กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเกย์ตุ๊ดกระเทย และวิธีป้องกัน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะปรมัติ, 14 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. ธรรมะปรมัติ

    ธรรมะปรมัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +114
    [​IMG]

    มานพหนุ่มช่างทอง

    กาลต่อมาพระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรของช่างทองและเป็นมานพหนุ่มช่างทองมีรูปสิริเลิศงดงาม ในเมืองแห่งนั้นมีฝีมือในการทำทองนั้นยอดเยี่ยม ชื่อเสียงในการทำทองขจรไปไกล เพราะความมีฝีมือนี้เองได้มีเศรษฐีของเมืองมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณให้บุตรสาวที่จะเข้างานวิวาห์มงคล เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดลังเลแต่ไม่สามารถหาช่างทองที่ฝีมือดีกว่านี้ได้อีกเลย จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่าถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถทำทองได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่าทำได้ เหตุผลของท่านเศรษฐีทำแบบนี้เพราะบุตรสาวเป็นหญิงที่สวยสดงดงาม เมื่อเห็นหน้าตากันจะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหวมีปัญหาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐีที่มั้นหมายไว้แล้วเป็นการตัดไฟเสียต้นลม

    เมื่อถึงวันที่หนุ่มช่างทองทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี ที่บ้านของเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั้นให้บุตรสาวยื่นเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้นแต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไมบิดาจึงทำอย่างนี้ในขณะที่หนุ่มช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่ บุตรสาวเศรษฐี ก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดหลงรักทันที จึงทำการเขียนอักษรนัดแนะหนุ่มช่างทองทันที่ ว่าในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่สวนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจ ก็กลับไปยังเรือนของตน ทำงานทำทองตลอด

    เมื่อตกค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปตามนัด ที่กาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอักษรไว้แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน นั่งรออยู่ เพราะทำงานมาทั้งวันเมื่อเจอบรรยากาศร่มรื่นจึงเผลอหลับไปเมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับไปแล้วซึ่งในสมัยนั้นมีการถือกันว่า ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาปนางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่ เห็นว่าไม่ตื่น จึงหาขันใส่ดอกไม้ไว้แล้วเขียนอักษรไว้ว่า นางได้มาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงวางขันดอกไม้ไว้ให้ทราบและในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิม แล้วจากไป เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมาเห็นขันดอกไม้จึงรู้ว่านางได้มาแล้วและได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้

    ตกค่ำวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ออกไปตามนัดเหมือนเดิมก็ไปถึงต้นไม้ใหญ่ก่อนอีก ด้วยความอ่อนแรงจากการงานจึงเผลอหลับไปอีกนางกาญจนวดีกุมารีเมื่อมาถึงก็เห็นหลับเหมือนเดิม จึงเขียนอักษรนัดแนะเหมือนเดิมหนุ่มช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบอักษรที่นัดแนะก็ให้นึกโกรธตนเองที่เผลอหลับมาสองวันแล้ว

    พอตกค่ำวันที่ 3 ครั้งนี้หนุ่มช่างทองพยายามเตือนตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เผลอหลับแต่ต้านไว้ไม่อยู่เลยเผลอหลับไปอีก เมื่อนางกาญจนวดีกุมารี มาเห็น ก็คิดว่าบุญไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห์ นางจึงวางขันดอกไม้ไว้อย่างเดียว ให้รู้ว่านางได้มาตามนัดแล้วแต่ครั้งนี้ไม่ได้เขียนอักษนัดแนะประการใด เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมาก็โกรธตนเองที่เผลอหลับจึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะดูหน้าและรูปร่างเพียงสักครั้ง

    แล้วนางกาญจนวดีกุมารี ก็เข้าวิวาห์กับบุตรชายเศษรฐี ตามกำหนดการฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คร่ำครวญถึงนางกาญจนวดีว่าสมควรจะอยู่ร่วมภิรมณ์กับตนและควรเป็นของเรา เพราะหญิงก็มีใจกับตน จึงคิดหาอุบายได้ทำเครื่องทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วนำไปถวายมหาอุปราช มหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่ามีประสงค์อันใดที่นำเครื่องทองอันดีเลิศมาถวาย หนุ่มช่างทองจึงบอกจุดประสงค์มหาอุปราชจึงรับปากและจะออกอุบายช่วยเหลือหลังจากนั้นก็ให้หนุ่มช่างทองแต่ตัวเป็นสตรี ปลอมเป็นน้องหญิงของมหาอุปราชแล้วทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านเศรษฐีแล้วตรัสบอกกับท่านเศษรฐีว่าจะเอาน้องหญิงมาฝาก ที่บ้านเศรษฐี เพราะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดนและเห็นว่าท่านได้สร้างเรือนใหม่ ที่พอจะฝากน้องหญิงได้

