วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    ลูกคนหนึ่งชอบโกหก...พ่อแม่ จะทำอย่างไรไม่ให้โกหกอีก !!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เมื่อไม่นานมานี้ผมมานั่งๆนอนๆคิดๆว่า
    ไอ้ความสุขโลกๆที่เรียกว่าโลกียสุขนี่
    ถ้ามีคนนึงสุข ก็ต้องมีอีกคนนึงทุกข์
    ถ้าไม่มีไก่ตาย เราก็ไม่มีข้าวกิน
    ถ้าไม่มีชาวนาที่ต้องลำบากเพื่อปลูกข้าว เราก็ไม่มีข้าวกิน
    ถ้าไม่มีคนแพ้ ก็ไม่มีคนชนะ
    ถ้าไม่มีคนสอบได้ที่โหล่ ก็ไม่มีคนสอบได้ที่หนึ่ง
    ถ้าคนอื่นไม่จน เราก็ไม่รวย
    ถ้าไม่มีคนผิดหวัง เราก็ไม่มีทางสมหวัง
    แปลว่าการที่เราจะเสาะแสวงหาความสุขทางโลกๆมาปนเปรอเรานี่
    ก็จะต้องมีคนอื่นที่ต้องทุกข์ เพื่อให้เราได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
    แล้วเราจะยังคงมีความอยากได้ใคร่ปรารถนาในการแข่งขัน แย่งชิง ยื้อแย่ง
    ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาเป็นของเราแล้วมอบความทุกข์ให้กับผู้อื่นเพื่อประโยชน์อะไร
    สรุปแล้วแปลว่า ถ้าแข่งกันแล้ว จะชนะหรือแพ้ก็ทุกข์
    ดังนั้นใครอยากจะแข่งกับเราก็ปล่อยให้เขาแข่งไป แต่ว่าเราไม่ไปแข่งกับเขาด้วยจะดีที่สุดครับ
    เราแค่ประคับประคองร่างกายตัวเองโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
    ตราบจนกว่าจะถึงวันที่เราเสร็จสิ้นภารกิจจะดีกว่า
    ก็การเกิดน่ะ มันทุกข์อย่างนี้ แล้วเราจะมาเพิ่มความทุกข์ให้มันมากขึ้นไปอีกทำไม
    สำหรับผมแล้วใครเขาอยากจะได้อะไรจากผมก็ให้เขาเอาไปเถอะครับ
    ผมกินข้าวแล้วก็นอนยิ้มหลับสบาย แต่ไม่ได้อู้งานนะครับ แค่พักชั่วคราว
    เดี้ยวมาหาว่าอู้งานไม่ได้นะ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่ว่ามานี้เรียกว่า "ทวินิยม" เป็นการเทียบแบบเป็นคู่

    ดี-เลว

    ถูก-ผิด

    ดำ-ขาว

    หยิน-หยาง

    ตราบที่ยังข้องแวะอยู่ใน ทวินิยม อารมณ์จิต ก็ยัง เนื่องด้วยโลกียอารมณ์

    ชอบ-ไม่ชอบ

    พึงใจ-ไม่พอใจ

    เป็นตัณหาและ ภวตัณหา

    แปรปรวนไปตามกระแสโลก


    เมื่อเราพิจารณาจนเราเข้าใจ ในทวินิยม เห็นธรรมดา ใน ทั้งสองด้าน

    ไม่ตกอยู่ในกระแส อารมณ์ของทั้งสองด้าน

    จิตตั้งมั่นในอุเบกขารมณ์ พ้นจาก การปรุงแต่งในอารมณ์ของ ความพอใจ ไม่พอใจ พ้นจากอารมณ์เปรียบเทียบ

    เห็นความเป็นไปของธรรมชาติ

    ที่สุดก็จะปรากฏ "ความเป็นธรรมดา ในทุกสรรพสิ่ง ความเป็นธรรมดาใทกเหตุการณ์"

    จิตก็จะมั่นคงไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นในธรรม

    มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งอาศัยสูงสุด
     
  4. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    -ขออภัยค่ะที่พูดไม่เคลียร์ในตอนท้าย จริงๆนอกจากจะต้องพูดว่า เป็นอาการ จิตติด(หรือยึด)ขัณฑ์ โดยเกาะในลักษณะที่ไม่ได้แค่เข้าไปรับแรงกระเทือนอย่างเดียวแต่ดันไปร่วมหมุนเป็นวงโคจรนั้นด้วย การเข้าไปร่วมทำกิจกรรมนี้เองทำให้หลงว่า กระบวนการทั้งหมดเกิดจากจิต แต่ มันไม่ใช่ค่ะ กระบวนการเกิดที่ขัณฑ์ ทำกิจกรรม จิตแค่เป็นผู้ร่วมรับรู้ เท่านั้น กระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดอนุมานว่า มันคล้ายกับ การก่อตัวของพายุ คือ พายุมันหมุนพาอนุภาครอบๆนอกตัวหมุนวนอย่างรันแรง แต่ตรงกลางที่คนโบราณเขาเรียกว่าตาพายุ มันจะนิ่ง ก็เปรียบได้กับจิตธาตุ เป็นสักแต่ธาตุรู้ เท่านั้นแต่กระบวนการที่เกิดขึ้นกับธาตุขัณฑ์มันทับซ้อนการเทือนจากนอกสุดเข้าในแล้วทำให้ในสุดกระเทือนออกนอกสลับสับสนยุ่งเหยิงปนเปจนเราคิดว่าแรงกระเทือนทั้งหมดเกิดระลอกเดียว ทั้งๆที่มันเกิดหลายๆระลอกแล้ว เหมือนเราดูภาพการ์ตูนทางทีวี เราเห็นมันเคลื่อนไหว แต่ที่จริงมันคือ ภาพการ์ตูนทีละภาพๆๆมา ซ้อนๆๆๆๆๆกัน(เคยเล่นไหมค่ะที่มันเป็นสมุดภาพแล้วเปิดทีเดียว ฟืบๆๆๆๆแล้วเราเห็นมันเคลื่อนไหวอ่ะ) มันคือยิ่งแรงกระเทือนในนามธาตุ มันยิ่งเร็วกว่ารูปเยอะ หรืออีกตัวอย่างคือหลอดไฟ เราเห็นมันสว่างตลอดเวลาเพราะตาเรามันรับได้แค่ specific range ของแสง ทั้งทั้งที่ความจริงมันกระพริบเกิดดับตลอดเวลา แต่ตาเราเห็นมันสว่างตลอดเวลา ฉะนั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดความโง่อะไรเลยที่เราจะหลงไปร่วมกระเทือนกับมันเพราะเราเล่นกับมันมานานจนเป็นความเคยชิน เหมือนมีความรู้สึกว่าเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน!!!

    เราปฏิเสธมันไม่ได้เพราะมันเป็นไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ
    แค่เรารู้ว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นตามเหตุปัจจัย จริงๆแล้วจิตเราแค่รู้แรงกระเทือนเท่านั้นเอง

    ถ้าเรารู้ในลักษณะนี้แล้ว ย้ำคิดบ่อยๆเมื่อไหร่ที่มันกระเทือนเราก็รู้ว่าแกนกลาง มันไม่เต้นไปด้วยมันแค่รู็และรับแรงกระเทือนแต่ไม่ใช่ตัวสั่นสะเทือนค่ะ นั่น คือ สักแต่ว่า รู้ เมื่อรู้แนบแน่น(ยอมรับมากขึ้น) เข้าแกนกลางก็จะนิ่งเข้าจนข้างนอกมันปั่น ข้างในมันไม่ปั่นด้วย

    ปล. นี่รู้มาค่ะคนเขียนก็ทำไม่ได้เหมือนกันค่ะ ฮิฮิ๐๐ (ทำอวดดี ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง กลวงโบ ค่ะ)



    อ้อ
    ขอเพิ่มตอนที่คุณดอกขจรเล่า คือ ท่านปาฏาจาราเถรีค่ะ ที่อุ้มศพ ลูกวิ่งเข้ามาหาสมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้าให้ชุบชีวิตลูก สมเด็จพระทศพลท่านก็เลยบอกให้นางไปขอผไม่แน่ใจว่าเป็นข้าวสาร หรืออย่างอื่น) จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย มาก่อน ท่านเคาะทุกบ้านจนเหนื่อยปรากฏว่าไม่มีบ้านใดที่ไม่มีคนตายเลยทุกคนมีบรพบุรุษที่ตายทั้งนั้น ท่านก็เลยหมดแรงร่ำไห้ แล้วพระสัพพัญญูพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า น้องหญิงขอให้สติเธอจงกลับมาเถิด แล้วท่านปาฏาจาราก็มีสติกลับมาแล้วก็มีคนโยนผ้ามาให้ท่านปิดกาย แล้วสมเด็จพ่อพุทธะท่านจึงตรัสว่า น้องหญิง ความตาย การพลัดพรากจากของรักมันเป็นธรรมดาของคน ท่านปาฏาจารา จึงได้สติเพราะได้เพียรหาเมล็ดข้าวจากบ้านที่ไม่มีคนตายเลย แต่หาไม่มีเพราะทุกบ้านมีคนตายกันหมดท่านจึงปลงอนิจจังและมีดวงตาเห็นธรรม เออหนอชีวิตมนุษย์ มีพบมีพรากมีจาก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ไม่มีอะไรให้อาลัยเพราะชีวิตไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา!!!

