นางแก้วคู่บารมีพระโพธิสัตว์

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 1 มกราคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047

    [​IMG]



    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ


    นางแก้ว

    ตามคัมภีร์เก่าของอินเดียประเทศ กล่าวว่าพระราชาพระองค์ใดก็ตาม ถ้าได้ทรงมีแก้ว ๗ ประการแล้ว จึงจะทรงสามารถขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ แก้ว ๗ ประการนั้นคือ

    ๑. นางแก้ว คือ พระมเหสีที่ดีเลิศ
    ๒. ขุนพลแก้ว คือ แม่ทัพที่ดีเลิศ
    ๓. ขุนคลังแก้ว คือ เสนาบดีคลังที่ดีเลิศ
    ๔. จักรแก้ว คือ ราชศาสตราวุธที่ดีเลิศ
    ๕. ศฤงคารแก้ว คือ ความสมบูรณ์ที่ดีเลิศ
    ๖. ม้าแก้ว คือ ม้าที่ดีเลิศ
    ๗. ช้างแก้ว คือ ช้างที่ดีเลิศ (อันเนื่องไปถึงช้างเผือก)

    ในประเทศใดมีความสัมพันธ์ติดต่อถึงกัน ด้วยเป็นเพื่อนบ้านก็ดี เป็นมิตรกันก็ดี ย่อมจะต้องมีคติอันเห็นชอบและรับเอามาเป็นคติของตนตามสมควรด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าประเทศใดๆ ไทยเราเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงและเป็นมิตรกับประเทศอินเดียมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทั้งในทางพราหมณ์และพุทธ จึงจำต้องมีคติธรรมหลายประการที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามเรารับคติแก้ว ๗ ประการที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้ ว่าเป็นสิ่งที่ควรเป็นจริงได้เช่นนั้นด้วยเหตุและผล ในที่นี้เราจึงกล่าวถึงแต่คำว่า นางแก้ว คือ พระมเหสีที่ดีเลิศ

    สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชของชาวไทย ประดุจพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่งนั้น ว่าได้ทรงเป็นนางแก้วของสมเด็จพระราชสวามีโดยถูกต้องตามคติธรรมของแก้ว ๗ ประการ ถ้าเราพยายามพิเคราะห์เหตุและผลว่าทอย่างไร จึงจะเรียกว่านางแก้วได้แล้ว ก็น่าจะยกหลักในทางพุทธศาสนาขึ้นเป็นบรรทัดฐานว่าภรรยาดี ๔ สถานนั้นถ้านับตามทางโลก ก็คือ

    ๑. ภรรยาผู้เป็นแม่ได้ (หมายถึงในเวลาเจ็บไข้)
    ๒. ภรรยาผู้เป็นน้องได้ (หมายว่าเพื่อนสุขและทุกข์ได้)
    ๓. ภรรยาผู้เป็นเมียได้ (หมายว่าในทางสืบพันธุ์)
    ๔. ภรรยาผู้เป็นบ่าวได้ (หมายว่าปฏิบัติรับใช้)

    ทั้งนี้ เป็นเพราะปุถุชนย่อมมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตามธรรมดา ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะอยู่แต่ชนิดหนึ่งใดใน ๔ ประเภทนี้โดยเฉพาะตลอดกาล ฉะนั้นหญิงใดที่มีครบทั้ง ๔ ประการในตัวคนเดียวแล้ว จึงควรเรียกว่า นางแก้ว

    สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถได้ทรงทำหน้าที่ภรรยาดี ๔ สถานครบถ้วนบริบูรณ์ ดังจะพิสูจน์ได้ว่าภรรยาดีชนิด ๑ นั้น แม้ในเวลาพระราชสวามีทรงพระประชวรครั้งหลัง ก็ยังได้โปรดให้ตามเสด็จขึ้นไปถวายการพยาบาล และสมเด็จได้ทรงสังเกตเห็นว่าพระอาการหนัก ก่อนที่พวกหมอจะรู้สึกว่าพระวักกะเป็นพิษ

    ภรรยาดีชนิดที่ ๒ นั้น สมเด็จได้ทรงเป็นทั้งเพื่อนสุขและเพื่อนทุกข์ของพระสวามี สิ่งที่พิสูจน์มีคือ ได้ทรงรักษาพระนครถวายอย่างเต็มพระสติกำลัง ในเวลาบ้านเมืองมีเหตุการณ์อยู่ในระหว่างอันตราย ในสมัย ร.ศ. ๑๑๖ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปหาทางแก้ไขอยู่ในยุโรปประเทศ การทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ขึ้นทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในครั้งนั้น ก็เพราะไม่มีใครจะเหมาะสมยิ่งกว่า เพราะพระราชโอรสก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น จิตใจผู้คนในเวลานั้น ก็ยังหวาดเกรงภัยมาแต่ ร.ศ. ๑๑๒ จึงทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระนางเจ้าทรงเข้าพระทัยในเหตุการณ์ดี และจะทรงสามารถรวมกำลังของชนทุกหมู่ให้กลมเกลียวกันได้ดังพระราชประสงค์ แม้อย่างน้อยก็คงจะทำให้คนทั้งหลายมีจิตคิดสงสารว่าทรงเป็นสตรี

