สายแร่ทองคำ ... ทองคำ ... "แปรธาตุ" ได้ด้วย อำนาจจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NiNe, 13 ธันวาคม 2005.

  1. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482


    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #000000 1px solid; BORDER-TOP: #000000 1px solid; MARGIN-TOP: 30px; MARGIN-BOTTOM: 30px; BORDER-LEFT: #000000 1px solid; BORDER-BOTTOM: #000000 1px solid; BACKGROUND-COLOR: #000000" cellSpacing=2 cellPadding=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ทองคำ แพงขึ้นทุกวัน ทุกวัน (ปี พ.ศ.2545 บาทละประมาณ 4,700 พอมาถึง ปีพ.ศ.2550 บาทละประมาณ 15,000 - 20,000 )


    รู้หรือไม่ว่า "ทองคำ สามารถสร้างได้ด้วยอำนาจจิต"
     
  2. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เนรมิตทอง

    ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระปิลินทวัจฉะ ได้เป็นพระกุลุปกะ ในหมู่บ้านตำบลปลินทวัจฉะ ครั้นเช้าวันหนึ่งท่านครองอัตรวาสก แล้วถือบาตร จีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังตำบลนั้น

    สมัยนั้น ในตำบลบ้านนั้นมีมหรสพ พวกเด็กๆ ตกแต่งกายประดับดอกไม้ เล่นอย่างสวยงาม เล่นมหรสพอยู่ดี

    ท่านพระปิลินทวัจฉะ เที่ยวบิณฑบาต ไปตามลำดับ ตรอกในตำบล ปลินทวัจฉะ ได้เข้าไปถึงเรือนผู้ทำการวัดผู้หนึ่ง ครั้นแล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย

    ขณะนั้นธิดาของสตรีผู้ทำการวัดนั้น เห็นเด็กๆ พวกอื่นตกแต่งประดับดอกไม้แล้ว ร้องอ้อนอยากได้ดอกไม้และเครื่องแต่งกายบ้าง

    จึงท่านพระปิลินทวัจฉะ ถามสตรีผู้ทำการวัดคนนั้นว่า
     
  3. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ครั้นวันที่สอง

    ท่านพระปิลินทวัจฉะ ครองอัตรวาสกแล้ว ถือบาต จีวรเข้าไปบิณฑบาตถึงตำบลบ้านปิลินทวัจฉะ เมื่อเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในตำบลบ้านปิลินทวัจฉะ ได้เดินผ่านไปทางเรือนคนทำการวัดผู้นั้น ครั้นแล้วได้ถามคนที่คุ้นเคยกันว่า
     
  4. benznoi

    benznoi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +4
    อืมๆๆ เห็นด้วย ครับ เพราะ ทุกสิ่ง เกิดมาจาก สิ่งเดียว แล้ว ก็เกิดปฎิ กัน จึงเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เราก็คือทุกสิ่ง ทุกสิ่ง ก็คือ เรา ความคิดของผม นะ เอิกๆๆ
     
  5. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ความเป็นมาของการแปรธาตุทองคำ

    บทนำ

    ความใคร่รู้ และเอาใจใส่ศึกษาในเรื่องต่างๆ ทำให้มนุษย์ได้คำตอบที่ละเอียดพิสดารมากขึ้น มีวิธีการค้นหาคำตอบของปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบแบบแผนมากขึ้น เช่นเดียวกับความรู้ด้านเคมี ก็พัฒนามาจากความสนใจอย่างหนึ่ง ที่พัฒนาสืบมาเป็นระยะเวลานับพันปี
    อาจกล่าวได้ว่า ความปรารถนาที่จะมีอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ เป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้เกิดการค้นคว้าด้านเคมีขึ้นมา เช่น ต้องการหาวัตถุหรือโลหะที่มีค่า จากกรรมวิธีง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนโลหะธรรมดาเป็นทองคำ หรือ เงิน หรือไม่ก็เป็นความปรารถนาจะมีอายุยืนยาว เสาะหายาอายุวัฒนะ ด้วยการนำวัตถุของเหลว หรือสารชนิดต่างๆ มาผสมให้ได้สูตรวิเศษเหล่านั้น
    คนสมัยโบราณนั้น รู้จักโลหะเป็นอย่างดีมาเป็นเวลาช้านาน ตั้งแต่เหล็ก ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว เงิน ซึ่งล้วนเป็นธาตุแท้ๆ และยังรู้จักคิดค้นโลหะผสมชนิดต่างๆ ที่รู้จักกันดีก็คือ ทองเหลือง และสำริด ส่วนปรอทนั้น ก็เป็นที่รู้จักมาช้านาน อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 2,300 ปีมาแล้ว และความรู้เกี่ยวกับปรอทนี้เอง ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการเคมีในสมัยต่อๆ มาทั้งนี้ก็เพราะเป็น "โลหะเหลว" ในสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป ส่วนกำมะถันก็เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะเป็น "หินไหม้ไฟ"