    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระภควัต์พระผู้เสด็จไปแล้วซึ่งแดนพระนิพพานค่ะ

    ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขออภัยพอลองอ่านประวัติของนางปาฏาจาราแล้วรู้ว่าปูได้ลงประวัติท่านคลาดเคลื่อนเยอะค่ะ เลยนำประวัติของท่านที่ถูกต้องมาให้อ่านค่ะ

    พระปฎาจาราเถรี

    พระปฏาจาราเถรี เดิมเป็นบุตรของเศรษฐีเมืองสาวัตถี เป็นที่รักและหวงแหนของ
    บิดามารดา ไม่ยอมให้คบหาสมาคมกับบุรุษใด ถึงกับสร้างปราสาท 7 ชั้น ให้บุตรสาวอยู่ ไปไหนมาไหนก็ต้องคนใช้ติดตาม ทำให้นางอึดอัดมาก จนใน ที่สุดนางเกิดความรักใคร่
    กับคนใช้หนุ่มในบ้าน แอบมีสัมพันธ์กันลับ ๆ
    ต่อมา บิดามารดาของนางปฏาจารี จัดการแต่งงานนางกับบุตรชายเศรษฐีที่ฐานะ
    ทัดเทียมกัน นางไม่สมัครใจรักด้วย นางจึงปรึกษากับคนรักและแอบหนีตามชาย(คนใช้)
    คนรักไปยังชนบทห่างไกล
    แม้จะยากจนอย่างไรนางก็ยอมอดทนเพราะอานุภาพแห่งความรัก ทั้งสองครองรักกัน
    ในกระท่อมอย่างมีความสุข จนนางตั้งท้องบุตรคนแรก เมื่อใกล้คลอดบุตร นางนึกถึง
    บิดามารดา คิดว่าหากคลอดลูกท่ามกลางบิดามารดาญาติพี่น้องคงจะอบอุ่นและปลอดภัย จึงขอร้องสามีให้พากลับไปยังเมืองสาวัตถี แต่สามีกลัวความผิดที่กระทำไว้ เกรงว่าบิดามารดานางคงจะไม่ให้อภัยจึงไม่ยอมพาไป
    เมื่อสามีนางออกไปทำงาน นางจึงหนีสามีเดินทางกลับเพื่อไปหาบิดามารดา ระหว่างทางก็รู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรงและคลอดลูก ในระหว่างนั้นสามีนางได้ออกตามหา จนตามมาพบและพานางกลับ นางยินยอมกลับเพราะเห็นว่าลูกเพิ่งคลอดหากเดินทาง
    จะลำบากกับลูก
    ครั้นต่อมา นางได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 นางก็รบเร้าให้สามีพากลับไปคลอด
    ที่บ้านบิดามารดาอีก แต่สามีก็ไม่ยอมเหมือนเดิม จึงหนีกลับอีก สามีนางตามมา
    ทันเช่นเดิม บังเอิญคราวนี้เกิด พายุฝนฟ้าคะนอง ฝนกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา
    สามีนางจึงไปหากิ่งไม้ใบไม้มาทำเพิงที่พักหลบฝน แต่เคราะห์ร้ายสามีนาง
    ถูกงูกัดตายต่อหน้า นางต้องทนทุกข์โศกเศร้าเสียใจ
    พอรุ่งเช้า ฟ้าสว่างพอเห็นทาง นางจึงอุ้มลูกที่เกิดใหม่ อีกมือก็จูงลูกชายคนโต มุ่งหน้า
    ไปยังเมืองสาวัตถี พบกระแสน้ำไหลเชี่ยวขวางทางอยู่ แต่นางไม่สามารถพาลูกทั้งสอง
    ขามน้ำพร้อมกันได้ จึงวางลูกคนเล็กไว้บนฝั่ง อุ้มลูกคนโตข้ามไปอีกฝั่งก่อน จึงว่ายน้ำ
    ข้ามมารับลูกคนเล็ก เมื่อถึงกลางลำธาร มีเหยี่ยวบินโฉบเอาลูกคนเล็กไปต่อหน้า นางจึงยกมือทั้งสองโบกพร้อมร้องตะโกนไล่เหยี่ยว แต่ไม่เป็นผล ส่วนลูกคนโต
    เห็นแม่โบกมือ คิดว่าแม่กวักมือเรียกให้ลงน้ำ จึงกระโจนลงน้ำแต่ว่ายน้ำไม่เป็น ทำให้ลูกคนโตจมน้ำหายไปต่อหน้าเช่นกัน นางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
    ที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักไปทั้ง 3 คน
    นางเดินทางพร้อมกับร่ำไห้ไปตลอดทาง มุ่งหน้ากลับไปหาบิดามารดา ซึ่งเป็นที่
    พึ่งสุดท้าย พบชาวเมืองเดินสวนทางมา นางจึงถามถึงบิดามารดาของนาง ชาย
    ผู้นั้นบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ แต่เมื่อนางรบเร้าถาม จึงบอกว่าเศรษฐีพร้อมภรรยา รวมทั้งพี่ชายคนโตของนางปฏาจาราได้เสียชีวิตหมดแล้ว เพราะคืนที่ฝนตกหนัก เกิดฟ้าผ่าบ้านเศรษฐีจนเกิดไฟไหม้คลอกคนในบ้านตายหมด แล้วจึงชี้ให้ดูเปลว
    เพลิงที่ยังไหม้มองเห็นแต่ไกล เมื่อนางได้ฟัง สติของนางก็ขาดผึงทันที นางล้มลง
    สิ้นสติ เมื่อนางฟื้นอีกทีก็หามีสติเป็นอย่างเดิมไม่ กลายเป็นคนเสียสติ จนผ้าผ่อน
    ที่นุ่งหลุดหายเปลือยล่อนจ้อน เดินวนเวียนอย่างไร้จุดหมาย เร่ร่อนไปอย่างคนบ้า ชาวเมืองที่ไม่รู้ประวัตินางก็พากันขับไล่ นางเดินสะเปะสะปะมาจนถึงพระเชตวัน
    มหาวิหาร ขณะนั้นพระบรมศาสดากำลัง แสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทอดพระเนตรเห็นประชาชนกำลังขับไล่หญิงบ้าไม่ให้เข้าใกล้สถานที่แสดงธรรม
    (อาจจะเห็นนางเปลือยน่าอุจาด) สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงตรัสอนุญาตให้นางเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสเตือนสติว่า
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    พระไตรปิฎก โลกุตตระธรรม...มาตามหา ผู้ที่สัญญาไว้
    ให้กลับมาทำ ทำให้สำเร็จ
    สักวัน ผู้ทำได้คงต้องมา
    เป็นเรื่องราวของสัจจะ ของศาสนาเพื่อหลุดพ้นทุกข์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2008
  7. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสแนะนำผู้ปรารถนาพุทธภูมิ เมื่อ วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. ว่า...[​IMG]


    [​IMG] สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่ปรารถนาพุทธภูมิ อาจมีหลายท่านที่บางครั้งตั้งใจทำความดี แต่มีสิ่งมากระทบบั่นทอนกำลังใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เกิดโทสะ [​IMG] ขอเปรียบเทียบเพื่อให้กำลังใจแก่ทุกท่านดังนี้ ธรรมดาเพชรนั้นเป็นของสูงค่า ส่องแสงเป็นประกายสวยงามตามธรรมชาติ ไม่ว่าตกไปอยู่ในโคลนตมแห่งใด ก็ยังเปล่งประกายอยู่เสมอ เพชร กับ พลอย จึงมีค่าต่างกัน [​IMG] ผู้ปรารถนาพุทธภูมิจึงง่ายต่อการพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นเพชรหรือเป็นพลอย...[​IMG] เมื่อผงเข้าตาเราเอง (ผงเปรียบเสมือนกิเลส..ความเศร้าหมอง ปัญหา อุปสรรค) เรายังไม่สามารถเขี่ยออกจากตาได้ ก็เท่ากับว่าเรายังปฏิบัติตนเข้าไม่ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร

    [​IMG] ดังนั้นผู้ที่เป็นพุทธภูมิจะต้องศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์ให้แจ่มแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ บารมี ๑๐ ขอให้พิจารณาให้มากๆ ว่า มีอะไรบ้าง และเรายังขาดข้อไหน ก็ให้เร่งปฏิบัติ ให้แจ่มใส

    [​IMG] และถ้าใครอ่านแล้วเห็นประโยชน์นำไปปฏิบัติแล้วเกิดความก้าวหน้าขอให้เล่าให้กันฟังบ้าง ขออนุโมทนา
    ....



