เป็นพระโสดาบันไม่ยากอย่างที่คิด

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 12 ธันวาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    [​IMG]



    ถาม : ......................

    ตอบ : พระโสดาบัน ก็คือชาวบ้านชั้นดี เป็นบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรมไม่ยอมล่วงศีล เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริงๆ ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ อายุ ๑๖ ท่านแต่งงานมีลูก ๒๐ มีหลาน ๔๐๐ คน ทำมาหากินตามปกติ รวยไม่รู้จะรวยอย่างไร เครื่องประดับชิ้นเดียวราคา ๙ โกฎิ โกฎิหนึ่งตามบาลีว่า ๑๐ ล้าน เครื่องประดับชิ้นเดียวราคา ๙๐ ล้าน นั่นแหละพระโสดาบัน ชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ต้องไปกลัวกิเลสมันเศร้าหมองหรอก เพียงแต่พระโสดาบันท่านเรียกว่า พระอริยเจ้า คือเป็นผู้มีแต่ความเจริญขึ้นในส่วนเดียว กำลังใจในด้านชั่วท่านไม่เอา เพราะว่าท่านไม่ยอมละเมิดศีล ถ้าศีลจะต้องขาดท่านยอมตายดีกว่า

    ในเมื่ออยู่ลักษณะนั้นแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าปฏิบัติเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน กลายเป็นบุคคลชั้นดีในสายตาของคนทั่วๆ ไป เพราะเราเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมของเรา กำลังของเราในด้านของธรรมะก็จะไม่ตกต่ำ มีแต่เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนปกติเพียงแต่ ความรัก โลภ โกรธ หลง ของท่านจะมีศีลเป็นเกราะ โกรธแต่ไม่ฆ่าใคร รักยังมีผัวมีเมียได้ แต่ไม่ละเมิดลูกเมียใครต้องเป็นไปตามศีลตามธรรมเท่านั้น เป็นเรื่องปกติ

    ถาม : ศีลต้องเข้มใช่ไหมคะ ไม่ดื่มสุรา แล้วเราอยากจะกินแต่เราละ ?

    ตอบ : ให้อย่างนั้นยิ่งดีจ้ะ เพราะว่าถ้าเราอยากและเราระงับตัวเองได้ นั่นถึงจะเป็นศีลที่แท้จริง คนไม่กินเหล้าเลย แล้วไปคุยว่ามีศีลนี่ยังไม่แน่นะ กินเข้าไปแล้วเขาอาจติดก็ได้ แต่ว่าคนที่อยากจะกิน แล้วห้ามตัวเองได้นั่นแหละ ถึงจะเป็นยอดมนุษย์จริงๆ

    ข้อสุรา สุรา สิ่งที่กลั่นขึ้นมา ประกอบด้วย แลกอฮอล์ มัชชะ ของมึนเมาที่เสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติหรือว่าสติฟั่นเฟือนไป เพราะฉะนั้นพวกยาเสพติดทั้งหมดก็อยู่ในพวกนี้ด้วย แต่ว่าเขาแปลสุราอย่างเดียว ศีลข้อ ๕ สุรา เมรัย มัชชะ ๓ อย่าง เมรัยพวกไวน์ก็จัดอยู่ในเมรัย

    ถาม : ถ้าพวกมะกอกดอง มะขามดอง ล่ะคะ ?

    ตอบ : อันนั้นกินไปเถอะ กินเท่าไหร่มันก็ไม่เมาหรอกจ้ะ คำว่าเครื่องดองของเมา มันหมักดองแล้วเกิดแอลกอฮล์ขึ้นมา ตัวแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้แปรปรวน ทำให้ขาดสติ ประเภทผักดอง ผลไม้ดองกินไปเหอะตันสองตันไม่มีใครว่า