    เป้าหมาย
    เป้าหมายของการเล่นแร่ปรธาตุนั้น ก็มีด้วยกันหลายอย่าง แต่เป้าหมายหลักๆ ก็คือการเปลี่ยนสภาพไปสู่สิ่งที่ต้องการ เช่น เปลี่ยนจากความเจ็บป่วย ไปเป็นสุขภาพที่ดี เปลี่ยนจากชราเป็นหนุ่มสาว หรือกระทั่งเปลี่ยนจากเป็นมนุษย์ ไปสู่สภาพเป็นอมตะ เลยทีเดียว กล่าวโดยย่อก็คือ มุ่งในสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปปรารถนา นั่นคือ ความมั่นคั่ง อายุยืน และเป็นอมตะ
    แรกเริ่มเดิมทีนั้น การเล่นแร่แปรธาตุมิได้มุ่งไปที่เป้าหมายดังกล่าว แต่ดำเนินไปตามพิธีกรรมทางศาสนา การแพทย์ และการถลุงโลหะ กล่าวได้ว่านักเล่นแร่แปรธาตุพวกแรกก็คือ นักถลุงแร่นั่นเอง ส่วนแนวคิดทฤษฎีนั้นไม่ได้มาจากวิทยาศาสตร์แต่อาศัยศาสนาและตำนานพื้นบ้านเป็นหลัก ในสังคมดึกดำบรรพ์นั้น นักถลุงแร่มีฐานะสูงส่ง เป็นพวกถือลัทธิศาสนา
    ทว่าหลักการด้านปรัชญาธรรมชาติ อันเป็นปฐมบทของมุมมองทางวิทยาศาสตร์นั้น ถือได้ว่าเกิดมาก่อนกี่เล่นแร่แปรธาตุ อย่างเช่น การถือว่ามีธาตุมูลฐาน 5 ประการ ก็เสนอขึ้นในจีน อินเดีย และกรีก ทั้งยังมีคติที่ว่า มีธรรมชาติมีสิ่งที่ต้านหรือตรงข้ามกัน เช่น ร้อน/เย็น, บวก/ลบ, ชาย/หญิง เป็นต้น กล่าวโดยย่อก็คือ จากวิชาการด้านเคมีแบบโบราณ และทฤษฎีทางปรัชญาธรรมชาติ ได้ผนวกกันเข้าเป็นความรู้อันซับซ้อน ก่อนปรากฏการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งวิชาแขนงนี้ก็ได้มีปรากฏอยู่ในชนชาติต่างๆ

    ที่มา : นิตยสาร อัพเดท ฉบับที่ ??? เดือนกันยายน 2546 หน้า 57 - 61
     
  6. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    จีน

    การเล่นแร่แปรธาตุของจีนนั้น ในเบื้องต้นปรากฏในทางการแพทย์ก่อนด้านการถลุงแร่ ความเชื่อเรื่องชีวิตอมตะนั้น มีปรากฏตั้งแต่ 2,800 ปีก่อน ส่วนความเชื่อที่ว่าสามารถอาศัยยาเพื่อบรรลุผลดังกล่าว เริ่มปรากฏเมื่อราว 2,400 ปีที่แล้ว ส่วนยาวิเศษที่เรียกว่า ยาอายุวัฒนะ ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่ยาอายุวัฒนะที่สำคัญที่สุด ซึ่งเรียกว่า "ทองคำดื่มได้" เริ่มมีเมื่อราว 2,100 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่ยุโรปจะรู้จักเรื่องเหล่านี้
    แนวคิดเรื่องต่างๆ ของจีนนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในแผ่นดินจีนเอง โดยเฉพาะจากลัทธิเต๋า นั่นคือ คัมภีร์เต้าเต๋อจิง ของเล่าจื๊อ โดยมีนักบวชของเต๋า คือ เต้าหยิน เป็นผู้ครอบครองความรู้เหล่านี้ ส่วนคัมภีร์ที่เกี่ยวการเล่นแร่แปรธาตุที่เก่าแก่ที่สุดของจีน เห็นจะเป็น คัมภีร์อี้จิง ตำรับการเล่นแร่แปรธาตุยุคแรกนั้น ว่าด้วยการสร้างยาอายุวัฒนะ ซึ่งใช้สารประกอบจำพวกปรอท และสารหนู ครั้นในสมัยหลัง ได้ใช้แร่ธาตุต่างๆ มากขึ้น เช่น ปรอท กำมะถัน และเกลือของปรอท รวมทั้งสารหนูเป็นหลัก นอกจากใช้เป็นยาอายุวัฒนะแล้วยังใช้รักษาโรคด้วย
    ด้วยความปรารถนาชีวิตอมตะ ทำให้นักเล่นแร่แปรธาตุของจีน รวมทั้งพระจักรพรรดิหลายพระองค์ ต้องประสบกับสารพิษที่เกิดจากสารเคมีหลากหลายชนิดที่มีความเข้มข้นและสัดส่วนต่างๆ กัน โดยเฉพาะปรอท ซึ่งมีพิษร้ายแรงสามารถซึมเข้าผิวหนังได้โดยง่าย ครั้งเมื่อพุทธศาสนาแพร่หลายเข้าไปในแผ่นดินจีนสมัยหลัง ความเชื่อถือตามหลักลัทธิเดิมๆ ค่อยเสื่อมลง แม้จะนับถือหลักการปฏิบัติบางประการ แต่ก็ค่อยๆ เลิกการเล่นแร่แปรธาตุไปโดยปริยาย เหลือไว้แต่คัมภีร์อันเก่าแก่เป็นหลักฐานเท่านั้น
     
  7. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    อินเดีย

    คัมภีร์พระเวท ถือเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียที่มีหลักฐานด้านการเล่นแร่แปรธาตุ ปรอทซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเล่นแร่แปรธาตุ ก็มีระบุไว้ในคัมภีร์ชื่อ อรรถศาสตร์เมื่อราว 2,400 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงสมัยเดียวกับความนิยมใช้ปรอททั้งในจีนและในยุโรป ส่วนหลักฐานความคิดที่จะเปลี่ยนโลหะธรรมดาเป็นทองคำนั้น ปรากฏในพระธรรมวินัยปิฎก แห่งคัมภีร์พระไตรปิฎก กล่าวถึงพระภิษุกรูปหนึ่งเสกสิ่งของต่างๆให้เป็นทองคำ
    วรรณคดีทางศาสนาของพราหมณ์ชิ้นหนึ่งชื่อว่า พฤหัตสังหิตา มีกระบวนการทางเคมีหลายรายการด้วยกัน เช่น ศิลาทารณะ(การตัด หรือแยกหิน),สัตรปาน(การชุบแข็งโลหะ),วัชรเลปะ(การยา หรือชัน)
    ปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติของอินเดีย จำแนกธาตุไว้ห้าชนิดด้วยกันคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ และกล่าวถึงโลหะทั้งหก ได้แก่ ทองคำ เงิน ดีบุก เหล็ก ตะกั่ว และทองแดง แต่ละชนิดสามารถแบ่งย่อยลงไปได้ แต่ไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้อย่างแนวคิดของยุโรป ส่วนปรอทนั้นไม่สู้สำคัญนัก อย่างไรก็ดี ชาวอินเดียรู้จักดินประสิว และกรดของแร่ต่างๆมาช้านาน และมีการใช้แพร่หลายเป็นพิเศษเมื่อราว 1,200 ปีที่ผ่านมา โดยการผสมดินประสิว กำมะถัน และถ่าน ผลลัพธ์ก็คือดินปืน สำหรับใช้ในการทำพลุ หรือดอกไม้ไฟ นั่นเอง ในอินเดียและจีนนั้นมีหลักฐานในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนในยุโรปเพิ่งจะรู้จักภายหลังจากนั้นราว 200 ปี

