หลวงปู่สอนศิษย์...หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย chingchamp, 2 มีนาคม 2009.

  1. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    [​IMG]

    หลวงปู่สอนศิษย์


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร


    ตีพิมพ์ในนิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๗๘ ฉบับที่ ๑๑ ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๓๘


    โสดาของทายก

    คณะอุบาสกอุบาสิกาและทายกของวัดหนึ่งได้พร้อมใจกันมากราบ หลวงปู่ ด้วยความปีติใจที่มาปฏิบัติค้างคืนที่วัด ๑ คืน หลวงปู่ได้เมตตาให้ธรรมะกับคณะทายกนี้ว่า

    มาวัดก็เป็นโสดาเต็มวัด เต็มโบสถ์ เต็มศาสนา พอออกจากวัดก็เป็นบ้านกู ของกูหมด

    เออ ! โสดาหายหมด วิ่งมาวัดหมด โสดาเฉพาะมาอยู่วัดคืนเดียว วันเดียว พอกลับไปบ้านเป็นคนหมด

    ระวังจะโดนม้าเตะ

    หลวงปู่ท่านเมตตาให้ธรรมะกับชาวบ้านที่ตั้งใจมาขอหวย ชะรอยคนกลุ่มนี้คงจะเป็นนักพนันตัวยง หลวงปู่ได้เทศน์ว่า

    “คนดีต้องหนีบ้าซิ !
    บ้ากับบ้า ก็ไปต่อยกันซิ
    สนามมวยต่อยกัน ไม่รู้จักเจ็บจักตาย
    สนามม้าก็เหมือนกัน
    สร้างเสร็จหมดเงินตั้งแสนตั้งล้าน
    มีทุนเท่าไร ไปทุ่มเทในสนามม้าหมด
    เราบอกมันตรง ๆ ไม่เชื่อหรอก
    ไปสนามม้าบ่อย ๆ ระวังม้าเตะนะ !
    ถุงขาดนะ กระเป๋าขาดนะ เงินหมดเลย เหลือแต่ร่างกาย

    ห่วงและหวง

    มีโยมคนหนึ่งมาทำบุญที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข แล้วก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ยื่นกระป๋องแป้งให้ แล้วบอกให้โยมคนนั้นให้เอาไปโรยให้หมาขี้เรื้อนในวัดตัวหนึ่ง แล้วท่านก็บอกว่า

    “หมาตัวนี้ มันเคยเป็นคนสร้างวัดมาก่อน มันเคยเป็นเจ้าของวัด มันรักวัดมาก ใครมาทำให้วัดสกปรกมันจะเห่า”

    ขนาดเป็นหมาก็ยังรักวัดอยู่ ห่วงและหวงวัด หญิงคนนั้นก็เลยคิดว่า หลวงปู่คงให้สติว่า

    “เวลาทำบุญ ก็อย่าห่วงบุญของตนเอง”

    สำนึกบาป

    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า ขณะมี่ท่านนั่งปฏิบัติยู่ในถ้ำ ก็มีตะขาบตัวหนึ่ง ไต่ขึ้นภายในสบง ผ่านเอว แล้วผ่านหลังท่านขึ้นไป ท่านจึงต้องกลั้นลมหายใจ ปิดหู ปิดตา ปิดปากหมด เจ้าตะขาบจึงเข้าไม่ได้

    หลวงพ่อสงฆ์เห็นหลวงปู่นั่งหลับตา มีตะขาบตัวใหญ่มาก ขึ้นไปขดอยู่กลางศีรษะของท่าน หลวงพ่อสงฆ์ต้องเอาผ้าอาบของท่านหย่อนลงให้ตะขาบไต่ขึ้นผ้า แล้วจึงเอาไปปล่อย พอรุ่งเช้า หลวงปู่ท่านไปดูที่หน้าถ้ำ เห็นมันกัดตัวมันเองจนขาดเป็นท่อน ๆ กองอยู่ที่ปล่อยนั่นเอง

    “สงสัย ตะขาบมีนคงจะสำนึกบาป มันก็เลยกัดตัวมันเองจนตาย”

    ด่วนพิเศษ

    หลวงปู่ท่านเอาของไปแจกที่ภาคใต้ คราวที่ถูกพายุเกย์ ขณะรถที่หลวงปู่นั่งไปนั้นกำลังแล่นไปตามถนนด้วยความเร็วสูงเกินอัตรา จึงถูกตรวจจับเพราะฐานที่ขับรถเร็ว หลวงปู่นั่งอยู่ในรถได้ยินการโต้ตอบกัน หลวงปู่ท่านก็เลยพูดกับตำรวจว่า

    วิ่งเร็วยังไง ? วิ่งตั้งสองวันแล้วยังไม่ถึงที่แจกของเลย !

