พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง"กรรมทั้งสามทวาร"กรรมอันไหนที่ให้ผลร้ายแรงกว่ากัน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย satan, 7 ตุลาคม 2008.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    [​IMG]




    พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง"กรรมทั้งสามทวาร"กรรมอันไหนที่ให้ผลร้ายแรงกว่ากัน

    "การเข้าสู่ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ต้องยืมสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า มีพระสูตรพูดถึงฐานะและอฐานะ ความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้
    ในหมวดธรรมที่ว่าด้วยความเป็นไปได้นั้น ท่านอธิบายว่า มนุษย์ปุถุชนทุกคนเป็นไปได้ที่จะปลงชีวิตพ่อแม่หรือพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ได้
    คือคนธรรมดาทุกคน โอกาสที่จะทำอย่างนั้นมี แต่สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับพระโสดาบันผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว

    ข้อนี้ผมเข้าใจว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจและเห็นใจบุคคลที่เรามักจะมองหรือตัดสินเขาเป็นฆาตกรโดยกำเนิดหรือมีสันดานเป็นฆาตกร
    คนธรรมดาทั่วไปที่เรียกว่ากัลยาณชนหรือคนดีนั้น โอกาสที่ฆ่าพ่อแม่ก็มี ถ้ามีความบีบคั้นหรือลืมสติอย่างรุนแรง
    แม้พระโพธิสัตว์ในเรื่องชาดก เมื่อแม่ขัดขวางการปฏิบัติธรรมถึงกับทำร้ายร่างการแม่"

    "คนร้ายหรือฆาตกรน่าจะไดัรับการดูแลเพื่อปรับกระบวนทัศน์ด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด มีสิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากก็คือ
    การเคารพชีวิต ไม่ได้หมายถึงการเคารพชีวิตของคนดี คนที่ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น"

    "ดูตัวอย่างจากพระไตรปิฎกบ้าง เรื่องของการลงทัณฑ์
    คราวหนึ่งมีการถกประเด็นในเรื่องของทัณฑะสาม คือการลงทัณฑ์ในสามทวาร กายทัณฑะ วจีทัณฑะ มโนทัณฑะ
    ถกกันว่าอันไหนมีผลร้ายแรงกว่ากัน ระหว่างกายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม คือเรื่องหลักกรรมในพุทธศาสนานั่นเอง
    ศาสดาฝ่ายลัทธิหนึ่ง ก็บอกว่ากายทัณฑะแรงกว่า อย่างเราคิดจะฆ่าเขา เป็นมโนกรรม แต่เราก็ไม่ได้ฆ่าเขาสักหน่อย
    เราด่าเขาเป็นวจีกรรม ก็ยังน้อยกว่าตี ดังนั้นการทัณฑะคือการลงทัณฑ์ทางกายซึ่งแรงกว่า ดังนั้นโทษย่อมแรงตาม
    ก็ดูจะเข้ากับสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มโนกรรมแรงกว่า การคิดร้ายส่งผลรุนแรงต่อชีวิตมากกว่า ฟังดูอาจไม่ค่อยเข้าเหตุเข้าผลสักเท่าไร
    เพราะน้ำหนักดูน้อยมาก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านต้องยกอุปมา อุปมัยว่า สมมุติมีชายคนหนึ่งเป็นนักโทษฆ่าคน
    เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามจับไปลงโทษแต่นักโทษคนนั้นไปล้มตายเอง พระพุทธเจ้าทรงถามว่า

    แล้วเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องตามจับร่างกายของเขาที่ตายแล้วไปขังหรือปล่าว ถ้ายืนยันว่ากายทัณฑะสำคัญกว่าก็ต้องจับไปขังอีก
    แต่ในความเป็นจริงคือเราไม่ขังคนที่ตายแล้วอีก ท่านก็สรุปว่า ในบรรดากรรมทั้งสามทวารนั้น มโนกรรมแรงกว่า
    หากปราศการการดำริร้ายแล้ว การทำร้ายจะไม่มี การด่าว่าจะไม่มี การฆ่ากันทำร้ายกันจะไม่มี ทุกอย่างมันเริ่มที่จิตก่อน"

    "ถ้าเรามองในแง่นี้ เรามาสู่บทสรุปที่ว่า จิตฝึกให้เข้าสู่ขบวนการอหิงสาได้ ผู้ที่เข้าใจว่าจิตฝึกไม่ได้ เนื่องจากยึดถือเรื่องกรรมเก่าผิดๆว่า
    คนอย่างนี้หรือคนคนนี่ไม่มีทางสั่งสอนได้ เป็นความยึดติดในความรู้สึกส่วนตัวเกินไป การให้อภัยคนนี่เราสามารถทำได้อย่างถึงที่
    แต่สำหรับบางคนอาจไม่ยอมให้อภัย ที่จริงสังคมไทยเรามีประสบการณ์ในเรื่องการกล่อมเกลาชีวิตของนักโทษ การให้บทเรียน ข้อคิด เช่น
    นิมนต์พระไปเทศนาก่อนการประหาร เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่การเทศนานั้นมักเป็นเรื่องปลอบใจมากกว่า"