    หมายเหตุ พระภิกษุรูปนั้นคือ ท่านพระปิลินทวัจฉะ ผู้ที่สามารถเนรมิต ทองคำได้แม้ทั้งปราสาทนั่นเอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2005
  8. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    กรีกแห่งยุโรป

    ความรู้เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุของกรีกนั้นน่าจะเริ่มขึ้นในสมัยเฮเลน (ราว 2,300 - 1,700 ปีที่ผ่านมา) ผู้เขียนเรื่องราวเหล่านั้นคนแรกๆที่ปรากฏหลักฐาน คือ โซซิมอส แห่ง ปาโนโปลิส ,ไซเนซิอุส และเดโมคริตุส โดยเฉพาะเดโมคริตุสนั้นเป็นคนที่รู้จักกันดีในหมู่นักเรียนวิทยาศาสตร์มากกว่าคนอื่นๆ เขาเขียนหนังสือว่าด้วยสิ่งธรรมชาติและสิ่งลี้ลับ เป็นตำราว่าด้วยการย้อมสีและการใช้สี แต่หลักใหญ่แล้วเน้นเรื่องการแปลงโลหะธรรมดาเป็นทองคำนั่นเอง ทว่าในตำรามิได้กล่าวถึงสูตรอย่างชัดเจนนัก ทั้งอ้างถึงทฤษฎีธาตุ และทฤษฎีโหราศาสตร์ของกรีกและจบด้วยข้อความว่า "ธรรมชาติอย่างหนึ่ง รวมเข้ากับธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง, ธรรมชาติอย่างหนึ่งมีชัยชนะเหนือธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง,ธรรมชาติอย่างหนึ่งควบคุมธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง" ข้อความเช่นนี้ นักเล่นแร่แปรธาตุยึดถือมานานนับศตวรรษๆ ดิโมคริตุสนั้นมักจะว่าถึง "ส่วนประกอบจากน้ำ การเคลื่อนไหว การเติบโต การรวมตัว การแยกตัว การดึงเอาวิญญาณมาจากร่าง และผูกวิญญาณไว้ภายในร่าง ฯลฯ" ซึ่งมีลักษณะของจินตนาการเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่า มีการกล่าวถึงการสกัดโลหะธรรมดาให้กลายเป็นทองคำ และคืนสภาพเป็นโลหะธรรมดาได้อีก แต่อาศัยการกลั่น การระเหิด และมีเรื่องของวิญญาณด้วย ผลพวงของการผสมวัตถุธาตุต่างๆ ก็ได้แต่เพียงสีต่างๆออกมา เช่น สีดำ สีเหลือง ขาว ม่วง เป็นต้น
     
  9. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    อาหรับ

    คัมภีร์การเล่นแร่แปรธาตุของอาหรับแม้จะเก่าแก่ แต่ก็คลุมเครือเช่นเดียวกับของกรีก โดยเริ่มต้นว่า "สิ่งที่อยู่เบื้องบนก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง สิ่งที่อยู่เบื้องล่างก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน" พูดง่ายก็คือ เรื่องเชิงทฤษฎี และเกี่ยวกับโหราศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่าง อินเดีย จีน อาหรับ กรีก และยุโรปนั้น มีความตื้นลึกหนาบางพอสมควร แต่ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะระบุได้ว่าของใครเก่ากว่ากัน แต่แน่นอนว่า ความรู้เหล่านี้ได้แพร่หลายระหว่างกันและกันมาช้านาน
    มีนักเคมีผู้ยิ่งใหญ่ของอาหรับ ชื่อ อัร ราซี ในยุคเมื่อราว 1,000 ปีที่ผ่านมา เป็นแพทย์ชาวเปอร์เซีย ได้จำแนกวัตถุที่นักเล่นแร่แปรธาตุใช้ออกเป็นพวก "มีรูป" (โลหะ), หิน, กรดกำมะถัน น้ำประสานทอง เกลือ และ "วิญญาณ" และผสมเข้ากับสารหลักดังกล่าว รวมทั้ง ปรอท กำมะถัน สารหนู หรดาล (อาร์เซนิกซัลไฟด์) และเกลือแอมโมเนีย จากการค้นคว้าของเขา ทำให้รู้จักกรดจากแร่หลายชนิด และได้เขียนตำราไว้มาก ทว่าผลลัพธ์จากการศึกษา ก็ไม่ต่างจากการเล่นแร่แปรธาตุของชาติอื่นๆ เท่าใดนัก นั่นคือ ไม่สามารถจะผลิตทองคำหรือเงิน ได้แม้แต่น้อย
     
  10. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ยุโรปสมัยหลังศตวรรษที่ 13

    วิชาการเล่นแร่แปรธาตุยังเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการที่ศึกษากันทั่วไปในยุโรป พร้อมกับเรื่องอื่นๆ เช่น ปรัชญา รัฐศาสตร์ การแพทย์ และการแปรธาตุเป็นทองก็ยังเป็นเป้าหมายหลักของผู้สนใจการเล่นแร่แปรธาตุเสมอมา ในคราวนั้น มีนักเล่นแร่แปรธาตุชาวฝรั่งเศสชื่อ นิโกลาส์ ฟลาเมน (ค.ศ. 1330-1418 หรือ พ.ศ. 1873-1961) ประกาศว่าตนสามารถถอดรหัสลับ โดยความช่วยเหลือจากนักปราชญ์ชาวยิว ทำให้สามารถแปรธาตุเป็นทองคำ และมีฐานะร่ำรวย บริจาคทรัพย์แก่พระ ศาสนาเป็นอันมาก

