อวิชชา เป็นดังฤา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 6 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    การ เห็นอวิชชา อันเป็นปฏิจสมุบาทต้นสาย หรือ เหตุต้นของทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีหน้าตาอย่างไร
    ตามปรกติ สภาวะธรรมทั้งหมดเราสามารถ สัมผัสได้ และเห็นด้วย ตาธรรมคือปัญญา การมองเห็นนั้นไม่ใช่เห็นด้วยตา แต่ เห็นด้วย มโน คือใจ เช่นว่า โมโหขึ้นมา ใจมันเห็นได้ว่า เรามีโมโห และ มันมีโมโหเกิดขึ้นจริง และ เดี๋ยวเดียวมันก็ดับไปจริง
    การสังเกตุ จิตใจตน ให้ละเอียดขึ้นต้อง อบรมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ให้จิตนี้ที่เคยรับรู้ สภาวะต่างๆ เริ่มนิ่งลง
    ซึ่งสภาวะต่างๆ นั้น มีอยู่ตลอดเวลา มันเกิดขึ้น ดับไปตลอดเวลา แต่เราไม่เคยสังเกตุจนให้รู้ให้เห็น ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดมาจากอะไร มันดับไปได้อย่างไร
    การสังเกตุสภาวะจิตใจ ของตนเอง ที่ละเอียดนี้ จะสามารถสังเกตุได้ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป จนเห็นเหตุ เห็นปัจจัย เช่น ก่อนจะโมโห จิตมีการคิดนึกเรื่องราว ทำให้ใจไปสัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ เกิดความรักความขังขึ้นมา กลายไปเป็นโมโหบ้าง กลายไปเป็น ราคะบ้าง
    แล้วถามว่า สภาวะอย่างไร สังเกตุเห็นอะไร ที่เรียกว่า อวิชชา คำว่าอวิชชานี้คือความไม่รู้ มีฤทธิ์เดชมากมาย
    และไม่ใช่มีอวิชชาอย่างเดียว มันไม่รู้อะไรหลายอย่าง แต่หลายอย่างนั้น สามารถใช้ปัญญาเทียบได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรุ้ทั้งหมด การใช้ปัญญามองขันธ์ 5 นี้ให้ปรากฎ อนิจจังทุกขังอนัตตา ตัวใดตัวหนึ่งแล้วทำใจให้เห็นได้ว่า แม้ตัวอื่นๆ ก็มีลักษณะไตรลักษณ์นี้ ก็จะทำให้ จิตเพิกอวิชชาออกได้
    อวิชชา เป็นอย่างไร อวิชชา คือ ไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันมาอย่างไร ไม่รู้ในความจริง ไม่รู้ตัวตามเรื่องไป ปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เช่น เวลาได้ยินได้ฟังใครด่าพ่อ แม่ เราก็โมโหขึ้นทันที นี้จะเห็นได้ว่า มันมีความไม่รู้ คือ หลงไปทันทีให้ โมโหเกิด แล้วไอ้ตัวโมโหนี้ไม่รุ้ทำไมมันต้องเกิด แค่ได้ยินได้ฟังแบบนั้นทำไมมันจะต้องโมโห
    หรือ ผุ้ชายเห็น ภาพหญิงเปลือย แค่เห็นทำไมมันจะต้องเกิดอารมณ์ ก็เพราะว่า อวิชชาคือความไม่รู้นี้แหละปล่อยให้จิตมันวิ่งไปโดยไม่รุ้เนื้อรู้ตัว ซึ่งหากเราสังเกตุให้ดี เราจะพบว่า จิตใจที่ไปกระทบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าเราเห็นภัย เราเห็นโทษ เราก็จะไม่ตามมัน เรียกว่า ทวนกระแส ไม่ให้ กิเลสก่อตัวได้ เช่นว่า ใครด่าพ่อแม่เรา เราได้ยินเฉยๆ มีจิตมั่นคงเป็นสมาธิ เราไม่ตามใจที่คิดไปต่างๆนาๆ ก็จะระงับการก่อตัวของโทสะได้ เพราะเห็นภัยและตั้งสติอยู่

