นั่งสมาธิแล้ว หายใจถี่ขึ้น เหมือนจะขาดใจไม่ทราบว่าเป็นอะไรช่วยตอบอกด้วยครับ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย j-adirek, 6 มกราคม 2009.

  1. j-adirek

    j-adirek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +204
    ผมเริ่มศึกษาเองจากเว็บพลังจิตและจากหนังสือพลังจิต ก็นั่งบ่อยมากนะครับแบบที่หลวงพ่อท่านสอน เมื่อก่อนจะนั่งและภาวนาว่า พุทโธ ตอนหลังเลยมาลองทำแบบที่หลวงพ่อท่านสอนครับ วันหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ เริ่มนั่งได้ประมาณ 15 นาที มองจากตาในนะครับจะเห็นว่ามีลูกแก้วใสแต่ว่ามองเห็นว่ามันมืดมันอยู่ในความมืด ผมก็สงสัยนะว่าแอะนี่มันลูกแก้วนี่นา แต่ทำไมมันไม่ใส พอเพ่งมองได้สักพัก ก็เห็นแสงระยิบระยับมากมายมันเข้ามาหาตัวเองครับ และยังรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรสักอย่างนะครับกำลังเข้ามาหาเราอยู่ ลมหายใจก็เริ่มแรงมากขึ้น และถี่ขึ้นอาการเหมือนว่าตกใจนะครับ ก็ขนาดว่าลืมตายังเห็นแสงระยิบระยับมากมายที่มองเห็นตรงหน้าครับ และยังรู้สึกว่าร่างกายเรามันแข็งทื่อยังไงไม่รู้ครับ ผมเองกลัวว่าจะหายใจไม่ทันกลั้นไม่อยู่เพราะว่าตกใจและกลัวตายครับก็เลยออกจากสมาธิ ตกใจมาก แต่ว่าหลังจากได้สติก็มานั่งใหม่นะครับแต่ว่านั่งยังไงก็ไม่ได้เหมือนเดิมครับ แต่สบายๆครับใจนิ่งเป็นสมาธิไม่วอกแวกแต่ไม่เห็นอะไรเลยครับ ผีหรือเทวดาก็ไม่เห็น ไม่รู้จะนั่งยังไง คิดๆอยู่เหมือนกันนะครับว่าอยากมาฝึกที่วัดท่าซุงถ้ามีโอกาสครับ
    ขอบคุณครับถ้าช่วยตอบให้หายสงสัย ขอส่งบุญให้ครับ....อดิเรก
     
  2. Cazear

    Cazear สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +22
    ผมก็เคยเป็นคล้ายๆ กันครับ คือ นั่งไปๆ ซักระยะจะรู้สึก เคว้งๆ นิดๆ ไม่ใช่ตัวโยกนะครับ แต่รู้สึกมันเคว้งๆ นะครับอธิบายไม่ถูก ซักแป๊ปเดียว ก็จะเริ่มรู้สึกเบาๆ สบายๆ นิ่งขึ้น

    อีกซักพัก จะมีอาการหายใจถี่ ขึ้นๆ ใจเต้นแรง จนหยุดไม่ได้ ลืมตาขึ้นก็หาย ครั้งแรกที่เป็น กลัวครับ เลยลืมตาขึ้นมาและเลิกนั่งไป

    คั้งต่อๆ มา เมื่อเป็นเช่นนี้ อีกก็จะพยายามข่มและ พยายามไม่สนใจ บังคับลมให้ใจให้ปกติ ก็จะเริ่มสงบ ครับ

    แต่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มืดตึ๊บ จะรู้สึกแต่ตัวชาๆ มือหนักๆ ไม่รู้เพราะนั่งนานหรือเปล่า

    ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอาการอะไรเหมือนกันครับ ใครรู้ก็ฝากตอบ ให้บ้างนะครับ ขออนุญาตฝากคำถามด้วยนะครับ พี่อดิเรก
     
  3. Rockoak533

    Rockoak533 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    ผมเป็น เหมือนกัน ครับผม นั่งไปเถอะครับ จุดมุ่งหมาย ของการ นั่งสมาธื คือ การ นั่งให้ สงบ เห็นอะไร เจือก้นั้งไปเถอะครับผม คิดซะว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา
    อย่าไปกลัวมันครับความตาย นั่งไปครับ หรือ จะดูจิตไปด้วยก็ได้ครับ หมายถึง คือการ รู็อารม์ ของ ตอนนั้นครับผม พิจารณา มัน รู็ลมหายใจ เข้าออก กับ ภาวนา แล้ว ก็มอง ดวงแก้ว อย่างห่างๆๆ ครับผม ไม่ต้อง ไป เพ่งมันครับ ไม่งั้น จะนอนไม่ หลับ (ถ้าทำก่อนอน นะครับผม ทรมานแน่ 55)
    อนุโมทนาสาธุครับผม
     
