การเจริญกรรมฐานของแต่ละคน ทำไมได้เร็วช้าต่างกัน ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 23 ตุลาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ถาม: การเจริญกรรมฐานของแต่ละคน ทำไมได้เร็วช้าต่างกัน ?

    ตอบ: การเจริญกรรมฐานนั้นเป็นเรื่องของบุคคลที่สร้างบารมีมาในระดับปรมัตถบารมี (สูงสุด) เท่านั้น ถ้าเป็นสามัญบารมี (ต้น) จะให้ทานได้ แต่รักษาศีลหรือเจริญภาวนาไม่เป็น ถ้าเป็นอุปบารมี (กลาง) จะให้ทานหรือรักษาศีลได้

    แต่เจริญภาวนาไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะหมดโอกาสในการทำความดีด้านการภาวนาเลยเสียทีเดียว การภาวนานั้นแม้เล็กน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยส่งผลให้กระทำได้มากยิ่งขึ้นในโอกาสต่อๆ ไป ท่านที่เจริญภาวนาได้เร็ว เนื่องเพราะนอกจากมีของเก่ามากแล้ว ยังมีวิสัยเป็นพุทธจริต (ผู้มีความฉลาดมาก)

    ส่วนท่านที่ภาวนาได้ช้า ถ้าไม่ใช่เพราะมีของเก่าน้อย สร้างบารมีมาน้อย ก็อาจเป็นท่านที่มีวิสัยวิตกจริตและโมหจริต ซึ่งจะทำได้ช้ากว่าพุทธิจริตเขาด้วยประการฉะนี้





    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ....ขอบคุณครับพี่ตั้ม



    .
     
  3. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  4. sutthida

    sutthida เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +3,388
    เป็นวิตกจริต มิน่าได้มโนช้ากว่าคนอื่นเขา
     
  5. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    • ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
      หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ

      ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
      หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

      "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
      ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ

      แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"

      ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
      ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
      อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  6. pommaibike

    pommaibike เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +115
    [​IMG][​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  7. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +673
    อนุโมทนาครับ ที่มาเตือนสติ!! มีประโยชน์จริงๆ อนุโมทนาครับ
     
  8. Khundeaw

    Khundeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    339
    ค่าพลัง:
    +706
    จะพยายามสร้างบารมีให้มากขึ้นให้ได้..เพื่อจะได้ปฏิบัติได้เร็วขึ้น

    อนุโมทนาสาธุกับกระทู้ดีๆอย่างนี้
     
  9. UFO99

    UFO99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +983
    การท่องอิติปิโส 108 จบทุกวัน ทำให้เกิด ญาณอ่อนๆ คือ ยังผลให้เกิดเจโตอ่อนๆ อนาคตังสญาณอ่อนๆ และทำอะไรก็จะพอเหมาะพอดีกับเวลาที่ทำ ยิ่งเจริญขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งเห็นผลเรื่อยๆ ยังสติให้เกิดกับตัวอยู่ตลอดเวลา จะหยิบจะจับ จะเดิน จะนั่งจะมีสติโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ตัวอุเบกขาจะเกิดขึ้นมาเองเรื่อยๆ
    นี่เป็นประสบการณ์ของผม ที่ผมทำตามหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง
    ที่ผมฟังจากวิทยุครับ
     
  10. nplnpl

    nplnpl สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +2
    ช่วยแล้ว

    การนั่งต้องได้จุดโฟก้สจึงจะเร็วและมีพล้งครับ

    n p l
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  11. khunsittiporn

    khunsittiporn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +1
    พยายามนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้ว นั่งไม่เคยเกิน 15 นาทีเลย
    เพราะเจ็บเข่า

    ไม่รู้ว่าเริ่มต้นอย่างไร ไปเรียนที่วัดยานนาวามา นั่งอ่านหนังสือหลายเล่มแล้ว แต่จะพยายามต่อไป
     
  12. ganmeilian

    ganmeilian Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +51

    ทำสมาธิ ทำได้ทั้ง ๔ อิริยาบท นั่ง นอน ยืน เดิน ถ้านั่งแล้วมีปัญหา ลองเดินจงกรมดูก็อาจช่วยได้
     
