ร่องรอยอภิญญาใหญ่ โรดแมปสู่อภิญญาสาธารณะ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 15 พฤศจิกายน 2007.

  1. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    [​IMG]
     
  2. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    [​IMG]
     
  3. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    [​IMG]
     
  4. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    [​IMG]
     
  5. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    อภิญญาหลวงพ่อยี(ต่อ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เรื่อง สุดยอดอิทธิฤทธิ์ หลวงปู่ศุข วัดคลองมะขามเฒ่า

    [​IMG]

    หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า เกิดปีวอก ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ครอบครัวของท่านเป็นชาวนา เมื่อท่านมีอายุ ๗ ขวบ บิดาได้นำตัวไปฝากไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าเพื่อให้ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน กระทั่งแตกฉานทั้งหนังสือไทยหนังสือขอม

    หลวงปู่ศุขกลับมาอยู่บ้าน เมื่อเป็นหนุ่มแล้ว และมีคู่ครองกับสาวงามคนหนึ่ง มีลูกชาย ด้วยกันหนึ่งคนชื่อ สอน เกศเวช สุริยา ครั้นอายุครบบวช ท่านก็อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ศึกษาทั้งพระปริยัติและปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง ก็ออก จาริกธุดงค์ แสวงหาพระอาจารย์ และโมกขธรรม หลายปีดุจสาบสูญ เพราะไม่กลับ วัดปากคลองมะขามเฒ่าเลยตั้งแต่ออกธุดงค์

    เมื่อหลวงปู่ศุข กลับคืนลำเนาบ้านเกิด ภูมิจิตรภูมิธรรม ของท่านก็บรรลุถึงขั้น เป็นอัศจรรย์ และว่ากันว่าท่านสำเร็จกสิณ ๑๐ แสดงฤทธิ์อภิญญาได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่ศุขกลับมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ

    หลวงปู่ศุข เกสโร เป็นพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธาที่สุดของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือ การที่กรมหลวงชุมพรฯ มีโอกาสมอบตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ศุข จะกล่าวว่าเป็นเพราะมีกรรมผูกพันต่อกัน แต่ปางก่อนก็คงไม่ผิดนัก ทั้งนี้เนื่องจาก กรมหลวงชุมพรฯ มิได้มีจุดประสงค์เจตนามุ่งตรงไปนมัสการหลวงปู่ศุข หากบังเอิญผ่านไปพบท่านโดยบังเอิญ กล่าวคือ......

    [​IMG]

    เมื่อครั้ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปตากอากาศทางภาคเหนือ พระองค์เสด็จทางเรือ ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เรือกลไฟลากจูงเรือประเทียบ ที่พระองค์ประทับและหม่อม พร้อมทหารมหาดเล็ก เมื่อตอนเสด็จกลับ พระองค์สั่งให้เข้าทางแม่น้ำท่าจีน ขณะล่องเรือมาถึง หน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เครื่องยนต์เรือกลไฟ เกิดขัดข้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้แล่นต่อไปไม่ได้ จะแก้ไขอย่างไรก็ไม่ติด พวกทหารเรือมหาดเล็กจึงช่วยกัน ชะลอเรือ เข้าเทียบท่าหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อแก้ไขเครื่องยนต์

    การที่เครื่องยนต์เรือกลไฟเสีย เป็นการแสดงฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข ซึ่งขณะนั้นท่านนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ และกำลังให้เด็ก ตัดหัวปลีกล้วย มากองตรงหน้า เมื่อได้หัวปลีกองใหญ่หลวงปู่ศุขก็เดินไปนั่งข้าง ๆ กองหัวปลี หยิบหัวปลีขึ้นมาทีละหัว เอามือลูบ แล้ววางลง หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายสีขาวน่ารัก กระโดดโลดเต้นไปมา หลวงปู่ศุขทำให้หัวปลีทั้งกอง กลายเป็นกระต่ายฝูงใหญ่ กระโดดไปมาเต็มหน้าศาลาด้วยฤทธิ์ทางใจของท่าน เหตุการณ์ อัศจรรย์ทั้งหมดนี้ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงเห็นโดยตลอด ด้วยความมหัศจรรย์พระทัยอย่างยิ่ง หลังจากหลวงปู่ศุข ปล่อยให้ฝูงกระต่ายขาวโลดเต้นสักพักหนึ่ง ท่านก็เรียกกระต่ายขาว มาหาทีละตัว ช้อนมันขึ้นมา เอามือลูบหลังเบา ๆ พอวางกระต่ายลงก็กลายเป็นหัวปลีดังเดิม ในที่สุดกระต่ายทั้งหมด ได้กลายเป็น หัวปลีกองอยู่ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงเสด็จขึ้นจากเรือพร้อมทหารเรือมหาดเล็ก ดำเนินมานมัสการหลวงปู่สุข พูดคุยสนทนากับท่านและขอฝากตัวเป็นศิษย์

    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ไม่ถือพระองค์ ว่าเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน รู้จักนอบน้อมถ่อมตน เป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ศุขอย่างยิ่ง

