เรื่องลึกลับ ( แต่ไม่ซับซ้อน) ของผู้ปฎิบัติธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 10 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม บางครั้งเราอาจจะเจอเหตุการณ์แปลกๆมากมาย เหตุการณ์ที่ว่าก็คือ การถูกตั้งคำถาม แบบแปลกๆ การถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ และการถูกคาดหวังแบบแปลกๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายท่านที่ปฎิบัติธรรมต่างก็เคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาไม่มากก็น้อย

    ประการแรก เมื่อเราเข้าสู่หนทางการปฎิบัติธรรม จะถูกสงสัยในใจว่า
    มีปัญหาอะไรรึเปล่า ? อกหักใช่ไหม๊ ? มีปัญหาในที่ทำงานล่ะสิ ?
    เมื่อเรากลับมาจากการปฎิบัติ เราจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ต้องธรรมะธรรมโม ไม่ควรโกรธ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด อาจต้องออกแนวนุ่งขาวห่มขาว ต้องพูดช้าๆ เดินช้าๆ ถ้าเราไม่เป็นดังนั้น ผู้คนบางกลุ่มจะพากันสงสัยว่า เราอาจไปผิดสำนัก หรือไม่ก็ยังไม่บรรลุอะไรมา เราช่างเป็นคนที่น่าสงสารเสียนี่กระไร

    [​IMG]

    ต่อเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ เพราะการเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติของแต่ละคนมีเหตุและปัจจัยต่างๆกันไป ถ้าจะถูกเข้าใจไปทางนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจมาก ต่อให้เรามีปัญหาจริงๆ ในชีวิต ข้าพเจ้าก็มองว่า นี่คือหนทางที่ฉลาดและมีปัญญาอย่างมากแล้วในการหาทางดับทุกข์ คนอื่นจะมองว่าวิธีดับทุกข์แบบนี้ไม่เข้าท่าก็แล้วแต่ความคิดเห็นของท่านผู้นั้น เพราะหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักก็ยังนิยมหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีโลกๆอยู่ ไปเที่ยว ไปฟังเพลง ไปดื่มหล้า (เผากลุ้ม) แล้วก็กลับมาผจญกับปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไร มันเป็นเพียงวิธีการหนีจากทุกข์และปัญหาไปสักพักก็เท่านั้น แต่บางคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องฉลาดกว่าการไปปฎิบัติธรรมเป็นไหนๆ ??

    [​IMG]

    ข้าพเจ้าเคยเห็นคนหลายๆคน พอมีทุกข์ก็ไปช้อปปิ้งตามห้าง ซื้อข้าวซื้อของมามากมาย บางคนก็หาวิธีดับทุกข์ด้วยการกินแล้วก็กิน ออกไปหาของอร่อยๆกิน บางคนก็ไปเริงรื่นอยู่ตามร้านเหล้า ตกดึกก็เมากลับบ้าน แน่นอนนั่นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะผ่อนคลายความทุกข์ได้ ข้าพเจ้าก็เคยทำแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าพบว่า วิธีดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น คือการหันมาศึกษาและปฎิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น และเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและมีปัญญาที่สุดด้วย

    [​IMG]

    มีอีกคำถามหนึ่งที่มักจะออกมาในแนวลึกลับซับซ้อน พอได้ยินแล้วจะทำให้มึนงงมาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เช่นการถามว่า
    ไปนั่งสมาธิมาแล้วเห็นอะไรบ้าง ?

    อันนี้ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง..ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
    ก็เลยถามกลับว่า พี่จะให้เห็นอะไรล่ะ??