    ถาม : จะได้สบายใจที่จะกิน

    ตอบ : จ้ะ รีบกินไปเลย เหลือก็เอามาถวายพระบ้าง

    ถาม : เพราะว่าแต่ก่อนจะกินเหล้า บางทีก็จะมีอารมณ์ มีความอยากอยู่

    ตอบ : เมื่อก่อนไม่มีใครว่าหรอกจ้ะ แต่ตอนนี้รู้ตัวว่ามันไม่ดีก็รีบเลิกได้แล้ว รีบห้ามตัวเอง คนที่อยากแล้วห้ามตัวเองได้เป็นยอดมนุษย์จริงๆ เพราะว่ากำลังใจแบบนั้น คนที่ไม่อยากเขาไม่รู้หรอกว่ามันต้องต่อสู้กับตัวเองขนาดไหน

    เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสที่จะเป็นยอดมนุษย์ เราจะเป็น supergenius เราอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับคนที่ไม่มีกำลังใจที่จะทำเลย แม้แต่ศีลข้อเดียวเขายังรักษาไม่ได้ ๔ ข้อ นี่เราได้ ขาดข้อ ๕ ข้อเดียว เราก็ระมัดระวังในข้อที่เราคิดว่าบกพร่องให้มันมากไว้



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    .
     
  2. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    สาธุ
    สาธุ
    สาธุ
    ขออนุโมทนาสาธุการ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN5474.jpg
      DSCN5474.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.9 KB
      เปิดดู:
      94
  3. จิตคิดดี

    จิตคิดดี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +9
    แล้ววิธีสังเกตคนที่เป็นพระโสดาบันแล้วหล่ะคะ
    จะมีลักษณะอย่างไร
     
  4. PrasertN

    PrasertN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +195
    มีคนถามหลวงพ่อฤๅษีฯว่าจะรู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันรึยัง?
    ท่านตอบว่า ต้องถามพระพุทธเจ้า! (สำหรับผู้ที่ได้มโนมยิทธิ)
    อีกคำตอบท่านว่า อย่าไปคิด อย่าไปอยากรู้ ถ้าเกิดว่ายังไม่เป็นพระโสดาบัน ก็อาจหลงแล้วล่วงตุ๊บลงนรก ให้รักษาอารมณ์พระโสดาบันให้คงที่คือ
    1.ยอมรับนับถือใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง( ละ วิจิกิจฉา-ลังเลสงสัย)
    2.มีศีล5บริสุทธิ์(ไม่ละเมิดศีลแม้แต่น้อย)
    3.คิดเสมอว่าคนเราต้องตาย ไม่มีใครไม่ตาย

    เมื่อทรงอารมณ์อย่างนี้ได้ตลอด เป็นการหนีการตกนรกได้

    อารมณ์พระโสดาบัน
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=17
     
  5. - เงาะป่า -

    - เงาะป่า - เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +565
    อนุโมทนาครับ
    -----------------------------------------------------------------------------------------------
    "จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครไหนมาช่วยเจ้า"
    -----------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอเชิญบริจาค โครงการสร้างทรัพยากรมนุษย์ผู้ด้อยโอกาส กับ หลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=151788
    ร่วมสร้าง " อุโบสถเงิน" วิหารทานที่ในครั้งนึงในชีวิตไม่ควรพลาดครับ
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=140433
    ร่วมสร้าง พระธาตุอินทร์แขวนจำลอง พระธาตุประจำปีจอ ตามคติทางล้านนา
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=160823
    ขอความเมตตา สร้างชีวิตใหม่ ช่วยน้องผ่าตัดใบหน้า ให้สดใสเหมือนเดิม
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1440317
    มาลองทำสังฆทานอย่างง่ายๆ ด้วยตนเองกันครับ
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=144881
     
  6. นะเมติ๕

    นะเมติ๕ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +108
    อนุโมทนาครับผม
    สาธุ
    สาธุ
    สาธุ
     
  7. turtohnual

    turtohnual เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +232
    ตอนนี้เหลือแต่ข้อ1ครับที่ยังรักษาไม่ดี เพราะยังตบยุงอยู่น่ะ
    แต่ก็จะพยายามเว้นให้ได้ แต่เวลาเห็นลูกโดนยุงกัดแล้ว
    มักจะอดตบยุงไม่ได้ ทำไงดีครับ