    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    อ่านคำสอนสมเด็จองค์ปฐมใหม่ล่าสุด "การแก้ปัญหาในกลุ่มปฏิบัติธรรมให้แก้เฉพาะจุด"

    [​IMG]"ความสามัคคีในคณะปฏิบัติธรรม และการวางอารมณ์ในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา"[​IMG]


    [​IMG] คงจะเคยมีคณะปฏิบัติธรรมหลายคณะที่มีปัญหาเกี่ยวกับ[​IMG] ความเข้าอกเข้าใจกัน ความรักใคร่ สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในคณะ ไม่อยากให้ต้องผิดใจกัน อยากให้คณะเรารักกัน จนดิฉันเองก็เคยคิดน้อยใจอยากลาออกจากคณะ [​IMG] เพราะเบื่อที่ต้องเจอแต่ปัญหาซ้ำซาก และข้อคับข้องใจนี้ [​IMG]

    [​IMG] ได้เคยนั่งกรรมฐานถาม สมเด็จองค์ปฐม ท่านตรัสตอบว่า...

    [​IMG] "อย่ามาถามพ่อเลย ทุกอย่างให้ถามที่ใจของพวกเจ้าแต่ละคนว่า...


    [​IMG] วางอารมณ์ถึงพร้อมที่จะทำความดีเพื่อพระพุทธศาสนารึยัง...? การที่เรารวมตัวกันเป็นคณะปฏิบัติธรรม ขอให้คิดว่าประธานคณะคือ พระพุทธเจ้า...

    [​IMG] และเราร่วมใจกันปฏิบัติกิจกรรมทางพุทธศาสนา เป็นการทำความดีถวายเป็นพุทธบูชา [​IMG] ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้ จิตก็จะสงบ อิ่มเอม มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำกิจกรรมทางศาสนาเพื่อส่วนรวม

    [​IMG] เวลาเกิดปัญหาในกลุ่มปฏิบัติธรรม ขอให้แก้เฉพาะจุดของปัญหานั้น [​IMG] เปรียบคณะปฏิบัติธรรมเหมือนท่อน้ำประปาขนาดใหญ่ที่ส่งน้ำไปตามบ้านเรือน ชาวบ้านย่อมได้รับประโยชน์อย่างสูงจากน้ำประปาที่บริสุทธิ์ ใสสะอาด อาจมีบางจุดที่ท่อรั่ว น้ำไหลซึม[​IMG] เราก็ควรจะแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่น้ำรั่ว อย่าเอาขวานมาทุบตีท่อใหญ่ให้แตกเสียหายเลย จะพลอยทำให้เสียผลประโยชน์กันหมด"

    [​IMG] หลังจากที่ออกจากกรรมฐานในวันนั้น ดิฉันมีความสุขมาก จิตเบาสบาย และก็คิดว่าเราเป็นหนึ่งในลูกของพระพุทธองค์..เราก็ควรจะอยู่ในคณะเพื่อทำความดีไป จึงอยากแบ่งปันคำสอนของพระพุทธองค์แก่ทุกท่านที่เคยมีความรู้สึกเบื่อหน่ายเช่นดิฉัน... ขอนุโมทนาค่ะ

    ...มะลิแก้ว...


    http://board.watthummuangna.com/showthread.php?t=7349
     
  8. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,348
    ค่าพลัง:
    +3,864
    เมื่อ 3 วันที่แล้ว กระทู้วิชชามีตัวเลขคนเปิดอ่าน ประมาณ 99,500

    วันนี้กลับมา ได้ยอดอ่านขึ้นหลักแสน แล้ว เย๊ ~


    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=threadbits_forum_178><TR><TD class=alt1 id=td_threadtitle_44604 title="วิชชาที่จะทำให้อยู่จากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

    ผมขอแบ่งออกเป็น 2ภาคครับ คือภาคของวิทยาศาสตร์และภาคของจิตครับ ต้องมองและพิจารณาสถานการณ์ทั้ง สองถึงสาม มิติครับ

    ก่อนอื่นภัยพิบัติที่มวลมนุษยชาติจะต้องประสบในเวลานับจากนี้ก็คือ ภัยจากอาวุธนิวเคลียร์...">แนะนำ วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ ([​IMG] 1234567891011121314151617181920 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG] kananun
    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 2,665, จำนวนอ่าน: 100,026">วันนี้ 07:03 PM
    โดย Forever In LoVE [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 align=middle>2,665</TD><TD class=alt2 align=middle>100,026</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2008
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุ ...อนุโมทนาจ้าน้องนากามูระ ขอบใจมากๆจ้าที่นำธรรมะดีๆมาให้อ่าน พออ่านแล้วทำให้มีกำลังใจมากขึ้นในการปฏิบัติธรรมและทำงานจ้ะ ทีนี้ไม่ท้อแล้ว พร้อมที่จะลุยทำงานต่อแล้วค่ะ ^-^
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากที่พระท่านสั่งงาน มา

    พอคนอ่านกระทู้วิชชาครบแสน

    ก็ได้วาระในการจัดสร้าง

    "พระเจ้าองค์แสน"

    และนับแต่นี้ไป กำลังใจของพวกเรา ทุกคนในการทำงานเพื่อส่วนรวม ก็จะส่งผลต่อส่วนรวมได้สูงยิ่งขึ้น
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ต้น ยัน ปลาย ๑

    สวัสดีค่ะทุกๆ ท่าน....

    วางจิตวางใจ กันได้เบา สบาย โล่ง โปร่ง ใส เป็นแก้วประกายพรึก... กันเป็นประจำหรือยังคะ...

    วันนี้ธรขออนุญาตทุกท่านคุยยาวหน่อยนะคะ... อย่าเพิ่งเบื่อ อย่าเพิ่งเลิกอ่านกันกลางคันซะก่อนนะคะ... ^__^

    ..............................................

    เมื่อวานได้ดูสารคดีสัตว์โลก... ดูแล้วนำมาพิจารณาได้ดังนี้ค่ะ...

    ในสารคดี... แม่เสื้อดาวมีลูกๆ ๔ ตัว ตัวผู้สอง ตัวเมียสอง... ลูกๆ ทั้งสี่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู... ขนฟูฟอง ตาแจ่มแจ๋วน่ารัก...

    แม่เสือดาวต้องคอยไปจับสัตว์อื่นๆ มาให้ลูกๆ กิน... จนลูกๆ โตพอที่จะเริ่มมาสังเกตุการณ์วิธีจับเหยื่อของแม่...

    จนวันหนึ่ง... ในขณะที่ลูกๆ เฝ้าดูแม่วิ่งไล่กวางตัวใหญ่อย่างเต็มฝีเท้าอยู่นั้น... ลูกๆ พากันลืมตัว ออกมาจากที่ซ่อน ที่พรางตัว... ทำให้ฝูงสิงโตเห็น... ลูกเสือทั้งสี่ตัวไม่ทันเห็นภัยที่กำลังเยื้องกรายเข้ามานั้น... ต่างจดจ้องไปที่แม่ของตัวที่กำลังกวดกวางใกล้เข้าไปๆ ทุกที... จนสิงโตใกล้เข้ามามากแล้ว....

    ทันใดนั้น มีหมาป่าตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่แถวนั้น... หันไปเห็นสิงโตเข้า... จึงร้องเตือนออกมาด้วยเสียงอันดัง...

    ลูกเสือได้ยินรีบเผ่นแผล็ว... หนีกระเจิดกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง...

    แม่เสือดาวได้ยินด้วย... รีบหยุดการไล่ล่านั้น แล้วหันกลับมาดูเหตุการณ์...