    แล้วมหาอุปราชถามอีกว่า "เรือนนั้นเป็นเรือนของใครหรือ? "
    เศรษฐีจึงตอบว่า "เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน"

    มหาอุปราชกล่าว "อย่างนั้นก็ดีสิ ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั้นและจะได้ให้บุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อนของน้องหญิงให้นางงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวห้ามผู้ชายแม้กระทั่งสามีของบุตรสาวท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้องหญิงพักอยู่โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อน แล้วเราจะกลับมารับน้องหญิงในภายหลัง"

    เศรษฐีด้วยความเกรงในอำนาจของท่านมหาอุปราชและเห็นว่าท่านมหาอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มากจึงรับทำตามที่มหาอุปราชกำชับด้วยความเต็มใจ

    หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองได้อยู่ร่วมกับนางกาญจนวดี เป็นเวลา 3 เดือนโดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป

    <!--/coloro--><!--coloro:#FF0000-->ด้วยผลกรรมที่พระโพธิสัตว์ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่นเมื่อ สิ้นอายุขัยของตกนรกทันที่เวียนเกิดตายระหว่างอบายภูมิ(ภพต่ำ)เป็นเวลานาน แล้วเกิดเป็นกระเทยและเป็นผู้หญิงเป็นพันชาติ รวมเวลา ถึง 14 มหากัปป์
    <!--colorc-->
    <!--/colorc-->
    เมื่อทำกรรมหนักเพียงชีวิตเดียวก็ตกลงในภพภูมิที่ต่ำจะทำให้สร้างบุญกุศลนั้นยาก เพราะใจจะตกต่ำไปด้วยย่อมกระทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรี่อยกว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็ใช้เวลาหลายมหากัปป์นับประสาอะไรกับผู้ที่ไม่ปรารถนาสร้างบารมี(อย่างใดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา)จะวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ทิศรู้ทางเป็นเวลานานนับแสนแสนอสงไขย จนประมาณไม่ได้

    [​IMG]



    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี (หรือพระนางวิสุทธาเทวี ในหนังสือพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง ของ อ.บารมี)

    จากกรรมที่พระโพธิสัตว์ทำผิดศีลกาเมสุมิจฉา แล้วตกนรก เป็นเวลานานแสนนานหลังจากนั้น ถือกำเนิดเป็น ลา เป็นโค เป็นคนพิการ เป็นตาบอด เป็นคนหูหนวก เป็นกระเทย และเป็นสตรี อย่างละ 500 ชาติ เป็นการชี้ให้เห็นว่าเป็นมนุษย์ผิดศีลอย่างเด็ดขาด ด้วยอำนาจแห่ง โทสะ และราคะ อย่างรุนแรงและติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นเดือน หลังจากนั้นไม่ได้สร้างบุญกุศลกรรมที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ ผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลพรตหรือต่อธรรมที่กำหนดให้รักษาศีล 5 อย่างศรัทธา ในภายหลังบาปที่ทำไปแล้วนั้นมีกำลังรุนแรง ให้เป็นชนกกรรมคือจะส่งผลทันที่เมื่อได้ตายไปจากภพปัจจุบัน สัตว์ใดที่ทำบาปอย่างรุนแรงเมื่อตกลงเบื้องต่ำอบายภูมิ จะหลุดออกจากอบายภูมิโดยเร็วพลันนั้นยากยิ่ง

    มากล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยเศษกรรมชาติสุดท้าย ด้วยมีบุญเก่าหนุนนำจึงเกิดเป็นสตรีในวงค์กษัตริย์ ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีเป็นธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช และในกัปป์นั้นเป็นสารกัปป์ เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ เพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่าพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์เป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชแต่ต่างมารดากับเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี และพระพุทธเจ้ามีฐานะเป็นพี่ชายของพระนาง เมื่อพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พระองค์ทรงทำให้พระธรรมปรากฏขึ้นทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้รับรสพระธรรมนั้น จำนวนมากมายเหลือคณานับ บังเกิดพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นพระรัตนตรัย กระจายไปทั่วสากลจักรวาล

    กล่าวถึงพระนางสุมิตตาเทวี ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเชษฐาเป็นทุนเดิมเมื่อพระเชษฐาตรัสรู้เป็นพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าความศรัทธาย่อมมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ

    วันหนึ่งเวลาใกล้ค่ำพระนางยืนอยู่บนปราสาทมองลงมาเบื้องล่างก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต อยู่ที่หน้าราชวังของพระนาง จึงคิดในพระทัยว่า "พระคุณเจ้ามาบิณฑบาตอะไรหนอ ถึงได้มาใกล้ค่ำ" จึงทรงสั่งให้บุรุษรับใช้ไปถามพระภิกษุ พระภิกษุรูปนั้นบอกว่า จะมาบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อพระนางทรงทราบ จึงได้อาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา ณ อาสนะ อันสมควรแล้วพระนางทรงดำรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้า มีความประสงค์น้ำมันไปเพื่อทำอะไร?" พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า