    แต่ถึงอย่างไร ศีล5 ข้อผมก็จะก็พยายามรักษาให้ดีที่สุดและครับ
     
  8. คุณ 4

    คุณ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +5,159
    เป่าสิครับ หรือใช้ตระไคร้หอม หรือเปลือกส้ม ก็ดีนะคับ
    สาธุกับความตั้งใจด้วยนะคับ
     
  9. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,842
    ง่ายจัง ^_^
     
  10. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    เป็นพระ โสดาบัน ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะครับ ที่พูดอย่างนี้ เพราะ ว่ามันหลง หรือสงสัยว่าตัวเองเป็นกันเยอะ (เป็นปกติของคนที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง)

    แค่มีกำลังใจดี หักห้ามใจตัวเองจนศีลบริสุทธิ์ได้ อันนี้ยังห่างไกลจากพระโสดาบันนะครับ

    พระโสดาบัน ท่านมีศีลบริสุทธิ โดยไม่ต้องหักห้ามใจ ท่านมีศีลโดยปัญญา ที่เกิดจาก ภาวนามยปัญญาจริง ๆ ไม่ได้ถือศีล เพราะถือว่าเป็นศีล

    พระโสดาบัน ท่านตัด สักกายทิฏฐิ ได้แล้ว นั้นคือ จิตของท่านมีปัญญา เห็นว่า ขันท์ 5 (กาย และ ใจ) ไม่ได้เป็นตัวตนของท่านแล้ว (ตรงนี้ผมเห็นหลายคนแปลผิด ๆ เข้าข้างตัวเองกันเยอะนะครับ)

    การบรรลุเป็นพระโสดาบัน มันมีกระบวนการของจิตมันเองอยู่ เวลามรรคเกิดขึ้นในจิต มันมีกระบวนการชัดเจน เพราะฉะนั้น คนที่บรรลุโสดาปฏิมรรค จะไม่สงสัยแล้่ว ว่าตัวเองบรรลุแล้วยัง แต่จะเข้าใจชัดเจนว่ามีสภาวะธรรมใดเกิดขึ้น ท่านจะเห็นว่ามรรคเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้บรรลุ เพราะสักกายทิฏฐิขาดอย่างแท้จริงแล้ว


    อัีนนี้ข้อมูลจาก วิกิพีเดียครับ

    โสดาบัน
    เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทแรกใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ


    1. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา
    2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย เช่นสังสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
    3. สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วยศีลและ พรตอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา
    ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชล ก็ยังมีโอกาศที่จะไปอบายภูมิ หรือหลุดไปจากพุทธศาสนาได้ นะครับ เพราะฉะนั้น อย่าประมาท กันนะครับ
     
  11. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    ละความชั่วด้วยศีล ทำความดีด้วยทาน จิตเบิกบานด้วยภาวนา
     
  12. ทดแทน

    ทดแทน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    580
    ค่าพลัง:
    +116
    ตอนนี้ยังรักษาได้ไม่ดีหมดครับ ยังโกหกอยู่บ้าง ส่วนข้อ3ยังไม่เต้มร้อย แต่มีคนเดียวนะ ยุงไม่ตบแล้ว เหล้าไม่กินครับ ไม่ขโมย จะพยายามต่อไปครับ อนุโมทนาด้วยครับ
     
  13. chatmongkon

    chatmongkon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +839
    กาย วาจา ว่ารักษายากแล้ว ใจยังควบคุมยากกว่าหลายเท่า
    ยังครองสติไม่ค่อยดีเลยครับ
    จะพยายามต่อไป

    อนุโมทนาด้วยครับ สาธุ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ขออนุโมทนาบุญกับพี่ตั้มและทุกท่านนะครับ

    ไม่มีสิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ "กรรม" และ "ธรรม"
     
  15. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    มหาปผัญญาวิมุตสาธุการอนุโมทนา สาธุการ[​IMG]
     
  16. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ขอเพิ่มเติมนะครับ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด

    พระโสดาบันทุกท่าน ---> เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่างน้อยศีล 5 สมบูรณ์ อย่างน้อยจะไม่ทำผิดศีล 5 โดยตั้งใจ เรียกว่า ยอมตาย ถ้ารู้ว่าต้องทำผิดศีล 5 (สีลลพตปรามาส)
    แต่ผิดศีลโดยไม่รู้ตัว ยังมีได้ เช่น บังเอิญเดินไปเหยียบมดตาย โดยไม่เห็น ยังมีได้

    แต่ ผู้ที่มีศีล 5 ครบ ----> ไม่จำเป็นต้องบรรลุโสดาบัน ครับ ยืนยัน

    เพราะโสดาบัน เป็นผู้มีปัญญาเกิดขึ้น จนละความเห็นผิด ว่ากายกับใจ นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา และ เชื่อสนิทใจนับถือแต่พระรัตนตรัยอย่างเดียว เชื่ออย่างสนิทใจ (ไม่ได้เชื่อแต่ปาก) ว่า เส้นทางแห่งการสิ้นทุกข์ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ มีจริงๆๆ ที่เชื่ออย่างสนิทใจ ไม่ใช่เป็นเพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้ แต่ เพราะ ตนได้ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ และ เป็นอย่างที่พระพุทธองค์กล่าวไว้

    เป็นพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่น และ เบิกบาน แต่อย่างหยาบนะครับ ย้ำ มีปัญญาอย่างหยาบ
    เมื่อเทียบกับพระอริยะขั้นสูงกว่า อธิบายลึกกว่านี้เด๋วจะงง

    พระโสดาบันจะไม่มีความเชื่องมงาย อีกต่อไป เช่น จะไม่เที่ยวขอพรสิ่งศักดิ์ต่างๆ อีกต่อไป เพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ตนพ้นทุกข์(วิจิกิจฉา)

    มีการแปลความหมายของ
    1.สักกายทิฎฐิ
    2.วิจิกิจฉา
    3.สีลัพพตปรามาส
    เพี้ยนไปกันเยอะ ถ้ามีศีล 5 ครบ ผมว่าป่านนี้คงมีพระโสดาบัน เต็มไปหมด

    ข้อความของ คุณ Mikas ที่เขียนมา ผมเห็นด้วยครับ ถูกต้องแล้ว

    "พระโสดาบัน ท่านตัด สักกายทิฏฐิ ได้แล้ว นั้นคือ จิตของท่านมีปัญญา เห็นว่า ขันท์ 5 (กาย และ ใจ) ไม่ได้เป็นตัวตนของท่านแล้ว (ตรงนี้ผมเห็นหลายคนแปลผิด ๆ เข้าข้างตัวเองกันเยอะนะครับ)

    การบรรลุเป็นพระโสดาบัน มันมีกระบวนการของจิตมันเองอยู่ เวลามรรคเกิดขึ้นในจิต มันมีกระบวนการชัดเจน เพราะฉะนั้น คนที่บรรลุโสดาปฏิมรรค จะไม่สงสัยแล้่ว ว่าตัวเองบรรลุแล้วยัง แต่จะเข้าใจชัดเจนว่ามีสภาวะธรรมใดเกิดขึ้น ท่านจะเห็นว่ามรรคเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้บรรลุ เพราะสักกายทิฏฐิขาดอย่างแท้จริงแล้ว"

    การเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่ผู้ที่มีศีล 5 ครบสมบูรณ์ แล้วจะเป็นได้ทุกคน ไม่มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎก
    แต่แน่นอน ผู้มีศีลบริสุทธิ์ อันได้แก่ ศีล 5 เป็นอย่างน้อย เท่านั้นถึงจะ บรรลุโสดาบันได้

    ดังรูปลูกศรที่ผม แสดงให้ดูนะครับ แต่ อย่าแปลความหมายสลับกัน

    พระโสดาบันทุกท่าน ---> เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่างน้อยศีล 5 สมบูรณ์