    มีชาวพุทธหลายท่านไม่เข้าใจเรื่องของการปฎิบัติธรรม ส่วนใหญ่เข้าใจว่าการไปปฎิบัติธรรม อันดับแรกต้องไปปฎิบัติที่วัด ท่านเหล่านี้มักจะถามว่าไปวัดไหน สำนักอะไร แล้วก็จะถามต่อว่า ไปนั่งแล้วเห็นอะไร ข้าพเจ้าเลยตอบว่า ไม่เห็นอะไร พอได้ยินดังนั้นผู้ถามอาจจะผิดหวังกันไปบ้าง เพราะหลายท่านคาดหวังและเข้าใจว่า ข้าพเจ้าอาจจะเห็นอดีตชาติ เห็นอะไรแปลก ที่เขาว่าๆกันมา

    [​IMG]

    เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตดูและพบเจอมา ในความคิดเห็นของคนทั่วไป มักเข้าใจว่า การไปปฎิบัติธรรมคือการไปนั่งสมาธิ แล้วเห็นอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นดวงแก้วดวงดาว เห็นสวรรค์ เห็นนรก อะไรประมาณนั้น ทั้งๆที่การปฎิบัติธรรมมีความหมายและวิธีการกว้างไกลและลึกซึ้งกว่านั้นมาก การปฎิบัติธรรม คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หายใจก็ให้รู้ว่าหายใจ เดินก็ให้รู้ว่าเดิน กินก็ให้รู้ว่ากิน แถมมีเรื่องการเดินจงกรม การนั่งสมาธิด้วย ครูบาอาจารย์ท่านว่าต้องมีทั้งสามส่วนที่ว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว และการปฎิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัด เรานำมาทำที่บ้านก็ได้ ในที่ทำงานก็ได้ ในทุกเวลานาทีที่เราหายใจเข้าออกนั่นแหละ แต่การฝึกเข้มหรือการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติอย่างแท้จริง บางครั้งเราต้องไปศึกษากับครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆ ที่เราสนใจ ให้รู้หลักและวิธีการก่อนเท่านั้น เหมือนเราเรียนการทำอาหารอะไรสักอย่าง เบื้องต้นเราอาจจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนทำอาหารเมื่อเป็นและรู้วิธีทำแล้วเราก็นำมาทำที่บ้านได้ แต่ถ้าเราทำแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจก็กลับไปถามครูบาอาจารย์ ไปถามผู้รู้มาช่วยชี้แนะได้

    [​IMG]

    ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ว่า ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน ต่างก็มีวิถีแห่งการปฎิบัติที่คล้ายๆกัน นั่นคือต้องมีการเจริญสติเพื่อตื่นรู้ทุกลมหายใจเข้าออก การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ และอาจจะมีการนอนสมาธิเข้าไปด้วย

    การปฎิบัติธรรม กับการนั่งสมาธิจึงไม่ได้มีความหมายเท่ากัน เพราะคำว่าการปฎิธรรมนั้น มีความหมายกว้างไกลกว่านั้นมาก

    [​IMG]

    ต่อการถามถึงเรื่องแปลกๆ เวลานั่งสมาธิ มีกัลยาณมิตรบางท่านเล่าว่า ตอนนั่งสมาธิจะเห็นภาพต่างๆ บางท่านมองเห็นภาพเหมือนย้อนอดีตเห็นคนจมน้ำตาย เห็นญาติที่ตายจากกันไปแล้วมาปรากฏต่อหน้า ท่านอาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่มักจะกล่าวว่า ที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่ภาพที่เห็นนั้นมันไม่จริง จิตของเราสามารถสร้างภาพต่างๆได้ ท่านไม่ให้สนใจให้กำหนดรู้ แล้วกำหนดให้หายไปเสีย ไม่ควรใส่ใจ เรื่องนี้อาจทำให้หลายคนที่คาดหวังว่ามานั่งสมาธิแล้วจะเห็นอดีตชาติของตนรู้สึกผิดหวังนิดๆ แต่ท่านอาจารยกล่าวว่าการเห็นที่ว่านั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นอะไร ถ้าอยากระลึกชาติได้ก็พอจะมีทางอยู่ อย่างน้อยที่ระลึกได้ในชาตินี้ ก็คือชาติชั่วของตัวเอง

    [​IMG]