    หลวงปู่ศุขได้ถาม กรมหลวงชุมพรฯว่า อยากเห็นท่านทำให้คนกลายเป็นจระเข้หรือไม่ กรมหลวงชุมพรฯ ตอบว่าอยากเห็น ท่านจึงให้คัดมหาดเล็ก ที่มีรูปร่างล่ำสันแข็งแรง มาคนหนึ่ง กรมหลวงชุมพรฯ ได้รับสั่งให้พลทหารจ๊อกเป็นผู้อาสา หลวงปู่ศุข บอกให้ หาเชือกมะนิลาขนาดเขื่องมาหนึ่งเส้นและมัดเอวพลทหารจ๊อกไว้ ปลายเชือกอีกด้าน ท่านถือเอาไว้ จากนั้น ก็พาไปยังสระน้ำของวัด ให้พลทหารจ๊อกนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ สระพร้อมกับหลับตาพนมมือแล้วหลวงปู่ศุข ก็สงบจิตหลับตานิ่ง สู่ภูมิแห่งสมาธิ อธิษฐานจิต ให้เกิดฤทธิ์ทางใจอันแก่กล้า จากนั้นท่านก็เอื้อมมือข้างหนึ่งตบหลังพลทหาร ร่างของพลทหารจ๊อก ก็ถลาหล่นตูมลงไปในสระ

    พลันนั้น....ความมหัศจรรย์อันเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาของทุกคน นั่นคือเมื่อร่าง ของพลทหารจ๊อก จมหายไปในน้ำ และผุดโผล่ขึ้นมาใหม่ กลายเป็นจระเข้ตัวใหญ่ดำผุดดำว่าย ฟาดหัวฟาดหางตูมตามน้ำแตกกระจาย ทำให้กรมหลวงชุมพรฯ และพลทหารมหาดเล็กตื่นเต้นเหลือจะกล่าว

    หลวงปู่ศุขให้ทุกคนได้ชมจระเข้พลทหารจ๊อกพอสมควรแล้ว ก็ยื่นปลายเชือกให้พวกทหารถือไว้ สั่งว่าให้ดึงเชือก ที่ผูกเอว จระเข้ตึง ๆ อย่าให้จระเข้ดำลงไปกบดานได้ แล้วท่านก็เดินไปยังกุฏิ เอาน้ำใส่ในบาตรทำพิธี อธิษฐานจิต ลงไปยังน้ำในบาตร เสร็จแล้ว ก็ประคองบาตรน้ำพระพุทธมนต์มาที่ริมสระ แล้วรดน้ำพระพุทธมนต์ไปที่ร่างของจระเข้ตั้งแต่หัวจรดหาง จระเข้ใหญ่ ก็ดำน้ำลงไป ครั้นโผล่ขึ้นมากลายเป็นพลทหารจ๊อกมีเชือกผูกติดเอวอยู่เช่นเดิม

    ทันทีที่ร่างกายคืนสภาพกลับเป็นคนเช่นเม พลทหารจ๊อกก็สาวเชือกผูกเอวขึ้นมาจากสระ มีการสอบถามกันขรมว่า ขณะที่เป็นจระเข้ มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร พลทหารจ๊อกได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่หลวงปู่ศุขบอกว่าจะเสกตนให้กลายเป็นจระเข้ ก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะคนจะกลายเป็นจระเข้ นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ครั้นถูกหลวงปู่ศุขท่านตบลงที่กลางหลัง มีความรู้สึกเหมือนกับถูกผลัก ให้ลอยละลิ่วลงไปในสระ ขณะนั้นมีอาการขนลุกขนพองสยองเกล้าบอกไม่ถูก เมื่อร่างกายสัมผัสน้ำ พลันเกิดความรู้สึกว่ามีพละกำลัง เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่รู้ว่ากำลังมาจากไหน ตนจึงดำผุดดำว่ายเล่น อย่างสนุกสนาน แต่ก็เกิดความสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง คือคนที่มุงดู อยู่รอบสระทำไมถึงได้ แสดงอาการตื่นเต้นตะลึงตาค้างเป็นแถว ทั้ง ๆ ที่เหลือบมองดูตัวเองก็เห็นแขนขาเป็นปกติทุกอย่าง ร่างกาย ก็เป็นคนเช่นเดิม ไม่เห็นเปลี่ยนเป็นจระเข้ ตามคำพูดของหลวงปู่ศุข จิตใจรู้สึกเฉย ๆ สบายดี ไม่เห็นตื่นเต้น เหมือนกับพวกที่อยู่บนฝั่ง

    การที่หลวงปู่ศุขแสดงฤทธิ์ได้เช่นนี้ ท่านอาศัยจิตภาวนาอันเป็นขั้นสุดยอดแห่งสมถกรรมฐานระดับฌาน หรือที่เรียกว่า "ฌานสมาบัติ" จนมีความชำนาญอย่างยิ่งในเรื่องของวสีเครื่องอาศัยเหล่านี้เอง จึงปรากฏว่าหลวงปู่ศุข สามารถบรรลุธรรมขั้นสูง ที่เรียกว่า อภิญญาญาณ

    จากนั้นหลวงปู่ศุข ท่านจะอธิษฐานฤทธิ์ ด้วยวิธีการหรือความต้องการใด ๆ ก็จะปรากฏผลดังจิตปรารถนาได้อย่างฉับพลัน ซึ่งนอกจากจะมีความคล่องแคล่วว่องไวแล้ว ยังทรงอานุภาพสูงยิ่ง เพียงแค่ชั่วกะพริบตาเดียวก็จะบรรลุผลทันที.....