    เมื่อราว ค.ศ. 1300 (พ.ศ. 1843) นักเล่นแร่แปรธาตุเริ่มค้นพบกรดจากแร่หลายชนิด นับเป็นเวลาสามศตวรรษ จากที่ค้นพบ "น้ำเข้มข้น" (อะควา ฟอร์ติส หรือ กรดไนตริก) เป็นครั้งแรก และได้จำแนกกรดเป็นสามพวก คือ กรดน้ำส้ม กรดเกลือ และกรดกำมะถัน สำหรับ "น้ำแห่งชีวิต" (อะความ วิไต หรือ แอลกอฮอล์) นั้น ค้นพบก่อนกรดไนตริกเล็กน้อย ซึ่งแพทย์และนักเล่นแร่แปรธาตุบางท่านพยายามแปรให้เป็นแม่แร่ หรือสสารหลักสำหรับการแปรทอง หรือยาอายุวัฒนะ
    ความพยายามที่จะผลิตทองคำจากโลหะธรรมดานั้น ได้ดำเนินเรื่อยมากระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2440) และ เซอร์ไอแซค นิวตัน คิดว่า เรื่องนี้ควรค่าแก่การทดลองให้ได้ผลประจักษ์ (ว่าเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร) ขณะที่ทางการถือว่าการเล่นแร่แปรธาตุนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลและผิดกฎหมาย ทว่าในขณะเดียวกันนั้น บรรดาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ของยุโรป กลับเป็นผู้สนับสนุนนักเล่นแร่แปรธาตุคนสำคัญของยุโรป เช่น พระเจ้ามักซิมิเลียนที่ 2 ของ ออสเตรีย (รัชกาล ค.ศ. 1564-1576 หรือ พ.ศ. 2107-2119) ส่วนพระเจ้ารูดอล์ฟที่ 2 (รัชกาล ค.ศ. 1576-1612 หรือ พ.ศ. 2119-2155) ได้แต่งตั้งให้นักเล่นแร่แปรธาตุคนหนึ่งของเยอรมัน ได้บรรดาศักดิ์เป็นเคานต์ และเป็นเลขาส่วนพระองค์
     
  11. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    การเล่นแร่แปรธาตุของไทย

    กล่าวถึงวิชาการของต่างประเทศมาแล้ว เห็นจะต้องพูดถึงเรื่องไทยๆ กันบ้าง การเล่นแร่แปรธาตุของไทย มีความคล้ายยคลึงกับของต่างประเทศ ในประเด็นที่ว่าเกี่ยวข้องกับความปรารถนาจะได้โลหะสูงค่า หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ และแน่นอนเหลือเกินว่า มีการเชื่อมโยงกับศาสตร์ลี้ลับ ความเชื่อทางโหราศาสตร์ คาถาอาคม เป็นต้น ทั้งวิธีการต่างๆ ก็มีความคลุมเครือไม่แพ้กัน
     
  12. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    จากโลหะธรรมดา เป็นทองคำ

    ด้วยความรู้ทางเคมีพื้นฐานในปัจจุบัน ผู้เริ่มเรียนเคมีก็สามารถสลายน้ำเป็นก๊าซไฮโดเจน และออกซิเจนด้วยวิธีการง่ายๆ ขณะเดียวกัน ก็สามารถนำสารละลายบางอย่างมาทำปฏิกิริยากันจนเกิดสารประกอบตัวใหม่ขึ้นได้โดยง่าย แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายของการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การผลิตทองคำหรือเงิน ซึ่งเป็นโลหะธาตุ มิได้เป็นสารประกอบที่อาจผลิตขึ้นได้ง่ายกว่ามาก
    อย่างไรก็ตาม จากความรู้เกี่ยวกับโมเลกุล และอะตอม ทำให้เราทราบว่า เมื่อมีการระดมยิงด้วยอนุภาคชนิดต่างๆ ก็อาจทำให้ธาตุหนึ่งๆ สลาย หรือรวมตัวเป็นธาตุชนิดใหม่ได้ เช่น ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้น ต่อไปนี้

    <CENTER>12C + 1H ----> 13N + γ (รังสีแกมมา)</CENTER> นั่นคือ นิวเคลียสของธาตุคาร์บอน-12 จับนิวเคลียสของไฮโดรเจน-1 หรือโปรตอน, เกิดเป็นไนโตรเจน-13 และได้รังสีแกมมาออกมาด้วย ด้วยเหตุนี้ โดยทฤษฎีแล้ว จึงอาจแปรธาตุจากธาตุอื่นได้ด้วยกรรมวิธีอย่างเดียวกัน เช่น เมื่อ พ.ศ. 2462 รัทเทอร์ฟอร์ด ได้เปลี่ยน ไนโตรเจน-14 ให้เป็น ออกซิเจน-17 โดยระดมยิงด้วยอนุภาคอัลฟ่า ทว่าในยุคที่ถือว่าวิทยาการก้าวหน้าแล้ว ยังมีคำกล่าวอ้างถึงความสำเร็จของการแปรธาตุโลหะธรรมดาเป็นทองคำ ด้วยกรรมวิธีทางเคมี ดังกรณีต่อไปนี้

    กรณีที่ 1
    มารี รูซ์ ระบุว่าตนได้แปรธาตุเหล็กที่ปลอดจากสารหนู คาร์บอน ฟอสฟอรัส กำมะถัน โปรทอกไซด์ และเพอรอกไซด์ของเหล็ก ตะกรัน และกราไฟต์ ทำให้กลายเป็นโลหะเงินได้ ส่วน "ตัวทำ" นั้นใช้ซิลิกา โดยมีอตราส่วนต่อเหล็ก เป็น 39:1 และมีการแปรกลับด้วยการให้ความร้อนในเตาหลอมไฟฟ้า 10-15 นาที นอกจากนี้ เขายังระบุว่า หากใช้เงินเป็นโลหะต้นในตอนแรก ก็จะพบทองคำเกิดขึ้นบนก้อนซิลิกา รูซ์บอกว่าควรใช้ ความร้อนที่ 3,500 องศาเซลเซียส