  13. ผู้หญิงธรรมดา

    ผู้หญิงธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +535
    ต้องทำไป ทีละเล็กทีละน้อยไม่ท้อถอย สักวันก็จะได้เองแหล่ะ เน๊อะ
     
  14. fapatan

    fapatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +134
    ผมขอเสริมนิดนึงครับ จิตมีสภาพเดิมประภัสสร ผ่องใสอยู่แต่เดิมแล้ว จิตนี้ไม่ใด้ดับสูญ
    มีแต่ขันธ์ทั้งหลายที่แตกดับไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จิตนี้ยังดำรงอยู่ทุกภพทุกชาติ เพราะถูกอารมณ์ที่มากระทบปรุงแต่งให้เป็นไป จนยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายนี้ของเราว่าตัวตนของเรา จนต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ แท้จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงก็คือจิต คำว่าการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้หลุดพ้น ก็คือการพยายามกลับไปสู่สภาพดั้งเดิมของจิตนั่นเอง ฉะนั้นเรื่องของการสร้างบารมีก็คือความทรงจำของจิตที่ได้ฝึกฝนปฏิบัติมาในภพชาติที่ผ่านมานั่นเอง เมื่อมาทำการฝึกฝนต่อในชาตินี้ก็จึงเกิดความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะจิตนี้ก็คือจิตดวงเดียวกันจากทุกภพทุกชาตินั่นเอง แต่สำหรับคนที่เพิ่งปฏิบัติอย่าเพิ่งท้อนะครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมอันทำให้เกิดความสำเร็จคืออิทธิบาท4และหนึ่งในนั้นก็คือความเพียร เมื่อต้องการความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จต้องใช้ความเพียรครับ ดั่งพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสว่า ทางไปสู่นิพพานก็มีอยู่แล้ว ผู้ชี้ทางไปสู่นิพานคือตัวเราตถาคตก็มีอยู่แล้ว แล้วเธอใยไม่เดินไปสู่นิพพานอีกเล่า ดังนั้นเมื่อเราชาวพุทธศาสนิกชนก็มองเห็นเส้นทางนั้นอยู่แล้วก็จงเร่งเดินไปในเส้นทางนั้น จะยาวนานแค่ใหน จะกี่ภพกี่ชาติ ก็คงต้องถึงซึ่งเส้นชัยคือพระนิพพานในที่สุด ฉะนั้นจงทำความเพียรให้ถึงที่สุดเถอะครับแล้วเราจะประสบความสำเร็จในที่สุดจะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ (เรื่องจิตนี้อ้างอิงจากพระสูตรครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2008
  15. fapatan

    fapatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +134
    แนะนำครับ

    ใช้การพิจรณาเวทนาที่เกิดขึ้นครับ อย่างเจ็บเข่าก็ภาวนาว่าเจ็บเข่าหนอ ให้สติจับอยู่ที่เข่าครับ ยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่จิตก็จะยิ่งจดจ่ออยู่ที่เข่านั้นมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นสมาธิ คำว่าสมาธิก็คือการไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์จากอายตนะทั้ง5ที่มากระทบครับ เมื่อจิตเป็นสมาธิมีแต่ความสงบ สว่าง มีแต่ความสุขครับ ไม่มีเจ็บปวด อย่าไปยึดติดกับร่างกายมันไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวตนของเรา ตัวตนของเราคือจิต ที่ปวดเข่าร่างกายมันปวดเราไม่ใด้ปวดอย่าไปตามมันครับ ลองเอาคำแนะนำนี้ไปปฏิบัติดูครับ แล้วจะพบว่าคุณสามารถเอาชนะความเจ็บปวดได้ ต่อไปจะนั่งทั้งวันก็ได้ครับ ( วิธีการนี้เป็นของหลวงพ่อจรัล ฐิตธัมโม ครับ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  16. pangbood

    pangbood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +69
    อนุโมทนาคะจะพยายามให้มากๆ รู้สึกโชคดีที่ได้เจอเวปนี้มากคะเวลาอ่านข้อความต่างๆบางครั้งก็เกิดปิติสุข น้ำตามันจะไหลตื้นตันเป็นที่สุด
     
  17. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    อนุโมทนาครับ พึ่งจะทราบตัวเองเป็นประเภทวิตกจริตกับโมหจริต
    หลงน้อยใจในวาสนาน้อยตัวเองมานาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...