    " อาตมา บิณฑบาตน้ำมันเป็นอันมากเพื่อจุดประทีปมากมาย ทำการสักการะบูชาแด่พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า จนสิ้นราตรียันรุ่งสางพร้อมทั้งมีเหล่าพระอริยะสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน อาตมารับทำภารกิจนี้เสมอมา" พระนางสุมิตตาเทวีได้รับทราบดังนั้นมีศรัทธาเป็นอันมาก ก็ดำริในพระทัยว่า "พระเชษฐาของเรา ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายในกาลเบื้องหน้า ขอให้เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกเหมือนพระองค์"

    หลังจากนั้นพระนางทรงเอาน้ำมันถวายพระคุณเจ้า จนเต็มบาตรพร้อมทั้งกล่าววาจาปณิธานว่า

    <!--/coloro--><!--coloro:#9932CC-->"ด้วยอานิสงส์ผลทานนี้ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จผลตามที่ปรารถนาและขอให้พระคุณเจ้าจงมีจิตช่วย กราบทูล พระองค์ด้วยว่า พระน้องนาง ของพระพุทธองค์ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท พระพุทธองค์และขอตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคตให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่าสิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อเหมือนพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด"
    <!--colorc-->
    <!--/colorc-->
    หลังจากนั้นพระนางก็ส่งพระคุณเจ้ากลับไป
    ผ่ายพระคุณเจ้า ครั้งนี้ได้น้ำมันมากกว่าทุกวันที่แล้วมาจึงจุดประทีปได้สว่างไสว มากกว่าทุกวันครั้นแล้วก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้าว่า

    " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คืนนี้ข้าพระองค์ได้จุดประทีปบูชาได้มากกว่าคืนก่อนๆด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันพระน้องนางสุมิตตาเทวีของพระองค์ถวายมาและพระนางกล่าววาจาอธิษฐานว่า พระนางมีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาทพระพุทธองค์ และขอตั้งความปรารถนา ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคตให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่าสิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์จึงขอโอกาสกราบทูลถามต่อพระองค์ว่าความปรารถนาของพระน้องนางจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า ?"

    พระพุทธองค์เมื่อได้สดับฟัง จึงตรัสว่า " พระน้องนาง ยังเป็นสตรีเพศอยู่จึงยังไม่สมควรรับลัทธยาเทศพยากรณ์"

    พระคุณเจ้าจึงทูลถามต่อ "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พระน้องนางของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า"

    พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคของพระน้องนาง ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางสุมิตตาเทวี ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้นานนักหนา เมื่ออต้นอสงไขยตั้งแต่เป็นมานพแบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร และมีทรงพิจารณาดูไปในอนาคต ก็ทรงทราบว่าพระน้องนาง อาจสำเร็จซึ่งพุทธภูมิตามความปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

    <!--/coloro-->
    <!--coloro:#9932CC-->"กาลข้างหน้า นับจากนี้ไป 16 อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทีปังกรซึ่งมีนามเสมอกับเรานี้ อุบัติขึ้นในโลกแล้วพระน้องนางจะได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"
    <!--colorc-->
    <!--/colorc-->
    เมื่อพระคุณเจ้าได้รับฟังคำตรัสของพระพุทธองค์ก็กราบทูลลา หลังจากนั้นก็ได้ไปยังปราสาท ของพระนางสุมิตตาเทวี แล้วบอกข้อความแก่พระนางตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทุกประการ นำความปีติแก่พระนางเป็นอย่างยิ่งจึงกล่าวปวารณา ให้พระคุณเจ้า จงมารับน้ำมันในสำนักของพระนางทุกวัน

    ในวันถัดมาพระนางสุมิตตาราชกุมารีก็จัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาก พร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาถวายบิณฑบาตแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งและพระนางทรงเบื่อหน่ายเพศสตรีเป็นกำลัง ครั้นสิ้นอายุขัยก็ได้เสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก


    ที่มาของข้อมูล
    <O:p</O:p
    http://community.thaiware.com/thai/index.php?showtopic=339101&mode=threaded