    กรณีที่ 2
    ในปีต่อมา อัลเบิร์ต เวอร์ลีย์ รายงานถึงการผลิตทองคำ เงิน และแพลทินัม จากเหล็ก โดยการใช้แม่เหล็ก ละลายในกรดเกลือ ส่วนกระบวนการนั้นรายงานไม่ชัดเจน กล่าวเพียงว่าสัดส่วนของโลหะที่ได้จะขึ้นกับเงื่อนต่างๆ โดยเฉพาะความเข้มของสนามแม่เหล็ก เป็นต้น
    ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 นั้น มีการรายงานถึงการค้นพบทองคำด้วยกรรมวิธีทางเคมีจากหลายแห่งทั่วโลก นอกจากยุโรปแล้ว ยังมีนักเคมีในญี่ปุ่นก็รายงานมาเช่นกัน แต่ทั้งหมดยังมีข้อสงสัย ทั้งขั้นตอนการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้ เนื่องจากปริมาณของทองคำที่ได้นั้นมีปริมาณที่น้อยมาก และยังมีข้อกังขาในเรื่องเครื่องมือการทำงาน จึงไม่ปรากฎว่ามีการทดลองครั้งใดที่เป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง
     
  13. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ในที่สุด ... ก็สำเร็จ

    ความดึงดันที่จะสร้างทองคำจากธาตุอื่น เพิ่งเป็นผลที่ยอมรับได้จริง ในปลายทศววรษปี 1950 (พ.ศ. 2493) เมื่อมีการระบุถึงไอโซโทปชนิดเบาของทองคำ (Au-188) อันเป็นผลจากการระดมยิงคาร์บอน-12 ด้วยนิวเคลียสของแทนทาลัม แต่นั่นเป็นเพียงการทดลองเพื่อให้เห็นผลเท่านั้น ไม่สามารถนำมาเป็นกรรมวิธีการผลิตทองคำในเชิงพาณิชย์ได้ เพราะใช้ต้นทุนที่สูงกว่าราคาของทองคำที่ได้ และเป็นไอโซโทปที่ไม่เสถียรแต่อย่างใด
     
  14. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    อืม...แม้ทางแถบไทยเองก็มีความเชื่อเรื่อง การทำปรอทให้เป็นทอง คงใช้หลักการถอดนิวตรอนออกจากโมเลกุลโดยใช้พลังจิต...คล้าย ๆกับที่นักวิทยาศาสตร์เขาทำกัน
     
  15. kai_toung47

    kai_toung47 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +48
    ((ว้าวสุดยอดอภินิหาร))

    ถ้าเนรมิตสลัมกลายเป็นทองคนจนคงจะไม่มีในเมืองไทยนะครับ เอาเป็นว่าทองคําให้มันหาง่ายกว่าเดิมครับ ฮิๆๆๆๆๆๆๆ[b-wai] (b-cap)
     
  16. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ข้อมูล ลึกดีครับ ^ __ ^
     
  17. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    พลังจิต ที่สามารถเนรมิต ให้สิ่งต่างๆเป็นทองคำได้ คือ ใช้กสินสีเหลือง
     
  18. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    รสายนเวท (Alchemy : วิชาประสมแร่แปรธาตุ)

    ที่มา http://surin.info:64/article/detail.php?tid=58


    เป็นหนึ่งในหลายสาขาของเวทมนต์ซึ่งเริ่มมีขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 23 สมัย โรซีครูเชียน (Rosicrucian :โรซีครูเชียน คือ กลุ่มคนชาวอียิปต์ที่อ้างว่าาเข้าใจพลังอำนาจของเอกภพ) พลังลึกลับที่เปลี่ยนเหล็กธรรมดาให้เป็นทองได้ยังรวมไปถึงการ ทำยาอายุวัฒนะ หรือที่คนจีนเรียกว่า ตัน---Tan ซึ่งกินแล้วช่วยให้เป็นหนุ่มสาวตลอดกาล อายุยืนหมื่นปี หรือเป็นอมตะและ การสร้าง มนุษย์สังเคราะห์ในหลอดแก้ว โฮมูนคูลัส---Homunculus ด้วย




    ว่ากันว่า ศาสตร์แขนงนี้ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดมาจาก เทพเจ้าอียิปต์ ที่มีนามว่า ธอธ---Thoth ซึ่งเป็นเทพผู้สร้างวิทยาศาสตร์ ชาว กรีก กับชาว โรมัน เรียกเทพองค์เดียวกันนี้ว่า เฮอร์เมส---Hermes ถือกันว่าเป็นเทพประจำอาชีพหลายอาชีพแม้กรรมวิธีจะยุ่งยากและสับสน ความพยายามที่จะเข้าใจรายละเอียดในกระบวนการของมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย การค้นคว้าหาสูตรที่จะเปลี่ยนแร่ธาตุต่าง ๆ ให้กลายเป็นทองนั้นอาจถูกมองว่า เป็นเพราะความโลภมากกว่าความต้องการที่จะค้น หาสัจธรรมให้กับชีวิต

    ภาพของ นักรสายนเวท ในวรรณคดีและศิลปะ คือ นักวิทยาศาสตร์ยุคต้น ๆที่นั่งอยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนระอุ พยายามทุกวิถีทางที่จะหลอมแร่ธาตุและแปรให้เป็นทอง โดยแท้จริงแล้ว ความตั้งใจจริงของ รสายนเวท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทางเคมีใด ๆแต่เป็นความต้องการจะค้นหาสัจธรรมและความบริสุทธิ์ของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วย ปรัชญา ศีลธรรม และจิตวิญญาณ นักรสายนเวท ไม่ได้ต้องการค้นหาเวทมนต์ใด ๆ แต่ต้องการค้นหาคำตอบของเอกภพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและลึกลับสำหรับมนุษย์ รสายนเวท มีความเกี่ยวพันกับทอง เนื่องจากทองเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ มีความทนทานต่อปฎิกิริยาต่าง ๆซึ่งทำให้ ทองไม่หมองคล้ำและไม่ถูกกัดกร่อน นอกจากคุณสมบัติเฉพาะตัวแล้ว ทอง ยังเป็นอุปมาของความงาม ความบริสุทธิ์ และความอดทน ทอง จึงเป็นตัวแทนของสิ่งที่ นักรสายนเวท ค้นหา สิ่งใดที่ทำให้แร่ธาตุเปลี่ยนสภาพเป็นทองได้เร็วเท่าไรก็จะมีอำนาจต่อมนุษย์มากตามไปด้วยพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นเป็นเพียงการแสดงประกอบการค้นหาสัจธรรมโดยใช้ ทอง เป็นตัวแทน