    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งสมเด็จด้วยเหตุผลดังกล่าวมาข้างบนนี้ มิใช่เพราะทรงลุ่มหลงในพระราชชายาเป็นส่วนพระองค์เลย และในวันที่คณะผู้สำเร็จราชการกระทำสัตย์สาบานทูลเกล้าฯ ถวาย ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณนั้น สมเด็จได้ทรงนำคณะกล่าวปฏิญาณต่อพระพักตร์เป็นรายพระองค์ไปทีละพระองค์ดังนี้

    ๑. สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินี
    ๒. สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระจักรพรรดิพงษ์ พระราชอนุชา
    ๓. สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระราชอนุชา
    ๔. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ
    ๕. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ
    ๖. เจ้าพระยาอภัยราชา (โรลังค์ แจ๊คเคอมิน)

    เมื่อได้กระทำสัตย์สาบานด้วยพิธีอันเคร่งครัดแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดพระราชทานคำว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1185159720.jpg
      1185159720.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.9 KB
      เปิดดู:
      5,919
    • 1185159775.gif
      1185159775.gif
      ขนาดไฟล์:
      1.3 KB
      เปิดดู:
      594
    • 1185159829.gif
      1185159829.gif
      ขนาดไฟล์:
      1.4 KB
      เปิดดู:
      544
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2009
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    เกริ่นนำเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์และนางแก้ว

    <O:p

    พระโพธิสัตว์คือผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดชาติแล้วชาติเล่าในการสั่งสมบารมีให้เพียงพอ

    เพื่อที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึงในชาติสุดท้ายของท่าน

    เพื่อที่จะได้สั่งสอนผู้คนในยุคของท่านที่พอสอนให้เข้าถึงธรรมได้มีความพร้อม

    เพื่อสอนให้ถึงความหลุดพ้นและเข้าสู่พระนิพพาน

    อันพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและเข้าสู่บรมสุข<O:p</O:p









    <O:p</O:p

    นางแก้วคือคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ที่มีการเกื้อกูลกันช่วยเหลือกันในบางชาติ

    และสนับสนุนในการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ในบางชาติให้สำเร็จผล

    (เช่นชาติที่เป็นพระเวสสันดรของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่





    <O:pโดยนางแก้วนั้นชาติที่เด่นๆที่สุดนอกจากชาติที่มาสร้าง
    มหาบารมีพิเศษร่วมกับพระโพธิสัตว์คู่บารมีแล้ว
    ชาติที่สำคัญๆที่ขาดนางแก้วไม่ได้คือชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ
    เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ(พระบรมกษัตริย์ซึ่งเกิดขึ้นในบางยุคเพื่อ
    ปกครองโลกทั้งใบให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข)และพระเจ้าจักรพรรดิจะมีของวิเศษอยู่ 7 ประการ
    ซึ่งหนึงในนั้นคือนางแก้ว(อัครมเหสีนั้นเอง)ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างพระเจ้าจักรพรรดิในการสร้างพระบารมี
    (สำหรับพระโพธิสัตว์แล้วชาติที่เป็นพระเจ้าจักรพรรดินับว่าเป็นการสร้างบารมีได้
    ยิ่งใหญ่และมากที่สุดชาติหนึงกำลังจักรพรรดิจึงมากและน้อมนำมา
    เป็นบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยจึงมีพระพุทธเจ้าปาง
    ทรงเครื่องจักรพรรดินั้นเองซึ่งมีกำลังสูงมากครอบจักรวาล)<O:p</O:p


    [​IMG]


    จากเกร็ดความรู้ข้างต้นเราจึงได้รับรู้ความสำคัญของนางแก้วบางประการ

    นอกนั้นแล้วยังมีอีกหลายๆชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ในสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีนางแก้วเข้ามาเกี่ยวข้อง