    คัดลอกจากหนังสือ ฤทธิ์อภิญญา-พระอภิญญาญาณ
    รวบรวม-เรียบเรียงโดย นที ลานโพธิ


    ที่มา http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2689
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงฤทธิ์ว่ามี 10 ฤทธิ์ด้วยกัน คือ

    ข้อที่ 1. อธิษฐานฤทธิ์

    ฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน เช่น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านอธิษฐานเสกปลีกล้วยให้เป็นกระต่าย วิ่งรอบศาลาท่าน้ำ แล้วก็มิใช่ตัวเดียวด้วย เป็นสิบๆ ตัวเสกคนให้เป็นจระเข้ฟาดหัวฟาดหางตีน้ำให้กระจาย แหวกว่ายอยู่หน้าศาลาท่าน้ำวัดปากคลองมะขามเฒ่า เล่นเอากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์งงเป็นไก่ตาแตก และถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ตั้งแต่บัดนั้น

    และครั้งหนึ่งพวกพ่อค้าชาวเหนือมาอวดดีกับท่าน มาลองดีกับท่านท่านเสกช้างให้ตัวเล็กเท่าแมลงวัน แล้วเอากะลามะพร้าวครอบช้างทั้ง 18 ตัวไว้
    ในเมื่องไทยมีพระหลายองค์ที่ทำได้ เช่น หลวงปู่ปาน แห่งวัดบางนมโค จังหวัดอยุธยาฯ เสกน้ำมนต์ให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำรดอาบร่างผู้หญิงสาวที่โดนของ โดนไสยเวทของหมอเขมรทำเอา ขณะทีรดน้ำมนต์อยู่ๆ มีดพร้าทั้งเล่มแหวกออกมาจากอกหญิงสาวโดยไม่มีแผลให้เห็นเลย นี้เรียกว่า อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยการอธิษฐาน

    อธิษฐานฤทธิ์ นี่ขยายออกไปถึง 16 อย่าง

    1. พหุภาพ ได้แก่ การอธิษฐานฤทธิ์ ให้คนคนเดียวปรากฏเป็นหลายคนได้ เช่น พระจูฬปันถก แสดงฤทธิ์ให้คนที่มานิมนต์ท่านเห็นพระที่มีหน้าตาเหมือนท่านตั้งพันองค์ ทำกิจกรรมไปองค์ละอย่าง เลยไม่รู้จะนิมนตืองค์ไหน กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ก็บอกให้ระบุชื่อพระจูฬปันถก ทายกก็เรียกชื่อปรากฏว่าขานรับพร้อมกันทั้งหมด เลยต้องกลับไปกราบบังคมทูลอีกครั้ง พระพุทธองค์ทรงบอกให้มองดูหน้า องค์ไหนหน้ามีเหงื่อให้จับมือไว้ พอจับมือองค์นี้องค์อื่นหายหมด นี่เป็นการแสดงฤทธิ์พหุภาพ

    2. เอโกภาพ ได้แก่ การอธิษฐานคนมากให้เป็นคนน้อย

    3. อาวีภาพ ได้แก่ การอธิษฐานสิ่งที่ปิดปังอยู่ให้เปิดเผย ให้คนอื่นเห็นได้ ดังเช่น ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทรงแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์เปิดโลกให้มนุษย์ และเทวดาสัตว์นรก เห็นกันได้หมด ยิ่งกว่าฉายภาพยนตร์อีก นับเป็นประวัติการณ์ในศาสนาพุทธ

    4. ติโรภาพ หมายถึง แสดงการหายตัวกำบังตัว อย่างที่พระพุทธองค์ทรงแสดงติโรภาพกำบังตัวยสะกุลบุตร ไม่ให้เศรษฐีบิดาของของพระยสะเห็นกัน
    แม้ในปจจุบันนี้ก็ยังมีอาจารย์เก่งทางแสดงติโรภาพ วิชาหายตัววิชากำบังตัวอยู่หลายองค์ เช่น อ้ายเสือทิม แห่งจัวหวัดสงขลา อดีตแห่งพ่อท่านมหาแคล้วสมัยเป็นโจร เป็นอ้ายเสือทิม ตำรวจ 30 กว่านายล้อมจับอ้ายเสือทิมไม่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นตัวอยู่เมื่อกี้ ท่านใช้ต้นไม้เป็นเครื่องกำบังตัวหายวับไปเลย หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกรียวกราวว่าอ้ายเสือทิมหายตัวได้

    5. ติโรกุฑาสัชชมานภาพ คือการล่องหนไปปรากฏตัวที่นั่นที่นี่ด้วยวิชาเหาะเหินเดินอากาศ แต่ไม่เห็นตัว เดินทะลุกำแพงได้ ดังเช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร เดินทะลุกำแพงออกมาทักทายหลวงปู่โง่น โสรโยแห่งจังหวัดพิจิตร สมัยไปอินเดีย นมัสการสังเวชนียสถาน แม้พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ก็ยังเคยปรากฏสมัยไปอยู่ถ้ำเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่

    6. ปฐวีอุมมุชชภาพ ได้แก่ วิชาดำดิน เรื่องขอมดำดินในพงศาวดารพระร่วง พระร่วงรู้ว่าขอมดำดินมาจะทำร้ายพระองค์ พระร่วงเจ้าจึงเอาพระหัตถ์ชี้ขอมที่โผล่ขึ้นมาจากดินได้ครึ่งตัว ให้เป็นหินอยู่ตรงนั้นตราบจนทุกวันนี้