    ตำรวจผู้นั้นหัวเราะรับ ทำความเคารพหลวงปู่ แล้วก็ปล่อยรถของหลวงปู่ไป

    อดีตเมื่อ ๕๐๐ ชาติที่แล้ว

    ดิฉันพาเพื่อนบ้านอายุ ๓๐ ปีกว่า ๆ ไปกราบหลวงปู่ เพราะเห็นว่าเพื่อนบ้านมีทุกข์ เมื่อกราบแล้ว หลวงปู่ก็ชี้หน้าบอกว่า

    “โยมนี่ เคยเป็นแม่ของอาตมาเมื่อ ๕๐๐ ชาติที่แล้ว”

    หญิงคนนั้นก็ร้องไห้ คงจะเสียใจว่า ตนเองยังไม่เคยได้ธรรมะอะไรเลย ไม่รู้จักธรรมะ และก็อาจจะตื้นตันดีใจ ที่ตนเองเคยเป็นถึงแม่ของหลวงปู่ แต่ตนเองก็ยังวนเวียนอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา เธอร้องไห้ แล้วก็ถามหลวงปู่ว่า

    ดิฉันเคยเป็นแม่หลวงปู่ แล้วทำไมดิฉันจึงยังต้องมีความทุกข์อยู่อย่างนี้เจ้าคะ

    หลวงปู่ตอบว่า

    ก็มัวแต่ไปอาศัยท้องคนอื่นเกิดบ้าง แล้วก็ให้คนอื่นมาอาศัยเกิดบ้าง ก็เป็นอย่างนี้แหละ

    ไม่ติดอะไรเลย

    มีคณะทัวร์มากันหลายคันรถ มากราบขอพรหลวงปู่ คณะนี้มีทั้งพระและโยมมาด้วยกัน ตอนหนึ่งหลวงปู่ได้ให้ธรรมะว่า

    อยู่บ้านอย่าติดบ้านนะ
    อยู่วัดอย่าติดวัดนะ
    อยู่ถ้ำก็อย่าติดถ้ำนะ
    ติดที่ไหน ? เป็นกิเลสที่นั่น

    กรรมฐานอย่าเลือกกิน

    มีพระปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานกลุ่มหนึ่ง มากราบหลวงปู่เพื่อขอโอวาท หลวงปู่ก็ให้โอวาทในตอนหนึ่งว่า

    พระกรรมฐานอย่าเลือกกิน
    จะกินแล้ง กินแห้ง กินหวาน กินคาว
    มันก็เป็นอาหารทั้งนั้น
    ข้าวเจ้าจะไปเลือกทำไม ?
    ข้าวเหนียวจะไปเลือกทำไม ?
    กินข้าวสุกต่างหาก อย่ากินข้าวดิบ
    เดี๋ยวกินเจ เดี๋ยวกินเนื้อ
    เดี๋ยวกินอย่างโน้น กินอย่างนี้
    นั้นกินตามสมมติ
    กินอาหารตามมีตามได้ ไม่ใช่กินผัก กินเนื้อ

    สามีของข้า ใครอย่าแตะ

    มีหญิงคนหนึ่งมาหาหลวงปู่ด้วยความกลัดกลุ้มใจ ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เนื่องด้วยสามีแอบไปมีเมียน้อย ก็มากราบหลวงปู่ แล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ก็พูดว่า

    คนไทยนี่ อะไร ๆ ก็ไม่เสียดายหรอ ในโลกนี้ ให้หมดนะ อามิสน่ะ !
    แต่มีข้อแม้ว่า...
    ผัวดิฉันนะ ! ใครแตะไม่ได้นะ !
    เอาตายเชียวนะ ! จะไปนิพพาน
    จะเอาผัวไปด้วย ปัทโธ่ !
    เขาไปนิพพาน เขาเอาผัวเอาเมีย
    ไปด้วยที่ไหนกัน ?
    เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ !

