core coupling system at the desired frequency. Simple calculations will allow resonant frequency values to be determined from the Tesla Equivalent Circuit diagram. Be extremely careful of the high voltages in this system. ​

​

Some Tesla patents for the electrical apparatus​

for transmitting electricity-the foundation of Tesla Shields and Scalar Waves.


​

Back to Contents - Antigravity And The World Grid

Back to Nikola Tesla

 

<center> <table width="750" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="100%">

Scalar Potential Interferometer​

Figure 6. Multimode Tesla Weapon​

In the 1930's Tesla announced other bizarre and terrible weapons: a death ray, a weapon to destroy hundreds or even thousands of aircraft at hundreds of miles range, and his ultimate weapon to end all war -- the Tesla shield, which nothing could penetrate. However, by this time no one any longer paid any real attention to the forgotten great genius. Tesla died in 1943 without ever revealing the secret of these great weapons and inventions.
Unfortunately, today in 1981 the Soviet Union has long since discovered and weaponized the Tesla scalar wave effects. Here we only have time to detail the most powerful of these frightening Tesla weapons -- which Brezhnev undoubtedly was referring to in 1975 when the Soviet side at the SALT talks suddenly suggested limiting the development of new weapons "more frightening than the mind of man had imagined."
One of these weapons is the Tesla howitzer recently completed at the Saryshagan missile range and presently considered to be either a high-energy laser or a particle beam weapon, (See Aviation Week & Space Technology, July 28, 1980, p. 48 for an artist's conception.)
</td> </tr> </tbody></table> </center> ​

​

Aviation Week & Space Technology July 28, 1980​

​

Figure 7. Tesla Weapons at Saryshagan​

<center> <table width="750" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="100%"> The Saryshagan howitzer actually is a huge Tesla scalar interferometer with four modes of operation. One continuous mode is the Tesla shield, which places a thin, impenetrable hemispherical shell of energy over a large defended area. The 3-dimensional shell is created by interfering two Fourier-expansion, 3-dimensional scalar hemispherical patterns in space so they pair-couple into a dome-like shell of intense, ordinary electromagnetic energy.
The air molecules and atoms in the shell are totally ionized and thus highly excited, giving off intense, glowing light. Anything physical which hits the shell receives an enormous discharge of electrical energy and is instantly vaporized -- it goes pfft! like a bug hitting one of the electrical bug killers now so much in vogue.
If several of these hemispherical shells are concentrically stacked, even the gamma radiation and EMP from a high altitude nuclear explosion above the stack cannot penetrate all the shells due to repetitive absorption and reradiation, and scattering in the layered plasmas.
In the continuous shield mode, the Tesla interferometer is fed by a bank of Moray free energy generators, so that enormous energy is available in the shield. A diagram of the Saryshagan-type Tesla howitzer is shown in figure 7. Hal Crawford's fine drawing of the interferometer end of the Tesla howitzer is shown in figure 6.
Hal's exceptional rendition of the Tesla shield produced by the howitzer is shown in figure 8.
</td> </tr> </tbody></table> </center> ​

Figure 8. The Tesla Shield ​

​

<center> <table width="750" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="100%">

Figure 9. Tesla Terminal Area Defense System​

In the pulse mode, a single intense 3-dimensional scalar phi-field pulse form is fired, using two truncated Fourier transforms, each involving several frequencies, to provide the proper 3-dimensional shape (Figure 10). This is why two scalar antennas separated by a baseline are required. After a time delay calculated for the particular target, a second and faster pulse form of the same shape is fired from the interferometer antennas.
The second pulse overtakes the first, catching it over the target zone and pair-coupling with it to instantly form a violent EMP of ordinary vector (Hertzian) electromagnetic energy. There is thus no vector transmission loss between the howitzer and the burst. Further, the coupling time is extremely short, and the energy will appear sharply in an "electromagnetic pulse (EMP)" strikingly similar to the 2-pulsed EMP of a nuclear weapon.
This type weapon is what actually caused the mysterious flashes off the southwest coast of Africa, picked up in 1979 and 1980 by Vela satellites. The second flash, e.g., was in the infrared only, with no visible spectrum. Nuclear flashes do not do that, and neither does superlightning, meteorite strikes, meteors, etc.
In addition, one of the scientists at the Arecibo Ionospheric Observatory observed a gravitational wave disturbance - signature of the truncated Fourier pattern and the time-squeezing effect of the Tesla potential wave - traveling toward the vicinity of the explosion.
</td> </tr> </tbody></table> </center> ​