    แต่ ผู้ที่มีศีล 5 ครบ ----> ไม่จำเป็นต้องบรรลุโสดาบัน ครับ ยืนยัน (แต่การมีศีลบริสุทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุโสดาบันครับ ไม่เถียง)

    ส่วนจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครบรรลุโสดาบัน บอกไม่ได้ถ้าเป็นปุถุชนทั่วไป

    ต้องเป็นพระอริยบุคคลระดับเดียวกัน หรือ สูงกว่าจึงบอกได้ครับ เพราะเป็นสิ่งที่ท่านเคยผ่านมาแล้ว

    แล้วจะทราบได้อย่างไร ว่าตัวเราบรรลุโสดาบันแล้ว

    ถ้าผู้ที่บรรลุโสดาบันจะทราบด้วยตนเองครับ แต่ อาจจะไม่ได้ทราบชัดเจนทันที ว่า ท่านเป็นโสดาบันแล้ว

    และจะมีปัญญาแจ่มแจ้ง ในช่วงเวลา แห่งการเกิดปัญญาครับ ชนิดจำได้แม่น ประทับใจ ไม่ลืม
    และการเกิดปัญญาจะเกิดในหนึ่งชั่วขณะ ซึ่งเร็วมากๆๆๆๆครับ แบบ one moment in time แบบนั้นเลยครับ

    ส่วนการจะเกิดปัญญาเห็นว่ากายกับใจ ไม่ใช่ตัวเรา ก็ต้องมีเหตุ เหตุที่ปัญญาจะเกิดได้ จะต้องมีสติ เป็นอย่างน้อย
    และเหตุที่จะให้เกิดสติ คือ การจดจำสภาวะธรรมนั้นได้ (การระลึกได้)

    นั่นคือ สติปัฎฐาน 4 นั่นเอง อันได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม

    อันนี้ จากประสบการ์ณและ คำบอกว่า ของพระอริยเจ้า ที่ท่านเทศน์บอกมา ตรงกันหมดครับ

    เฮ้อ...
    มา สมโณ โน ครูติ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
    กาลามสูตรข้อที่ 10

    มีละเอียดลึก กว่านี้แต่กลัวว่าจะไม่อ่านกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2008
  17. ahhaboy

    ahhaboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,354
    ค่าพลัง:
    +2,034
    จากปัญญาอันน้อยนิดของผม สักกายทิฏฐิ มีหลายระดับ ถ้าผมจำคำสอนครูบาอาจารย์ไม่ผิด ท่านบอกว่าปัญญาของพระโสดาบันนั้นตัดสักกายทิฏฐิได้ในส่วนหยาบ คือนึกถึงความตายเป็นปกติ แล้วตั้งใจว่าหากตายเมื่อไหร่ก็ขอไปพระนิพพาน ไม่กลัวความตายที่จะก้าวล่วงเข้ามา โดยยอมรับกฏของธรรมดา
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของง่าย ไม่ควรที่จะพูดให้ยากเกินจะเอื้อมถึง (แต่ก็ต้องมีความตั้งใจ มีอิทธิบาทสี่ครบ มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในการตัดสินใจ ที่จะคว้าเอา)
    ส่วนในเรื่องของ
    สีลัพพตปรามาสนั้น ผมได้ยินมาว่า ถ้าถือศีลห้าได้โดยไม่หนักใจ ไม่ทุกข์ใจ และมีความปลอดโปร่งใจ ตอนนั้นจึงจะถือว่าศีลไม่มีความด่างพร้อยครับ...