    ทีนี้เมื่อ เราตั้งมั่นแบบนี้บ่อยๆมากๆ เข้า ก็จะนำจิตไปเห็นกระบวนการก่อนที่จะปรุงแต่งทั้งหลาย ทำให้ลูกหลานของอวิชชาไม่เกิด เช่นว่า เมื่อได้ยินใครด่าพ่อแม่ ก็เสียงที่ได้ยินมันก้ไม่ต่างอะไรกับ การได้ยินเสียงสุนัขเห่า
    ซึ่งเราไม่สามารถทราบความหมายมันได้ แต่ทีนี้ กระบวนการที่เราไม่ทันคือ เมื่อได้ยินแล้วแปลความหมาย คือ รู้เป็น เรื่องราว นั้นแหละ ที่รุ้เป็นเรื่องเป็นราวเพราะ สังขาร เกิด เพราะปล่อยให้ใจ ปั้นสมมติแห่ง คำพูดด่าพ่อแม่นั้นขึ้นมา จึงเรียกว่า ไม่รู้ว่า ใจตนเองนั้นแหละสร้างเรื่องขึ้นมาเอง จึงเรียกว่า อวิชชาปัจจยาสังขารา
    จากนั้น ลูกหลานมันก็ตามมาเป็นขบวน

    นี่ ทบทวนตรงนี้ให้มาก เอาให้เห็นจริงตามที่อธิบายไปนี้ ด้วยการ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ละอกุศล และ ทำจิตให้ผ่องใส และ ศึกษาใน ไตรสิกขา แล้วไม่นานหรอกจะเท่าทันในกิเลสทั้งปวง
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ผัสสะ คือ การกระทบของใจ คือ เมื่อเกิดเรื่องราวแล้วมันกระทบใจ การกระทบนี้ย่อมจะทำให้เกิด ความชอบหรือไม่ชอบ
    บางคนโดนด่า แล้วเข้าใจ แต่ไม่ปรุงสังขารให้เป็นเรื่องเป็นราว คือ เข้าใจแล้วดับลง แต่เมื่อไร มันมากระทบตัวตนเราเมื่อไร นั้นแหละ เรียกว่า ผัสสะเกิดขึ้น ทำให้ชอบหรือไม่ชอบ และนำไปสู่ โทสะ ราคะ ตามแต่จะปรุง จากนั้น ลูกหลานของกิเลสจะมาเป็นร้อย

    การจะไม่ให้กระทบ คือ เข้าใจ รู้แต่ไม่หลง คือ มีสติอยู่ แม้สังขาร วิญญาณ เกิดก็เป็นความรุ้ เป็นปัญญา ซึ่งจะทำให้เราไม่กระทบนะ แต่เมื่อไรถ้าโง่หลงไป มันกระทบหมด แล้วจะกลายเป็น อะไรต่างๆ ตามมามากมาย

    การทำให้ ราคะ และโทสะเบาบาง ก็ต้องทราบเหตุปัจจัย ของสิ่งเหล่านี้ แล้วจะระงับการปรุง ของสังขารด้วยความหลงไปได้
     
  3. มหัสดำ

    มหัสดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +121
    ขอบพระคุณครับ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    เมื่อ อวิชชา ไม่เกิด ก็คือ รู้ไปตามความเป็นจริง
    รู้ตามความเป็นจริงนี้เป็นอย่างไร

    เสียงด่า ไม่ใช่เสียงด่า แต่แค่เสียง ความจริงคือ เราได้ยินเสียง แต่ การรู้ความเป็นเรื่องของวิญญาณ แล้วเราจะรู้ความแล้วหลง หรือว่า รู้ความแล้วก็แล้วกัน ถ้าสำคัญก็เอามารู้นั้นมาใช้ แต่ถ้าไม่สำคัญก็ปล่อยทิ้ง แต่ถ้าไม่เท่าทันอวิชชามันก็จะเกิด ผัสสะและเวทนา ตัณหา อุปาทาน ราคะ โทสะ ตามมา

    อวิชชา คือ หลงไปโดยไม่รู้ ไม่ตื่น คือ ไหลไปตามอารมณ์ ไหลไปตามเรื่องตามราว อย่างไม่มีทำนบกั้น เป็นไปแบบที่เราไม่รู้ว่า ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องโมโห ทำไมต้องชอบ

    สภาวะที่ไม่รู้ตัว ในเรื่องละเอียด นี้แหละอวิชชา และ ยังมีแก่นของมันละเอียดละออไปเรื่อยๆ เมื่อเท่าทันและละไปเรื่อยๆจนวิมุตติในที่สุด คือ พระนิพพาน เรียกว่า อวิชชาตัวสุดท้าย ซึ่งเป็น กิจของพระอรหัตตมรรค

    แต่ อวิชชาลูกๆ ก็เป็นกิจของ พระโสดาบัน พระสกิทาคา อนาคามี ไปตามลำดับ
    และ จะค่อยๆ แจ้งไปเรื่อยๆ
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,309
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ขอบคุณมากครับสําหรับความรู้
     