    ประวัติ รสายนเวท มีมากว่า 2,000 ปี ในแถบตะวันตก ตะวันออก และแถบประเทศอาหรับ ถือว่าเป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่มีอายุยาวนานที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่า วัตถุที่นำมาประกอบพิธีคือ ทอง นั้น เป็นที่หมายปองของมนุษย์ทุกสมัย ความไม่ซื่อสัตย์และการหลอกลวงย่อมมีขึ้นแน่นอน แต่จุดมุ่งหมายหลักของ รสายนเวท ก็ยังคงอยู่ที่ความสมบูรณ์เป็นเลิศที่แทนด้วยวัตถุที่เป็นเลิศอย่างทอง และหมายถึง จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของมนุษย์รสายนเวท นี้มีขึ้นก่อนคริสตกาลทั้งใน จีน และ ยุโรปตะวันออก เริ่มต้นเมื่อประเพณีของ อียิปต์ และ กรีก ถูกนำมารวมกันเพื่อค้นหากุญแจสู่เอกภพ ต่อมา 500 ปีรสายนเวท ใน ยุโรป ก็เสื่อมลงแต่กลับไปเจริญในแถบ อาหรับ และ ตะวันออก แทน กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุโรป ในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นกว่าเดิม จนการศึกษาค้นคว้าแตกแขนงออกไปเป็นศาสตร์หลายแขนง เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น

    นักรสายนเวท แต่ละคนต่างต่างสมัย ต่างก็มีวิธีของตนที่จะค้นคว้าหาคำตอบของตนเอง จึงทำให้ไม่มีวิธีที่ซ้ำกันเลย แม้จะมีความ แตกต่างในกลวิธี ใจความสำคัญ 3 ประการ ก็ยังคงเหมือนกัน

    ประการแรก เน้นการศึกษาในวัตถุแร่ ศึกษาในรูปธรรมของวัตถุในห้องทดลอง และการทดลอง
    ประการที่ 2 คือ ความเข้าใจในความสำคัญของการบำบัดรักษาโดยใช้สมุนไพรและสารเคมีต่าง ๆ ให้เป็นยาที่มีประโยชน์ใช้รักษาได้
    ประการที่ 3 เกี่ยวข้องกับปรัชญาและความลึกลับของมนุษย์ค้นหาแสงสว่างแห่งสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและหน้าที่ของมนุษย์
    ต่อเอกภาพ

    ทุกสาขาของ รสายนเวท จะประกอบด้วยใจความสำคัญทั้ง 3 นี้ จะต่างกันก็ตรงที่การเน้นความสำคัญของแต่ละใจความ สูตรลับใน รสายนเวท นั้น มีที่มาแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล สูตรลับนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า เป็นของขวัญของพระเจ้า ซึ่งแต่ละสูตรอาจได้มาจากความฝัน นิมิต หรือจากวิญญาณ เนื่องจาก นักรสายนเวท มักทำงานคนเดียวและไม่มีครูสอน การค้นพบสูตรจึงต้องเป็นไปตามวิธีที่กล่าวมาผนวกกับแรงบันดาลใจ ซึ่งบางคนอาจได้ผลลัพธ์เช่น นักรสายนเวท อาจเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ลัวนมีมวลสารอันเป็นแก่นแท้ของตัวมันเองเป็นส่วนประกอบมากน้อยแตกต่างกันไป มวลสารนี้เรียกว่า พรีมา แมทีเรีย---Prima Materia ซึ่ง (ในตำราแนะให้เรียกมันว่า) "แก่นมวลสาร" เช่น ปรอท นักรสายนเวท จะเอาปรอทธรรมดามาแยก หรือ "ไล่" ธาตุลม ธาตุดิน และธาตุน้ำออกไปให้หมด ส่วนที่เหลือก็จะเป็น แก่นมวลสาร เข้าใจว่าแร่หรือโลหะอื่นพอไล่ธาตุพวกนี้ออกแล้วก็จะได้แก่นมวลสาร เหมือนกันหมด แต่ได้มากน้อยแตกต่างกันไปเท่านั้น

    แก่นมวลสาร นี่เองที่จะนำมาเปลี่ยนเป็นทองคำ แต่จะต้องเอามาผสมกับ หินฟิโลโซเฟอร์---Philosopher's stone : หินแห่งนักปราชญ์ หรือ "จินดามณี" ซึ่งได้จากการเอากำมะถันมาไล่ส่วนประกอบอื่นออกให้หมดจนเหลือเนื้อแท้ของมัน ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือชนิดสีขาว กับชนิดสีเหลือง จินดามณีขาวเมื่อผสมกับแก่นมวลสารแล้วจะกลายเป็นเงินบริสุทธิ์ ส่วนจินดามณีสีเหลืองจะเปลี่ยนแก่นมวลสารเป็นทองคำ

    กรรมวิธีต่าง ๆ มีขั้นตอนสลับซับซ้อนมาก องค์ประกอบที่ถือเป็นหัวใจของการผลิตคือ "ไฟ" การหุงแร่ให้ได้ แก่นมวลสาร และจินดามณี ต้องใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก การจะวัดอุณหภูมิของไฟ ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิ นักรสายนเวทจึง นิยมใช้ "ตุ๊กแกไฟ" เป็นที่สังเกต ถ้า ตุ๊กแกไฟ ลงไปเกลือกกลิ้งในกองไฟเมื่อไหร่ แสดงว่าไฟร้อนได้ที่ แต่ ตุ๊กแกไฟ นี่ต้องไปจับ มาจากปล่องภูเขาไฟ และจะเจอตัวมันเฉพาะตอนภูเขาไฟกำลังระเบิดพ่นหินลาวาออกมาพวกมันก็จะออกมาดำผุดดำว่ายอยู่ใน ธารลาวา ถ้าจะจับมันจึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจาก หนังของตุ๊กแกไฟ อีกด้วย