    "ที่จริงการฆ่าคน ในขณะที่ฆ่า จิตหวั่นไหวทั้งนั้น สำหรับชาวพุทธแล้ว การฆ่าไม่ว่ารูปแบบใดๆ ไม่พึงปรารถนาทั้งสิ้น
    นอกเหนือจากไม่ฆ่าแล้ว เรายังต้องเมตตาต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ ต่อสัตว์ด้วย นอกจากไม่ขโมยแล้ว เรายังต้องบริจาคทาน
    นอกจากไม่ผิดลูกเมียเขาอื่นแล้ว สำหรับคนที่เคร่งครัดยังต้องรักษาพรหมจรรย์ นอกจากไม่พูดเท็จต้องกล่าวคำสัตย์จริงด้วย
    นอกจากไม่เสพของมึนเมาพร่าสติตนเองแล้ว เรายังต้องเจริญสติแล้ว มองในแง่ทฤษฎี เรามีหลัก

    ทีนี้ในแง่ปฏิบัติ ภาวะจำยอม ภาวะจำเป็นมันมี ดังนั้นจะหาคนดีที่ปฏิบัติศีลทุกข้อ หายาก พระวินัยไม่ใช่กรอบหรือคอก
    แต่พระวินัยหรือระเบียบเหล่านั้นเป็นเหมือนรั้วสะพาน ถ้าคนแข็งแรงจริงๆ ไม่ต้องพึ่งสะพานก็ได้ เขาเดินข้ามแผ่นไม้แผ่นเดียวก็ได้
    แต่คนทั่วไปอ่อนแอ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งราวสะพาน เพื่อเกาะเพื่อไต่ต่อไป แต่ถ้าใครเข้าใจผิดต่อราวสะพาน
    ยึดราวสะพานแล้วไม่เดินก็เป็นปัญหาอันใหม่ คือพวกยึดมั่นถือมั่นพระวินัย ก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาปัญญาได้"

    "การฆ่าไม่ว่ารูปแบบใดๆ ถือเป็นบาปทั้งสิ้น ส่วนการปฏิบัติผมได้บอกแล้วว่ามนุษย์มีข้อปฏิบัติอยู่ไม่น้อย
    ชาวบ้านเขาฆ่าปลาก็จริงแต่ฆ่าเพื่อกิน เพื่อให้อยู่รอด ไม่ได้มีจิตจะฆ่าเพื่อเบียดเบียนสัตว์
    ดังนั้น สิ่งที่เขาตอบแทนสิ่งที่ล่วงลับไปเพื่อให้มีชีวิตอยู่ คือการนับถือหรือบูชา เช่น ชาวอินเดียนแดงเชาฆ่าฝูงไบซัน
    เพราะฝูงไบซันคือผ้าห่มของเขา เขาก็บวงสรวงวิญญานให้ ถือว่าวิญญาณของสัตว์สูงกว่าวิญญานของมนุษย์
    วิญญานมนุษย์อยู่ได้เพราะวิญญานสัตว์ แต่การที่คนหนึ่งทำบาป จ้างวานฆ่า ฆ่า หรือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แล้วไปทำบุญชดเชย
    เราต้องแยกส่วน คือบาปต้องมีผลเป็นบาป ทำบาปก็ย่อมได้รับผลบาป ทำบุญได้รับผลบุญ เอามาชดเชยกันไม่ได้
    แต่ว่าการทำบุญเป็นสิ่งที่ควรทำ แทนที่จะทำบาปถ่ายเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า บาปนั้นไม่ควรทำบ่อยๆ คือ ถ้าทำแล้วรู้ตัวว่ามันส่งผลไม่ดี
    มันเกิดผลสะเทือนจริงๆ แล้วไม่ต้องถามใครหรอกครับ จิตเราทำงานอยู่ พอเราไปทำอะไรจิตมันก็รู้อยู่ เรารู้ก่อนเพื่อน"