    กรรมที่ทำให้ชายเกิดเป็นหญิง
    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    <O:p</O:p
    ทีนี้ถ้าผู้ชายต้องการเป็นผู้หญิงไหม มีนะ พวกกระเทยสมัยนี้มันมาจากกฎของกรรมเดิม ถ้าผู้ชายต้องการเป็นหญิงไม่ยาก เป็นชู้กับภรรยาเขา เรื่องเล็กน้อย เป็นคนมีเมตตาสูง เป็นชู้กับเมียเขาส่งเดช
    <O:p</O:p
    ตายจากความเป็นคนก็ไปลงนรก จากนรกก็มาเป็นเปรตเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์เดรัจฉานถูกทำลายเพศ ถูกทรมานร้อยชาติเกิดเป็นคน บัณเฑาะก์ ต้องถูกทำลายเพศ ถูกทรมานร้อยชาติ ต่อมาเกิดเป็นกระเทยอีกประมาณร้อยชาติจึงมาเป็นหญิง ท่านจึงได้อ้างอย่าง พระอานนท์ พุทธอนุชา
    <O:p</O:p
    พระอานนท์เคยเกิดเป็นผู้หญิงเพราะกฎแห่งกรรมแบบนี้ เกิดมาเป็นหญิงตั้งร้อยชาติ นิสัยผู้หญิงมันก็ติด อย่างพระอานนท์เป็นพระที่ละเอียดลออมาก เป็นพุทธอุปัฏฐาก คือพระที่ปฏิบัติพระพุทธเจ้าดีมาก ชั้นเลิศทีเดียว ละเอียดลออทุกอย่าง งานครบถ้วนทุกอย่างเหมือนผู้หญิง เพราะอะไรรู้ไหม ท่านเป็นผู้หญิงมาร้อยชาติ
    <O:p</O:p
    ท่านพิสูจน์แล้ว ผู้ชายที่ไม่เคยเกิดเป็นหญิงก็หายากและผู้หญิงที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้ชายก็หายาก ต่างคนต่างเปลี่ยนกัน ถ้าผู้หญิงเกิดเป็นผู้ชายก็ดูลักษณะในชาติใกล้ๆ จะมีลีลาคล้ายผู้หญิงเสมอ ถ้าหากว่าผู้หญิงมาจากผู้ชายถึงแม้จะเป็นผู้หญิงก็ลีลาคล้ายผู้ชาย
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติเล่ม17<O:p</O:p<!-- / message --><!-- sig -->

    http://palungjit.org/showthread.php?t=141790<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009
  2. ธรรมะปรมัติ

    ธรรมะปรมัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +114
    [​IMG]


    ผลกรรมที่ทำให้เป็นกระเทย

    เป็นเรื่องบันทึกกรรมของพระนางร<WBR>ุจาราชธิดา ดังนี้ครับ

    ๘๖๓] แม้กระหม่อมฉันก็ระลึกชาติที่<WBR>่ตนได้ท่องเที่ยวมาแล้วได้ ๗ ชาติ และ
    ระลึกชาติที่ตนจุติจากชาตินี้<WBR>้แล้วจักไปเกิดในอนาคตอีก ๗ ชาติ ข้าแต่
    พระจอมประชาชน ชาติที่ ๗ ของกระหม่อมฉันในอดีต กระหม่อมฉัน
    เกิดเป็นบุตรนายช่างทองในแคว<WBR>้นมคธราชคฤห์มหานคร กระหม่อมฉัน
    ได้คบหาสหายผู้ลามก ทำบาปกรรมไว้มาก เที่ยวคบชู้ภรรยาของชายอื่น
    เหมือนจะไม่ตาย กรรมนั้นยังไม่ให้ผล เหมือนไฟอันเถ้าปกปิดไว้ ใน
    กาลต่อมาด้วยกรรมอื่นๆ กระหม่อมฉันนั้น ได้เกิดในวังสรัฐเมือง
    โกสัมพี เป็นบุตรเดียวในสกุลเศรษฐีผู<WBR>้สมบูรณ์ มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมาย
    คนทั้งหลายสักการะบูชาอยู่เป<WBR>็นนิตย์ ในชาตินั้น กระหม่อมฉันได้คบหา
    สมาคมมิตรสหายผู้ยินดีในกรรมอ<WBR>ันงาม ผู้เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต เขา
    ได้แนะนำให้กระหม่อมฉันรักษาอ<WBR>ุโบสถศีลในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตลอด
    ราตรีเป็นอันมาก กรรมนั้นยังไม่ให้ผล ดังขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ใต้น้ำ ครั้น
    ภายหลังบรรดาบาปกรรมทั้งหลาย ปรทารกกรรมอันใดที่กระหม่อมฉัน
    ได้กระทำไว้ในมคธรัฐ ผลแห่งกรรมนั้นมาถึงกระหม่อมฉ<WBR>ันแล้ว เหมือน
    ดื่มยาพิษอันร้ายแรง ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉัน
    จุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในโรรุวนรกสิ<WBR>้นกาลนาน
    เพราะกรรมของตน กระหม่อมฉันระลึกถึงทุกข์ที่ได<WBR>้เสวยในนรกนั้น
    ไม่ได้ความสุขเลย กระหม่อมฉันยังทุกข์เป็นอ<WBR>ันมากให้สิ้นไปในนรกนั้น
    นานปี แล้วเกิดเป็นลาถูกเขาตอนอยู<WBR>่ในภินนาคตมหานคร.