​

<center> <table width="600" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="50%">

TESLA HOWITZER
(SCALAR INTERFEROMETER)​

</td> <td>
</td> </tr> </tbody></table> </center> ​

Figure 10. "Nuclear" Flashes off the Coast of Africa​

​

<center> <table width="750" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="100%">

Lithuania - 10 Sep 1976 - British European Airways Flight #831 between Moscow and London​

CIA Report Released under FOIA​

Figure 11. Continuous Tesla Fireball​

The pulse mode may be fed from either Moray generators or -- if the Moray generators have suffered their anomalous "all fail" malfunction -- ordinary explosive generators. ​

Thus the Tesla howitzer can always function in the pulse mode, but it will be limited in power if the Moray generators fail.​

In the continuous mode, two continuous scalar waves are emitted -- one faster than the other -- and they pair-couple into vector energy at the region where they approach an in-phase condition. In this mode, the energy in the distant "ball" or geometric region would appear continuously and be sustained -- and this is Tesla's secret of wireless transmission of energy at a distance without any losses. It is also the secret of a "continuous fireball" weapon capable of destroying hundreds of aircraft or missiles at a distance.
An example of a Soviet test of this mode of operation is shown in figure 11.

Witness to a super weapon?​

Nick Downie describes the strange lurid glow that flared silently over the Hindu Kush​

THE SUNDAY TIMES, 17 AUGUST 1980​

(Multiple incidents in Sept., 1979)​

<table border="0" cellpadding="8" cellspacing="8"> <tbody><tr> <td>

​

</td> <td>

TEHERAN, IRAN 17 JUNE 1966​

SEEN FROM NEAR MEHRABAD AIRPORT​

OBSERVED 4-5 MINUTES​

SEEN BY 2 AIRCRAFT​

</td> </tr> <tr> <td colspan="2">

CIA REPORT RELEASED UNDER FOIA​

</td> </tr> </tbody></table> ​

Figure 12. Tesla EMP Globe​

The volume of the Tesla fireball can be vastly expanded to yield a globe which will not vaporize physical vehicles but will deliver an EMP to them to dud their electronics.
A test of this mode is shown in figure 12. (See also Gwynne Roberts, "Witness to a Super Weapon?", the London Sunday Times, 17 August 1980 for several other tests of this mode at Saryshagan, seen from Afghanistan by British TV cameraman and former War Correspondent Nick Downie.)
If the Moray generators fail anomalously, then a continuous mode limited in power and range could conceivably be sustained by powering the interferometer from more conventional power-sources such as advanced magnetohydrodynamic generators.
</td> </tr> </tbody></table> </center> ​

​

Figure 13. Tesla ABM Defenses​

​

<center> <table width="750" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="100%">

Figure 14. Moray/Tesla Technology: Star Wars Now​

Typical strategic ABM uses of Tesla weapons are shown in figure 13. In addition, of course, smaller Tesla howitzer systems for anti-tactical ballistic missile defense of tactical troops and installations could be constituted of more conventional field missile systems using paired or triplet radars, of conventional external appearance, in a scalar interferometer mode.
With Moray generators as power sources and multiply deployed reentry vehicles with scalar antennas and transmitters, ICBM reentry systems now can become long range "blasters" of the target areas, from thousands of kilometers distance (figure 14). Literally, "Star Wars" is liberated by the Tesla technology. And in air attack, jammers and ECM aircraft now become "Tesla blasters." With the Tesla technology, emitters become primary fighting components of stunning power.
The potential peaceful implications of Tesla waves are also enormous. By utilizing the "time squeeze" effect, one can get antigravity, materialization and dematerialization, transmutation, and mindboggling medical benefits. One can also get subluminal and superluminal communication, see through the earth and through the ocean, etc. The new view of phi-field also provides a unified field theory, higher orders of reality, and a new super-relativity, but detailing these possibilities must wait for another book.
With two cerebral brain halves, the human being also has a Tesla scalar interferometer between his ears. And since the brain and nervous system processes avalanche discharges, it can produce (and detect) scalar Tesla waves to at least a limited degree. Thus a human can sometimes produce anomalous spatiotemporal effects at a distance and through time.
This provides an exact mechanism for psychokinesis, levitation, psychic healing, telepathy, precognition, postcognition, remote viewing, etc. It also provides a reason why an individual can detect a "stick" on a radionics or Hieronymus machine (which processes scalar waves), when ordinary detectors detect nothing.
Unfortunately there is not room to develop the implications of this human Tesla interferometry in detail, for that must wait for yet another book, presently in its initial stages, that Hal Crawford and I are writing.