    "การที่มือปืนทำบาปแล้วไปทำบุญ เขาจะได้ผลหรือไม่ การที่เขาทำบาป เขาได้รับบาปทั้งในขณะนั้นและในขณะอื่นถัดมา เช่น
    ญาติพี่น้องของคนที่เราทำกรรมเขาก็โกรธแค้นให้ หรือประชาชนหมิ่นน้ำใจหรือหลู่เกียรติ ไม่คบหา ทุรนทุรายในใจนั้นเป็นวิบากโดยตรงเลย
    จิตกระสับกระส่าย ไม่ตั้งมั่น หวั่นไหวง่าย เช่นเราทำบาปหรือทำผิดหรือแม้แต่คิดว่าผิด เราหวั่นไหว
    ขึ้นชื่อว่าปุถุชนมีเครื่องวัดอันหนึ่งคือสงสัยในการกระทำของตน ต่างว่าคนนั้นหลังจากทำบาป รู้สึกได้แล้วต่อทุกข์โทษของมัน
    แต่ที่จริงก็รู้สึกยังไม่ครบถ้วนหรอกครับ เพราะยังทำได้อีก เช่น บางคนฆ่าคนแล้วสำนึก
    แต่รุ่งขึ้นก็พร้อมจะฆ่าอีก เพราะเอาชนะจิตสำนึกไม่ได้ แสดงว่าจิตของเขายังสมาทานมิจฉาทิฐิ"

    "เราจะอ้างว่าเราทำดีชดเชยความชั่วไม่ได้หรอกครับ เพราะต่างกรรมต่างวาระ หมายความว่าชั่วก็ต้องรับผลชั่ว แต่ถ้ารีบทำความดีเผื่อไว้บ้าง
    ก็พอจะได้รับผลดี ผลชั่วก็จะกินเวลาสั้นหน่อย แต่ชดเชยกันไม่ได้ แต่สามารถแทนที่ได้
    แทนที่หมายความว่า ถ้าทำดีเรื่อย ๆ โอกาสทำชั่วก็จะน้อยลง แต่ถ้าทำชั่วมาก ๆ โอกาสทำดีก็น้อยลง"

    "พระพุทธเจ้าให้คำนิยามของอกุศลกรรมและกุศลกรรมไว้ว่า กรรมใดทำแล้วเดือดร้อยภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี
    เดือดร้อนนี้หมายถึงเดือดร้อนตนเอง เดือดร้อนคนอื่นในขณะที่ทำ ภายหลังก็ต้องเดือดร้อนอีก
    ในทางกลับกัน กรรมใดทำแล้วตัวเองไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน ต่อมาภายหลังก็ไม่เดือดร้อน กรรมนั้นพึงทำ คือกุศลกรรม
    แต่ทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นธรรมชาติธรรมดา คนทำบาปเขาก็สับสน เขาคิดผิดไม่ใช่เพราะเขาชั่วแต่กำเนิดหรอก"

    "ปัญหาด้านหนึ่งต้องแก้โดยระบบ ต้องยืนพื้นอยู่บนระบบคิด เคารพต่อมนุษย์ มนุษยธรรม ความเคารพมนุษย์เกิดไม่ได้ด้วยทฤษฎีหรอกครับ
    ดูวันพระพุทธเจ้าออกบวชนะครับ การที่ท่านออกบวชนั้นคือการที่ท่านเบื่อและค้นพบความเหลวแหลกของอำนาจราชศักดิ์ต่างๆ
    ตัดสินใจไปเดินดิน ออกมาเป็นนักพรตเร่ร่อน แสดงว่าท่านยอมรับคนธรรมดาว่าทัดเทียมกับท่านแล้ว
    การออกมหาภิเนษกรมณ์นั้นคือการกลับเข้าสู่ฐานของความเป็นมนุษย์จริงๆเลย อำนาจราชศักดิ์เป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องอุปโลกน์กันขึ้น"
    "ถ้าระบบมีความเป็นธรรมหรือเอื้ออาทร คงไม่มีใครอยากเป็นฆาตกร เป็นมือปืน"