    7. อุทกาภิชชมานภาพ ได้แก่ การเดินบนน้ำได้ ไม่จม อย่างคราวที่พระพุทธองค์ทรงเดินจงกรมบนน้ำ เพื่อปราบปุราณชฎิล เล่นเอาปุราณชฎิลตกตะลึงมองตาค้างเลย

    8. อากาสจังกมนภาพ ได้แก่ การแหวกอากาศขึ้นไปเดินจงกรมนั่งสมาธิ เหาะลอยอยู่บนฟ้าเหมือนเครื่องบินเหมือนจานบินอย่างที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เหินฟ้าไปดักหน้าเครื่องบิน ไม่ให้บินข้ามวัดดอยแม่ปั่ง เล่นเอานักบินต้องรีบหักพวงมาลัยหลบกะทันหันหรือดั่งเช่นพระปิณโฑล ภาระทวชะเถระ เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้แก่นจันทน์บนอากาศที่เศรษฐ๊แขวนไว้เพื่อลองฤทธิ์พระอรหันต์

    9. สันติเดภาพ คือ การย่นระยะทาง ทำที่อยู่ไกลให้มาอยู่ใกล้ เช่น หลวงปู่ทิม แห่งวัดละหารไร่ บ้านค่าย จังหวัดระยอง ทานอยู่ระยองแต่ไปบิณฑบาตถึงเมืองชล แล้วกลับมาฉันที่วัดละหารไร่ ลูกศิษย์ที่ตามไปงงเป็นไก่ตาแตก เรื่องย่นระยะทางพระเมืองไทยทำได้หลายองค์ เช่น หลวงพ่อเต๋ คงทอง แห่งวัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นต้น

    10. ทูเรภาพ แสดงที่อยู่ใกล้ให้เหมือนอยู่ไกล เช่น คราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่โจรองคุลีมาล พระองค์เดินอยู่แท้ๆ แต่องคุลีมาล วิ่งไล่กวดสุดฝีเท้า วิ่งไล่เท่าไรก็ตามไม่ทัน ยิ่งวิ่งไล่กระชั้นชิดเหมือนยิ่งไกลออกไป จนต้องตะโกนเรียกให้หยุด พระหยุดก่อน พระหยุดก่อน พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า เราหยุดแล้ว ท่านสิยังไม่หยุด นี่คือการแสดงทูเรภาพ ของพระพุทธองค์

    11. โถกภาพ คือ แสดงของมากให้เป็นของน้อย เช่น พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานบาตรสี่ใบของท้าวมหาราช ให้เป็นบาตรใบเดียว ดูบาตรของพระไทยในสมัยนี้จะมีสี่เข็มคือ ทำสี่ใบให้เหลือใบเดียว แต่ตอนนี้พระไทยยุคสมัยไอเอ็มเอฟ ใช้บาตรหล่อไม่มีเข็มให้เห็นแล้ว

    12. พหุกภาพ ได้แก่ ทำของน้อยให้เป็นของมาก เช่น พระโมคคัลลานะมหาเถระ ได้รับพระพุทธบัญชาจากพระบรมศาสดาให้ไปปราบความขี้เหนียวของเศรษฐี พระโมคคัลลานะของเราแสดงให้ขนมติดถาดภาชนะดึงไม่ออก จึงบอกให้เศรษฐีนำขนมไปถวายพระพุทธเจ้าถึงพระเชตวัน แต่ขนมถาดเลี้ยงพระได้ทั้งวัดเชตวัน ยิ่งตัดยิ่งเพิ่ม ด้วยอำนาจของฤทธิ์พหุกภาพ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเพื่อโปรดเศรษฐีขี้เหนียวเมืองชาวเมืองสาวัตถี แม้ปัจจุบันก็มีอยู่หลายองค์ที่เป็นพระเกจิอาจารย์ดังๆ มีเกือบทุกภาคของไทย

    13. กายวสิกภาพ คือ การแสดงฤทธิ์เอาจิตไว้ในกาย กายเหาะได้ ลอยได้ เหมือนกับว่าจิตอุ้มกายคนเหาะไป คนเห็นแต่กาย ไม่เห็นจิตที่อุ้มกายอยู่ อย่างเช่น หลวงพ่อชา แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี รถลูกศิษย์ไปจากกรุงเทพฯ ฝนตกหนัก รถติดหล่ม เข้าวัดไม่ได้ ลูกศิษย์เรียกให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อชาให้กายวสิกภาพไปปรากฏตัวที่รถติดหล่ม ท่านเอามือดันท้ายรถพรวดเดียวขึ้นจากหล่มได้เลย ลูกศิษย์จะเข้ามากราบขอบคุณ ที่ไหนได้ท่านหายไปเสียแล้ว

    หลวงพ่อยี แห่งวัดดงตาก้อนทอง จังหวัดพิจิตร นี่ก็อีกองค์ที่ใช้กายวสิกภาพใช้อำนาจจิต แสดงกายเข็นรถ ดันรถของเจ้าคุณโฮมวัดปทุมวนาราม ซึ่งติดหล่มอยู่หน้าวัด เข้าวัดไม่ได้ พระอาจารย์มหาถาวร จิตตถาวโร หรือพิสาล พัฒนาทร ตกใจเกือบช็อกเพราะนึกไม่ถึง

    14. จิตตวสิกภาพ คือ การทำกายให้เหมือนจิต ให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิต ล่องหน หายตัวได้หมด ไม่มีคนเห็น เพราะไม่แสดงกาย เรียกว่าหายตัว อย่างที่พระพุทธเจ้าแสดงปาฎิหารย์ให้ท้าวพกาพรหมได้ยินแต่เสียงของพระพุทธองค์ แต่ไม่เห็นตัว เมื่อให้ท้าวพกาพรหมแสดงบ้าง ท้าวพกาพรหมทำไม่ได้ยืนให้เห็นกายอยู่โทนโท่ จนพวกบริวารพรหมหัวเราะ จึงยอมแพ้พระพุทธองค์

    15. ธูมายิกภาพ คือ แสดงเป็นควันไฟ เป็นหมอกควันบังตัวไม่ให้ใครเห็น...