    [๘๖๔] กระหม่อมฉัน (เมื่อเกิดเป็นลา) ต้องพาลูกผู้ดีทั้งหลายไปด้วยหล<WBR>ังบ้าง
    ด้วยรถบ้าง นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยา
    ของผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็น<SCRIPT><!--D(["mb","\u003cbr\>                         ลานั้นแล้ว ไปบังเกิดเป็นลิงในป่าใหญ่ ถูกนายฝูงผู้คะนองขบกัดลูก\n\u003cbr\>                         อัณฑะ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของ\u003cbr\>                         ผู้อื่น  ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลิง\u003cbr\>                         นั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ ถูกเขาตอน  มีกำลังแข็งแรง\n\u003cbr\>                         กระหม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่สิ\u003cWBR\>้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ\u003cbr\>                         การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของ\u003cWBR\>ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ\u003cbr\>                         กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคน\u003cWBR\>ั้นแล้ว มาบังเกิดเป็นกะเทยในตระกูล\n\u003cbr\>                         ที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ  นั่น\u003cbr\>                         เป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู\u003cWBR\>้อื่น ข้าแต่พระ-\u003cbr\>                         องค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป\u003cWBR\>็นกะเทยนั้นแล้ว ได้\n\u003cbr\>                         ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรในนันทวัน ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณน่าใคร่ มี\u003cbr\>                         ผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำ\u003cbr\>                         ขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ\n\u003cbr\>                         เมื่อกระหม่อมฉันอยู่ในดาวดึงส\u003cWBR\>์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก\u003cbr\>                         ๗ ชาติ ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พ\u003cWBR\>ิภพนั้นแล้ว จักไปเกิดต่อไป\u003cbr\>                         กุศลที่กระหม่อมฉันกระทำไว\u003cWBR\>้ในเมืองโกสัมพีตามมาให้ผล กระหม่อมฉัน\n\u003cbr\>                         จุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ข้าแต่\u003cbr\>                         พระมหาราชา  กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั\u003cWBR\>้งหลายสักการบูชาแล้วเป็น\u003cbr\>                         นิตย์ตลอด ๗ ชาติ กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญ\u003cWBR\>ิงตลอด ๖ ชาติ\n\u003cbr\>                         ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ชาติที่ ๗ กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดา\u003cbr\>                         ผู้ชาย  เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา แม้วันนี้\u003cbr\>                         นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร\u003cWBR\>้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัยอยู่ในน",1]);//--></SCRIPT>
    ลานั้นแล้ว ไปบังเกิดเป็นลิงในป่าใหญ่ ถูกนายฝูงผู้คะนองขบกัดลูก
    อัณฑะ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของ
    ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลิง
    นั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ ถูกเขาตอน มีกำลังแข็งแรง
    กระหม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่สิ<WBR>้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ
    การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของ<WBR>ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
    กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคน<WBR>ั้นแล้ว มาบังเกิดเป็นกะเทยในตระกูล
    ที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ นั่น
    เป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู<WBR>้อื่น ข้าแต่พระ-
    องค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป<WBR>็นกะเทยนั้นแล้ว ได้
    ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรในนันทวัน ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณน่าใคร่ มี
    ผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำ
    ขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
    เมื่อกระหม่อมฉันอยู่ในดาวดึงส<WBR>์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก
    ๗ ชาติ ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พ<WBR>ิภพนั้นแล้ว จักไปเกิดต่อไป
    กุศลที่กระหม่อมฉันกระทำไว<WBR>้ในเมืองโกสัมพีตามมาให้ผล กระหม่อมฉัน
    จุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ข้าแต่
    พระมหาราชา กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั<WBR>้งหลายสักการบูชาแล้วเป็น
    นิตย์ตลอด ๗ ชาติ กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญ<WBR>ิงตลอด ๖ ชาติ
    ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ชาติที่ ๗ กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดา
    ผู้ชาย เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา แม้วันนี้
    นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร<WBR>้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัยอยู่ในน<SCRIPT><!--D(["mb","\u003cWBR\>ันทวัน  เทพบุตร\n\u003cbr\>                         พระนามว่าชวะสามีของกระหม่อมฉัน ยังรับพวงมาลัยอยู่ ๑๖ ปี ใน\u003cbr\>                         มนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา ๑๐๐ ปีในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ\u003cWBR\>่งของ\u003cbr\>                         เทวดาดังที่ได้กราบทูลให\u003cWBR\>้ทรงทราบมานี้  กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไป\n\u003cbr\>                         ทุกๆ ชาติ แม้ตั้งอสงไขย ด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดีหร\u003cWBR\>ือกรรมชั่วก็ตาม\u003cbr\>                         (ยังไม่ให้ผลแล้ว) ย่อมไม่พินาศไป.\u003cbr\>\u003cbr\>\u003cbr\>            [๘๖๕] ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ ชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือน\n\u003cbr\>                         บุคคลล้างเท้าสะอาดแล้วเว้นเป\u003cWBR\>ือกตม ฉะนั้น หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษ\u003cbr\>                         ทุกๆ ชาติไป ก็พึงยำเกรงสามี เหมือนนางเทพอัปสรผู้เป็นบาทบร\u003cWBR\>ิจาริกา\u003cbr\>                         ยำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุยศและสุขอัน\n\u003cbr\>                         เป็นทิพย์ ก็พึงเว้นบาปทั้งหลายประพฤติแต\u003cWBR\>่สุจริตธรรม ๓ อย่าง  สตรี\u003cbr\>                         ก็ตาม บุรุษก็ตาม  ควรเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยกาย วาจา ใจ มีปัญญา\u003cbr\>                         เครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน\u003cWBR\>์ของตน  นรชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้\n\u003cbr\>                         ที่เป็นคนมียศ  มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง นรชนเหล่านั้นได้สั่งสม\u003cbr\>                         กรรมดีไว้ในปางก่อนแล้วโดยไม่ต\u003cWBR\>้องสงสัย สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็น\u003cbr\>                         ของตัว ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  ขอพระองค์ทรงพระราชดำริด้วย\n\u003cbr\>                         พระองค์เถิด ข้าแต่พระจอมชน พระสนม (ผู้ทรงโฉมงดงาม) ปาน\u003cbr\>                         ดังนางเทพอัปสรผู้ประดับประดาคล\u003cWBR\>ุมกายด้วยร่างแหทองเหล่านี้ พระ-\u003cbr\>                         องค์ทรงได้มาเพราะผลแห่งกรรมอะไ\u003cWBR\>ร พระนางรุจาราชกัญญา ทรงยัง\n\u003cbr\>                         พระเจ้าอังคติราชพระชนกนาถให\u003cWBR\>้ทรงยินดี พระราชกุมารีผู้มีวัตรอันดีงาม\u003cbr\>                         ทรงกราบทูลทางสุคติแก่พระชนกนาถ ดังหนึ่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง\u003cbr\>                         และได้ทรงกราบทูลข้อธรรมถวายโดย\u003cWBR\>นัยต่างๆ ดังนี้แล ฯ.....\n\u003cbr\>\u003cbr\>เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘  บรรทัดที่ ๕๒๘๔ - ๕๖๒๕.  หน้าที่  ๒๐๓ - ๒๑๕.\u003cbr\>\u003ca href\u003d\"http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B\u003d28&A\u003d5284&Z\u003d5625&pagebreak\u003d0\" target\u003d\"_blank\" onclick\u003d\"return top.js.OpenExtLink(window,event,this)\"\>",1]);//--></SCRIPT> <WBR>ันทวัน เทพบุตร
    พระนามว่าชวะสามีของกระหม่อมฉัน ยังรับพวงมาลัยอยู่ ๑๖ ปี ใน
    มนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา ๑๐๐ ปีในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ<WBR>่งของ
    เทวดาดังที่ได้กราบทูลให<WBR>้ทรงทราบมานี้ กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไป
    ทุกๆ ชาติ แม้ตั้งอสงไขย ด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดีหร<WBR>ือกรรมชั่วก็ตาม
    (ยังไม่ให้ผลแล้ว) ย่อมไม่พินาศไป.