    ลูกเสือตัวหนึ่งวิ่งหนีด้วยความเร็ว... แล้วหักหลบเข้าไปแอบอยู่ในพงหญ้าสูง...

    อีกตัววิ่งหนีเข้าไปอยู่ในซากต้นไม้เก่าที่กลายเป็นอุโมงค์อย่างดี...

    ในขณะที่อีกสองตัว... ละล้าละลังไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีดี หรือ หลบซ่อนดี...

    แม่เสือเห็นเช่นนั้น... จึงส่งเสียงเรียกให้สิงโตสนใจตัวเอง... และก็ได้ผล...

    มีสิงโตตัวหนึ่ง ผละจากการไล่ล่าลูกๆ วิ่งตามตัวแม่ไป...

    ในที่สุด... แม่เสือดาวก็หนีรอดปลอดภัย...

    เมื่อปลอดภัยดีแล้ว... แม่เสือร้องเรียกลูกๆ ให้กลับมารวมตัวกัน...

    มีเพียงตัวผู้สองตัวเท่านั้นที่กลับมา...

    แม่เสือเฝ้าร้องเรียกหาลูกอีกสองตัวอยู่ทั้งคืน... แต่ก็ไร้ผล...

    ............................................................... (มีต่อ ภาค๒ค่ะ)
     
  12. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ต้น ยัน ปลาย ๒

    จากสารคดีที่ได้ดู...

    ทำใหเห็นว่า การดำรงชีพของคนกับสัตว์นั้นไม่แตกต่างกันเลย...

    สัตว์เดรัจฉานน้อยใหญ่... ล้วนเบียดเบียนสัตว์อื่น... เพื่อการยังชีพ เพื่อเอาตัวรอด เพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์แห่งตน...

    มนุษย์เองก็เฉกเช่นเดียวกัน...

    สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์โลกอื่นๆ... ก็ตรงที่มนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่... สัญชาติญาณในการเอาตัวรอด...

    แต่มนุษย์มีสติปัญญา สามารถแยกแยะความควร ไม่ควรได้...

    แต่ในปัจจุบันนี้... คนส่วนใหญ่ของประเทศ ของโลก... เริ่มที่จะละทิ้งความเป็นมนุษย์ กลับไปหาสัญชาติญาณดั้งเดิมกันมากยิ่งขึ้น...

    ทำไมธรถึงพูดอะไรรุนแรงแบบนั้น...

    ..................................................................

    ข้อปฏิบัติง่ายๆ เลยสำหรับการที่จะทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ คือ ศีล ๕

    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    ๒. ไม่ลักทรัพย์
    ๓. ไม่ประพฤติผิดลูกเขา เมียใคร
    ๔. ไม่พูดปด
    ๕. ไม่ดื่มสุราของมึนเมา (รวมถึงไม่เล่นการพนัน เพราะเป็นอบายมุขชนิดหนึ่ง)

    แค่ ๕ ข้อนี้... คนในปัจจุบัน... ถึงจะไม่ขนาดเอาปืน ผา หน้าไม้ มาไล่ยิงกันตามท้องถนน จนเป็นเรื่องสามัญปกติ...

    แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี... การแย่งชิง การเลื่อยขากัน การมีกิ๊ก การสลับคู่นอน การโชว์เรือนร่างของตัวเองในที่สาธารณะ การพูดโกหกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ การเสพของมึนเมา เล่นการพนันทั้งหลาย... ทุกอย่างปรากฏให้พวกเราเห็นอยู่ทุกหัวถนน ทุกสถานที่ที่เราผ่านไป... จนคนส่วนใหญ่ถือเป็นเรื่องปกติกันไปหมดแล้ว...

    ในที่ทำงาน ในโรงเรียน หรือแม้แต่ในครอบครัวของตัวเอง...

    คนในยุคปัจจุบันนี้... ให้เกียรติความเป็นคน...ซึ่งกันและกันน้อยลงทุกที...

    สัญชาติญาณในการเอาชนะ.... ในการเป็นหนึ่ง... ซึ่งก็คือทิฐิมานะ ความหลงตัว หลงตน หลงในวัตถุ หลงในโลกธรรมทั้ง ๘... การยึดติดในชื่อเสียง เงินทอง สรรเสริญ อำนาจ ฯลฯ... มันช่างมากมายเหลือเกิน...

    จนไม่สนใจว่าสิ่งที่ตนเองต้องการนั้น... ไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใครบ้าง...

    ..............................................................

    สัตว์เดรัจฉาน... เขาล่าได้แล้ว... อิ่มแล้ว... เขาพัก พอ หยุด จนกว่าจะหิวใหม่...

    แต่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้กลับไม่รู้จักที่จะหยุด...

    .....................................................................

    แต่สิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น... ล้วนเป็นธรรมชาติ... ของการเอาตัวรอด...

    ทุกชีวิตล้วนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง และครอบครัว...

    .............................................

    แต่ไม่มีอะไรเที่ยงแท้... ไม่มีอะไรแน่นอน...

    สรรพสิ่งล้วนมีการเกิด ตั้งอยู่ และดับไป...

    เกิดเท่าไหร่ ตายเท่านั้น...

    ........................................................

    จะมัวหลงกันอยู่ทำไม...

    ..................................................

    ทาน... ทุกท่านคงทำกันจนเป็นเรื่องปกติแล้ว...

    ศีล... ต่างรู้แล้วว่าผลของการละเมิดศีลนั้นรุนแรงนัก... พยายามประคับประคองศีลที่มีอยู่แล้ว จากหนึ่งข้อ เพิ่มเป็นสอง สาม สี่ และห้า... จากที่เคยตั้งใจว่าจะถือเฉพาะเวลาทำสมาธิ ปฏิบัติธรรม... ก็เพิ่มเป็นทำตลอดคืนที่นอนหลับบ้าง เพิ่มเป็นวันละชั่วโมง สอง สาม ไปจนถือได้ตลอดทั้งวันบ้าง...

    ภาวนา... ก็หมั่นเจริญ หมั่นทำ ทั้งสมถะ และวิปัสสนา... อย่าทำเฉพาะในเวลาที่ตั้งใจว่า เอ้า! นั่งมันหนึ่งชั่วโมง... ขอให้ทำทั้งวันเท่าที่จะทำได้... ทำให้จิตเขาชิน... นึกได้เมื่อไหร่ก็เอาเลย... ไม่ต้องตั้งท่าตั้งทาง...

    .............................................(มีต่อค่ะ)
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ต้น ยัน ปลาย ๓

    ดังนั้น... เมื่อไม่ต้องการที่จะเสียชาติเกิด... เรามาสร้างบารมีกันดีกว่าค่ะ...

    ในเมื่อขันธ์ ๕ ที่เราอาศัยอยู่นี้... มันเป็นเพียงแค่ธาตุ ๔ เท่านั้น... ดิน น้ำ ลม ไฟ...

    อีกไม่นานมันก็ต้องสูญสลาย เสื่อมลงไปตามสภาพของมัน...

    ในขณะที่เรายังใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้... อย่าใช้งานมันเพียงเพื่อสนองความอยาก ความปรารถนา กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาในทางโลกเพียงอย่างเดียวเลยค่ะ...

    ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว...

    เอาเขามาสร้างบารมีให้เรา... ให้จิต ให้อทิสมานกายของเรา... มีที่อยู่ ที่อาศัย ที่ดีกว่าเดิม เจริญกว่าเดิมดีกว่าค่ะ...