    16. ปัชชลิกภาพ อธิษฐานให้เกิดเปลวเพลิงเผาไหม้ อย่างคราวที่พระโมคคัลลานะไปปราบนันโทปนันทนาคราช พระโมคคัลลานะพ่นกสินไฟเข้าใส่พญานาค ไฟท่วมตัว ร้อนจนทนไม่ไหว ยอมแพ้ หรืออย่างที่ยักษ์กุมภกรรณน้องชายทศกัณฐ์ เจ้าเมืองลงกา ได้รับบัญชาให้ออกรบกับพระรามพระลักษณ์ กุมภกรรณพ่นไฟบรรลัยกัลป์ใส่ไล่ทหารของพระราม หนีกระจัดการเจิงอย่างไม่เป็นกระบวน

    ข้อที่ 2 คือ วิกุพพนาฤทธิ์

    เป็นฤทธิ์ที่แสดงอย่างโลดโผนผาดแผลงอย่างเถรเทวฑัต แสดงฤทธิ์ให้อชาตศัตรูยุพราชกุมาร เกิดอาการสะท้านปานจะช็อก เมื่อเห็นเถรเทวฑัตแปลงร่างเป็นคนหนุ่มมีงูเป็นสร้อยสังวาล แลบลิ้นปลิ้นตา แยกเขี้ยวยิงฟัน แกว่งหัวไปมา ทำท่าเหมือนจะฉกกัดพระองค์

    สมัยนี้ก็มีผู้แสดง วิกุพพนาฤทธิ์ ได้หลายองค์ เช่น หลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโค พาลูกศิษย์ คือ หลวงพ่อท่านฤาษีลิงดำขาวไปหาหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ในป่าลึก หลวงปู่คำคะนิงท่านไว้หนวดเคราผมเผ้ายาวประบ่า เมื่อหลวงพ่อปานถามว่า นี่เป็นพระหรือเป็นคน เท่านั้นเองหลวงปู่คำคะนิงทำเป็นฉุนกึก แล้วว่า ความเป็นพระมันอยู่ที่ไหนวะ ดูกันที่ไหนละ ดูที่ผมเผ้าหรือดูที่จิตใจ แล้วก็แผลงฤทธิ์เป็นช้างเป็นนกใหญ่ตรงเข้าพันตูหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็กลายร่างจากพระมาเป็นช้าง เป็นนกโผผินบินขึ้นฟ้าจิกตีกันเป็นพัลวัน เป็นที่มหัศจรรย์อันไม่เคยมี และไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย สร้างความตี่นเต้นให้แก่ท่านฤาษีลิงดำอย่างมาก นี้เรียกว่า วิกุพพนาฤทธิ์

    ข้อที่ 3 มโนมัยฤทธิ์

    ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ อย่างที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เขาฝึกมโนมยิทธิ ถอดกายทิพย์ไปดูนรกสวรรค์ ไปดูแดนนิพพาน นี้สำเร็จด้วยมโนมัยฤทธิ์

    ข้อที่ 4 ญานวิปผาราฤทธิ์

    ฤทธิ์ที่แสดงด้วยติลังญาณ หรือวิปัสสนาญาณ ดังที่เราท่านได้ปฏิบัติผ่านวิปัสสนาญาณ 9 ซึ่งสายวัดมหาธาตุฯวิกเวกอาศรม จังหวัดชลบุรี และวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ของท่านอาจารย์จรัญ ฝึกสอนอยู่

    ข้อที่ 5 สมาธิผาฤทธิ์

    ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอำนาจสมาธิ ฤทธิ์ที่เกิดจากสมาธิละนิวรณ์ 5 ได้ ละอบายภูมิหรือปิดอบายภูมิได้ ไปสวรรค์ ไปพรหมโลกได้ แม้ไปนิพพานก็ยังได้ ถ้าใช้วิปัสสนาสมาธิ

    ข้อที่ 6 อริยฤทธิ์

    ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอริยธรรม คือ ธรรมที่ทำให้เป็นอริยะตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์ นี้จัดเป็นฤทธิ์ เพราะแสดงอำนาจให้ปุถุชนเลื่อขั้นถึงพระอรหันต์ได้ นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ อริยฤทธิ์ นี่เป็นที่ปรารถนาของชนทุกชั้น เพราะฝึกกันปฎิบัติกันได้ไม่ง่ายนัก

    ข้อที่ 7 กัมมวิปากชาฤทธิ์

    ฤทธิ์ที่เกิดแต่ผลกรรม เช่น นกบินเหินฟ้าได้ ช้างม้าวัวควายเกิดปุ๊บเดินได้วิ่งได้ และคนมีกรรมบางคนที่ฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย ก่อนจะตายร้องเสียงเหมือนหมู เหมือนวัว เหมือนควายให้เห็นอยู่ดาษดื่น