    [๘๖๕] ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ ชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือน
    บุคคลล้างเท้าสะอาดแล้วเว้นเป<WBR>ือกตม ฉะนั้น หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษ
    ทุกๆ ชาติไป ก็พึงยำเกรงสามี เหมือนนางเทพอัปสรผู้เป็นบาทบร<WBR>ิจาริกา
    ยำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุยศและสุขอัน
    เป็นทิพย์ ก็พึงเว้นบาปทั้งหลายประพฤติแต<WBR>่สุจริตธรรม ๓ อย่าง สตรี
    ก็ตาม บุรุษก็ตาม ควรเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยกาย วาจา ใจ มีปัญญา
    เครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน<WBR>์ของตน นรชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้
    ที่เป็นคนมียศ มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง นรชนเหล่านั้นได้สั่งสม
    กรรมดีไว้ในปางก่อนแล้วโดยไม่ต<WBR>้องสงสัย สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็น
    ของตัว ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์ทรงพระราชดำริด้วย
    พระองค์เถิด ข้าแต่พระจอมชน พระสนม (ผู้ทรงโฉมงดงาม) ปาน
    ดังนางเทพอัปสรผู้ประดับประดาคล<WBR>ุมกายด้วยร่างแหทองเหล่านี้ พระ-
    องค์ทรงได้มาเพราะผลแห่งกรรมอะไ<WBR>ร พระนางรุจาราชกัญญา ทรงยัง
    พระเจ้าอังคติราชพระชนกนาถให<WBR>้ทรงยินดี พระราชกุมารีผู้มีวัตรอันดีงาม
    ทรงกราบทูลทางสุคติแก่พระชนกนาถ ดังหนึ่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง
    และได้ทรงกราบทูลข้อธรรมถวายโดย<WBR>นัยต่างๆ ดังนี้แล ฯ.....