Table 5. Orders of Reality​

• 
  [*]
  PHOTONS ARE
  > PAIR-COUPLED SCALARS
  > VELOCITY-LIMITED TO C
  > CARRIERS OF T ​
  [*]
  PHOTON INTERACTION
  > IS UBIQUITOUS
  > PRODUCES = C
  > YIELDS 1st ORDER REALITY ​
  [*]
  SCALAR O WAVES
  > NOT VELOCITY-LIMITED
  > YIELD HIGHER ORDER REALITIES ​

​

​

Figure 15. Implications of Tesla Potential​

At the July 1981 U.S. Psychotronics Association's Annual Conference in Dayton, Ohio, I presented the first rough paper on the Tesla secret and scalar interferometry. A videotape of the presentation was made and will shortly be available. I am also scheduled to make a special presentation at the Alternate Energy Conference in Toronto, Canada in latter October, 1981. ​

A professional, videotaped two-hour presentation on this subject is also being prepared. Wide distribution of the material through the international underground physics and technology network has already been made. This time, God willing, Tesla's secret will not be suppressed for another 80 years!​

And perhaps it is not yet too late. The material has cost me (now) some 16 years of agonizing labor and nearly $100,000 of my own personal funds. No orthodox university, scientific group, foundation, or governmental agency would support such an effort, either financially or otherwise. Indeed, most ordinary journals will not even accept material on such matters. ​

Nonetheless, the area is of overwhelming importance and I truly believe Tesla's lost secret will shortly affect the lives of every human being on earth. ​

Perhaps with the free and open release of Tesla's secret, the scientific and governmental bureaucracies will be. shocked awake from their slumber, and we can develop defenses before Armageddon occurs. Perhaps there is hope after all -- for even Brezhnev, in his strange July, 1975 proposal to the SALT talks, seemed to reveal a perception that a turning point in war and weaponry may have been reached, and that human imagination is incapable of dealing with the ability to totally engineer reality itself. ​

Having tested the weapons, the Soviets must be aware that the ill-provoked oscillation of timeflow affects the minds and thoughts -- and the very lifestreams and even the collective species unconsciousnesses -- of all lifeforms on earth. They must know that these weapons are two-edged swords, and that the backlash from their use can be far more terrible to the user than was the original effect to his victim.​

If we can avoid the Apocalypse, the fantastic secret of Nikola Tesla can be employed to cure and elevate man, not kill him. Tesla's discovery can eventually remove every conceivable external human limitation. ​

If we humans ourselves can elevate our consciousness to properly utilize the Tesla electromagnetics, then Nikola Tesla - who gave us the electrical twentieth century in the first place - may yet give us a fantastic new future more shining and glorious than all the great scientists and sages have imagined.​

<table id="table1" width="31%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center"> Return to Nikola Tesla
</td></tr></tbody></table>​

</td></tr></tbody></table></center>​

 

<table nof="ly" width="728" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top" align="left"><td colspan="3" rowspan="2" class="TextObject" width="600">

[ame]http://de.video.yahoo.com/watch/3459151/9636926"]yahoo.com/watch/3459151/9636926[/FON[/ame]​