    เล่นตีไก่ เล่นชนไก่ พอใกล้จะตาย เอาหัวแม่มือชนกันจนเลือดโทรม ให้แขนทั้งสองตีเหมือนไก่ตีปีก เอาหัวชนฝาจนตาย ใครห้ามไม่ได้ ใครจับไม่ได้ นี่ฤทธิ์กรรม โอ๊ย...มีตัวอย่างเยอะแยะ ทั้งเมืองไทยทั้งเมืองนอก แต่ก็แปลกที่คนสมัยนี้ เขาไม่กลัวกันไม่เข็ดไม่หลาบ ไม่สะทกสะท้านเลย

    ข้อที่ 8 ปุญญฤทธิ์

    ฤทธิ์ของผู้มีบุญ ตัวอย่างมีทั้งฆราวาส และพระสงฆ์เช่นในประวัติศาสตร์ของชาติไทย มีหลายพระองค์ที่ทรงมีประวัติมหัศจรรย์ เช่น พระร่วงเจ้า กรุงสุโขทัย พระเจ้าฟ้ารั่ว พอประสูติปั๊บก็เกิดฝนตกฟ้าร้อง น้ำนองพสุธา จึงให้ชื่อว่าพระเจ้าฟ้ารั่ว พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กู้ชาติกลับคืนจากพม่าได้ ก็เพราะบุญฤทธิ์ทรงพิชิตพระมหาอุปราชา พระศอขาดสะพายแล่ง ในสมรภูมิเดียว ก็เพราะบุญฤทธิ์นี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินแหวกวงล้อมทหารหาญของพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา ออกมากอบกู้เอกราชของชาติไทยจนได้เป็นพระเจ้ากรุบธนบุรี มีพระนามว่าพระเจ้าตากสินมหาราช ก็เพราะความสามารถแห่งบุญฤทธิ์ที่ผิดแผกแตกต่างจากคนธรรมดา ไม่มีมนุษย์มนาคนไหนจะทำได้

    มหาราชอีกองค์ที่เป็นผู้ทรงพิทักษ์อาณาเขตประเทศสยามไม่ให้ชาติมหาอำนาจมาลิดรอนตัดแบ่งเขตแดนของเราไป อันจะเป็นการสูญเสียความยิ่งใหญ่ของชาติไทย สร้างความประทับใจให้คนไทยทั้งชาติจนลืมพระคุณของพระมหาราชองค์นี้ไม่ได้ นั่นคือพระปิยมหาราชเจ้าเหนือหัวของชาวไทย

    แล้วก็มาดูพระสงฆ์ที่เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบุญฤทธิ์ มีบารมีอันวิจิตรผิดมนุษย์ธรรมดา เช่น ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ท่านสร้างบันไดขึ้นดอยสุเทพ โดยไม่ต้องเสียเงินรัฐสักบาท ซึ่งประชาชนคือชาวบ้านธรรมดานี่แหละมาช่วยทำได้ ชนิดที่เรียกว่าจองกันทำเป็นละวาสองวาเท่านั้น คนมาช่วยกันทำมืดฟ้ามัวดิน วันหนึ่งเป็นพันๆ คน เอาอาหารกินกันเองด้วยนะ ใช้เวลา 6 เดือนเท่านั้น สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นเรื่องอัศจรรย์ซึ่งคนธรรมดานั้นทำไม่ได้

    แล้วดูอีกองค์ก็ได้ เช่น พระอาจารย์จวน แห่งภูทอก สร้างบันไดขึ้นเขาภูทอก ขนาดเอาช่างฝรั่งผู้เชี่ยวชาญมาจากเมืองนอก ก็ยังทำไม่ได้จึงต้องอาศัยบุญฤทธิ์ เอาเทวดามาทำให้เห็นจะๆ กันเลย และทำได้สำเร็จกลายเป็นบันไดมหัศจรรย์ไปเลย

    แล้วอาจารย์จำเนียร แห่งวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ อีกองค์สร้างบันไดขึ้นถ้ำเสือ คนธรรมดาทำไม่ได้ มันเป็นหินดาน เอาระเบิดมาระเบิดหินก็แล้ว เอาไฟมาสุมเผา ช่วยทุบกันก็แล้วไม่สำเร็จท่านต้องอาศัยบุญฤทธิ์อีกละ มีเทวดามาช่วย หินหนักเป็นตันๆ แม่ชีคนเดียวยกไหว แล้วเทวดาเขาทำจนสำเร็จ ไปดูได้เลย อย่างนี้จะไม่เรียกว่าบุญฤทธิ์ แล้วจะเรียกว่าอะไร

    แม้คนธรรมดาเราๆ นี่แหละ จะทำอะไรให้สำเร็จ ยังต้องอาศัยบุญนะ ถึงได้มีคำว่า แข่งอื่นแข่งได้ แข่งบุญวาสนาไม่ได้หรอก ดังนี้ บุญที่ทำไว้แต่ชาติก่อนย่อมติดตามอุปถัมภ์บุคคลผู้ทำ ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ส่งผลให้เป็นบุคคลเด่นในหมู่ชนเกินคาดหมาย แม้ถึงคราวประสบอันตราย แม้นไม่ถึงคราวเสียก็ไม่เสีย ไม่ถึงคราวตายก็ไม่ตายจึงได้มีสุภาษิตคำหนึ่ง เมื่อบุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก เมื่อบุญไม่มาวาสนาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย บางคนตายไปเฉยๆ ก็มี เพราะหมดบุญเสียแล้ว