    <!--detail-->
    ที่มา

    http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1086853<!-- ads pagetracker nokia--><!-- ads pagetracker --><!-- ads pagetracker n-gage nokia --><!-- ads pagetracker nokia -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009
  3. ธรรมะปรมัติ

    ธรรมะปรมัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +114
    ศีลข้อที่ ๓ เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    กาม ในที่นี้หมายถึงเมถุน คือการส้องเสพระหว่างชายหญิง
    การผิดในกาม หมายถึง การเสพเมถุนกับบุคคลที่ต้องห้าม
    ผู้ใดเสพเมถุนกับคนที่ต้องห้าม ผู้นั้นทำผิดประเวณี
    ศีลข้อนี้ขาด

    บุคคลต้องห้ามของศีลข้อนี้ กล่าวรวม โดยสรุป ดังนี้

    - สำหรับชายมีภรรยา หรือ หญิงมีสามี,
    หญิงอื่นหรือชายอื่นนอกจากภรรยาหรือสามีของตน
    เป็นหญิงหรือชายต้องห้ามสมสู่ทั้งหมด
    - สำหรับชายไม่มีภรรยา หรือ หญิงไม่มีสามี
    ถ้าเป็นคนที่มีผู้ใหญ่ปกครองดูแล มิใช่ผู้เป็นอิสระแก่ตน
    หญิงหรือชายทุกคนย่อมเป็นบุคคลต้องห้ามสมสู่ทั้งสิ้น
    - สำหรับชายหรือหญิงที่เป็นอิสระแก่ตน


    และยังไม่มีภรรยาหรือสามี หญิงหรือชายต้องห้าม คือ

    (๑) หญิงมีสามีหรือชายมีภรรยา
    (๒) ชายหรือหญิงมีญาติรักษา
    คือมีผู้ใหญ่ปกครองไม่เป็นอิสระแก่ตน
    (๓) ชายหรือหญิงที่จารีตรักษา คือมีจารีตห้ามมิให้สมสู่
    ได้แก่
    - ชายหรือหญิงที่เป็นเทือกเถาเหล่ากอของตน
    - ชายหรือหญิงหวงห้ามโดยข้อบังคับและอื่น ๆ เช่น ภิกษุ
    ภิกษุณี สามเณร สามเณรี ชายหรือ หญิงรักษาอุโบสถศีล
    ผู้เยาว์ เป็นต้น

    ผู้ใดสมสู่กับหญิงหรือชายต้องห้ามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
    ศีลขาด

    ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงหลักการในทางปฏิบัติต้องพิจารณาโดยใช้หลักโยนิโสมนสิการคือพิจารณาอย่างแยบคาย ร่วมด้วยฉายาแห่งกาเมสุมิฉาจาร
    โดยที่ศีลข้อนี้มีความมุ่งหมายในการรักษาจารีตประเพณีป้องกันการเสียหาย เพราะเรื่องรักๆ ใคร่ ๆ

    ผู้รักษาจึงควรงดเว้นจากการกระทำทุกอย่างอันเป็นการลุอำนาจแก่ความรักใคร่ระหว่างเพศ(ความกำหนัด) เช่น การลวนลามเพศตรงข้าม การหยอกล้อต่อกระซิกคู่ครองของคนอื่น ฯลฯ เพราะการทำเช่นนั้นทำให้ศีลเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส


    ที่มา. http://www.tosdn.com/forum/index.php?topic=1593.msg4642
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009
  4. ธรรมะปรมัติ

    ธรรมะปรมัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +114
    [​IMG]


    ความแปลในพระอรรถกาพระไตรปิฎก อธิบายความบทพระคาถาอันแสดงขอบเขตของศีลกาเมสุมิจฉาจาร มีคาถา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    โมทนาด้วยน่ะครับ อืมเก็บกระทู้ไว้ขู่แฟนก็ดีน่ะครับ จะได้ไม่นอกใจ อิอิอิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2009
  6. Ninja-naruto-Pgems