    ส่วน ยาอายุวัฒนะ ทำยากกว่าทำ จินดามณี อีก เพราะตัวยาต้องประกอบด้วยธาตุหลักครบทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เอามาผสมกับตัวยาที่ได้จากสัตว์ พืช และที่ขาดไม่ได้คือ แก่นมวลสาร ฉะนั้นถ้าจะทำ ยาอายุวัฒนะ ก็ต้องรู้วิธีเปลี่ยนโลหะพื้น ๆ ให้เป็นทองคำซะก่อน 000ส่วน นักรสายนเวท บางคนเชื่อว่า แม่แร่ หรือ Philosopher's stone : หินแห่งนักปราชญ์ นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็น หิน แต่เป็นอะไรก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนวัตถุธรรมดาให้เป็นสิ่งที่มีความเป็นเลิศในทางวัตถุ ก็คือ ทองแต่ในด้าน อื่น ๆ อาจหมายถึง สัจธรรม หรือความเป็นอมตะ สิ่งใดก็ได้ที่สามารถทำให้ความเจ็บป่วยหายไป สงครามสงบสิ้นลงมันคือสิ่งที่ทุกคนต้องการเป็นน้ำทิพย์แห่งชีวิต นักรสายนเวท ต่างทุ่มเทชีวิตเพื่อค้นหา แม่แร่ นี้ บ้างประสบความสำเร็จ บ้างก็ผิดหวัง การค้นคว้าเกิดขึ้นในห้องทดลองพร้อมกับในจิตใจของ นักรสายนเวทกลวิธีทางจิตของพวกเขาทำให้เรานึกถึงพวกหมอผีที่ใช้วิญญาณเป็นเครื่องนำทางผ่านความฝันและนิมิตรต่าง ๆ หรือใช้การนั่งสมาธิเพื่อค้นหาสัจธรรม

    รสายนเวท เริ่มต้นด้วยการเตรียมแร่ธาตุที่จะนำมาแปร จากนั้นก็เข้าสู่กรรมวิธีที่แตกต่างในการหล่อหลอมธาตุด้วยส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ เกลือ ปรอท และ ซัลเฟอร์ เมื่อส่วนประกอบทุกอย่างถูกใส่ลงไปและหลอมรวมกันแล้วก็จะได้ธาตุประกอบชนิด ใหม่ที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของจิต นักวิทยาศาสตร์เน้นที่วัตถุประสงค์ของการทดลอง แต่ นักรสายนเวท จะเน้นแค่การที่ตัวเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการทดลองนั้น และได้มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตและทำสมาธิพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ของแร่ธาตุที่ถูกหลอม การเอาใจใส่กับทุกขั้นตอน การเปลี่ยนแปลงทำให้ นักสายนเวท ถูกมองว่ามีนิสัยหมกมุ่น

    นักรสารยนเวท มนยุคบุกเบิกจะทำงานอถชุทิศเวลาเกือบทั้งหมด ให้กับการศึกษาค้นคว้า และทดลอง นักรสายนเวท มาจากหลายชนชั้นและหลายประเภท ตั้งแต่คนชั่วร้ายที่มีแต่ความโลภ จนถึงผู้ที่มีความ ตั้งใจจริงและทุ่มเทให้กับมันจนสิ้นเนื้อประดาตัว นักรสายนเวท ผู้ทุ่มเท จะใช้เวลาทุกนาทีที่เขาตื่นไปกับงานที่เขาทำอยู่ ปริมาณของวัตถุแร่และเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาไหม้หลอมละลายธาตุก็มากตามเวลาที่ทุ่มให้ บางคนโชคดีได้รับการสนับสนุนจากผู้มีทุนทรัพย์ ซึ่งก็มักหวังจะถอนทุนคืนเมื่อการทดลองสำเร็จ ความล้มเหลวอาจหมายถึงความตายได้เพราะนายทุนย่อมไม่ยอมเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ ตัวอย่างเช่น ในสมัยจักรพรรดิ รูดอล์ฟ (Rudolph) แห่งโรมัน

    ในพุทธศตวรรษที่ 14 มีการทุ่มเทสร้างห้องทดลองรสายนเวท อย่างจริงจัง พระองค์ทรงสร้างชุมชน สำหรับนักรสายนเวท อาศัยอยู่รวมกันและทำงานทดลอง หนทางการเป็น นักรสายนเวท ที่ประสบความสำเร็จนั้นยากลำบากมาก ต้องทุ่มเททั้งพลังสติ ปัญญา จิต วิญญาณ เวลาและที่สำคัญคือ กำลังทรัพย์

    ที่น่าแปลกใจ คือรสายนเวท ไม่ได้เป็นที่ขัดขวาง ขององค์กรทางศาสนาตลอดระยะเวลา 2,000ปีที่มีมันอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่น การต่อต้านก็มีบ้างแต่เป็นการต่อต้านผู้ที่หลอกลวงเพียงเพื่อหวังลาภยศชื่อเสียงเท่านั้นนักรสายนเวท หลายคนเป็นนักบวชในศาสนาด้วย โบสถ์ในยุคกลางหลายแห่งมีสัญลักษณ์ของ รสายนเวท เป็นสัญลักษณ์ประจำโบสถ์อย่างที่โบสถ์แห่ง นอร์ทเตอร์ ดาม (Notre Dame) ใน ปารีส ที่มีประตูบานใหญ่ที่สลักด้วยสัญลักษณ์ของ รสายนเวท อย่างสวยงาม

    นักรสายนเวท หลายคนเชื่อว่า สูตรลับได้ถูกเปิดเผยในอดีตและถูกซ่อนไว้ การค้นหาสูตรลับจึงเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ นักรสายนเวทต้องทำ รสายนเวท เป็นความเชื่อที่มีพิธีกรรมอย่างเปิดเผย แต่สูตรที่ใช้ใน รสายนเวท ยังคงเป็นความลับที่ต้องค้นหาต่อไป ไม่มีอะไรง่ายและเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เอกสารที่มีสูตรเขียนอยู่ไม่ได้เป็นที่เข้าใจสำหรับทุกคน สูตรมีสัญลักษณ์ต่าง ๆมากมายที่รู้ความหมายเฉพาะในหมู่ นักรสายนเวท เท่านั้น