    ข้อที่ 9 วิชชามัยฤทธิ์

    สำเร็จด้วยวิทยา คือ ความรู้ เช่น วิทยาศาสตร์สามารถสร้างอากาศยานพาเหินฟ้าไปได้ สร้างเครื่องส่ง เครื่องรับวิทยุโทรภาพไปปรากฏเสียง ปรากฏภาพทุกมุมโลกได้

    ข้อที่ 10 สัมปโยคปัจจัยยิชฌนฤทธิ์

    หมายถึงการรวบรวมกำลังใจเอาความดีชนะความชั่วได้ ฝึกความขยันชนะความกี้เกียจได้ ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธได้ ชนะความตระหนี่ขี้เหนียวด้วยการสละให้ได้"

    ที่จริงสิ่งที่ลุงเล่ามาทั้งหมดนี้ ลุงเอามาจาก หนังสือทิพยอำนาจ ของอดีต พระอริยคุณาธาร (เส็งปุสโส) เห็นท่านอธิบายไว้น่าฟัง ก็เลยเอามาเล่าแบบประยุกต์เสริมนิดเติมหน่อย ให้มันน่าฟังยิ่งขึ้นก็เท่านั้นเอง"


    ที่มา http://www.tammaros.org/main/index2.php?option=content&task=view&id=8&pop=2&page=0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2008
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรื่องราวของหลวงพ่อยีนั้น มาจากวัดปทุมวนาราม ซึ่งหลวงพ่อยีท่านได้มาสอนพระอาจารย์ถาวร ท่านในนิมิตร สอนการแสดงฤทธิ์อิทธิวิธี ซึ่งท่านได้กล่าวยืนยันด้วยตัวท่านเองครับ

    ตอนนี้มีเพื่อนๆเราแอบแว่บนำดอกไม้ไปกราบเป็นศิษย์ท่านแล้วครับ
     
  9. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ข้อที่ 9 วิชชามัยฤทธิ์

    สำเร็จด้วยวิทยา คือ ความรู้ เช่น วิทยาศาสตร์สามารถสร้างอากาศยานพาเหินฟ้าไปได้ สร้างเครื่องส่ง เครื่องรับวิทยุโทรภาพไปปรากฏเสียง ปรากฏภาพทุกมุมโลกได้
    ทุกวันนี้เราก็เหมือนใช้อภิญญาอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ
    เทคโนโลยี่ในปัจจุบันถ้าต้องอธิบายให้คนในสมัยก่อนฟังก็คงคิดออกแนวๆเรื่องของอภินิหาร เพราะจะบอกว่าต่อไปเราจะคุยกันข้ามทวีปด้วย จีเอสเอ็มหรือดีแทค คงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ ด้วยความสามารถที่จะเข้าใจของคนในแต่ละยุคต่างกัน
    อภิญญาสาธารณะ อาจหมายถึงยุคที่มีเทคโนโลยี่ที่พัฒนาจนคนที่ไม่พื้นความรู้ไม่อาจเข้าใจ แม้กระทั่งการเข้ามาสู่เว็ปนี้ก็ดูคล้ายจะเป็นการใช้อภิญญาบางอย่างหรือเปล่า ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าได้บางคนไม่เคยสัมผัสคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำไป แต่ในยุคต่อๆไป โน๊ตบุ๊คของเราอาจจะบรรจุขอมูลของโลกไว้ได้ทั้งหมด ถึงเวลานั้น คนเราก็เข้าขั้นเทพแล้ว

    บูญรักษา
     
  10. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    โอ้..นับว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจทีเดียวเลยนะครับ .....

    และคำว่าสาธารณะนี่ก็อาจจะมีอภิญญาประเภทอื่น ๆด้วย เรียกว่ามีกันครบเลย แต่ที่อยากให้มีมากๆนี่ก็อยากให้มีประเภท

     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    *** พระธรรมเล็กลง ****

    คำสอนทั้งหมด...ย่อเหลือเท่าปลายนิ้วก้อย
    พกติดตัวได้สะดวก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ในระยะนี้พระอภิญญาท่านเมตตาเปิดตัวมากขึ้น รวมไปถึงที่ท่านเมตตามาสอนทั้งในสมาธิกับหลายๆท่านก็ดี

    ที่ท่านเมตตามาปรากฏตัวด้วยอภิญญาให้เห็นด้วยตาเนื้อก็มีปรากฏหลายๆท่านครับ

    เป็นนิมิตรหมายอันดี ที่อภิญญาสาธารณะเริ่มจะปรากฏชัดขึ้นในไม่ช้าครับ
     
  13. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    ยืนหยัด ชัดเจน
     
  14. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    บัดนี้ผมเชื่อว่ามีหลายท่านที่สัมพัสได้ ไม่ว่าจะนิมิตรหรือกรรมฐานกองใดกองนึงที่ท่านฝึก จะรู้สึกได้เร็ว บางรายอาจแปลกใจ และรู้สึกได้ ไม่ขอบอกมาก ผมรู้แต่ว่าอภิญญาหรือกรรมฐานเบื้องต้นเริ่มเร่งรัดหรืออาจกลับคืนผู้ที่มีของเก่าไปบ้างนะครับ ตั้งแต่ปีที่แล้วน่ะ ฌาณสี่คงไม่ไกลเกินฝัน ขอเพียงมีวิริยะและขันติ ถ้าขาดวิริยะก็คงฝึกไม่ได้ และถ้าขาดขันติวิริยะก็คงไม่เกิด