  6. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,212
    ค่าพลัง:
    +23,196
    หลวงตาท่านเปรียบใช้วิธีตะล่อม "ล้อมโจร"
    ซึ่งกว่าจะจับนายใหญ่หรือผู้บงการของผู้ก่อการร้ายหรือโจรเหล่านั้นได้
    ที่ผ่านมาก็จับได้ก็แต่เฉพาะสมุนของมัน เท่านั้น

    หรืออีกนัยหนึ่ง "การวิดน้ำจับปลา" วิดน้ำไปเรื่อยๆ จนแห้ง
    ปลาเหล่านั้นก็รวมตัว จนสามารถแยกแยะปลาหลากชนิดนั้นได้
    น้ำนั้นคือที่อยู่ของปลา เปรียบดั่ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ ที่คละเคล้ากัน

    หลวงตามหาบัวท่านเทศน์สอนเปรียบเทียบได้ดีมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,212
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ลืมขอบคุณ อาขันธ์ ที่แสดงทัสนะ ตั้งกระทู้เองเลย

    จะจับนายใหญ่ของโจรได้ ก็ต้องมีไหวพริบฉลาดรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของโจรเหล่านั้น
    และต้องมีความกล้าหาญ สละตายได้ เหมือนอย่างข่าวที่ออกมาเมื่อวาน
    ผู้การตำรวจอ่างทอง โชว์พาวจับมือปืนนั่นแหละ ก็ต้องสาวต่อไปเพื่อหานายใหญ่

    การวิดน้ำ หากน้ำกับกำลังคนไม่สมดุลย์กัน คนวิดหมดแรงตายเสียก่อนที่จะจับปลาได้
    อยู่ที่การอบรมไตรสิกขาบท อินทรีย์พลัง จึงจะมีแรงวิดสู้

    หากจะเปรียบการสนทนาธรรมเป็นการบ่มอินทรีย์ทางปัญญา
    ซึ่งก็ต้องมีตัวศรัทธาประกอบอยู่แล้ว
    เหมือน อวิชชากับอาสวะกิเลส เกี่ยวข้องพัวพันหมักดองกัน
    แต่เป็นได้ในทางโลกียะปัญญา เพื่อสู่โลกุตระปัญญาแท้จริง นั้นแหละ

    เชิญท่านอื่นครับ
    นี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นไม่ใช่ทัสนะใดๆเป็นแต่ในวงกว้าง
    ถ้าจะให้แคบลงมาหน่อยต้องอาขันธ์หรือท่านอื่นๆ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    อนุโมทนา คุณลีลาวดีที่เอา เทสของหลวงตามหาบัวมา ท่านสอนเกี่ยวกับอวิชชาไว้ดีมาก
     
  9. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    อันนี้ผมซาบซึ้งแล้วดังหลวงพ่อชา สุภัทโธสอนว่า จิตมันส่ายให้กำหนดรู้หนอ เห็นหนอ
    ก็จะสงบไปได้เอง ใช้กับกระทู้ด่าพระพุทธรูปก็ได้ด้วยนะครับ

    สาธุครับ
     
  10. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ปัญหาที่เราเจอ คือ ทุกข์ เช่นทุกข์ใจ ทุกข์กาย ทุกข์สารพัด ร้องไห้เสียใจ โศกเศร้า

    แต่ทำไม มันถึงไม่ดับ ทั้งนี้เพราะว่า เรามองไม่เห็นไตรลักษณ์ในสิ่งนั้น และถึงแม้ว่ารู้ว่า สิ่งนั้นเป็นไตรลักษณ์แต่ทำไมมันยังทุกข์

    ก็เพราะว่า เราไม่ไปมองว่า ทุกข์ที่เราสัมผัสขณะนั้นก็มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ คือ เกิดดับเดี๋ยวนั้น ที่มันไม่ดับมันค้างอยู่ เนื่องจาก สติ ปัญญา เราไม่สอดส่องให้เห็นว่า มันมีช่วงที่มันดับ เช่นว่า เมื่อ โมโหใคร มันก็ไม่ได้โมโหตลอดเวลา บางทีเดินไปฉี่ เดินไปอึ มันก็หายไปนะ ความโกรธ ความโมโห แสดงว่า ในช่วงเวลาที่โกรธที่โมโหนั้น มีเชื้อ
    นี้เราต้อง ตั้งสติมองไปให้เห็นเหตุต้นๆ ได้ แล้ววางเหตุต้น