    เนื่องจากความลึกลับของสูตรและขั้นตอนของพิธีกรรมทำให้ผู้ปกครองบางสมัยเห็นว่ามันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของตน เอกสารเกี่ยวกับสูตรลับถูกเผาหมดสิ้นในสมัย จักรพรรดิ ดิโอเคลเชียน (Diocletian) แห่ง โรมันในพุทธศตวรรษที่ 8 พระองค์ห้ามมิให้มีการใช้วิชา รสายนเวท ในสมัยนั้น

    ความระแวงสงสัยทำให้ นักรสายนเวท ตกอยู่ในอันตรายในบางครั้งและนั่นยิ่งทำให้พวกเขาปิดบังสูตรและพิธีกรรมต่างๆมากขึ้นมีการสร้างที่ลับเฉพาะเพื่อเก็บสูตรลับและสูตรก็ยังเขียนด้วยรหัสลับอีกชั้นหนึ่งด้วย

    ในพุทธศตวรรษที่ 13 นักรสายนเวท ชาว อาหรับ ชื่อ อาบูมูสา จาบีร์ (Abu Musa Jabir) ได้คิดค้นระบบสัญลักษณ์แทนค่าขึ้นมาและระบบนั้นเองเป็นรากฐานของ สมการทางเคมี และยังมีใช้ถึงปัจจุบัน คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจสมการนี้ได้ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์แห่ง รสายนเวท ที่รวมไปถึงภาพเขียนและบทเพลงที่เกิดจากพิธีกรรมด้วย

    รสายนเวท จุดประกายการให้สัญลักษณ์สื่อความหมายต่าง ๆ ความคิดทำนองนี้ถูกนำไปใช้ในภาพเขียนทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ที่เห็นภาพสามารถแปลภาพออกมาเป็นความหมายแตกต่างกันไปตามจินตนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    ขั้นตอนของ รสายนเวท นั้นเปรียบได้กับขั้นตอนการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณ นักรสายนเวท ต้องใช้สมาธิและมันสมองในการคิดสูตรลับอย่างมาก ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุรสายนเวท เป็นการฝึกจิตให้มีสมาธิแกร่งกล้าเป็นไปในทางเดียวกับ ฤาษีดัดตนที่ตั้งจิตแน่วแน่ที่จะฝืนกฎธรรมชาติโดยการทรมานตนจนพบทางสว่างทางสว่างของ นักรสายนเวท ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ คือ ธาตุที่เปลี่ยนเป็นทองหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่มีข่าวลือว่านักรสายนเวท คนนั้นบ้างคนนี้บ้างทำสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้มีข้อพิสูจน์จริงจังอะไร ข่าวลือที่เกิดขึ้นมักเป็นสัญลักษณ์ว่า ในสมัยนั้น รสายนเวทได้เป็นที่นิยมและเจริญรุ่งเรืองยิ่ง

    ข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ เรื่องของแพทย์ชาว ฮอลแลนด์ (Holland) ชื่อ เฮลเวติอุส (Helvetius)ในพุทธศตวรรษที่22 แพทย์ผู้นี้เป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนโดยทั่วไปเนื่องมาจากความมีเหตุผลและหลักการของเขา เฮลเวติอุส เล่าว่า มีคนแปลกหน้ามาหาเขาและบอกเขาว่า รู้สูตรลับ และมี "แม่แร่" อยู่ในครอบครอง เฮลเวติอุส ได้รับตัวอย่างหินมาชิ้นหนึ่งแล้วนำมาทดลองตามสูตรที่คนแปลกหน้าบอกก็ปรากฏสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาได้เปลี่ยน ตะกั่ว ให้เป็น ทอง ได้ทองจำนวนนั้นได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากผู้ชำนาญการถลุงแร่ประจำเมืองว่า เป็นทองคำบริสุทธิ์จริง นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่า เรื่องของ เฮลเวติอุสเป็นเพียงนิทานเปรียบเทียบให้เห็นถึงหลักแท้จริงของวิชา รสายนเวท แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่


    เช่นเดียวกับเรื่องลึกลับเรื่องอื่นที่ไม่ได้ถูกลืมหรือเสื่อมสลายเป็นการถาวร รสายนเวท ได้พัฒนาและคงอยู่จนถึงปัจจุบัน การพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน อยู่ในปี พ.ศ. 2462 เมื่อนักฟิสิกส์ชาว อังกฤษ ชื่อ ลอร์ด รูเธอร์ฟอร์ด (Lord Rutherford) ได้ประสบความสำเร็จในการแปร ไนโตรเจน เป็น ออกซิเจน แม้ว่าขั้นตอนจะยากลำบากและยาวนาน ประกอบไปด้วยพลังงานกัมมันตรังสีและอื่น ๆการพัฒนานี้ได้ล้มล้างนิยามที่ว่า ธาตุไม่สามารถแปลงไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ และแล้ว วิทยาศาสตร์ ก็ได้พัฒนาสิ่งที่ นักรสายนเวทเชื่อและยึดถือปฏิบัติมาเป็นพัน ๆปีปัจจุบันการรวมตัวของอนุภาคที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทำให้ แปรแร่ธาตุอื่น เป็นทองสามารถทำได้ทุกเมื่อเพียงแต่ต้องใช้ทุนทรัพย์สูงเท่านั้นเองสิ่งที่เคยเป็นเรื่องเหลวไหลในสมัยก่อนกลับเป็นเรื่องที่มีการศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างมากในปัจจุบันดังจะเห็นได้จากการแปรอนุภาคของธาตุให้เป็นพลังงานที่สูงสุด คือ พลังงานนิวเคลียร์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2005
  19. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    เป็นไปได้...ด้วยอำนาจ พลังจิต ...ที่สงบนิ่ง ไร้ซึ่งกิเลส
    จิตที่มีสมาธิ จะทำให้เกิดอานุภาพมากมาย


    ฮืม ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง อ่ะ....
     
  20. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    แขนกลคนแปรธาตุหรือครับ- -"
     

แชร์หน้านี้

Loading...