    ๑. ทานบารมี... พอใจในการให้ทานอยู่เสมอ เพื่อเป็นการตัดความโลภในจิตเราให้เบาบางลง

    ๒. ศีลบารมี... พยายามรักษาศีลให้ครบ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกลงสู่อบายภูมิ

    ๓. เนกขัมมบารมี... พยายามระงับเสียซึ่งนิวรณ์ ๕ ให้ได้บ่อยที่สุด มากที่สุดในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างน้อย... ถ้าท่านใดมีกำลังใจเข้มแข็งก็ปฏิบัติถึงขั้นตัดสังโยชน์เป็นอย่างสูง

    ๔. ปัญญาบารมี... ยอมรับนับถือกฎของความจริง เพื่อเป็นการตัดเสียซึ่งความกลุ้ม ความทุกขื ความขุ่นหมองแห่งจิตตน

    ๕. วิริยบารมี... มีความพากเพียรต่อสู้กับกิเลส และอารมณ์ของความชั่ว เป็นการค่อยๆ ทำลายความชั่วให้พินาศไป

    ๖. ขันติบารมี... ต้องมีความอดทน เพราะใจของพวกเราคบหาสมาคมกับความชั่วมานับอสงไขยกัปป์ ถ้าจะต่อสู่กับมัน... ต้องมีความอดทนที่จะเอาชนะกิเลสมันให้ได้

    ๗. สัจจบารมี... ความตั้งใจจริง เราต้องมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำสิ่งใด (ที่เป็นเรื่องของสัมมาทิฐิ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง และผู้อื่น) ต้องตั้งใจ อย่าท้อถอยโดยง่าย

    ๘. อธิษฐานบารมี... ตั้งใจไว้ให้ดีว่า มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกล้วนไม่มีความสุขจริง หมดบุญวาสนา บารมีเมื่อไหร่ก็ต้องประสบกับทุกข์อีก ตั้งใจให้แน่วแน่ว่าเราจะไปพระนิพพานเพียงอย่างเดียว

    ๙. เมตตาบารมี... ตั้งกำลังใจให้ดี ให้ดวงจิตมีความแช่มชื่น ไม่คิดปรารถนาจะเป็นศัตรูกับผู้ใดทั้งสิ้น เราไม่ปรารถนาจะสร้างเวรสร้างภัยให้กับผู้หนึ่งผู้ใดอีกต่อไปแล้ว... ตั้งจิตมอบแต่ความปรารถนาดี ความรัก ความเมตตา ให้ทั้งคน สัตว์ และดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล

    ๑๐. อุเบกขาบารมี... อดทนต่อความอดกลั้นทั้งหลาย ต่ออุปสรรค ต่อปัญหา ความยากลำบาก ต่อการกระทบกระทั่ง ต่อการพลัดพราก สูญเสีย วางเฉย ไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม สร้างกำลังใจไว้ว่า... เราจะวางเฉยในสังขารร่างกายนี้ ร่างกายนี้จะมีทุกข์ขนาดไหน ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมัน

    ............................................(มีต่อค่ะ)
     
  14. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ต้น ยัน ปลาย ๔

    เบื่อกันหรือยังคะ...

    อดทนอีกนิดนะคะ... เกือบจบแล้วค่ะ...

    ทีนี้...

    .................................................

    เราไปแดนเกษม เมืองแก้วพระนิพพานกันเถอะค่ะ...

    ๑. สักกายทิฏฐิ...
    .......... พิจารณาตามความเป็นจริงว่า... สังขารร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา เราไม่มีในสังขารร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา... เมื่อเราตายลง เราก็เอามันไปไหนด้วยไม่ได้ มันเป็นแค่ที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น มีเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นที่ประกอบเป็นร่างกายนี้

    ๒.วิจิกิจฉา...
    ........... อย่าสงสัยในพระรัตนตรัย อย่าสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    เคารพ เชื่อมั่น ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระอริยสงฆ์มีจริง... อย่างสุดจิตสุดใจ

    ๓. สีลัพพตปรามาส...
    ............ ถือศีลอย่างจริงจัง อย่าเพียงแค่ลูบคลำ อย่าให้ศีลมาเป็นเพียงแค่ข้อห้าม ข้อบังคับใจของเราให้อยู่ในกรอบ... แต่ให้ศีล คือ นิสัยของเรา เป็นเรื่องธรรมดา เป็นความปกติแห่งจิตวิญญาณของเรา

    ๔. กามฉันทะ...
    ............ พยายามหักห้ามจิตจากความพอใจในกามคุณ... ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ ละ

    ๕. ปฏิฆะ...
    ............ อย่าให้จิตมีความขุ่นข้องหมองใจ เมื่อถูกกระทบกระทั่งให้พยายามวางใจให้นิ่ง สงบ ไม่กระเพื่อม ไม่สั่นไหว ไปตามขุ่นข้องหมองใจ หงุดหงิดนั้น

    ๖. รูปราคะ...
    ............ ไม่ยึดติด ไม่หลงในรูปฌาน

    ๗. อรูปราคะ...
    ............ ไม่ยึดติด ไม่หลงในอรูปฌาน

    ๘. มานะ...
    .............. อย่าถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่า เสมอ หรือเลวกว่าเขา

    ๙. อุทธัจจะ...
    ............... พยายามขจัดอารมณ์ฟุ้งซ่านออกไปจากจิต

    ๑๐. อวิชชา...
    ............... ทำลายเสียให้สิ้นซึ่งความไม่รู้จริงในสภาวะธรรมต่างๆ ทำลายความเข้าใจผิดในเรื่องที่ว่าพระนิพพานสูญให้หมดสิ้นไป

    ..................................................................

    หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจภาพรวมของชีวิตพวกเรากันบ้างแล้วนะคะ...

    ว่าพวกเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร...

    .................................................................

    สวัสดีค่ะ...
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** หนทางหลุดพ้นทุกข์ ****

    ตั้งใจ เป็น...สัจจะ
    แล้วก็....ทำ

    ตั้งใจ...อะไร
    ขจัดกิเลสนิสัย

    ทำ....อย่างไร
    ทำ ...ในสิ่งที่เป็นไปได้จริง
    เดินทางกลาง
    ต้องทำ....ให้เป็นประจำ

    ทำ...ทำไม
    เพื่อ ....หลุดพ้นจากนิสัยไม่ดี จากการกระทำไม่ดี

    จะเกิด...อะไร
    เกิด....การกระทำใหม่
    คือ...ตัวกระทำ

    ตัวกระทำ...สำคัญอย่างไร
    ตัวกระทำ....ไม่ตาย จะติดตัวเราไปตลอด นานแสนนาน
    ตัวกระทำ...จะจัดสรรอนาคตให้ตัวเรา
    ตัวกระทำ....จะจัดสรรในการเกิดใหม่
    สำหรับผู้ทำได้...ตัวกระทำ จะจัดสรรไม่ต้องมาเกิดใหม่

    เพราะฉนั้น...
    สัจจะ.... สามารถนำพาสัตว์โลก ให้หลุดพ้นทุกข์ได้จริง
    สัจจะ...จึงเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    รออ่านของสาวิกาอยู่ครับ
     
  17. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ว่าด้วยเรื่องจิตส่วนจิต ขัณฑ์ส่วนขัณฑ์

    วันก่อนว่าจิตส่วนจิต ขัณฑ์ส่วนขัณฑ์ ก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าดูยากสักหน่อยหาตัวอย่างไม่ได้ วันนี้ไปเจอกระทู้นี้ เลยเห็นตัวอย่าง
    เอามาเล่าให้กันฟังค่ะ

    ปุจฉา***

    จะทำอย่างไรดี จิตมันคิดไม่ดีกับพระรัตนตรัย

    ยิ่งเห็นพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ หนังสือ แม้กระทั่งเสียงสวดมนต์ ฯลฯ จิตลึก ๆ มันจะคิดทุกครั้ง (ไม่ดีมากไม่กล้าเล่าใครฟัง)
    เหมือนมีกายเรา มีจิตเรา และอีกจิตหนึ่ง(ที่คิดไม่ดีอยู่)ตลอดเวลา

    จะทำอย่างไรดี พอตามดูจิตมัน มันก็ยิ่งคิดไม่ดีเข้าไปใหญ่ อย่างนี้มันจะตกนรกหรือเปล่า.......