    สำคัญคือ มองให้สรรพสิ่งที่เราไม่สบใจ นั้นเป็นไตรลักษณ์ไปให้ได้ ซึ่งมันจะไปยากตรง อารมณ์ละเอียดที่ค้างอยู่ เช่น ปฏิฆะอยู่ ราคะอยู่ ลึกๆ ที่แฝงอยู่ อันจะทำให้เราไม่เห็น เพราะมันกระเพื่อมน้อย และ ความกระเพื่อมน้อยนี้แหละที่จะเป็นเชื้อให้เกิด ตัวใหญ่ได้ตลอดเวลา มันยากตัวละเอียดนี้แหละ ที่ทำให้เราไม่ รู้ ตื่น เบิกบาน

    ก็ ใคร ควานหาตัวหยาบได้ ก็ศึกษาตัวละเอียดให้มากยิ่งๆขึ้นไป และทำให้ชำนาญ ชนิดที่ว่า ดับที่เหตุได้ทันที
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ตัวละเอียดนี่ ตัวคิด ความคิด ใช่ไหมครับ ท่านขันธ์
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ตราบใดที่ รู้สึกไม่ดี ให้จำไว้ว่า มันหลอกให้เราหาหนทางแก้ไข แล้วมันจะนำไปสู่สีลพตรปรามาส

    ให้ตั้งมั่นแล้ว ระลึกว่า เป็นการแตกออกไปของจิตนี้ทั้งสิ้น ค่อยๆ รวมจิตด้วยความลหุตา ด้วยความเบา เพิกออกจาก ผัสสะหยาบๆ เพิกความคิดที่อยู่ที่หัว มาอยู่ที่ใจให้ใจนิ่ง จับหลักนี้ให้เจอ นี้แหละ หลักใจ จะคอยเป็นเกราะป้องกัน เมื่อเราสู้ไม่ไหว เป็นวิหารธรรม
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ตัวละเอียดยังไม่ใช่ความคิด เป็นความรู้สึก ที่อยู่หลังความคิด แต่ผลักดันความคิดได้
    และความคิดก็ผลักดันความรู้สึกให้แรงขึ้นได้

    ค่อยๆ ศึกษาไปก่อน ต้องประสบเป็นขั้นๆ ไป
     
  15. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +956
    ขอบคุณครับ
     
  16. Sujinno

    Sujinno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +90
    <TABLE class=tborder style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR title="โพส 1862746" vAlign=top><TD class=alt2 align=middle width=125>ขันธ์</TD><TD class=alt1>เมื่อ อวิชชา ไม่เกิด ก็คือ รู้ไปตามความเป็นจริง
    รู้ตามความเป็นจริงนี้เป็นอย่างไร

    เสียงด่า ไม่ใช่เสียงด่า แต่แค่เสียง ความจริงคือ เราได้ยินเสียง แต่ การรู้ความเป็นเรื่องของวิญญาณ แล้วเราจะรู้ความแล้วหลง หรือว่า รู้ความแล้วก็แล้วกัน ถ้าสำคัญก็เอามารู้นั้นมาใช้ แต่ถ้าไม่สำคัญก็ปล่อยทิ้ง แต่ถ้าไม่เท่าทันอวิชชามันก็จะเกิด ผัสสะและเวทนา ตัณหา อุปาทาน ราคะ โทสะ ตามมา

    อวิชชา คือ หลงไปโดยไม่รู้ ไม่ตื่น คือ ไหลไปตามอารมณ์ ไหลไปตามเรื่องตามราว อย่างไม่มีทำนบกั้น เป็นไปแบบที่เราไม่รู้ว่า ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องโมโห ทำไมต้องชอบ

    สภาวะที่ไม่รู้ตัว ในเรื่องละเอียด นี้แหละอวิชชา และ ยังมีแก่นของมันละเอียดละออไปเรื่อยๆ เมื่อเท่าทันและละไปเรื่อยๆจนวิมุตติในที่สุด คือ พระนิพพาน เรียกว่า อวิชชาตัวสุดท้าย ซึ่งเป็น กิจของพระอรหัตตมรรค

    แต่ อวิชชาลูกๆ ก็เป็นกิจของ พระโสดาบัน พระสกิทาคา อนาคามี ไปตามลำดับ
    และ จะค่อยๆ แจ้งไปเรื่อยๆ </TD></TR><TR><TD class=thead colSpan=2>06-02-2009 10:52 PM</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยังไม่คล่องกับการอ้างอิง
    แต่ขอชมและอนุโมทนา
     