    "ทีนี้ถ้าพูดถึงผลสืบเนื่องมาจากเหตุ เช่นมือปืนที่ฆ่าคนแล้วต้องรับโทษ เราจะมีบทปลอบใจให้กำลังใจให้เขากลับตัวได้อย่างไร
    ผมอยากบอกว่าออกมาจากคุกแล้วก็อย่าคิดรวยเลย ผมนึกถึงคำของมหาตมะคานธีที่ว่า ยากจนโดยสมัครใจ
    ถ้ายากจนโดยไม่สมัครใจนี่ทุกข์ทรมานนะ ผมอยากจะพูดว่า ชีวิตไม่ได้สำเร็จเพราะเงินทอง จริงๆ แล้วชีวิตเราสำเร็จเพราะข้าวน้ำ
    เราไม่ได้ต้องการข้าวน้ำ อาหารมากเลย เพียงเราเห็นความจริงอันนี้ตรงๆ เรานุ่งกางเกงวันละตัว ใส่เสื้อวันละตัว เรากินข้าววันละสองสามมื้อ
    แล้วเรากินทีละคำ ไม่ได้กินทีละห้าคำสิบคำ ชีวิตดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องภายใต้กระแสกระบวนการธรรมชาติ การหายใจเข้า หายใจออก
    และเรามีโชคชะตาร่วมกันด้วย แล้วช่วงชีวิตที่เนิบช้า สอดคล้องเป็นจังหวะจะโคนนี่เอง คือความหมายของมัน
    การที่เราวิ่งเริดตลอดเวลานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรครับ การที่เราหวังจะมีเงินทองมากนั้นเป็นการวิ่งเริ่ดเตลิดเปิดเปิงไปตามความทะเยอทะยาน
    ขึ้นชื่อว่าความทะเยอทะยานแล้วจะสร้างขั้วต่างและแรงเหวี่ยง ความขัดแย้งในใจเรา แรงทะยานในภพชาติที่ทำให้เราเป็นทุกข์
    พุทธศาสนามองว่ามีแรงชนิดหนึ่งในตัวมนุษย์ ทะเยอทะยานที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ ที่จะเสวยนั่นเสวยนี่ นี่คือแรงทะยานในภพชาติซึ่งทำให้เกิดแล้วเกิดอีก
    ถ้ามองไปสู่หลายวงจรชีวิตก็เรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้ามองในแง่ของการเกิดชั่วขณะ เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูด เดี๋ยวเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เดี๋ยวเกิดเป็นเปรตบ้าง
    เดี๋ยวเกิดเป็นอสุรกายบ้าง ในชั่วขณะจิต จิตเราจะเข้าสู่อันใดอันหนึ่งเสมอไป มันเหนื่อยครับ "

    "ผมคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ประเสริฐสุดแล้ว คือความสันโดษเป็นสุข แต่เราฟังไม่เข้าหูเอง เรากลับคิดกันว่าเงินคือความสุข
    เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ผมจำได้ว่าผู้ใหญ่สมัยก่อนมักให้พรว่า อยู่เย็นเป็นสุขนะลูกนะ เดี๋ยวนี้เขาให้พรกันว่าขอให้รวยๆนะ
    เราสูญเสียหลักในการดำเนินชีวิตที่แสนประเสริฐ ชีวิตไม่ได้ประเสริฐเพราะร่ำรวย ชีวิตที่ประเสริฐต้องมีความอิ่มในตัว ไม่อาจไปประกวดประชันกับใครได้"

    ทัศนะจาก อาจารย์โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ)
    จาก หนังสือเรื่อง ชีวิตจริงของคนรับจ้างฆ่า (มือปืน) โดย อรสม สุทธิสาคร

    http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=4472
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  3. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมนาสาธุบุญ


    ละความชั่วด้วยศีล ทำความดีด้วยทาน จิตเบิกบานด้วยภาวนา
     
  4. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    ใจ................................................................ จ๋า
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ."พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงกฎแห่งกรรมว่า"

    อดีตชาติได้แต่ประกอบแต่กรรมดี จึงได้เกิดมามียศสูงศักดิ์และร่ำรวยในโภคทรัพย์ ผู้ใดบำเพ็ญธรรมมาตลอดจะได้บุญวาสนาไปทุกภพทุกชาติ มนุษย์จงฟังให้ดี ฟังตถาคตกล่าวผลกรรมของไตรภพผลกรรมของไตรภพเป็นเรื่องใหญ่ จงอย่าดูหมิ่นพุทธพจน์ จงฟังผลกรรมดังต่อไปนี้

    - ปัจจุบันเป็นขุนนางเพราะเหตุใด / ชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูป สิ่งที่ได้รับในชาตินี้เพราะชาติก่อนทำไว้ ถวายเครื่องทรงสักการะพระพุทธองค์ ทองคำสร้างองค์ดั่งสร้างตนเอง เครื่องทรงสักการะคืออาภรณ์ประดับกาย ดังนั้นอย่าคิดว่าขุนนางนั้นเป็นง่าย หากไม่ได้สร้างบุญก่อกุศลแต่ปางก่อนไว้ ไฉนเลยจะได้รับ

    - มีรถนั่งมีเรื่อขี่เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน

    - มีเสื้อผ้าแพรพรรณประดับกายเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน

    - มีอาหารอิ่มสมบูรณ์เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ยากจน

    - ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานเลยแม้แต่น้อย

    - มีตึกรามบ้านบ้านช่องเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้

    - มีบุญมีวาสนาเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนสร้างวัดสร้างศาลา

    - มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปดอกไม้เครื่องหอม

    - มีปัญญา มีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนสวดมนต์สรรเสริญพระนามพระพุทธเจ้า