    โดยได้คัดสรรบางเรื่องมาให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้

    เพื่อเป็นการสรรเสริญบารมีของนางแก้วทั้งหลายตั้งแต่อดีต

    จนถึงปัจจุบันและอณาคต ถวายเป็น พุทธบูชา
    _________________________









    สุภัททาเทวี
    นางแก้ว

    ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพระราชาในกุสาวดีนคร ทรงพระนามว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
    เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะขึ้นครองราชย์สมบัตินั้น พราหมณ์ปุโรหิตก็แนะนำให้พระองค์ทรงรักษาจักรวรรดิวัตร เพื่อจะได้สำเร็จเป็นพระเจ้าบรมจักรพรรดิ
    เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะบำเพ็ญจักรวรรดิวัตรได้ครบถ้วนสมบูรณ์ รัตนะทั้ง ๗ ประการก็บังเกิดแก่พระองค์
    เริ่มจากการอุบัติของจักรแก้วที่ลอยล่องมาจากนภากาศ ตามด้วยช้างแก้ว ม้าแก้ว และแก้วมณี
    เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงมีจักรแก้วแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังทวีปใหญ่ทั้งสี่ คือ ปุพพวิเทหทวีป ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป และอุตตรกุรุทวีป ซึ่งพระราชาในแดนต่างๆ ในทวีปทั้งสี่นั้นต่างก็ยอมสามิภักดิ์ในบุญญาธิการของพระองค์
    ในครั้งนั้น พระนางพิมพาได้เกิดมาเป็นราชธิดาตระกูลมัททราช ในอุตรกุรุทวีป และได้มาเป็นนางแก้วแห่งพระมหาสุทัสสนะบรมจักรพรรดิ
    พระนางสุภัททาเทวี เป็นผู้มีพระสิริโฉมงดงาม ทรวดทรงสมบูรณ์ ไม่สูงเกินไม่ต่ำเกิน ไม่ผอมเกินไม่อ้วนเกิน ไม่ดำเกินไม่ขาวเกิน เป็นผู้งามน่าชม ใครเห็นต้องถูกตาติดใจ ใครเห็นจะต้องเลื่อมใส
    ผิวพรรณวรรณะของพระนางนั้นนุ่มเนียนดุจปุยนุ่น ผิวกายมีไออุ่นยามเมื่อพระบรมจักรพรรดิเย็น และผิวกายจะเย็นในยามที่พระบรมจักรพรรดิร้อน และมีรังสีสว่างประมาณ ๑๒ ศอก
    ผิวกายของพระนางมีกลิ่นหอมระเหยออกมาตลอดเวลา กลิ่นหอมนั้นเหมือนกลิ่นหอมแห่งดอกนิลุบลที่บานแย้ม
    วาจาของพระนาง เป็นวาจาที่นุ่มนวลอ่อนหวาน และมีกลิ่นหอมพุ่งออกจากปากในเวลาไอหรือพูด
    ต่อมาก็บังเกิดคหบดีแก้วและขุนพลแก้ว ทำให้พระเจ้ามหาสุทัสสนะเป็นพระบรมจักรพรรดิโดยสมบูรณ์
    อำนาจของพระเจ้ามหาสุทัสสนะนั้นยิ่งใหญ่มาก เมื่อพระองค์ทรงดำริสิ่งใด สิ่งนั้นก็สำเร็จสมบูรณ์ ทำให้กุสาวดีนครในสมัยของพระองค์บริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์ต่างๆ สำหรับบำรุงมหาชน
    พระเจ้ามหาสุทัสสนะบรมจักรพรรดิ ทรงปกครองกุสาวดีและทวีปทั้งสี่อยู่นานแสนนานกว่า ๘๐,๐๐๐ ปี วันหนึ่ง พระองค์ก็ทรงเสด็จทรงจากสุธัมมาปราสาทไปประทับในป่าตาล
    พระนางสุภัททาเทวี ทอดพระเนตรเห็นพระอาการจึงตามเสด็จ กราบทูลให้พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพอพระทัยในราชสมบัติ แต่พระเจ้ามหาสุทัสสนะดำรัสตอบว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ในวันนี้
    พระนางสุภัททาเทวีทรงพระกรรแสงร่ำไห้ เหล่าสตรีแปดหมื่นสี่พันนางก็พากันร้องไห้ร่ำไร แม้หมู่อำมาตย์ทั้งปวงก็ไม่มีแม้คนเดียวที่อดกลั้นความโศกไว้ได้ ต่างร้องไห้ระงมทั่วกัน
    พระเจ้ามหาสุทัสสนะบรมจักรพรรดิ จึงทรงสั่งสอนพระเทวีและอำมาตย์ทั้งหลายว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    นางปริพพาชิกากับโพธิดาบส
    ผู้ไม่ข้องในเมถุนธรรม