    ปล. พระโสดาบัน ยังมีการหลงในกายอยู่ (อันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านพูดไว้ชัดเจนครับ) และพระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนี่เองครับ (ผมลองนั่งนึกเล่น ๆ หากโลกเรามีแต่พระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ ก็คงจะดีนะ...) ส่วนการเชื่อหรือไม่เชื่อ คำสอนของครูบาอาจารย์หรือไม่นั้น ตัวผมนั้นเองยังเป็นคนโง่ ผมก็เรียนแบบโง่ ๆ ครูบาอาจารย์บอกให้ทำอะไรก็ทำตามนั้นแหละครับ (ถึงแม้บางทีจะแอบนอกคอกไปบ้าง) คำพูดแต่ละประโยคที่ครูบาอาจารย์ท่านถ่ายทอดออกมา ถึงแม้จะเป็นคำที่ง่าย แต่พอทำถึงจริง ๆ แล้ว บางครั้งมันอธิบายออกเป็นภาษามนุษย์ได้ลำบาก ต้องคนที่เคยผ่านมาเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ส่วนการจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงหรือไม่ถึง ทางตรงก็คือถามพระพุทธเจ้า ทางอ้อมก็ไปนั่งเทียบอารมณ์กับคนที่ผ่านมาแล้วสิครับ ไม่ได้ยากเลยใช่ไหม อารมณ์แต่ละอารมณ์ในการปฏิบัติมันอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ยาก ได้ยินเขาพูดกัน แค่อารมณ์ปฐมฌาน กว่าจะรู้ว่าใช่ก็ต้องผ่านมันก่อนล่ะครับ แล้วบางทีต้องปล้ำกันข้ามปีกว่าจะมั่นใจ แล้วก็ตรงอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดไว้เป๊ะ ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน ผมก็นึกถึงคำนี้ได้ว่า "ครูไม่เคยคิดฆ่าลูกศิษย์" ถ้าหากท่านสอนให้ทำดี ผมก็ทำไปแบบโง่ ๆ ละครับ พอสรุปรวมอารมณ์ได้แล้วมันก็จะร้อง "อ๋อ" ขึ้นมาเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2010
  18. suthamma

    suthamma ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,440
    ค่าพลัง:
    +36,485
    [​IMG] ครูบาอาจารย์ท่านทำของยากให้ง่าย แต่กลับมีคนเก่งชอบทำของง่ายให้ยาก..! [​IMG]
     
  19. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    พระโสดาบันท่านละสังโยชน์ 3 (สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส) ซึ่งเป็นสังโยชน์เบื่องต่ำ หรือสังโยชน์อย่างหยาบได้นะครับ ไม่ใช่ละสักกายทิฏฐิอย่างหยาบ สักกายทิฏฐิขาด ก็คือขาดเลยนะครับ ไม่ได้ขาดแค่ส่วนหยาบ

    เพราะฉะนั้นพระโสดาบัน ท่านจะเห็นอย่างชัดเจนว่า กาย & ใจ นี้ไม่มีในตน

    แต่พระโสดาบันท่านยังมีปัญญาไม่เต็ม ถึงท่านจะเห็นชัดว่า กาย ใจ ไม่ีมีในตน แต่ท่านก็ยัง ไม่หมดความยึดมั่นใน กาย ใจ ท่านก็ยังห่วง หวง ของท่านอยู่

    ผมเปรียบเทียบเล่น ๆ เหมือนเรามีบ้าน มีรถ เราก็เห็นอยู่ว่า รถ บ้าน ไม่ใช่ตัวเรา แต่เราก็ยังห่วง หวง บ้าน รถ ของเราอยู่

    [๑๘๙].........................ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฏฐิย่อมไม่มีได้อย่างไร?
    พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับแล้ว เป็นผู้ได้เห็นพระอริยเจ้า ฉลาดในอริยธรรม ได้รับแนะนำแล้วเป็นอย่างดีในอริยธรรม เป็นผู้ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในสัตบุรษ ได้รับคำแนะนำแล้วเป็นอย่างดีในสัปปุริสธรรม ย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีในรูป ไม่เห็นรูปในตน หรือไม่เห็นตนในรูป ย่อมไม่เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีเวทนา ไม่เห็นเวทนาในตน หรือไม่เห็นตนในเวทนา ย่อมไม่เห็นสัญญาโดยความเป็นตน ไม่เห็ตนมีสัญญา ไม่เห็นสัญญาในตน หรือไม่เห็นตนในสัญญา ย่อมไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีสังขาร ไม่เห็นสังขารในตน หรือไม่เห็นตนในสังขาร ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีวิญญาณ ไม่เห็นวิญญารในตน หรือไม่เห็นตนในวิญาณ .ดูกรภิกษุ สักกายทิฏฐิย่อมไม่มีด้วยอาการเช่นนี้แล.