    - มีภรรยาดีมีมรรยาทพร้อมเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนได้สร้างสมบุญกุศลมาร่วมกัน

    - สามีภรรยามีอายุยืนยาวเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนได้แต่งริ้วธงประดับหน้าพระพุทธรูป

    - มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจผู้กำพร้า

    - ไม่มีพ่อแม่เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา

    - เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น

    - ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนข่มเหงรังแกลูกชาวบ้าน

    - ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ปลดปล่อยชีวิต

    - ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    - ชาตินี้ไม่มีภรรยาเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบผิดประเวณี ข่มขื่นลูกเมียเขา

    - ชาตินี้เป็นม่ายเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบดูหมิ่นดูแคลนสามี

    - ชาตินี้เป็นทาสเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนไม่รู้จักบุญคุณผู้อื่น

    - ชาตินี้มีตาดีเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนซื้อน้ำมันเติมตะเกียงบูชาพระ

    - ชาตินี้ตาบอดเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบอ่านหนังสือลามก

    - ชาตินี้ปากแหว่งเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนกล่าวร้ายใส่ความผู้อื่น

    - ชาตินี้หูหนวกเป็นใบ้เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนปากร้ายด่าว่าพ่อแม่

    - ชาตินี้หลังค่อมเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนหัวเราะคนที่ไหว้พระ

    - ชาตินี้มืองอแขนคดเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนเคยตีพ่อแม่

    - ชาตินี้ขาเป๋ตีนเป๋เพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนทำลายถนนและสะพาน

    - ชาตินี้เป็นวัวเป็นควายเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนเป็นหนีเขาแล้วไม่ใช้คืน

    - ชาตินี้เป็นหมูเป็นหมาเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนมีใจคิดหลอกลวงเขา

    - ชาตินี้มีโรคมากเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนดีใจที่เห็นคนอื่นเคราะห์ร้าย

    - ชาตินี้มีสุขภาพแข็งแรงเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนบริจาคยารักษาโรค

    - ชาตินี้ติดคุกติดตะรางเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนเห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วไม่ช่วยเหลือ

    - ชาตินี้อดอาหารตายเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนหัวเราะขอทาน

    - ชาตินี้ต้องถูกเขาเบื่อยาตายเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนเบื่อปลาในคลอง

    - ชาตินี่โดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนใจบาปคิดแต่จะทำร้ายผู้อื่น

    - ชาตินี้แคระแกรนเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนชอบเหยียดหยาบดูแคลนคนรับใช้

    - ชาตินี้อาเจียนเป็นโลหิตเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนปลุกปั้นยุแหย่คนอื่นให้แตกแยกกัน

    - ชาตินี้ถูกฟ้าผ่าตายเพราะอะไร / เพราะชาติก่อนพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช

    - ชาตินี้ถูกสัตว์ร้ายกัดตายเพราะเหตุใด / เพราะชาติก่อนก่อศัตรูคู่อาฆาต

    - สรรพกรรมที่ก่อไว้กรรมตามสนอง ต้องตกนรกทุกข์ทรมานจะโทษใครเล่า อย่าพูดว่า
    กฏแห่งกรรมไม่มีใครเห็น กรรมสนองเร็วก็ตกที่ตัวเอง กรรมสนองช้าก็ตกที่ลูกหลาน ถ้าไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่รีบทำทาน ก็จงดูบุคคลที่มีบุญวาสนาสิ เพราะเขาทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ชาตินี้บุญจึงตอบสนอง แม้ปัจจุบันสั่งสมบุญกุศล บุญนั้นก็จะคุ้มครองถึงบุตรหลาน

    - หากใครกล่าวร้ายเรื่องกฎแห่งกรรม / ชาติหน้าก็ไม่ได้เกิดเป็นคนอีก(เกิดอยู่ในอบายภูมิ)

    - หากเชื่อถือยึดมั่นในกฎแห่งกรรม / ความเจริญมั่งมีศรีสุขก็จะมาเยือนถึงบ้าน

    - หากใครค่อยแนะนำเผยแพร่เรื่องกฎแห่งกรรม / ก็จะเจริญยิ่งๆขึ้นชั่วลูกชั่วหลาน

    - หากใครยึดมั่นในกฎแห่งกรรม / ฆาตเคราะห์ภัยพิบัติจะอยู่ห่างไกลตัว

    - หากใครเที่ยวบรรยายเรื่องกฎแห่งกรรม / ทุกๆชาติจะเป็นผู้มีปัญญาเลิศ

    - หากใครหมั่นสวดมนต์ในเรื่องกฎแห่งกรรม / ชาติหน้าไปถึงไหนถึงไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตา

    - หากใครพิมพ์หนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมแจก / ชาติหน้าก็จะมีกายมงคลรุ่งโรจน์

    - หากใครถามเรื่องกฎแห่งกรรมเมื่อชาติก่อน / ควรศึกษาเรื่องราวของพระกัสสปพระพุทธเจ้าที่มีรัศมีแวววาว

    - หากถามเหตุผลของชาติหน้า / ก็ให้ดูพวกที่กล่าวร้ายพระธรรมในเมืองนรก

    - หากใครก็ตามยึดมั่นในกฎแห่งกรรม / ก็จะได้ไปเกิดในสุขาวดีแดนพุทธเกษตร

    - เรื่องกฎแห่งกรรมในสามโลกนี้พูดกันไม่จบ / สวรรค์ไม่เคยขาดคนจิตกุศล ในพระรัตนตรัยเป็นแก้ววิเศษ รู้จักสละบ้างผลได้รับเหลือคณานับ เหมือนดั่งสะสมอริยทรัพย์ไว้ในเซฟที่มั่นคง จะได้รับผลประโยชน์ทุกๆชาติไป

    - หากถามเรื่องชาติปางก่อน / ก็ให้ดูผลที่ได้รับในปัจจุบัน

    - หากจะถามเรื่องชาติหน้า / ก็ให้ดูในสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2008
  6. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG] ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  7. - เงาะป่า -

    - เงาะป่า - เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +565
    อนุโมทนาสาธุครับ
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
    "จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครไหนมาช่วยเจ้า"
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอเชิญบริจาค โครงการสร้างทรัพยากรมนุษย์ผู้ด้อยโอกาส กับ หลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง
    --> http://palungjit.org/showthrea...26#post1546426
    ร่วมสร้าง " อุโบสถเงิน" วิหารทานที่ในครั้งนึงในชีวิตไม่ควรพลาดครับ
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=140433
    ขอความเมตตา สร้างชีวิตใหม่ ช่วยน้องผ่าตัดใบหน้า ให้สดใสเหมือนเดิม
    --> http://palungjit.org/showthrea...17#post1440317
    มาลองทำสังฆทานอย่างง่ายๆ ด้วยตนเองกันครับ
    --> http://palungjit.org/showthrea...70#post1435870
     
  8. punyawat

    punyawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +183
    อนุโมทนาครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    ________
    "...กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง..."

    -------------------หลวงปู่โต พรหมรังสี-------------------
     
  9. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,035
    ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  10. sunan

    sunan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +35
    ขออนุโมทนา สาธุ

    .....บังคับตัวบังคับกายมันทำได้
    .....แต่การบังคับใจถ้าไม้แกร่งจริงมันก็ยาก
    .....แต่ถ้าเรายอมแพ้มันเราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต

    อย่ายอมแพ้ถ้าเรายังไม่ได้พยายามเต็มที่
     
  11. ttii01591

    ttii01591 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +15
    สาธุ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ เรามีกรรมเป็นแดนเกิด
    เราทำกรรมใดใว้เราย่อมได้รับผลกรรมนั้นแน่นอน
     
  12. lunasea

    lunasea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +433
    อนุโมทนาครับ คิดดีหรือไม่ดีก่อนนั้นแหละเป็นจุดเริ่มแห่งกรรมดีหรือไม่ดี ถ้าไม่คิดก็ไม่มีกรรมคือการกระทำ
     
  13. ถนอม021

    ถนอม021 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,098
    ค่าพลัง:
    +3,163
    อนุโมทนาสาธุด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    และขออุทิศบุญกุศลทั้งปวงแด่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ
    ขอให้ทุกท่านมีความสุขกายสุขใจตลอดไป ขอให้อโหสิรรมและ
    ขออโหสิกรรมกับทุกรูปทุกนามด้วยเถิด

    ถนอม สุพัตรา ถกนธ์

    หลังจากสวดบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลามาก แนะนำบทสวดพุทธมนต์แบบย่อ ๆ แต่มีพลานุภาพมาก มีอานิสงส์มาก สวดไม่เกิน 5 นาทีจบ ดังนี้

    นะโม 3 จบ

    หัวใจ อิติปิโส ว่า
    อิสะวาสุ
    หัวใจพาหุง
    พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ
    หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
    เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
    หัวใจบารมี 30 ทัส
    ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ
    หัวใจพระอาการวัตตาสูตร
    มุนินทะ วะทะนัมโพชะ คัพพะสัมภาวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะ ยะตัง มะนัง
    หัวใจพระธารณะปริตร
    ทิฏฐิลา ทัณฑิลา มันติลา โรคิลา ขะระรา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
    หัวใจพระไตรปิฎก
    จิเจรุนิ
    หัวใจพระคาถาชินบัญชร
    ชะ จะ ต ะ สะ สี สัง หะ โก ทะ กะ เก นิ กุ โส ปุ เถ เส เอ ชะ ระ ธะ ขะ อา ชิ วา อะ ชิ สะ อิ ตัง
    คาถาบูชาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์
    นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