    ในอดีตกาลพระนางพิมพาจุติจากพรหมโลก มาเกิดเป็นกุมารีที่งดงามในตระกูลมั่งคั่งในแคว้นกาสีส่วนพระโพธิสัตว์ก็จุติจากพรหมโลกมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ผู้มั่งคั่งชาวกาสีเช่นเดียวกันและบิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า โพธิกุมาร
    ครั้นเจริญวัยขึ้น โพธิกุมาร ก็ได้ไปเรียนที่เมืองตักกศิลาเมื่อโพธิกุมารสำเร็จการศึกษาแล้วบิดามารดาจึงจัดการนำกุมารีนั้นมาให้เป็นภรรยา
    เนื่องจากจุติมาจากพรหมโลกทั้งคู่ ทั้งสองจึงไม่มีใจในการครองเรือนเลยแม้จะอยู่ร่วมห้องกัน แต่ทั้งสองก็ไม่เคยแลดูกันด้วยอำนาจแห่งราคะทั้งสองเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ขึ้นชื่อว่าเมถุนธรรมต่างไม่เคยประสบแม้ในฝัน
    ต่อมาเมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมแล้วโพธิกุมารจึงบอกกุมารีภริยาว่าเธอจงรับทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้ไว้เถิดเราจักออกบวชในถิ่นหิมพานต์เพื่อทำที่พึ่งแก่ตน
    นางกุมารีภริยาจึงถามว่าการบรรพชานั้นทำได้แต่บุรุษเท่านั้นหรือ
    โพธิกุมารตอบว่าแม้สตรีก็บรรพชาได้
    นางกุมารีภริยาจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะไม่ขอรับเขฬะที่ท่านถ่มทิ้งไว้ ฉันจะออกบวชด้วย
    ตกลงกันดังนั้นแล้ว ทั้งสองก็เอาทรัพย์มาบริจาคทานเป็นการใหญ่แล้วออกบวชไปสร้างอาศรม เลี้ยงชีวิตด้วยผลาผลอยู่ในป่า
    กาลเวลาผ่านไป ๑๐ ปีญานสมาบัติก็ยังไม่ได้บังเกิดแก่ดาบสและปริพพาชิกาทั้งสองเลยทั้งสองจึงเที่ยวจาริกไปตามชนบทเรื่อยไปจนกระทั่งมาถึงนครพาราณสีจึงได้ไปพักอาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน
    วันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีเสด็จออกประพาสราชอุทยานทรงทอดพระเนตรเห็นดาบสและนางปริพพาชิกานางปริพพาชิกานั้นแม้อยู่ในเพศนักบวชก็ยังดูงามเลิศมีเสน่ห์เป็นที่ต้องตาทำให้พระเจ้าพาราณสีมีพระทัยปฏิพัทธ์ด้วยอำนาจกิเลส
    พระเจ้าพาราณสีจึงเข้าไปถามพระดาบสว่า นางปริพพาชิกาผู้นี้เป็นอะไรกับท่านโพธิดาบสตอบว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์นางเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้า
    พระเจ้าพาราณสีจึงทรงลองหยั่งเชิงดูว่าว่าถ้าพระองค์นำนางไปพระดาบสจะทำอย่างไร จึงตรัสถามว่า ดูก่อนท่านดาบสถ้ามีบุคคลมาพาเอานางปริพพาชิกาผู้นี้ไปด้วยกำลังท่านจะทำอย่างไร
    โพธิดาบสตอบว่า หากว่าใครฉุดรั้งนางไปความโกรธย่อมพึงมีแก่ข้าพเจ้า แต่ความโกรธนั้นครั้นเกิดขึ้นแล้วจักเสื่อมไปแต่หากความโกรธของข้าพเจ้าไม่เสื่อมไปข้าพเจ้าก็จะข่มห้ามความโกรธนั้นเสียด้วยเมตตาภาวนาโดยพลัน
    พระราชาได้ฟังพระดาบสแล้วจึงสั่งให้ราชบุรุษพานางปริพพาชิกาไปยังพระราชนิเวศน์นางก็ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนาฝ่ายพระดาบสได้ยินเสียงคร่ำคราญของนางก็รู้สึกโกรธแต่ข่มใจไว้ไม่ได้แลดูนางอีก
    เมื่อราชบุรุษนำนางปริพพาชิกาไปสู่พระราชนิเวศน์แล้วพระเจ้าพาราณสีก็เสด็จตามไป เกลี้ยกล่อมนางด้วยลาภยศแต่นางได้พรรณนาโทษของยศและคุณของบรรพชาให้พระราชาฟัง
    มื่อพระราชาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้นางยินดีได้พระองค์จึงรับสั่งให้ขังนางไว้ในห้อง
    พระราชาเสด็จกลับไปหาพระดาบส เห็นพระดาบสนั่งเย็บจีวรอยู่แม้พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้แล้วก็ไม่รู้ตัวจึงไม่ได้กล่าวเชื้อเชิญพระราชาพระราชาจึงเข้าใจว่าพระดาบสโกรธ ไม่ยอมเจรจาด้วย ตรัสว่า
    วันก่อนท่านอวดอ้างไว้อย่างไรทำไมวันนี้ท่านจึงทำทีเป็นนิ่งเหมือนโกรธอยู่
    โพธิดาบสได้ฟังจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตรความโกรธเกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพเจ้าแล้วยังไม่เสื่อมคลายไปจริงแต่ข้าพเจ้าก็ได้ยับยั้งความโกรธนั้นไว้แล้ว
    แล้วพระราชาก็ได้โต้ตอบปัญหาธรรมกับโพธิดาบสจนเกิดความเลื่อมใสจึงรับสั่งให้พานางปริพพาชิกามาคืนและขอขมาโทษท่านทั้งสอง
    โพธิดาบสและนางปริพพาชิกา จึงได้อาศัยอยู่ในราชอุทยานนั้นเองต่อมาเมื่อนางปริพพาชิกามรณภาพโพธิดาบสจึงออกจากราชอุทยานไปสู่ป่าหิมพานต์
    ประชุมชาดก
    พระเจ้าพาราณสี มาเกิดเป็นพระอานนท์
    โพธิดาบส มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
    นางปริพพาชิกา มาเกิดเป็น พระนางพิมพา

    (ที่มา : จุลลโพธิชาดก









    [​IMG]