    ฉันเกลียดแม่

    หญิงคนหนึ่งเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า เธอเกลียดแม่ของเธอมาก เพราะแม่ไปมีผัวใหม่ และแม่ไปรักผัวมากกว่าลูก หลวงปู่จึงบอกว่า

    แม่ไปมีผัวใหม่ก็เรื่องของเค้าซิ
    ให้เอาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรา
    ที่เขาอุ้มท้องเรามา ๙ เดือน
    เราตอบแทนได้คุ้มค่าหรือเปล่าล่ะ
    มารดาบิดานั้นเป็นหลายอย่าง
    เป็นบุพการี แก่บุตรธิดาด้วย
    เป็นเทวดาธรรมด้วย อุปถัมภกธรรมด้วย
    มารดา บิดาเป็นเนยยะบุคคล
    เป็นอรหันต์ของลูกสาว ลูกชาย
    อย่าข้ามสำรับท่าน อย่าข้ามหัวพระ
    ให้พระทั้งสององค์
    ก่อนให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้น
    หลวงปู่บอกให้รักแม่นะ
    หญิงคนนั้นก็นั่งร้องไห้ น้ำตาไหล

    อยากขอของดี

    ความศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อพระก็มีหลายแบบ ญาติโยมบางพวกก็ยังอยู่เฉพาะแต่กระพี้ คือ เช่นในครั้งหนึ่ง หลวงปู่ท่านไปธุดงค์ในถ้ำ ขากลับมา พวกญาติโยมก็พากันจะไปขอของดีจากท่าน เพราะเขาเข้าใจว่า พระธุดงค์ที่ออกมาจากถ้ำต้องมีของดีแน่ ก็ถามหลวงปู่ว่า
    มีของดีอะไรมาฝากบ้าง
    หลวงปู่บอกว่า
    ก็ได้ธรรมะมาฝากแล้วไงล่ะ

    หลงเขา หรือเปล่า

    ในวันหนึ่ง มีผู้แสวงหาธรรมะกลุ่มหนึ่ง เดินทางจากจังหวัดนนทบุรีเพื่อจะไปกราบหลวงปู่ เพื่อเป็นสิริมงคลและถามธรรมะข้อข้องใจ ทั้งคณะก็ทราบแล้วว่า หลวงปู่ท่านให้ธรรมะกับญาติโยมจนหมด บอกทางไว้หมดแล้ว ขึ้นอยู่กับโยมว่าจะปฏิบัติตามท่านได้หรือไม่ ไปถึงก็ได้กราบท่าน ท่านก็นั่งอยู่บนเตียง นั่งเฉย โยมผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยถามหลวงปู่ขึ้นว่า

    หลวงปู่คะ คนเราเกิดมาทำไมคะ ?

    หลวงปู่บอกว่า

    เกิดตายเป็นตัวหลง ตัวโมหะ
    ถ้าไม่พ้นเกิด ไม่พ้นตาย แล้วจะเกิดมาทำไม !
    เกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ จะเอาอีกหรือ ?
    เกิดก็ไม่เที่ยง ตายก็ไม่เที่ยง
    แล้วเราจะมาเกิด จะมาตายทำไม ?
    กายนี้เขาทดสอบเราว่า ‘หลงเขาหรือเปล่า’
    ถ้าหลงกายนี้ก็เกิดบ่อย ตายบ่อย เป็นทุกข์บ่อย ๆ นะ”

    มีอะไรก็ปวดอันนั้น

    มีหญิงชราผู้หนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดในภาคเหนือและได้มี โอกาสมากราบหลวงปู่ หญิงชราคนนี้แกก็ไประบายความกลุ้มใจของแกให้หลวงปู่ฟังอย่างยืดยาวว่า
    ดิฉันชอบเป็นโรคปวดศีรษะ ปวดมากเลยเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ก็ฟังนั่งเฉย ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นั่งนิ่งมองดูอยู่เฉย ๆ หญิงชราผู้นั้นเห็นหลวงปู่ไม่พูดอะไร คงผิดหวังก็เลยขอลากลับ หลวงปู่จึงพูดว่า

    ปูไม่มีหัว ปูมันปวดหัวหรือเปล่า ?