    เอาเป็นว่าอยากให้ท่านฝึกสมาธิให้ได้ ไม่นานจะรู้เองครับ เมื่อมีสมาธิสติเกิด สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดชีวิตจะหาไม่นะขอรับ

    เพิ่มเติม:
    ผมเข้ามาเห็นกระทู้นี้ก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงที่ผมหายไปเกิดอะไรขึ้น จึงเข้ามาโพสเลย เมื่อกี้พึ่งเห็นพี่เล็กบอกก็ตรงแป๊ะเลย ก็เลยมาเพิ่มเติมสักหน่อย
    หวังว่าหลายๆท่านจะรับรู้ถึงพลังได้นะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2009
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต่อไปพระอภิญญาท่านคงได้เมตตามาสงเคราะห์ผู้ที่มีหน้าที่วาระ ความเกี่ยวพันกับแต่ละท่านกันมากขึ้นครับ

    จากประสพการณ์ที่พี่ๆน้องๆหลายท่าน ได้พบด้วยตนเองชี้ชัดเจนเลยว่า


    "หากเราวางกำลังใจได้ถูกต้องมั่นคง ในการใช้อภิญญาสมาบัติที่ได้ด้วยจิตอันเมตตาและอ่อนน้อมเพื่อส่วนรวม มีชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์แล้วไซร้ ครูบาอาจารย์ท่าน สงเคราะห์เราได้

    แต่หากเราต้องการอภิญญาเพื่อความเก่งของตน ด้วย มานะทิษฐิ แล้ว มีโอกาสสูงที่จะโดนด้านมืดเข้าครอบงำ

    เครื่องคุ้มใจหล่อเลี้ยงใจของเราก็คือเมตตา พรหมวิหารสี่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความดี ไตรสรณะคมม์เป็นที่ตั้ง สัมมาทิษฐิเป็นเข็มทิศนำทางไม่ให้เราประมาทคลาดจากความดีทั้งปวงเหล่านี้ไปได้"

    ตั้งนั้น เร่งตั้งกำลังใจให้ถูก ปรับกำลังใจให้ถูกต้อง กันครับ เพื่อความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมของทุกๆท่านครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ฌานสี่ สมาบัติแปด ญาณแปด เจโตปริยญาณนี่มีผู้ทำได้กันหลายท่านแล้วครับ รอการฝึกอิทธิวิธีกันอยู่ครับ

    ให้มองเป็้นเรื่องปกติธรรมดา หากใครที่ฝึกได้ถูกต้อง มีบุญที่ได้เจริญมาในอดีตก็ทำได้ทุกคน ไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร

    สำคัญในอารมณ์พระอริยเจ้านับแต่พระโสดาบันขึ้นไปมากกว่า

    และสำคัญที่สามารถนำความดีและความรู้ที่ได้มาเผยแผ่และใช้ประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้อย่างไรบ้างครับ
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    *** สูงสุดของการกระทำ ****

    สุดท้าย...คือ หนทางหลุดพ้น
    สุดท้าย...ด้วย สัจจะทำ
    สูงสุดของการกระทำ....คือ สัจจะทำ
    สิ่งที่ทำได้...ก็กลายเป็นสัจจะธรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    กราบขอบพระคุณค่ะ อ.พี่เล็ก
     
  19. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    อภิญญากับปัญญาต้องคู่กัน เพื่อความรู้ เห็นถูก-เห็นผิด เพื่อหลุดจากบ่วงทุกข์เวียนว่ายตายเกิด มิใช่เรียนรู้เพื่อกลับมาอยู่ในวงจรที่ไม่มีอะไรดีเลยเช่นนี้ ดังนั้นควรเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเข้าใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านวางแนวทางไว้

    ในเมื่อถึงกาลนึงอภิญญาจักเป็นที่รู้จัก มีผู้ทรงอภิญญามากมายเมื่อนั้น ผู้ที่มีอภิญญาแล้วใช้ไปในทางผิดก็เช่นกัน ถึงเวลานั้นจะมีบททดสอบขนานใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
    ส่วนตัวผมนั้นไม่หวังอภิญญาอะไรมากมาย แต่หวังให้ได้ปฏิสัมภิธาญาณ คือรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง หวังเพื่อให้รู้ความเป็นไปทุกอย่างเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของจิต แล้วนำความรู้นั้นไปนำพาผู้อื่นให้เห็นความจริงที่อยู่ภายใต้มายาที่บังตาเพื่อการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในกาลต่อไป

    ปล.ถึงแม้ปัจจุบันข้าพเจ้ายังไม่ดี มีข้อบกพร่องอีกมากมาย แต่ก็จักแก้ไขและทำดั่งตั้งใจให้สำเร็จจนได้ ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าบางทีข้าพเจ้าทำให้บางท่านไม่พอใจ ข้าพเจ้าก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย ถึงปัจจุบันข้าพเจ้าจะย้อนกลับไปแก้อดีตไม่ได้ แต่จะเดินหน้าต่อเพื่อสิ่งที่ดี เพื่อทุกท่านต่อไป
     
  20. Alphaneomatrix

    Alphaneomatrix Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +77
    ทำไมกระทู้นี้ถึงหายไปล่ะครับ

    น่าจะมาต่อนะครับ ไม่รู้ว่าหายไปเพราะอะไรครับ เรื่องอภิญญามีประโยชน์มากถ้าใช้ในทางที่ถูกต้อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...