    พระนางอุทัยภัทรา
    ผู้ถือพรหมจรรย์


    ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชโอรสอัครมเหสีของพระเจ้ากาสีพระนามว่าอุทัยภัทร ส่วนพระนางพิมพามาเกิดพระกนิษฐาต่างมารดา พระนามว่าอุทัยภัทรา
    เมื่ออุทัยภัทรกุมารเจริญวัยขึ้นและเรียนจบศิลปะศาสตร์ทั้งหลายแล้วพระเจ้ากาสีก็จะให้อภิเษกสมรสแล้วจะมอบราชสมบัติให้แต่อุทัยภัทรกุมารไม่ประสงค์การครองเรือน ทรงประพฤติพรหมจรรย์มาตลอดจึงหาทางบ่ายเบี่ยง โดยการให้ช่างทองสร้างรูปสตรีด้วยทองคำสุกปลั่งและกราบทูลพระราชาบิดาว่าหากมีหญิงใดงามเสมอเหมือนรูปทองคำนี้จึงจะอภิเษกด้วย
    พระราชาจึงให้อำมาตย์นำรูปทองคำนั้นตระเวนหาหญิงงามไปทั่วชมพูทวีปแต่ไม่พบหญิงใดงามเสมอรูปนั้นยกเว้นพระราชธิดาอุทัยภัทราเพียงพระองค์เดียวที่ข่มจนรูปทองนั้นหมองไป
    พระราชาจึงมอบราชสมบัติให้อุทัยภัทรกุมารและอภิเษกให้พระราชธิดาอุทัยภัทราเป็นอัครมเหสี
    พระเจ้าอุทัยภัทรและพระนางอุทัยภัทรา ประทับอยู่ร่วมห้องเดียวกันแต่ทั้งสองก็ทรงประพฤติพรหมจรรย์ เนื่องจากจุติมาจากพรหมโลกทั้งคู่จึงต่างไม่ปรารถนาในกามสุข
    ทั้งสองพระองค์ตกลงกันว่าหากใครสิ้นพระชนม์ลงไปก่อน และไปอุบัติในที่ใดผู้นั้นต้องกลับมาบอกด้วย
    กาลล่วงมาได้อีก ๗๐๐ ปีพระเจ้าอุทัยภัทรก็สวรรคต พระนางอุทัยภัทราก็ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนโดยมีหมู่อำมาตย์ร่วมกันปกครองราชสมบัติสืบต่อมา
    พระเจ้าอุทัยภัทรเมื่อสวรรคตแล้วได้ไปอุบัติเป็นท้าวสักกเทวราชในดาวดึงส์แต่พระองค์ไม่สามารถจำความหลังได้ตลอดสัปดาห์หนึ่ง เมื่อเวลาล่วงไป ๗๐๐ ปีมนุษย์พระองค์จึงทรงระลึกได้ ทรงดำริว่าจะมาทดลองพระมเหสีอุทัยภัทรา
    คืนวันนั้น ท้าวสักกเทวราชก็ทรงถือถาดทองคำ ๑ ถาด บรรจุเหรียญมาสกมาเต็มถาดเข้าไปหาพระนางอุทัยภัทราในห้องบรรทม และตรัสกับพระนางว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 68515.jpg
      68515.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.9 KB
      เปิดดู:
      1,539
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]



    สุมิตตาพราหมณี
    เริ่มตั้งจิตอธิษฐาน


    ในอดีตกาลล่วงมาได้ ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปพระนางพิมพาได้เกิดมาเป็นนางสุมิตตาพราหมณี อาศัยอยู่ในนครอันรุ่งเรืองนามว่าอมรวดีนคร

    ในครั้งนั้น เป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระทีปังกรอันเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ ๔ ในมหากัปนั้น เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วก็ได้เผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ที่รัมมกนคร

    ครั้งหนึ่งชาวนครอมรวดีก็ได้อัญเชิญเสด็จพระทีปังกรให้มารับมหาทานในนครในวันที่พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จพุทธดำเนินมาพร้อมกับพระสาวกขีณาสพจำนวน ๔แสนรูปนั้น มหาชนผู้มีศรัทธาจำนวนมากก็พากันมารอรับเสด็จ และได้ช่วยกันถากถางทางและปรับพื้นที่ขรุขระมีน้ำขังให้ราบเรียบเพื่อให้พระทีปังกรเสด็จดำเนินได้โดยง่าย

    นางสุมิตตาพราหมณีผู้มีศรัทธาก็ได้มารอรับเสด็จพระทีปังกรด้วย โดยนางได้เก็บดอกบัวมา ๘ ดอกเพื่อนำมาถวายเป็นพุทธบูชา

    ระหว่างที่ชาวเมืองกำลังรอรับเสด็จโดยมีส่วนเมืองอีกกลุ่มหนึ่งช่วยกันปรับทางกันอยู่นั้นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑๖ อสงไขย นามว่าสุเมธดาบสได้เหาะผ่านมาแลเห็นมหาชนกำลังปรับถนนกันอยู่ก็ลงมาถามเมื่อรู้ว่าพระทีปังกรพุทธเจ้ากำลังจะเสด็จดำเนินมาก็มีศรัทธาขอร่วมในการปรับถนนด้วย ชาวเมืองเห็นว่าท่านสุเมธดาบสเป็นผู้มีฤทธิ์จึงได้แบ่งงานบริเวณที่เป็นหลุมเป็นแอ่ง และมีน้ำท่วมขังมากให้ท่านดาบส

    สุเมธดาบสนั้นกำลังมีใจปิติที่จะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าคิดว่าหากตนใช้ฤทธิ์ปรับถนน แม้จะเสร็จเร็ว แต่ก็ไม่ชื่นใจ ไม่สมกับที่ตนมีศรัทธาจึงได้อดทนขนดินทรายมาถมหลุมบ่อด้วยแรงกายเช่นสามัญชนทั่วไป

    การกระทำของสุเมธดาบสนี้สร้างความศรัทธาให้แก่นางสุมิตตาพราหมณีที่เฝ้ามองอยู่


    สุเมธดาบสยังปรับพื้นที่ไม่เสร็จดี พระทีปังกรพร้อมพระสาวกทั้ง ๔แสนรูปก็เสด็จดำเนินมา สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์เพราะยังมีบ่อที่น้ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่งจึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิดทับแอ่งน้ำนั้นตั้งใจถวายชีวิตให้พระทีปังกรและพระสาวกเดินไปบนแผ่นหลังของตน

    พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จมายืนอยู่ที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงตรวจสอบดูด้วยพระสัพพัญญุตาญานก็รู้ว่าสุเมธดาบสผู้นี้เป็นหน่อเนื้อพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมีเต็มสมควรได้รับลัทธยาเทศน์ได้แล้วพระองค์จึงได้ทรงตรัสพยากรณ์ว่า