    [​IMG]สวดจบควรแผ่เมตตาทุกครั้ง[​IMG]
     
  14. BlueBlur

    BlueBlur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,664
    ค่าพลัง:
    +1,568
    กรรมย่อมเกิดจากการกระทำ ระงับกรรมด้วยการรักษาศีล สาธุ ..
     
  15. ทรัพย์พระฤาษี

    ทรัพย์พระฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    โมทนาด้วยครับ


    <TABLE class=webtitle2 height=76 width="53%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=10>พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาพูด


    </TD></TR><TR><TD height=10>ไม่ใช่ภาษาเขียน แต่เป็นภาษาปฏิบัติ


    </TD></TR><TR><TD height=10>( คำสอนของ พระองค์ที่ 10 )


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    [​IMG]




    [​IMG][​IMG][​IMG]ผมมีบทความดีๆเกี่ยวกับในหลวง อยากให้ลองอ่านกันครับ[​IMG][​IMG][​IMG]
    คลิกนี้
    http://palungjit.org//showthread.php?t=150879
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  16. jojjaj

    jojjaj สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยครับ ท่านเจ้าของกระทู้ได้ทำบุญแล้วครับ.
     
  17. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ขอบคุณมากครับ
     
  18. gosilwer

    gosilwer สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณมากครับ ให้ข้อคิดที่ดีมากครับ
     
  19. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    บุพกรรมของงูเหลือม...โดยหลวงปู่สิม

    เนื้อความ :

    สมมุติว่าผู้ถือว่านอนเป็นสุข ครั้นได้นอนแล้วก็ว่าเป็นสุขสบาย
    ก็ให้ภาวนาให้จิตใจมันบริสุทธิ์พ้นจากกิเลส โลภะ โทสะ
    โมหะเสียก่อน จะนอนอย่างไรก็ได้
    หรือผู้ชอบกินเอร็ดอร่อยก็ภาวนาให้กิเลสมันหมดเสียก่อนจะกินอย่างไรก็ได้
    แต่ว่าถ้ากิเลสไม่หมดไม่ใสเสียก่อน ไปติดอยู่แค่กินแค่นอนไม่ไหวล่ะ

    ฉะนั้นต้องภาวนาแก้ ถ้าผู้ใดเห็นแก่การนอน การหลับ ไม่ลุกขึ้นภาวนา
    แก้กิเลสความหลับนั้นไม่ได้ เกิดตายไปยังแก้ไม่ตกไปเป็นงูล่ะทีนี้
    เป็นงูอยู่ในโพรงในหัวปลวก นอนอยู่ในนั้นแหละ ชอบนอนนี่
    ฉะนั้นถ้ามันเป็นถึงขั้นงูล่ะก็ไม่มีทางแก้
    ถ้านักกินงูมาเห็นเขาก็เอาไปต้มไปแกง
    เราผู้หลงกินหลงนอนก็จะเป็นทุกข์ต้องแก้ไม่ให้มันง่วง
    ให้ตามันใสอยู่ข้างในอะไรเป็นทุกข์อะไรเป็นสุข อะไรผิดอะไรถูก
    อะไรชั่วอะไรดีให้มันมองเห็น ไม่ให้ใจหลงใหลในอาหารการกิน ถ้าหลงใหลใน
    อาหารการกินก็เป็นงูเหลือมงูใหญ่ นอนอึ้งลึ้งอยู่แหละ

    จาก"วาทะธรรม"
    หนังสือ"พุทฺธาจารานุสรณ์"
    ในการพระราชทานเพลิงศพ
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001261.htm
     
  20. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    กรรม

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    กรรม (ภาษาสันสกฤต : กรฺม, ภาษาบาลี : กมฺม) แปลว่า "การกระทำ" ได้แก่ กระทำทางกาย เรียก กายกรรม ทางวาจา เรียก วจีกรรม และทางใจ เรียก มโนกรรม

    กรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
    กรรมดี เรียกว่า กุศลกรรม หรือ บุญกรรม
    กรรมชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม หรือ บาปกรรม

    การจำแนกประเภทของกรรม
    กรรมดี หรือ กรรมชั่วก็ตาม กระทำทางกาย วาจา หรือทางใจก็ตาม สามารถจำแนกอีก เป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายแบบ ดังนี้

    กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) 4 อย่าง
    กรรมจำแนกตามหน้าที่ของกรรม (กิจจตุกะ) 4 อย่าง
    กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) 4 อย่าง
    กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) 4 อย่าง

    จำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม
    การกระทำทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่เป็นฝ่ายดีหรือไม่ดีก็ตาม ย่อมตอบสนองแก่ผู้กระทำ ไม่เร็วก็ช้า เวลาใดเวลาหนึ่ง กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) แสดงกำหนดเวลา แห่งการให้ผลของกรรม มี 4 อย่าง คือ

    ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้
    อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
    อปราปริเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆไป
    อโหสิกรรม หมายถึง กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก

    จำแนกตามหน้าที่ของกรรม
    กรรมจำแนกตามหน้าที่การงานของกรรม (กิจจตุกะ) กรรมมีหน้าที่ ที่จะต้องกระทำสี่อย่าง คือ

    - ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด กรรมแต่งให้เกิด

    - อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมสนับสนุน กรรมที่ช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติม ต่อจากชนกกรรม

    - อุปปีฬิกกรรม หมายถึง กรรมบีบคั้น กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน

    - อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมตัดรอน กรรมที่แรงฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมทั้งสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว

    จำแนกลำดับการให้ผลของกรรม
    กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม(ปากทานปริยายจตุกะ) จำแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลำดับความแรงในการให้ผล 4 อย่าง

    - ครุกกรรม (หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม) หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม

    - พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมากหรือทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม

    - อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น

    - กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมสักแต่ว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล

    จำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม
    กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม(ปากฐานจตุกะ) แสดงที่ตั้งแห่งผลของกรรมสี่อย่าง เป็นการแสดงกรรมโดยอภิธรรมนัย(ข้ออื่นๆข้างต้นเป็นการแสดงกรรมโดยสุตตันตนัย)

    อกุศลกรรม
    กามาวจรกุศลกรรม
    รูปาวจรกุศลกรรม
    อรูปาวจรกุศลกรรม

    กรรมดำ กรรมขาว
    นอกจากเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วแล้ว ยังมีการอธิบายกรรมอีกนัยหนึ่ง โดยอธิบายถึงกรรมดำกรรมขาว จำแนกเป็นกรรม 4 ประการ คือ

    กรรมดำมีวิบากดำ ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา

    กรรมขาวมีวิบากขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็งอยากได้ มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ

    กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทั้งทุกข์ระคนกัน

    กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำ เจตนาใดเพื่อละกรรมขาวอันมีวิบากขาว และเจตนาใดเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เช่น ผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด โพชฌงค์เจ็ด


    กฏแห่งกรรม
    กฎแห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติ ข้อหนึ่ง ที่ว่าด้วยการกระทำ และผลแห่งการกระทำ ซึ่ง การกระทำและ ผลแห่งการกระทำนั้น ย่อมสมเหตุ สมผลกัน เช่น ทำดี ย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว เป็นต้น

    กรรมใดใครก่อ ตนเองเท่านั้นที่จะได้รับผลของสิ่งที่กระทำ
    กรรมในปัจจุบันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต และกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันเป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังอนาคต

    กรรมดี-กรรมชั่ว ลบล้างซึ่งกันและกันไม่ได้
    ถึงแม้ว่าการทำกรรมดีจะลบล้างกรรมชั่วเก่าที่มีอยู่เดิมไม่ได้ แต่มีส่วนช่วยให้ผลจากกรรมชั่วที่มีอยู่เดิมผ่อนลง คือ การผ่อนหนักให้เป็นเบา(ข้อนี้ อุปมาได้กับ การที่เรามีน้ำขุ่นข้นอยู่แก้วหนึ่ง หากเติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปแล้ว มิสามารถทำให้น้ำขุ่นกลับบริสุทธิ์ได้ แต่ทำให้น้ำขุ่นข้นนั้นกลับเจือจางลงและใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม)

    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ [1] พุทธพจน์ จากพระไตรปิฎก

    อ้างอิง
    ^ (จูฬกัมมวิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔)

    อ้างอิง
    "พระอภิธัมมัตถสังคหะ".และ"อภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา".
    พระพุทธโฆษาจารย์. "คัมภีร์พระวิสุทธิมรรค".
    พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม".
    พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร). "กรรมทีปนี".
    "อัฏฐสาลินีอรรถกถา".
    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต กรรมวรรค
    จูฬกัมมวิภังคสูตร
    วาเสฏฐสูตร
    พระอภิธรรมออนไลน์.

    ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ตุลาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...