    ถึงเราจะเคารพรักในครูบาอาจารย์ยังไง แต่ก็อย่าลืมทิ้งพระธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้ากันนะครับ

    ที่ผมออกมาแย่งว่าไม่ใช่ของง่าย เพราะแต่ก่อนตัวผมเองก็เคยหลง คิดว่ามันง่าย แถมแอบสงสัยตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเป็นพระโสดาบันแล้วยังว้าา... จนกระทั้งได้ฟังคำสอนของพระอริยะเจ้าจริง ๆ หลายท่าน ท่านก็บอกเรื่องของอารมณ์พระโสดาบันไว้ตรงกันหมด ถึงได้หายสงสัย และเข้าใจแจ่มแจ้งว่ายังต้องปฏิบัติอีกเยอะ แค่จิตมุ่งนิพพาน ถือศีลด้วยปัญญา คิดว่าตัวเองต้องตายเป็นแน่ แค่นี้ยังไม่ใช่อารมณ์ของพระโสดาบัน และไม่ใช่เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้ได้โสดาบันครับ

    ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้มรรคผลแล้ว ท่านก็บอกครับ ว่าการปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผลนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สำคัญที่ต้อง ทำเหตุของมรรคให้ถูกต้อง ซึ่งนั่นก็คือมรรค 8 หรือ ว่าย่อคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ถ้าเราขยันทำเหตุที่ถูกต้อง ยังไงผลมันก็ต้องเกิดครับ ^^
     
  20. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ขออนุญาติ ตอบเพิ่มเติมนะครับ

    เห็นด้วยกับคุณ Mikas ที่เขียนทุกประการ เลย คนที่ไม่เคยผ่านประสบการ์ณ กรุณา อย่า พึ่ง ปรามาท คุณ Mikas นะครับ

    เพราะที่คุณ Mikas เขียนมา ผมเห็นด้วย และตรงตามกับพระไตรปิฎก และ ครูบาอาจารย์หลายท่านเคยกล่าวไว้

    แต่อย่างไรก็ตาม(จะบาปไหมเนี่ย) ถ้าจะบอกความจริงว่า พระอรหันต์ ทุกท่านไม่จำเป็นต้องพูดถูกเสมอไป ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับ ถึงจะแน่นอน และ คำพูดของพระพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ พระไตรปิฎก ที่เป็น แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มากที่สุด ส่วน พระสาวก หรือ พระอรหันต์ อันนี้ ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับ ปัญญา ของท่านด้วย เพราะพระอรหันต์ คือ ผู้ที่หลุดพ้นด้วยตัวเองก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องสอนได้นะครับ

    เปรียบดัง ว่า หลักสูตรมัธยม สมมุติ พระพุทธเจ้า เสมือน ครู ครูผู้สอนต้องมีความรู้ดี และ ต้องมีความสามารถในการสอนศิษย์ให้เข้าใจด้วย สอนให้เด็กสอบไล่ได้ ถ้าเด็กคนไหนสอบได้ แสดงว่า ผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้

    แต่ในเด็กที่สอบผ่านเกณฑ์นั้น ก็จะมีทั้ง
    1.เด็กเก่ง ที่สามารถอธิบาย ความรู้ได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถติวให้เพื่อนๆหรือรุ่นน้อง เข้าใจได้

    2.และอาจจะมีทั้ง เด็กเก่ง ที่ทำข้อสอบได้คะแนนดี เข้าใจ แต่ ไม่สามารถ อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้

    3.และก็มีทั้ง เด็กทั่วไป ที่ อธิบายตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งมีทั้งผิดบ้างถูกบ้าง