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]



    บุพจริยาพระนางพิมพา

    พระนางพิมพา หรือพระนางยโสธรา หรือพระนางกัจจานาทรงเป็นพระนามของพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะเสด็จออกบรรพชาและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในการบำเพ็ญพุทธการกธรรมที่แสนยากและยาวนานของพระโพธิสัตว์นั้นพระนางพิมพาเป็นบุคลที่มีความสำคัญมากเนื่องจากพระนางติดตามเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์มาถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปคุณความดีและความเสียสละของพระนางพิมพานั้นยิ่งใหญ่เกินพรรณาดังคำที่พระนางได้กราบบังคมทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อเข้านิพพานดังนี้

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • +.jpg
      +.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43 KB
      เปิดดู:
      1,080
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    วิสัยหเศรษฐีภริยา
    ช่วยเกี่ยวหญ้ามาทำทาน

    ในอดีตกาล พระนางพิมพาเกิดเป็นภริยาส่วนพระโพธิสัตว์เกิดเป็นสามี เป็นวิสัยหเศรษฐี

    ทั้งสองมีทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นถึง ๘๐ โกฏิเป็นผู้ประกอบศีล ๕ และมีอัธยาศัยในการให้ทานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สร้างโรงทานไว้ ๖แห่ง คือ ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ที่กลางพระนคร และที่ประตูบ้านของตนท่านเศรษฐีและภริยาให้ทานคิดเป็นทรัพย์วันละหกแสนทุกวัน

    อานุภาพของการบริจาคทานของวิสัยหเศรษฐีกับภริยานั้นทำให้ภพของท้าวสักกเทวราชสั่นไหว และบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็แสดงอาการร้อนท้าวสักกเทวราชทรงตรวจดูเห็นวิสัยหเศรษฐีทำบุญใหญ่จึงเกรงไปว่าหากวิสัยหเศรษฐีทำบุญให้ทานเช่นนี้ต่อไปท่านเศรษฐีอาจได้มาเป็นท้าวสักกะแทนพระองค์

    ดำริดังนั้นแล้วท้าวสักกเทวราชจึงบันดาลให้ทรัพย์ของเศรษฐีอันตรธานไปทั้งสิ้น

    เมื่อทรัพย์ของเศรษฐีหายไปหมดบ่าวไพร่ก็มาแจ้งว่าไม่มีทรัพย์บริจาคทานอีกแล้ววิสัยหเศรษฐีและภริยาจึงช่วยกันค้นหาทรัพย์ที่จะนำมาใช้บริจาคทานต่อไปได้แต่ค้นเท่าไรก็ไม่พบเจอทรัพย์ที่มีค่า

    เศรษฐีและภริยาช่วยกันค้นหาทรัพย์อีกครั้งคราวนี้ภริยาเศรษฐีไปพบมัดหญ้าที่คนตัดหญ้าทิ้งไว้ที่ประตูนางจึงเอามัดหญ้านั้นมาให้เศรษฐีดู วิสัยหเศรษฐีเห็นเข้าก็ดีใจคิดว่านี่แหละคือทรัพย์ที่ใช้บริจาคได้ แล้วเศรษฐีก็ชวนภริยาออกไปเกี่ยวหญ้ามาขายเอาเงินที่ได้มาบริจาคทาน

    แต่เงินที่ได้จากการขายหญ้านั้นน้อยนักเมื่อแบ่งส่วนไปให้ทานเสียแล้ว เงินที่เหลืออยู่เป็นค่าอาหารก็ไม่ค่อยจะเต็มอิ่มวิสัยหเศรษฐีกับภริยาจึงอยู่อย่างอดอยาก พอขึ้นวันที่ ๗วิสัยหเศรษฐีก็ทนไม่ไหวเป็นลมล้มลง

    ท้าวสักกเทวราชเห็นวิสัยหเศรษฐีเป็นลม จึงมาปรากฏกายกล่าวเตือนให้เศรษฐีรู้จักประหยัด ยับยั้งการให้ทานลงเสียบ้างหากเศรษฐีไม่ให้ทานมากเหมือนก่อนพระองค์จะคืนทรัพย์สมบัติให้

    วิสัยหเศรษฐีไม่ยอม ยืนยันจะให้ทานต่อไปท้าวสักกเทวราชจึงถามว่าเศรษฐีทำทาน

    เพื่อประโยชน์อะไร

     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]

    จอมนางแห่งพาราณสี
    ใช้ผมหงอกลวงพระสวามี

    ในอดีตกาล พระนางพิมพาได้เกิดมาเป็นยอดสตรีทรงเป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระนางทรงมีพระโอรสองค์หนึ่งนามว่าพรหมทัตราชกุมาร
    พรหมทัตราชกุมารมีพระสหายสนิทนามว่า สุสีมกุมารบุตรชายของราชปุโรหิตผู้ซึ่งเกิดวันเดียวกัน

    เมื่อพรหมทัตกุมารและสุสีมกุมารเจริญวัยขึ้นต่างก็ได้ไปเล่าเรียนศิลปะศาสตร์ที่เมืองตักกสิลาด้วยกันสำเร็จแล้วก็กลับมารับราชการในกรุงพาราณสี