    เมื่อเราปฎิบัติธรรมมาสักพัก เราจะเริ่มระลึกได้ถึงสิ่งเลวร้ายที่เราทำไว้มากมาย (ในชาตินี้) ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เรากระทำไว้แต่หนก่อน อาจจะเป็นเรื่องเมื่อหลายๆปีก่อนที่เราได้ทำร้ายจิตใจคนที่เรารัก และเราจะรู้สึกสำนึกผิดมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เราจะยอมรับความผิดนั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งเป็นการสำนึกผิดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องมีใครมาสั่งมาสอน ไม่ต้องมีศาลมาพิพากษา จิตใจของเราจะเปิดกว้างและยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราเลวร้ายอย่างไร เราทำตัวไม่น่ารักแค่ไหน เมื่อเราสำนึกได้ และคนที่เราเคยทำร้ายไว้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะมีโอกาสที่จะแก้ไขและขออภัยได้ อันนี้ข้าพเจ้าว่าคือการแก้กรรมที่เป็นไปได้ แต่ถ้าคนคนนั้นจากไปแล้วเราก็ยังสามารถกลับตัวกลับใจที่จะไม่ทำร้ายใครต่อใครทั้งกาย วาจา ใจ อีก การระลึกชาติได้ในชาตินี้จึงมีความสำคัญและมีคุณค่าอยู่มาก แต่การระลึกไปถึงชาติที่แล้ว มันอาจจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ในชีวิต มาคิดกันเล่นๆว่า ถ้าเราเกิดระลึกชาติได้ว่า ชาติที่แล้วเราฆ่าคนตาย แล้วเราจะทำอย่างไร นั่นคือเรื่องในอดีต เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ โดยเฉพาะอดีตเมื่อชาติที่แล้ว มาชาตินี้เราจะแก้กรรมนั้นอย่างไรกัน เราจะทำบุญเก้าวัด ถวายทานครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขสิ่งที่เรากระทำไว้อย่างรุนแรงนั้นได้หรือ เพราะกรรมคือการกระทำ เมื่อการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การฆ่าหนึ่งชีวิตจะสามารถทดแทนแก้ไขด้วยการทำบุญเพียงประการเดียวได้อย่างไร เพราะหนึ่งชีวิต ก็ย่อมมีคุณค่าเท่ากับหนึ่งชีวิต ชีวิตจึงอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเช่นกัน แล้วเราจะพ้นเคราะห์กรรมนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เมื่อมาพิจารณาถึงจุดนี้

    ดังนั้นการระลึกชาติอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไหร่ เพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้วแค่ระลึกได้ถึงชาติชั่วของตัวเองในชาตินี้ ก็รู้สึกเศร้าใจไปหลายประการ ถ้าระลึกได้สักสองสามชาติ ข้าพเจ้าคงจะรู้สึกแย่กว่านี้

    [​IMG]

    ครูบาอาจารย์หลายท่านต่างกล่าวว่า การระลึกชาติ การมีอภิญญารู้วาระจิตคน การหยั่งรู้อนาคต เป็นผลพลอยได้จากการทำสมาธิภาวนา แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ท่านจึงไม่ได้เน้นให้ปฎิบัติเพื่อการนี้ แต่ท่านเน้นย้ำเรื่องการปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจของเรามากกว่า ท่านว่าการรู้อดีตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อชีวิตนัก การรู้อนาคตก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน แต่การรู้ปัจจุบันคือสิ่งสำคัญที่สุด

    อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันก็คือ การรู้อนาคต การดูดวงชะตาราศรี อันนี้ท่านก็ไม่ได้สอนหรือแนะนำ การที่เราชาวพุทธทั้งหลายฝากชะตาชีวิตไว้กับการทำนายทายทัก จึงเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในข้อแนะนำของพุทธที่แท้ ถ้าใครได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า ตัวกูของกู ของท่านพุทธทาสจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้ เพราะท่านว่ากล่าวตักเตือนถึงความงมงายในเรื่องทำนองนี้ไว้ค่อนข้างแรงทีเดียว