    **วิสัจชนา**
    เคยเห็นในกระทู้ในห้องหลวงพี่เล็ก ท่านว่า
    เวลาคนเราใกล้ความดีมากๆๆจะมีมารมาขวางซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะทดสอบเรา "มารบ่มีบารมีบ่เกิด" (จำไม่ได้ว่าเป็นคำพูดของหลวงปู่ท่านใดค่ะ)

    ท่านว่าวิธีแก้คือ "ตื้อ ขอขมาพระรัตนตรัยลูกเดียว เกิดความคิดปุ๊บ ขอขมาปั๊บ ท่อง 10ครั้ง 100 ครั้ง 1000ครั้ง 10000 ครั้ง ขอขมาเข้าไป
    ขอขมาไปเรื่อยๆๆๆๆแล้วจะหายไปเอง"

    เคยเป็นเหมือนกัน เป็นแล้วข้าพเจ้า ขอขมาดังนี้ค่ะ

    สัพพัง อะปะราทัง ขะมะขะเมภันเต อุกาสะทะวารัตตะเยนะกะตังสัพพัง อะปะราทัง ขะมะขะเมภันเต อุกาสะ ขมามิภันเต
    ส่วนคำพูดข้าพเจ้า คิดเอาเองว่า หากลูกได้ประมาทพลาดพลั้งในพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ด้วยกาย วาจาใจ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนาทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต ลูกขอขมาลาโทษทั้งหมดที่ลูกทำ ขอพระรัตนตรัยอดโทษลูกด้วย จากบัดนี้เป็นต้นไปตราบจนพระนิพพาน ลูกขอยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดหนึ่งเดียว ที่พึ่งอื่นเสมอพระไตรรัตน์ไม่มี

    สภาวะที่เกิด(การปรามาส) เป็นส่วนของสังขารขัณฑ์อันเกิดจาก
    อกุศลวิบาก สังขารไม่ใช่ตัวตนดังพระพุทธดำรัส ลูกขอพึ่งละความคิดนั้น สักแต่ว่าเป็นสังขาร ไม่ใช่ตัวตนดังพระธรรมตรัสไว้

    เมื่อกล่าวจบแล้วก็ให้คิดว่า ความคิดสักแต่ว่าเป็นความคิดไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา อกุศลกรรมส่วนใดที่เคยทำขอขมาลาโทษทั้งหมดไปแล้ว ถึงอย่างไรใจเราก็ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดหนึ่งเดียว มันจะคิดอะไรก็ช่าง อย่าไปเห็นควรตามมันก็แล้วกัน
    พูดขอขมาบ่อยๆ ยังไงๆความคิดมันก็เป็นแค่ความคิดถ้าเราไม่จับมามันมาปรุงต่อมันก็จบตรงนั้น

    ส่วนเสริมข้างล่างเป็นส่วนที่พิจารณาเอง ยังไม่ได้ Confirm กับท่านผู้รู้ค่ะ

    จริงๆมีอีกวิธีหนึ่งในการพิจารณา คือ
    เมื่อคิดมันเป็นอารมณ์ผุดขึ้นเรารู้ จริงๆแล้วมันเป็นสองสภาวะซ้อนกัน สังเกตง่ายกว่าเวลาเราตามเยอะ เพราะสภาวะตามมันทับกันสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่สภาวะขัดแย้งเราจะเห็นสภาวะซ้อนได้ดีกว่า

    เมื่อคุณคิดไม่ดี คุณรู้ มัน มี 2 สภาวะซ้อนกันอยู่ คือสภาวะคิด กับสภาวะรู้ว่าผิด หรือที่เขาเรียกว่า "สติ" ตัวสติ ที่เราชอบๆกัน
    ถ้าดูให้ลึกก็คือ ตัวสติ จริงๆเป็น "สักแต่ว่า" หรือ ตัวรู้ธรรมดาๆๆ ไม่ใช่ตั้งใจเข้าไปรู้ เพราะตั้งใจเมื่อไหร่ มันไม่ใช่สติ แต่เป็นตัวปรุงแต่ง

    และนี่คือปัญหาของคุณ คือเมื่อตั้งใจรู้ คือตัวสังขาร สติเป็นธรรมชาติที่เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ปรุงไม่ยึด ไม่สามารถบังคับเอา แต่เป็น "สักแต่ว่า" หรือ "ตถตา" คือเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ที่เกินมา ที่ปรุงที่คิดที่นึกได้ ที่หมายรู้ คือ
    เป็นส่วนของขัณฑ์ทั้งหมด

    เมื่อเราเห็นสภาวะซ้อน โดยเฉพาะสองสภาวะที่มันไม่ตามกัน เราจะเห็น "จิตส่วนจิต ขัณฑ์ส่วนขัณฑ์" ได้ชัดขึ้น ซึ่งเป็นจิตที่มีสติเป็นองค์ประกอบด้วยซิ

    **จริงๆแล้วตัวสติเป็น อารมณ์จิตชนิดหนึ่ง เหมือนกันแต่เด่นกว่าตรงที่ เป็นจิตมีปัญญาเป็นตัวตั้ง
     
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1544192 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Sawiiika<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1544192", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: 30-10-2008 04:05 AM
    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 661
    ได้ให้อนุโมทนา: 6,508
    ได้รับอนุโมทนา 7,279 ครั้ง ใน 530 โพส
    พลังการให้คะแนน: 79 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1544192 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] ธรรมมะอันเป็น เครื่องคุมใจ * ในการปฏิบัติ
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1119294", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    ยึดแล้ว หนัก วางแล้ว เบา
    แท้จริง สุข ทุกข์ อยู่ที่ ใจเรา แม้นอยู่ในกอง ทุกข์แต่ จิต รู้เท่าทันสภาวะแห่งทุกข์
    ปล่อยวาง ไม่ปรุงแต่ง ต่อไปจนเกิด ทุกข์ เราก็สามารถอยู่บนโลกได้ โดยไม่ทุกข์ใจ

    เห็น " ธรรมดา " ในทุกสรรพสิ่งวาง " จิต " ให้เบาสงบ สบาย
    เมตตา ต่อทุกดวงจิตเสมอกันตั้งมั่นในพระนิพพานเป็นอารมณ์

    ดูใจของเราเองครับ ว่า ,,,
    ใจเย็นช่ำด้วย เมตตาพรหมวิหาร 4 หรือไม่ ?
    มองผู้อื่นด้วย มุทิตาจิต เป็นปกติหรือไม่ ?
    กิเลส ความอยาก ความเร่าร้อน ลดลงหรือไม่ ?

    ที่สำคัญก็คือ เห็นธรรมดาในสรรพสิ่งว่าไม่มี อะไรพ้น
    กฏไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปได้

    เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสารให้ยึดเหนี่ยว มีความแปรปรวนเป็นปกติ
    ยึดไปก็ทุกข์ จิตคอยปล่อยวางไปทีละน้อย จิตจึงเบาขึ้น สะอาดขึ้น ใสบริสุทธิ์ขึ้น
    ความเป็นทิพย์ของจิตจึงปรากฏ ตลอดไปจนถึงวิปัสสนาญาณอันพิสุทธิ์ เห็นว่า
    การเกิดทั้งปวงเป็นทุกข์ จุดเดียวที่ตั้งจิตไว้คือพระนิพพานเป็นที่สุด

    [​IMG]

    28-04-2008, 09:19 PM


    ธรรมมะอันเป็น เครื่องคุมใจ * ในการปฏิบัติ
    ที่ต้องทรงเอาไว้เป็นปกติก็คือ

    [​IMG]1. ลมสบาย : อานาปานสติ อันเป็นธรรมเครื่องอยู่หรือวิหารธรรม
    เมื่อทรงลมสบายที่ละเอียดจนลมหายใจหายไป ก็คือเราทรงจิตอยู่ในฌาน

    [​IMG] 2. พรหมวิหาร 4 อัปปันนาณฌาน : มีจิตใจที่มีเมตตาจิตมิตรไมตรี
    ชุ่มเย็นอยู่เป็นปกติ เมื่อทรงไว้ได้เป็นปกติ ศีลย่อมบริบูรณ์ สมบูรณ์
    ส่งเสริมให้จิตแนบในความสงบเย็น ระงับ กิเลสและอุปกิเลสเบาบาง

    [​IMG] 3. ทรงภาพพระที่ใสเป็นเพชรอยู่เป็นปกติ : จิตย่อมทรงอยู่ในฌานอันมีพุทธานุสติ
    กรรมฐานเป็นที่ตั้ง เมื่อนั้นย่อมไม่คลาดจากไตรสรณะคมม์ มีพุทธาบารมีช่วยคุ้มจิต
    จากวิปัสนูปกิเลสและนิวรณ์ห้าประการ อกุศลห่างไกลจากหัวจิตหัวใจของเรา กำหนดจิต
    และ กำลังใจของเราว่า เมื่อเราทรงภาพพระพุทธเจ้า สว่างแพรวพราวอยู่นั้น
    จิตเราจับกำกับอยู่บนพระนิพพานเป็นปกติอยู่

    [​IMG] 4.วิปัสนาญาณคุม อายตนะ ทั้ง 5 เอาไว้ เห็นในไตรลักษณะญาณ
    เป็นปกติ จนจิตเห็นใน " ธรรมดา " ของทุกสรรพสิ่ง จิตจะปล่อยวาง เบา สงบ
    ยิ่งสะอาด ปราศจากกิเลสยิ่งขึ้นไปอีก ทรงเป็นอารมณ์พระนิพพานเอาไว้

    เมื่อทรงจิตให้ได้ใน ธรรมทั้ง 4 ประการ แล้ว กิเลส ย่อมเบาบาง
    ลง ความเป็นทิพย์ก็ค่อยๆปรากฏขึ้น เราก็เอา " ธรรมดา " และอุเบกขา มาจับ