    เมื่อพระเจ้าพาราณสีสิ้นพระชนม์พระราชบุตรก็ขึ้นครองเมืองเป็นพระเจ้าพรหมทัตและตั้งให้สุสีมะเป็นราชปุโรหิต

    วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตทรงเสด็จประทักษิณพระนครโดยให้สุสีมะปุโรหิตนั่งบนหลังช้างไปด้วย

    ฝ่ายพระราชชนนีประทับดูพระเจ้าพรหมทัตอยู่ที่ช่องพระแกลเมื่อทอดพระเนตรเห็นสุสีมะปุโรหิตก็ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทมทรงงดพระกระยาหารตรอมพระทัยว่าเราจะตายถ้าไม่ได้ปุโรหิตนี้

    พระเจ้าพรหมทัตทรงสดับว่าพระราชมารดาประชวรจึงเสด็จไปเยี่ยมแต่เมื่อตรัสถามอาการพระราชมารดาก็ไม่ทรงตอบเพราะความละอายพระเจ้าพรหมทัตจึงให้มเหสีของพระองค์ไปถามอาการ

    มเหสีพระเจ้าพรหมทัตไปเอาใจซักถามอาการพระราชมารดาในที่สุดพระราชมารดาก็เปิดเผยเรื่องที่ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์สุสิมะปุโรหิตให้ฟัง

    เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงทราบพระองค์ก็มาเฝ้าพระราชมารดา กราบทูลว่าไม่ต้องกังวลพระทัยพระองค์จะตั้งสุสิมะปุโรหิตให้ครองเมืองและตั้งพระราชมารดาให้เป็นพระมเหสี
    แล้วพระเจ้าพรหมทัตก็เกลี้ยกล่อมให้สุสิมะปุโรหิตเป็นพระราชาส่วนพระองค์ทรงเป็นอุปราช และให้พระราชมารดาเป็นมเหสี



    สุสิมะปุโรหิตจึงได้อภิเษกสมรสกับพระราชชนนีและขึ้นครองกรุงพาราณสีเป็นสุสีมะราชา
    เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานวันเข้าสุสีมะราชาก็ทรงเบื่อทรงหน่ายการครองเรือน ทรงละกามทั้งหลายทรงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ไม่ทรงอาลัยไยดีด้วยอำนาจกิเลส ประทับยืน ประทับนั่งและเสด็จบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว

    ฝ่ายพระมเหสีก็ทรงดำริว่า พระราชาไม่ร่วมอภิรมย์กับเราประทับยืน ประทับนั่ง และทรงบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียวคงเป็นเพราะพระราชายังหนุ่มอยู่ แต่เรานั้นมีผมหงอกแล้วหากพระราชามีพระเกศาหงอกเช่นเดียวกับเราพระราชาคงอภิรมย์กับเราเหมือนเดิม

    วันหนึ่ง พระมเหสีจึงทรงทำทีเป็นหาเหาบนพระเศียรของพระราชาแกล้งถอนพระเกศาพระราชาออกมาเส้นหนึ่งทิ้งไปแล้วถอนเกศาหงอกเส้นหนึ่งของพระนางเองให้พระราชาทอดพระเนตรเพ็ดทูลว่าพระเกศาของพระองค์หงอกแล้ว

    สุสิมะราชาทอดพระเนตรเห็นผมหงอกก็ตกใจรำพึงว่าชราและมรณะมาถึงพระองค์แล้วถึงกาลที่พระองค์จะต้องออกบรรพชา

    ฝ่ายพระมเหสีก็ทรงตกพระทัยทรงตั้งใจจะลวงพระราชาเพื่อมัดพระทัยพระองค์ไว้แต่กลายเป็นว่าสุสิมะราชากลับอยากเสด็จออกผนวชพระนางจึงทูลความจริงให้ทรงทราบว่าผมหงอกนั้นเป็นของพระนางเองขอพระองค์อย่าได้ออกบวชเลย

    สุสีมะราชาจึงตรัสแสดงโทษของของรูปสมบัติและแสดงคุณของการบรรพชาให้พระมเหสีฟังจากนั้นก็ทรงมอบราชสมบัติคืนให้แก่พระเจ้าพรหมทัตทรงทอดทิ้งราชสมบัติแล้วออกบวชเป็นดาบส ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจึงได้ไปอุบัติในพรหมโลก

    ประชุมชาดก
    พระเจ้าพรหมทัต มาเกิดเป็น พระอานนท์
    สุสีมะราชา มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า
    พระมเหสีมาเกิดเป็น พระนางพิมพา
    (ที่มา : สุสีมชาดก)

    [​IMG]



    ราชธิดาพระเจ้าโกศล
    กุศลกรรมของนางทาสี

    ในอดีตกาลพระนางพิมพาได้มาเกิดเป็นราชธิดาผู้เลอโฉมปานเทพธิดาของพระเจ้าปัสเสน แคว้นโกศลเมื่อเจริญวัยขึ้นพระนางก็ได้อภิเษกสมรสเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี

    พระเจ้าพรหมทัตนั้นทรงอภิเษกสมรสพร้อมกับการราชาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติกรุงพาราณสีสืบต่อจากพระราชบิดาที่สวรรคต

    ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นประทับนั่งบนราชบัลกังก์พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูเหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพาร ดูพราหมณ์และคหบดีดูเหล่าสนมนางฟ้อนนางรำ ๑๖,๐๐๐ นาง ทรงทอดพระเนตรดูปราสาทราชมณเฑียรและราชทรัพย์ทั้งมวล แล้วพระองค์ก็ทรงระลึกขึ้นได้ว่าอำนาจและราชสมบัติเหล่านี้ของพระองค์นั้น เกิดขึ้นเพราะการให้ทานขนมกุมมาสเพียง ๔ก้อนในชาติก่อน

    พระองค์ทรงปิติในผลของทานจึงได้ขับเป็นลำนำเพลงท่ามกลางชุมนุมชนนั้น พวกนางฟ้อนนางรำได้ยินพระราชาขับลำนำก็เข้าใจว่าเป็นเพลงโปรดพระราชาจึงจดจำนำไปร้องกันต่อไป

    ฝ่ายพระมเหสีได้ยินคำร่ำลือเรื่องเพลงโปรดของพระราชาก็ใคร่รู้แต่ไม่กล้าทูลถาม
    วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตตรัสให้พรแก่พระมเหสีตอบแทนที่พระนางทำคุณความดีอย่างหนึ่ง พระมเหสีกราบทูลว่าพรอันใดพระนางก็ไม่ประสงค์พระนางต้องการเพียงฟังลำนำเพลงของพระองค์เท่านั้น

    พระราชาขอให้รับพรอื่น พระมเหสีก็ไม่ยอมพระราชาจึงตรัสว่าพระองค์จะให้พรนั้น แต่จะไม่บอกแก่พระมเหสีองค์เดียวในที่ลับแล้วพระองค์ก็ให้ตีกลองป่าวร้องไปทั่วพระนคร

    เมื่ออำมาตย์ข้าราชบริพารและมหาชนมาพร้อมเพรียงกันพระราชาก็เสด็จประทับบนรัตนบัลลังก์ ทรงขับร้องเป็นลำนำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  8. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    สวัสดีครับ กระทู้แรกของปีนี้น่ะครับ (ของผมเองอิอิอิ) หุหุหุหุห สวัสดีปีใหม่ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


    http://palungjit.org/showthread.php?t=155104&page=9

    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งนะครับ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  10. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    ในวาระสุภรฤษ์ ปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจะขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร คุณพระศรีสรรเพชร อีกทั้งคุณพระอริยคุณาจารย์ เทพไทเทวาทุกอนูภูมิสนานอันเป็นทิพย์ ในมหาสากลจักวาล จงมา เป็นคาวะปัจจัยให้ทุกท่านที่อยู่ในชมรมและเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงบนมหาอนันไพศาสภิภพนี้ ให้มีแต่ความสุข รำรวย มีบุญ มีวาสนา มีบารมี มากมายล้นพ้น พ้นทุกพ้นโศกพ้นโรค หมดหนี้ มีแต่ความสุขใจทุกๆท่านงับ อนุโมทนาสาธุการ
     
  11. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิค่ะ *-*
     
  12. Ghost!!

    Ghost!! Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +34
    นางแก้วคือคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ที่มีการเกื้อกูลกันช่วยเหลือกันในบางชาติ


    และสนับสนุนในการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ในบางชาติให้สำเร็จผล


    (เช่นชาติที่เป็นพระเวสสันดรของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่



    อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  13. AddWassana

    AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,186
    อนุโมทนา สาธุค่ะ...เป็นชาดกที่กล่าวถึงนางแก้วคู่บารมรพระโพธิสัตว์ได้ครบถ้วน
    และภาพนางในวรรณคดีสวย เพียบพร้อมจริงๆ
     
  14. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    อนุโมทนา สาธุ

    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ นำของดีมีสาระมาให้ได้อ่าน

    .
     
  15. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    กระทู้นี้ รู้สึกเคยเห็นมีคนตั้งไว้ครั้งหนึ่งนานน มาแล้ว

    แต่ก็มีประโยชน์ครับ ดันอีกสักรอบเผื่อคนที่ยังไม่ได้อ่านแล้วกันเนอะครับ
     
  16. พุทธนิรันดร์

    พุทธนิรันดร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,641
    ค่าพลัง:
    +5,039
    ขออนุโมทนาด้วยครับ
    ยังอ่านได้ไม่เท่าไร ข้อมูลมีมากดีครับ จะเข้ามาอ่านใหม่ให้จบครับ
     
  17. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    อนุโมทนาสาธุครับ เริ่มต้นปีใหม่ด้วยกระทู้ดีๆ มีมงคล ขอให้เจ้าของกระทู้ และทุกๆท่าน มีความสุขตลอดปีใหม่ 2552 นี้ครับ..สาธุ
     
  18. 道教พินอิน

    道教พินอิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +510
    สาธุ บางครั้ง การติดตามกันมันก็เหนื่อยหน่าย อยากทำให้จบในชาตินี้ สาธุ ขออนุโมทนากับความตั้งใจอันดีงามนะครับ
     
  19. boyy365

    boyy365 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +830
    ขอบคุณนะครับ น้องบูลที่นำเรื่องราวที่เป็นมงคลมาเผยแพร่ ขอบุญกุศลที่น้องบูลได้เพรียน
    ทำมาทั้งหมดมาเป็นปัจจัยให้ได้สมใจน้องบูลทุกประการในทุกชาตินะครับ
     
  20. นิโรธสมาบัติ

    นิโรธสมาบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +2,562
    อนุโมทนานะครับสำหรับข้อมูลดดีดีที่นำมาเผยแพร่นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...