    แล้วข้าพเจ้าไม่มีผลพลอยได้ในเรื่องที่ดูลึกลับซับซ้อน จากการทำสมาธิภาวนาหรืออย่างไร ก็พอมีบ้าง ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปฝึกที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ข้าพเจ้านั่งสมาธิแล้วสงสัยจิตจะมีสมาธิสูงไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งหลับตาอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ชัดเจนมาก และเมื่อใบไม้ร่วงหล่นลงจากต้นตกลงมาถึงพื้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตั้งแต่ใบไม้หลุดออกมาจากขั้วเลยทีเดียว แถมมีครั้งหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วเกิดลักษณะเหมือนนั่งอยู่ในถ้ำ มีแสงสีเหลืองนวลๆอยู่เบื้องหน้า และมีความรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามติดตามแสงนั้นไป พอไปส่งอารมณ์กับท่านอาจารย์ ท่านบอกให้กำหนดหายอย่าสนใจและอย่าตามไปเป็นอันขาด

    โดยสรุปแล้ว ไม่มีเรื่องลึกลับซับซ้อนใดๆ ในการปฎิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดๆ ไม่ใช่การมาปฎิบัติเพื่อให้ระลึกชาติได้ หรือหยั่งรู้อนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฎิบัติมีข้ออธิบายได้ทั้งนั้น หลังการปฎิบัติมาพักหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้ได้และเข้าใจได้ด้วยตัวเองก็คือ เราทั้งหลายนั้นประกอบด้วยกายกับจิตจริง และจิตไม่ได้อยู่ข้างใน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก กายมีเสื่อมถอย จิตมีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งตั้งอยู่ในกฎของความไม่แน่นอน และแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังได้ และความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมักจะเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆมากจนเกินไป เมื่อเลิกยึดเหนี่ยวและปล่อยวางได้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีความทุกข์น้อยลง









    ที่มา

    http://gotoknow.org/blog/sunmoola/213353
     
  2. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาครับ กับความรู้ ดีๆ ผมก็จะปรับปรุงตัว เช่นกันตอนนี้ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ไม่ค่อยจะ รับฟังใครเท่าไหร่ อยากจะ เป็นคนปล่อยวางแต่คงต้องใช้เวลากระมัง ยังเป็นคนตาบอดที่ มองเห็นแค่ เงาตะคุ่มๆที่อยู่ข้างหน้า ไปทางไหนก็ มอง มัวๆ ไม่ชัว ก็ไม่ได้ไป สักที คงต้องฝึกกันอีกเยอะ ตอนนี้ค้นหาตัวเองอยู่ ขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กุมภาพันธ์ 2009
  3. นุภาวัฒน์

    นุภาวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    774
    ค่าพลัง:
    +270
    อนุโมทนาสาธุครับ ผมเองก็ต้องแก้ไขอีกเยอะครับ ขอบคุณมากครับ
     
  4. ปรานต์

    ปรานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +668
    ทุกวันนี้ผมก็ระลึกถึงความชั่วของตัวเองในชาตินี้อยู่เหมือนกันครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  5. tinnakornten

    tinnakornten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +494
    นี้แหละ ที่เค้าเรียกกันว่า อริยะทรัพย์ อนุโมทนาบุญ นะครับ
    ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการใ้ช้ความเพียรในการปฏิับัติ สัมมาวาจามะ
     
  6. AbsoLuTe HappY

    AbsoLuTe HappY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +111
    เรื่องของการนั่งสมาธิในเรื่องความรู้ กับความไม่รู้
    ลองดูคำสอนของพระพุทธเจ้าดีกว่ามั้ยคะว่า อะไรคือไม่รู้ อะไรคืออวิชชาที่แท้จริง
    รู้แล้ว รู้เพื่ออะไร อย่าเพิ่งไปฟันธงว่าคนที่รู้โน่นเห็นนี่แล้วงมงายเลยค่ะ
    อย่างไรทางเอกของศาสนาพุทธก็มีปลายทางอยู่ที่ ความหลุดพ้น จากกิเลส มิใช่หรือ
     