    รู้เพื่อละ รู้เพื่อ ปล่อยวาง ยิ่งปล่อยวาง
    จิตก็ยิ่งยกระดับสู่ภูมิจิตภูมิธรรมที่สูงยิ่งขึ้นไป ก็พึงกำหนดว่า ธรรมอันละเอียด
    ปราณีตกว่านี้ยังมีอีก เพื่อจิตอันพิสุทธ์ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน

    ขอให้ทุกท่านได้เข้าถึงความดีและผลแห่งการปฏิบัติอันรู้ได้ด้วยตนเอง
    กระจ่างแก่ใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    อันประเสริฐ โดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
    <!-- / message --><!-- sig -->​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1549817 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Sawiiika<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1549817", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: 30-10-2008 04:05 AM
    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 661
    ได้ให้อนุโมทนา: 6,508
    ได้รับอนุโมทนา 7,279 ครั้ง ใน 530 โพส
    พลังการให้คะแนน: 79 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1549817 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    26-06-2008, 10:32 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1119294", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ


    ขออธิบายในนัยยะที่พระพุทธองค์ท่านทรงสรุปรวมในหลัก

    ของพระพุทธศาสนาที่ท่านทรงอธิบายสำหรับผู้ใหม่ในธรรมดังนี้

    ทำกุศลกรรมทำความดี
    ละบาปอกุศล
    ทำจิตใจเราให้บริสุทธิ์

    เป็นการสรุปรวมอย่างง่ายที่สุด แต่ครั้นอธิบายให้ละอียดก็สามารถ
    แยกย่อยออกไปได้ จนถึงธรรมมะชั้นสูงมีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ข้อแรก การปฏิบัติของเราก็ คือ การสร้างกุศลสร้างความดี มีทานเป็นบารมีต้น ตลอดไป จนถึง
    คุณความดีอื่นๆ ทำให้เป็นปกติทำให้เป็นกิจวัตร ตั้งกำลังใจของเรา ว่าหากแม้นวันใดเรายังไม่ได้
    ทำความดีนับว่าวันนั้นเรายังใช้ไม่ได้ ทำความดีให้เป็นปกติเป็นเนื้อเดียวกับจิตใจของเราเอาไว้
    แม้เป็นความดีของผู้อื่นเรื่องราวความดีของคนอื่นเราก็จงตั้งจิตโมทนาบุญกับความดีของเขา
    เมื่อเรามีกุศลเป็นปกติเราก็ย่อม ไม่มีที่ไม่มีช่องว่างให้ความชั่วเข้าสู่หัวจิต หัวใจของเราได้

    [​IMG]



    ข้อ 2 ละบาป อกุศล ออกจากทั้งกาย วาจา ใจ ข้อนี้ มีศีลบารมี
    เป็น บารมี ต้น มี กุศล กรรมบท 10 และ พรหมวิหาร 4 เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงคุณธรรม ทำกำลังใจ
    ของเราว่าเมื่อจิตใจของเราทรงอยู่ในความดีเป็นปกติแล้ว ขึ้นชื่อว่ามลทินความชั่วใดเราก็ย่อม
    ไม่ปรารถนาให้แปดเปื้อนกับจิตใจของเราเด็ดขาด อุปมาดั่งเราถนอมรักษาผ้าขาวของเราไว้จาก
    ฝุ่นผงธุลีทั้งปวง ข้อนี้แม้เพียงเรื่องราวที่เป็นความชั่วช้าใดเราก็ไม่ไปรำลึกถึง ไม่แม้จะคิด ก็ตาม
    อย่ามาคาดถึงการลงมือทำเลย ขึ้นชื่อว่าความชั่วใด เราไม่ปรารถนา ที่จะทำเพราะหัวจิตหัวใจของ
    เราเต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงามปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง และ ส่วนรวมด้วยอำนาจของ
    พรหมวิหาร 4 อยู่เต็มหัวใจแล้วนั่นเอง ...ข้อที่พลาด กันมากก็คือการที่จิตใจของเรายังชินยังอเร็จ
    อร่อยอยู่กับอารมณ์ชั่วอยู่มัวเมากับ ความโลภ เผ็ดร้อนการการด่าว่าสนุกกับการนินทาว่าร้ายและ
    ที่สำคัญก็คือ การเพ่งโทษโจทย์ความชั่วของผู้อื่น ว่าคนนี้ เลวอย่างนี้ คนนี้ผิดอย่างนั้นโดยที่ลืมนึก
    ไปว่า ความชั่วความเลวไม่ว่าจะเป็นของตัวเรา หรือผู้อื่นก็คือ " อกุศล " เมื่อเรามัวไป หลงคิดว่า เรา
    หวังดี กับ เขา ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้ ก็เท่ากับว่า ตัวเราเองปล่อยให้ " อกุศลกรรม "
    ความชั่วเข้ามาอยู่เต็มหัวจิตหัวใจ เต็มปาก ของเรา กลายเป็นว่าเราเอาผ้าขาวที่เราสู้อุตสาห์ทำนุ
    ถนอมเป็นอย่างดี มาเช็ดขี้เช็ดอุจจาระของชาวบ้านเขา .. ดังนั้น เราเองก็ย่อมต้องระมัดระวังอกุศล
    ของเราเอง และ ของบุคคลอื่นด้วย มองแต่ความดีของเขา แล้ว โมทนาเป็นพอ ส่วนอกุศลกรรม
    เราวางแล้วปล่อยไปตามกฏของกรรม หากช่วยได้ช่วยด้วย พรหวิหาร 4 หากช่วยไม่ได้ไม่ใช่วิสัย

    ข้อที่ 3 คือ การทำความบริสุทธิ์ของจิตนั้นเล่า คือ การเจริญสมาธิทั้งสมถะวิปัสสนาเพื่อทำจิตให้สงัด
    จาก นิวรณ์ 5 ประการ เป็นเบื้องต้นก่อนที่จะเจริญวิปัสสนาญาณในฌานสมาธิเพื่อการตัดสังโยชน์ 10
    ประการให้สิ้นไปในที่สุด หากเราพิจารณาดูแล้วหลักที่พระพุทธองค์ท่านทรงวางไว้ย่อมทำให้

    จิตของเรามีแต่บุญแต่กุศลเป็นปกติจิต
    ชำระล้างอกุศลออกไปจากจิตจนไม่เหลือที่ให้บาปอกุศล
    จนเมื่อจิตสะอาดดี ควรแก่การทั้งปวงแล้วจึงเจริญสมาธิ
    ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากการเกิดทั้งปวง

    หวังว่าธรรมมาธิบายโดยนัย อันพระอริยเจ้าสายท่านธรรมยุติท่านหนึ่งท่านได้เมตตา
    มาสงเคราะห์นี้ จะพึง เกิดมรรคผลการเข้าถึงซึ่งความดีของผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยเทอญ


    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1555879 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Sawiiika<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1555879", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: 30-10-2008 04:05 AM
    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 661
    ได้ให้อนุโมทนา: 6,508
    ได้รับอนุโมทนา 7,279 ครั้ง ใน 530 โพส
    พลังการให้คะแนน: 79 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1555879 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->บารมี
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    08-07-2008, 09:40 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1119294", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ


    <O:p
    บารมี แปลว่า กำลังใจ ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดในการปฏิบัติธรรม
    และ พัฒนาตนเองในทุกๆด้านก็ คือ การตั้งกำลังใจเอาไว้ให้ถูกต้องเหมาะสม
    จะยิ่งทำให้เราก้าวรุดหน้าเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปได้แบบก้าวกระโดด

    เหตุที่หลายๆท่านที่ได้เข้ามาศึกษาแลกเปลี่ยนธรรมมะกันในห้องกระทู้วิชชานี้แล้วก้าวหน้ากัน
    อย่างเห็นหน้าเห็นหลัง ล้วนเป็น เพราะ การตั้งกำลังใจได้ถูกต้องในสัมมาทิษฐิ
    โดยเฉพาะการตั้งกำลังใจในการเข้าถึงความดีมีพระนิพพานเป็นที่สุดก็ดีที่ตั้งกำลังใจ
    ปรารถนาเพื่อให้ท่านผู้อื่นเข้าถึงซึ่งความดีก็ดี เมื่อเราเองตั้งมั่นดำรงมั่นคงในจิตของเราแล้ว
    ย่อมปรากฏพละศรัทธาในวิถีแห่งธรรมของเราเอง ความเป็นทิพย์ ต่างๆก็ดีฌาน และ ญาณทัศนะ
    ต่างๆ อันมีเจโตปริยญาณเป็นต้น เป็นเรื่องปกติที่ทำกันได้ไม่ใช่ของวิเศษอันใด เพราะ
    เป้าหมายของเรา ไม่ใช่เพื่อ ตัวตน อัตตามานะ เเต่เป็นไปเพื่อ ลด
    ละความยึดติดในกิเลสทั้งปวงให้เบาบางลง