    ในทางกลับกัน บุคคลผู้ที่จะเป็นครู คนที่จะเป็นครูได้ ก็ต้องจบหลักสูตร ครู ซึ่งแน่นอน ต้องเรียนลึกว่า ระดับชั้นมัธยม ที่ตัวเองจะสอน ถึงจะเป็นครูได้ ต้องมีความรู้ดี และ ทักษะในการสอนดีด้วย นั่นคือ นอกจากจะเรียน เนื้อหาวิชาที่ตัวเองต้องสอนนักเรียนแล้ว ก็ยังต้องเรียนเพิ่มเติมในวิชาทักษะการสอน เพราะเด็กแต่ละคน มีพื้นฐานแตกต่างกัน

    คนที่จบเป็นครูต้องจบครุศาสตร์บัณฑิต ถึงจะเป็นได้ แต่ในคนที่จบครู ก็มีทั้งได้ เกียรตินิยม และ ผ่านแค่ผ่านตามเกณฑ์ ตามแต่สติปัญญา

    แต่ครูที่จบทุกคน สามารถสอนเด็กมัธยมให้เข้าใจได้เหมือนกัน แต่ อาจจะมีเทคนิค ต่างกัน ทักษะการสอนที่แตกต่างกัน ครูคนไหนสอนดีเข้าใจง่าย เด็ก ก็ทำข้อสอบผ่านเยอะเป็นต้น

    ดังนั้นการที่เราจะหยิบยกคำพูดของพระท่านใดมา ไม่ใช่ว่าเป็นพระ จะพูดในสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เราควรใช้ปัญญาในการไตร่ตรองก่อน ถ้าไตร่ตรองให้ดีแแล้ว เห็นมาถูกต้อง และ สมควร จึงนำมา ปฎิบัติ

    แต่อย่าง คุณ Mikas โพสผมคิดว่าคุณได้พิจารณาดีแล้ว เห็นด้วย จึงแสดงความเห็นออกไป ซึ่งก็ตรงกับในพระไตรปิฎก ขอ อนุโมทนาครับ

    ปล.สภาวะธรรมถึงขั้นไหนแล้ว โพสหาผมหลังไมค์ได้ไหมครับ

    การหยิบยกคำพูดของใคร มาอย่าสักว่าแต่ เป็นคนที่เราันับถือ แล้วจะต้องถูกต้องเสมอไป

    การหยิบยกคำพูดใคร มา ผมเชื่อว่าท่านเหล่านั้นมีเจตนาดีและบริสุทธิ์แน่นอน


    แต่ถ้าการเอาคำพูดของใครมา เพื่อไปบอกทางให้คนอื่น ผิดๆ ถูกๆ ลองคิดดีๆใหม่นะครับ ว่าจะเป็นประโยชน์หรือโทษกันแน่
    เพราะเราอาจจะไปบอกทางที่ทำให้คนนั้นเสียเวลา หรือ อาจจะเป็นทางตัน เพราะทางที่เราบอกไปมันเป็นทางผิด หนำซ้ำ ทางนั้น เราก็ยังไม่เคย ได้เดินไปถึงจุดหมายด้วยตนเองด้วย เพียงแต่ฟังคนอื่นมา

    พระพุทธเจ้า จึงทรงสอน หลักกาลามสูตร ไว้ เพราะแม้แต่ตัวของพระองค์เอง

    พระองค์ยังสอนว่าอย่าพึ่งเชื่อ ถ้าไม่ได้ไตร่ตรอง และลงมือปฎิบัติเองก่อน

    การเคารพครูอาจารย์ เป็นสิ่งที่น่านับถือยิ่ง แต่

    ศรัทธา ควรเสมอ ด้วย ปัญญา

    หวังว่าคงจะเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะบอก อย่างอ้อมๆ แล้วนะครับ (รวมทั้งกระทู้ตอบแรกด้วย ผมกำลังจะพยายามบอก อะไรบางอย่างอยู่ หวังว่าจะมีคนเข้าใจประเด็นที่ผมพยายามบอกนะครับ) และพยายามจะบอกกับ ทุกๆๆๆคน ในกระทู้ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...