  7. ตั้มศรีวิชัย

    ตั้มศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +1,847
    ขอบคุณครับ สำหรับบทความดีๆ
     
  8. Shio_Ri

    Shio_Ri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +122
    อนุโมทนา สาธุ จะพยายามปล่อยวางเหมือนกันค่ะ เพราะชอบเก็บคำพูดคนอื่นมาคิด เป็นคนคิดมากค่ะ...มันยากแต่ต้องฝืนใจให้ได้
     
  9. ฟลัฟฟี้

    ฟลัฟฟี้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +132
    ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะที่นำมาลงแบ่งปัน เมื่อก่อนก็เป็นเยอะมากเก็บเข้าหูหมด เดี๋ยวนี้วางได้เยอะมากเลย แต่มีข้อเขียนอะไรดี ๆมาเตือนบ้างก็จะทำให้ตั้งมั่นสูง ๆขึ้นไป สาธุ
     
  10. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ท่านเจ้าของบทความกล่าวได้ดีแล้ว ชอบแล้ว สาธุ สาธุ
    ขออนูโมทนากับท่าน จขกท ในการนำธรรมะดีๆ มาเป้นทาน สาธุ สาธุ
     
  11. hamm

    hamm สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +13
    ยอด.
     
  12. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ถ้าเจอถามอย่างนี้ตอบไปเลยว่า
    เห็นจิตตัวเอง รู้สึกตัวว่ากำลังทำ
    อะไรอยู่ตลอดเวลาครับ
     
  13. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,309
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    คนเขียนข้อความนี้สุดยอดครับ วิเคราะห์ได้อย่างเเตกฉานเลย ขอบคุณมากครับ
     
  14. tinnakornten

    tinnakornten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +494
    เจริญสมาธิ ได้ ฌาน (ได้อภิญญา เหมือนดังอาจารย์สองท่านของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้)
    เจริญสติ ได้ ญาน (ตัวรู้ หรือ พุทธะ สติ ที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นตัวตัดกิเลส แล้วตรัสรู้)

    เห็นว่า คงต้องขอโทษท่านผู้นี่ อวิชชา คือความเห็นผิดจากความเป็นจริง ขจกท เค้าอธิบายในความเข้าใจของคนทั่วไปให้ง่ายขึ้น เป็นสิ่งที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ
    อโหสิ นะครับ
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    <CENTER>สุขะโต สุขะทานัง ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    การฝึกสมาธินั้น ขอให้เข้าใจว่า ท่านจะทำจิต
    ให้สงบ ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องภายนอก
    ทุกอย่างชั่วระยะเวลาที่ทำสมาธินั้น ท่านจะไม่ปราถนา
    ที่จะพบเห็นรูป สี แสง เสียง สวรรค์นรก หรือเทวดาอินทร์
    พรหมที่ไหน เพราะสมาธิที่แท้จริงย่อมจะไม่มีสิ่งเหล่านั้น
    อยู่ในจิต สมาธิที่แท้จะมีแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และสงบ
    เย็นเท่านั้น



    [​IMG]

    ขอบคุณคับ อนุโมทนาด้วยคนคับ
    ขอให้ท่านเจริญในธรรม แลบรรลุมรรคผลในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ
     
  16. pk aongnoi

    pk aongnoi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    อนุโมทนา สาธุ กับบทความดีๆ ที่เป็นเรื่องจริงที่คนมีใจปฎิบัติธรรมเจอ ครับ
     
  17. ALMON

    ALMON สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +2
    อนุโมธนาด้วยครับ
     
  18. Sitachack

    Sitachack Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +106
    สัทธา ทานัง อนุโมทามิ สัทธา ทานัง อนุโมทามิ สัทธา ทานัง อนุโมทามิ
     
  19. radian235

    radian235 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +17
    เต็ม ๆๆ

    ----------------------------------------------------------
    อนุโมทนาครับ
     
  20. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    อนุโมทนาสาธุ

    ขอบคุณเจ้าของบทความนี้ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...