​

​

</td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="71">
</td> <td rowspan="2" width="350"></td> <td colspan="2" rowspan="2" width="350"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="182">
</td> <td>
</td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="830" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="23" height="4"></td> <td>
</td> <td width="50"></td> <td width="3"></td> <td width="4"></td> <td width="396"></td> <td width="4"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="4" height="4">
</td> <td colspan="2" rowspan="4" width="400"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="227">
</td> <td width="350"></td> <td colspan="2">
</td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="4" height="2">
</td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="267">
</td> <td colspan="2" rowspan="3" width="400"></td> <td>
</td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="5">
</td> <td colspan="4">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="10">
</td> <td colspan="2">
</td> <td colspan="2" rowspan="3" width="400"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="5" height="3">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="287">
</td> <td colspan="2" rowspan="2" width="400"></td> <td colspan="2">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="13">
</td> <td colspan="4">
</td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="1174" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="23" height="2"></td> <td width="115"></td> <td>
</td> <td width="4"></td> <td width="7"></td> <td width="48"></td> <td width="4"></td> <td width="2"></td> <td>
</td> <td width="146"></td> <td width="125"></td> <td width="12"></td> <td width="6"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="1">
</td> <td colspan="3" rowspan="4" width="585"></td> <td colspan="9">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="252">
</td> <td>
</td> <td colspan="5" width="416"></td> <td colspan="3">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="4">
</td> <td colspan="9">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="223">
</td> <td colspan="2">
</td> <td colspan="5" rowspan="3" width="493"></td> <td colspan="2">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="6" height="2">
</td> <td colspan="2">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="91">
</td> <td colspan="5" rowspan="5" width="640"></td> <td colspan="2">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="3">
</td> <td colspan="7">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="322">
</td> <td>
</td> <td colspan="5" width="501"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="4">
</td> <td colspan="7">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="15">
</td> <td>
</td> <td colspan="6" rowspan="3" width="507"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="7" height="2">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="280">
</td> <td colspan="5" rowspan="3" width="640"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="4">
</td> <td colspan="7">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="122">
</td> <td colspan="2">
</td> <td rowspan="3" width="216"></td> <td colspan="4">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="8" height="3">
</td> <td colspan="4">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" height="22">
</td> <td rowspan="2" width="466"></td> <td colspan="5">
</td> <td colspan="4">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" height="291">
</td> <td colspan="10">
</td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="841" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="44" height="34"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="30">
</td> <td valign="middle" width="797"><hr id="HorizontaleLinie1" size="2" width="797"></td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="1180" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="44" height="19"></td> <td width="1136"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td>
</td> <td class="TextObject" width="1136"> Die obigen russischen Scalarantennen-Techniken sind Weiterentwicklungen von Reichsdeutschen Radaranlagen unter Mithilfe von deutschen Technikern,welche nach dem Krieg von den Russen zwangsverpflichtet wurden! Siehe unten einige Beispielantennen.
</td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="524" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="31" height="6"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="351">
</td> <td width="493"></td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="701" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="31" height="4"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="420">
</td> <td width="670"></td> </tr> </tbody></table> <table nof="ly" width="720" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td> <table nof="ly" width="508" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="30" height="2"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="240">
</td> <td width="478"></td> </tr> </tbody></table> </td> <td> <table nof="ly" width="212" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="3" height="4"></td> <td width="1"></td> <td width="207"></td> <td width="1"></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td height="160">
</td> <td colspan="2" width="208"></td> <td>
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="4" height="5">
</td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2">
</td> <td colspan="2" class="TextObject" width="208"> Deutsche Reichsradaranten
</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

 

The Motionless Electromagnetic Generator (MEG)

One build-up has produced up to 100 times more power than was input
Overunity performance successfully replicated independently by other researchers​

First Patent awarded​

Status report updates - see Correspondence Section​

Explanation of the Motionless Electromagnetic Generator with O(3)
Electrodynamics
Foundations of Physics Letters, Vol. 14, No. 1, 2001​

Explanation of the Motionless Electromagnetic Generator by
Sach's Theory of Electrodynamics
Foundations of Physics Letters, Vol. 14, No. 4, 2001​

​

Inventors: Stephen L. Patrick, Thomas E. Bearden, James C. Hayes, Kenneth D. Moore, James L. Kenny​

In Press (Foundations of Physics Letters)
Aharanov-Bohm Effect as the basis of Electromagnetic Energy inherent the Vacuum​

Journalist Nick Cook, formerly editor of Jane's Defence Weekly, discusses the MEG​

​

See the late Floyd Sweet's device output OVER A MILLION TIMES more power than was input!​

Funding Enquiries to Dr. Lee Kenny
President, Magnetic Energy Ltd.
jlkenny@knology.net

"Before the turn of the century, Nikola Tesla had discovered and was utilizing a new type of electric wave. Tesla repeatedly stated his waves were non-Hertzian, and his wireless transmissions did not fall off as the square of the distance. His discovery was apparently so fundamental (and his intent to provide free energy to all humankind was so clear) that it was responsible for the withdrawal of his financial backing, his deliberate isolation, and the gradual removal of his name from the history books."

​

Bearden The Tom Bearden Website​