    ตลอดจนเพื่อการสงเคราะห์ส่วนรวมด้วยเมตตาที่ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
    เป็นสำคัญ ขอให้ทุกๆคนตั้งมั่นและเชื่อมั่นในความดี ตลอดไปครับ<O:p</O:p

    15-07-2008, 12:26 AM<O:p</O:p
    <O:p

    บารมี คือ การตั้งกำลังใจที่ชอบแล้วเป็นสัมมาทิษฐิ
    เวลาเราจะทำการอันใดก็ตาม ให้เราทำจิตให้เกิดสมาธิจนจิตสงบระงับจากกิเลสให้ได้ก่อน
    จากนั้นให้เราถามจิตตัวเอง ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่นี้ เรากำลังจะทำอะไร และที่สำคัญ
    ที่สุดก็คือ เราทำเพื่อใคร ? ทำอะไรนั้นเราก็ต้องมาพิจารณาก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังจะทำนี้

    อยู่ในทำนองครองธรรมหรือไม่ ? เบียดเบียนหมู่สัตว์หรือยังประโยชน์ต่อหมู่สัตว์ ?
    เกิดผลดีผลเสียประการใด ? ปราชญ์ และ วิญญูชนติเตียนได้ หรือไม่ ?

    เมื่อพิจารณาเห็นว่าชอบแล้วเป็นกุศล เป็นสัมมาทิษฐิ ยังประโยชน์ก็ให้มาพิจารณาต่อไปอีกว่า
    เราทำสิ่งนั้นเพื่อตนเอง หรือ เพื่อส่วนรวม ? ก็ขอให้มาตรองในข้อของอัตตาตัวตนว่า สิ่งที่เราทำไป
    แม้ว่าเป็นคุณเป็นประโยชน์ แต่เราทำไปเพื่อปรารถนา ให้ ผู้คนเขามายกย่องสรรเสริญหรือไม่ ?
    เพื่อสนองกิเลสหยาบในจิตของเราหรือไม่ ? หรือ เราทำไปเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

    บางท่าน คิดว่าในเมื่อเป็นงานที่เราทำ เรื่องหน้าตา การยกย่องก็ย่อมสมควรเป็นของเรา
    ไม่ได้ผิดอะไร แต่หากนำธรรมมะที่ในหลวงท่านทรงสอนและปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง

    ให้พวกเราได้ประจักษ์แล้ว พระองค์ทรงสอนว่า
    จงปิดทองหลังพระจนกระทั่งทองที่เราปิดนั้นมาอยู่หน้าพระ

    [​IMG]



    นั่นคือ เมื่อเราทำความดีอย่างแท้จริง ด้วยความเสียสละ จนกระทั่ง จิตใจ ตัวตน อุปนิสัยของเราดี
    อย่างแท้จริงดีจนเป็นปกติ พระพุทธรูปที่เราปิดทองคำเปลวจากที่เป็นพระปูนก็จะกลายเป็นพระ
    พุทธรูปทองคำทั้งองค์ไป จะปิดทองหรือไม่ปิด จะถูกเผา ถูกขูดขีดทองแท้ก็ย่อมเป็นทองแท้
    วันยังค่ำ ทำความดีจะถูกด่าถูกเข้าใจผิด ถูกนินทาว่าร้าย อย่างไรหากหัวใจของเราเป็น
    พระพุทธรูปทองคำเราย่อมไม่หวั่นไหว เพราะเรารู้เรามั่นใจเสียว่า เราทำอะไรอยู่ และ ทำเพื่อ
    ใคร เมื่อนั้นหัวใจเราก็จะมีความดีเป็นปกติทำเพื่อส่วนรวมเห็นประโยชน์สุขของส่วนรวมมาก่อนเสมอ

    ในส่วนของความเป็นทิพย์ นั้น การที่เราตั้งกำลังใจของเราเอาไว้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็น
    ที่ตั้งก็ดีเพื่อพระพุทธศาสนาก็ดีเพื่อสร้างกำลังใจให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดีก็ดีเทพพรหมเทว
    ดาท่านมีความเป็นทิพย์ท่านรับรู้รับทราบเป็นอย่างดี เมื่อเราวางกำลังใจถูกท่านก็พากันมาเมตตา
    มาสงเคราะห์กันมากมายเพราะเราทำก็เพื่อส่วนรวมไม่ใช่เพื่อตนเอง ลองดูอุปมาง่ายๆ หากเรา
    บอกกับสาธารณะชนว่ " ฉัน อยากได้ เงิน มากๆเพราะฉันต้องการความสุขของฉันความร่ำรวย
    ส่วนตัวของฉัน " ช่วยกันมาช่วยฉันเถอะ กับอีกท่านหนึ่งบอกต่อสาธารณะชนว่า"ตอนนี้ศีล
    ธรรมเสื่อมลงพวกเราต้องหาทางฟื้นฟูสิ่งยึดเหนี่ยวความดีศีลธรรมในจิตใจคนกันดีกว่าพวกเรา
    ช่วยกันหาเงินมา สร้างพระพุทธรูปกันดีกว่า "บุคคลสองคนนี้
    ใครจะได้รับความช่วยเหลือจากสาธารณะชนมากกว่ากัน

    คราวนี้เรามาพิจารณาดูในแง่มุนนี้กันบ้าง ผู้ปฏิบัติสมาธิสองท่าน ท่านหนึ่งตั้งกำลังใจว่าอยากได้
    อภิญญา เพื่อที่เราจะได้เก่งที่สุด มีคนมายกย่องมากๆ กับอีกท่านหนึ่งที่ตั้งกำลังใจเอาไว้ว่าปรารถนา
    ที่จะได้อภิญญาก็เพื่อจะได้นำคุณวิเศษแห่งอภิญญาสมาบัติที่ได้นี้ไปใช้ช่วยเหลือผู้คนในยามเกิดภัยพิบัติ
    เราคิดว่า หลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ตลอดจนเทพพรหมเทวดาท่านจะเลือกมาโปรดผู้ใดมากกว่ากัน
    หรือแม้แต่ความก้าวหน้าในธรรมความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็ตาม หากเราตั้งกำลังใจที่จะนำธรรม
    การปฏิบัติไปสอนไปสงเคราห์ให้บุคคลอื่นได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงความดีเป็นสำคัญ เมื่อนั้น
    ครูบาอาจรย์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ท่านก็เมตตาสงเคราะห์เราได้อย่างเต็มที่จนก้าวหน้าในธรรม
    กันอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา ดังนั้นการตั้งกำลังใจหรือการตั้งบารมีที่ถูกต้องก็คือ

    ตั้งกำลังใจเอาไว้ใน สัมมาทิษฐิ เป็นสำคัญ
    ตั้งกำลังใจเอาไว้ เพื่อส่วนรวม ก่อนเรื่องของตนเอง
    ตั้งกำลังใจเอาไว้ให้ ตั้งมั่นไม่แกว่งไกวไปด้วยโลกธรรม 8
    ตั้งกำลังใจให้ถูกเป็นทางลัดแห่งการปฏิบัติธรรม

    พอถูกปุ๊ปเทวดาพรหมท่านเห็น ท่านทราบ เวลาทำความดี เราทำแบบไม่ต้องอวดคน
    เพราะ คนบางคนไม่มองที่ความดีของคนอื่น คนบางคนมองไม่เห็นความดีของคนอื่น
    คนบางคนเพ่งโทษคนอื่น คนบางคนริษยาในความดีของคนอื่นก็มี

    ดังนั้นจงทำความดีให้เทวดาให้พระท่านทราบก็พอจำนวนท่านมากกว่าคนเยอะ ทำดีจริงไม่ดีจริง
    ท่านรู้หมด วันดีคืนดีท่านก็มาเล่าให้ฟัง ให้รู้ ดังนั้นทำความดีเอาไว้อย่าให้ได้อายเทวดาพรหมท่าน

    ทำจิตให้เป็นพระพุทธรูปทองคำให้ได้ ขอให้ความดีเพื่อส่วนรวม
    จงปรากฏแก่ทุกๆดวงจิตผู้ใฝ่ธรรมด้วยเทอญ



    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...