  4. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    เคยเป็นมาก่อนเหมือนกันแบบว่าใจเต้นแรงสั่นตูมๆๆ เหมือนอกจะระเบิด ลมหายใจก็แปรปรวน บางครั้งก็เจ๊บไปทั้งตัว แล้วก็จะปวดหัวมากๆถ้านั่งสมาธิ..ได้สอบถามพระหลายท่าน..อาจารย์หลายคน.....สรุปว่า.....สมาธิหยาบไปและกำลังไม่พอดี..ค่ะเลยเกิดอาการผิดปกติขึ้นมา.....ก็มาเริ่มปฏิบัติใหม่ทั้งหมด...เลิกนั่งสมาธิมา 2 ปี...มาใช้วิธีปฏิบัติกำหนดจิตเป็นสมาธิในอิริยาบถ 4 แทน...โดยไม่หลับตาและฝึกอานาปานุสติเป็นสำคัญตามคำแนะนำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อค่ะ.......พอกลับมานั่งสมาธิอีกทีอาการดังกล่าวก็มีแต่น้อยมาก..เหมือนมากระทบให้รู้...แล้วก็จางหายไปค่ะ....เลยเอามาฝากกันนะคะ.....เน้นตัวแดงให้อ่านในเทคนิคสำคัญที่ท่านบอกไว้แล้วค่ะ

    อ๋อ!..สิ่งที่สำคัญก่อนทำสมาธิคือ 1. ต้องล้างลมหยาบ
    2. ต้องอาราธนาศีล และอาราธนากรรมฐาน
    3. เมื่อเริ่มนั่งต้องพิจารณากายสังขารก่อน
    4. ห้ามทิ้งอานาปานุสติจนกว่าจิตจะเริ่มตัด
    ออกจากกายในณาน3


    หัวใจของการปฏิบัติธรรม

    ว่าด้วยเรื่อง ภาวนา โดยพระราชพรหมยานวัดท่าซุง

    1. เรื่องของสมาธิ
    -ในตอนต้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะเริ่มเจริญพระกรรมฐาน ขอให้จุดธูปบูชาพระก่อน อันดับแรกนะ แล้วก็ตั้งใจจำรูปพระพุทธรู ลืมตาดูท่านจำให้ได้ ไม่หลับตาก็ได้ ตั้งใจจำภาพพระไว้ แล้วก็บูชาพระตามที่เคยบูชา หลังจากนั้นแล้วก็สมาทานพระกรรมฐาน ถ้าสมาทานไม่ไหวก็ไม่ต้อง ตั้งนะโม 3 จบ ว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ใช้ได้
    ต่อจากนั้นไปก็นั่งขัดสมาธิ นั่งที่บ้านญาติโยมทั้งหลาย จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ จะนั่งพับเพียบก็ได้ จะนั่งเก้าอี้ก็ได้ นั่งห้อยขาก็ได้ ตามชอบใจ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเอาตามสบาย นั่ง นอน ยืน เดิน ทั้งสี่อย่างนี้มีผลเสมอกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องนั่งเฉย ๆ อย่างเดียว

    -เวลาปฏิบัติ เริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน สิ่งใดที่จะห่วงใยยกเลิกทิ้งไป และก็ตัดสินใจว่าจะต้องปฏิบัติให้มีผลตามคำแนะนำ ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย ทุกคนเมื่อตัดกังวลไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย แล้วก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลนี่ความจริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิ หรือญาณ จะมีขึ้นได้เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่อง ฌานก็พร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีในพรหมวิหาร 4 ให้จิตทรงตัว คำว่าปกติ ต้องเหมือนศีล ศีลนี่ต้องบริสุทธิ์ทุกวัน และพรหมวิหาร 4 ต้องทรงตัว และเวลาเจริญพระกรรมฐาน ไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานั่งสมาธิเสมอไป ถ้าเราใช้แต่เวลาที่นั่งสมาธิ เวลาสงัด จิตใจเราจึงจะกำหนดถึงพระกรรมฐานอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เนื้อแท้การเจริญพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม ต้องใช้อารมณ์ของเรานี้นึกถึงกรรมฐานเป็นปกติตลอดวัน อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า ท่านเข้าถึงพระกรรมฐาน และพระกรรมฐานเข้าถึงท่าน และการนั่งสมาธิให้คนเห็น พระพุทธเจ้าท่านทรงปรับว่าเป็นอุปกิเลส มันจะมีการโอ้อวดอยู่ในตัวเสร็จ ใช้ไม่ได้
    -สมาธิ แปลว่า ความตั้งใจ ตามขั้นตอนก็มีอยู่เยอะ ทุกคนเวลาทำ ให้พอใจในอารมณ์ที่ทรงอยู่เวลานั้น จะทรงอยู่ระดับไหนก็ตาม ให้พอใจในอารมณ์นั้น จิตใจจะได้ไม่มีความกลุ้ม

    การเริ่มต้นสมาธิ ให้กำหนดจับลมหายใจเข้าออก ทำความรู้สึกว่าเวลานี้หายใจเข้า เรารู้อยู่ หายใจออก เรารู้อยู่ แล้วก็ภาวนาตาม คำภาวนานี้ไม่จำกัด ใครจะภาวนาอย่างไรก็ได้ตามชอบใจ ถ้าไม่เคยภาวนาเลย ให้ใช้คำภาวนาว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...