    Ninja-naruto-Pgems เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +193
    อนุโมทนา...สาธุ งับป๋ม

    มาตามลิงค์ที่เอาโพส ขอบคุนนะงับ ^^
     
  7. Starpegasus

    Starpegasus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +826
    ขอบคุณมากครับ
     
  8. coolz

    coolz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,594
    ค่าพลัง:
    +1,337
    มหาโมทนา อยากให้คนทั่วไปได้มีโอกาศอ่านกระทู้นี้ พวกเขาจะได้กลัวบาปที่จะเกิดขึ้น
     
  9. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    ธุงับ^^~
     
  10. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    อนุโมทนา สาธุธรรมที่แสดงไว้ ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ
     
  11. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,723
    ถ้าไม่อย่างเป็น อย่างนี้ในภายภาคหน้าก็ควรที่จะไม่ละเมิด ศีลนะคะ
     
  12. เลือดเย็น

    เลือดเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +262
    ขอบคุณค่ะ
    แล้วพวกทอม ดี หล่ะค่ะ
     
  13. MayaJit

    MayaJit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +56
    คนสมัยนี้กิ๊กกันง่ายดายกว่าสังคมรุ่นก่อน ถ้าเช่นนั้นคนรุ่นต่อๆ ไปคงจะไม่ค่อยมีหญิงชายแท้ๆ แน่ๆ เลยนะครับ
     
  14. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ก็เป็นเช่นนั้นครับ
     
  15. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    มหาโมทนาครับผม ถึงว่ายุคนี้กระเทยเยอะ ผู้หญิงเยอะ ถ้าสังเกตคงบอกว่าคนในยุคก่อนนั้นนิยมมีเมียเยอะนั่นเองน่ะซิครับ
     
  16. กิตติ_เจน

    กิตติ_เจน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,657
    ค่าพลัง:
    +1,281
    ขอบคุณมากครับ
     
  17. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    เมตตาเป็นความรักที่ประกอบด้วยธรรมะ เป็นความรักที่สม่ำเสมอในสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ชีวิตของเราพร้อมที่จะแตกดับไปเมื่อไรก็ได้ เราจะมัวเสียเวลาที่จะไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นทำไม
    ถ้าเราเข้าถึงธรรมแล้วไม่มีเวลา ไม่มีเวลาที่จะไปโกรธแม้แต่ชั่วโมงเดียว เพราะชีวิตเรามันสั้นเกินไป


    สาธุ ขออนุโมทนาด้วยจิตดวงนี้
     
  18. Francis_NY

    Francis_NY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +585
    ขอบคุณครับ
     
  19. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า
    ชาวพุทธไม่สนใจผล แต่มุ่งมั่นทำเหตุ
    เรื่องผลนี่เราไปบังคับเราไม่ได้ เพราะสิ่งทั้งหลายมิใช่เรา
    ก็รู้ไปว่าเราก็เป็นเรา จะไม่อยากมี ไม่อยากเป็นก็ให้เห็นความไม่อยาก เมื่อสติตัวจริงเกิดสิ่งนั้นๆก็จะดับ

    หากเรียนรู้ลงที่จิต ลงที่ใจของตัวเอง
    ย่อมเกิดสติเห็นตามจริง เมื่อมีสติ เราจะไม่ก่ออกุศล เพราะสติเป็นกุศล
    กุศลจะไม่เกิดร่วมกับอกุศล ก็จะเกิดอินทรียสังวรศีลเป็นศีลแท้ๆ
    เป็นเกราะป้องกันได้ดีกว่าศีลที่สมาทาน หรือตั้งใจงดเว้นไว้แต่หากขาดสติก็เผลอหรือหลงไปทำกรรมตามกิเลส ต้องมารับวิบากอีก ไม่จบไม่สิ้น

    จิต เป็นธาตุรู้
    เป็นแหล่งของกุศล และอกุศล
    เป็นนาย แห่งกาย


    ขอเพิ่มอีกอย่าง เมื่อคิดพิจารณาดีๆแล้ว หากเห็นว่า ต้องการเดินออกมาจากสิ่งที่คิดว่าควรออกห่าง ก็อย่าได้เดินเข้าหาหรือสั่งสมสิ่งที่ไม่ควรสั่งสม
    เพราะจิตจะจดจำสภาวะนั้นไว้เมื่อเกิดอีกก็จะมีจิตยินดีในสิ่งที่จิตเคล้าเคลียอยู่บ่อยๆ
    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009
  20. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
    อ่านแล้วรู้สึกว่าการเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นของน่าเบื่อจริงๆ
    การเกิดเป็นรักร่วมเพศมันอาจมีสาเหตุอย่างอื่นก็ได้เช่น ชาติก่อนเกลียดผู้ชายมากๆ ชายนี้เลยมาเป็นตุ๊ด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...