  17. พันมือ

    พันมือ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +7
    อวิชชา นัยยะซึ่งแปลว่า "ความไม่รู้" ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นตามหลักภาษา ซึ่งเป็นของคู่ เปรียบเทียบมาจากคำว่า "วิชชา" นัยยะซึ่งแปลว่า "ความรู้" อวิชชาเป็นคำตรงกันข้ามจากวิชชา จึงแปลความหมายว่า "ความไม่รู้" และความไม่รู้นั้นก็ถูกกำหนดว่าคือ "ความโง่" ทุกคนกลัวว่าจะเป็นคนโง่ เลยแข่งขันกันเรียนรู้กันใหญ่เลย คนสองคนเรียนจบปริญญาเอกจากสถาบันเดียวกัน ออกมาแปลไทยเป็นไทยไม่เหมือนกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไปอาศัยคนจบปริญญาตรีมาตัดสินถูกผิด คนสองคนนี้เรียกว่าคนมีความรู้เรื่องวิชาที่เรียน แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งจะคุยกันให้มันรู้เรื่อง จิตสำนึกลึกๆ รู้ว่าตัวเองผิด แต่ความรู้บอกว่ารับผิดไม่ได้ เพราะจะเสียเปรียบ คนมีปัญญาเท่านั้นถึงจะยอมแพ้คนเพื่อชนะกิเลส ดีกว่าแพ้กิเลสเพื่อชนะคน ที่ไม่มีปัญญาเพราะขาดสติ ที่ไม่มีสติเพราะไม่มีศีล ที่ไม่มีศีลเพราะไม่มีสมาธิ ที่ไม่มีสมาธิเพราะถูกครอบงำโดย โลภ โกรธ หลง หลงความรู้ของตนเอง ใช้ความรู้ของตนเองไปเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการสร้างกรรมใหม่ วิชาการต่างๆ ที่เรียนรู้กันอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นแค่ความรู้มิใช่ปัญญา

    ปัญญาเกิดขึ้นจากการรู้วิชชา คือ รู้อริยสัจ4, รู้ปฏิจจสมุปบาท, รู้กฎแห่งกรรม ฯลฯ รู้หนทางเพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์ หรือรู้ความจริงตามธรรมชาติ และสามารถปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงตามธรรมชาติ

    วิชชา จึงน่าจะหมายถึง ความรู้ทีถูกต้อง

    อวิชชา จึงน่าจะหมายถึง ความรู้ผิด ไม่ใช่แปลว่าความไม่รู้ เพราะรู้ผิดจึงทำให้คิดสร้างกรรม ถ้าไม่รู้ก็ไม่คิดสร้างกรรม ส่วนความไม่รู้ความจริงน่าจะเรียกว่า ไม่มีวิชชา หรือไม่รู้วิชชา ไม่รู้ความจริงที่ทำให้พ้นทุกข์ได้
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ยังไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ รู้ผิดก็ไม่เป็นไร เพราะเรียกว่า รู้ผิด เช่น รู้ผิดไปว่า อเมริกามีประธานาธิบดีชื่อบิล คลินตันตอนนี้ แบบนี้ไม่เป็นไร เพราะได้ข้อมูลผิดๆ
    แต่ ความไม่รู้นี้ คือ ไม่รู้ตัวว่า ไม่รุ้บ้าง ไม่รุ้และไม่เคยนึกว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนั้น เช่นว่า ไม่รู้ว่าทำไมต้องโมโห ทั้งๆ ที่คนอื่นเขามาฟังเขาก็ไม่โมโห พอไม่รู้ตัวนี้แหละ มีอวิชชาในจิต
     
  19. พุทธนิรันดร์

    พุทธนิรันดร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,641
    ค่าพลัง:
    +5,039
    ความรู้ในโลกนี้แบ่งออกเป็น 2 อย่างคือรู้ทางโลก และรู้ทางธรรม
    รู้ทางโลก คือรู้จนเก่งนั้นเก่งนี้ แต่เป็นความรู้ที่ไม่ป็นไปเพื่อละกิเลส ดับทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อรู้อริยสัจสี่ เป็นความรู้แบบอวิชชาหรือรู้แบบมีกิเลส รู้แบบมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่
    รู้ทางธรรม เป็นการรู้แจ้งในอริยสัจสี่เป็นความรู้อันประเสริฐ เป็นความรู้ที่เป็นไปเพื่อละวาง ปล่อยว่างกิเลส ดับทุกข์ รู้แบบไม่มีโลภ โกรธ หลง
     

แชร์หน้านี้

Loading...