    งูไม่มีขา งูมันปวดขาหรือเปล่าล่ะ ?

    ปู่ของพระพุทธเจ้า

    โอกาสว่าง ๆ หลวงปู่มักจะคุยเรื่องเก่า ๆ ให้กับพระที่รับใช้ใกล้ชิดอยู่เป็นประจำ หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า

    “ตัวท่านเองเคยเกิดมาทันในสมัยพุทธกาลที่อินเดีย โดยเกิดเป็นอุบาสก มีโอกาสได้ช่วยงานศพพระพุทธเจ้า และเวียนเกิดเวียนตายอยู่ฝั่งลาวบ้าง ฝั่งไทยบ้าง เป็นพระบ้าง เป็นเณรบ้าง เคยเป็นพระผู้ชำระพระไตรปิฎกหลายต่อหลายครั้ง แต่ส่วนมากท่านจะอายุไม่ใคร่ยืน มีชาตินี้ที่อายุยืน”

    พระองค์หนึ่งก็เลยถามหลวงปู่ว่า

    หลวงปู่ครับ ปู่ของพระพุทธเจ้าชื่ออะไรครับ ?

    หลวงปู่ตอบว่า

    พุทโธ่ ! จะจำได้อย่างไร ? จำไม่ได้หรอก มันนานแล้ว ผู้พูดไม่ได้จำ ผู้ถามจำเอาเองก็แล้วกัน

    ธรรมะของใคร

    ญาติโยมคณะหนึ่ง เป็นกลุ่มที่ชอบแสวงหาหลวงปู่ หลวงพ่อองค์ไหน ๆ ที่ว่าดัง เทศน์ดี ปฏิบัติดี ธรรมะดี โยมคณะนี้ก็จะพากันไปกราบไหว้ ไปฟังเทศน์และปฏิบัติ ระหว่างทางก็พูดคุยวิจารณ์กัน เรื่องธรรมะของอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ เมื่อมาถึงวัดหลวงปู่ ทุกคนก็เข้าไปกราบหลวงแล้วก็อยากจะฟังเทศน์ของหลวงปู่บ้าง หลวงปู่ก็พูดว่า

    ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    ไม่ใช่ธรรมะของเรานะ
    ธรรมะของเราจะมีอะไร ?

    วัยรุ่นวุ่นรัก

    มีกลุ่มวัยรุ่นหญิงชายกลุ่มหนึ่ง มาเที่ยวที่วัด ได้ฟังกิตติศัพท์หลวงปู่ ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็ให้โอวาทวัยรุ่นกลุ่มนี้ว่า
    หนุ่มคนใด ไม่อยากมีลูกก็อย่าไปแต่งงาน สาวตนไหน ไม่อยากมีลูก ไม่อยากอุ้มท้อง ๑๐ เดือน ก็อย่าไปแต่งงานเข้านะ แต่งงานเข้าไม่ได้นะ เมื่อไปก่อเหตุ ผลมันก็ท้องโต ๑๐ เดือนนะ
    นั่นแหละผลของการแต่งงานล่ะ อย่าไปทำเหตุเข้านะ

    จะเลือกอย่างไหนดี

    วันหนึ่ง หลังจากว่างจากรับญาติโยมแล้ว อุบาสิกาคนหนึ่งก็คุยให้หลวงปู่ปังเรื่องนางงาม หลวงปู่ก็เปรย ๆ ขึ้นมาว่า

    เกิดมา ๙๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีนางงาม
    รูปเหม็น ๆ เน่า ๆ มรแต่ขี้
    พระเอกนางเอกไม่มีหรอก
    มีแต่พระเอกขี้ นางเอกขี้
    ขี้เต็มตัว เต็มหู เต็มตา
    จะไปเอานางเอกที่ไหน ?
    เลือกเอาแต่ธรรมะซิ

    อวดกิเลส

    ลูกศิษย์ของหลวงปู่ ชี้ให้หลวงปู่ดูวรรณกรรมบนกระจกท้ายรถ เขียนไว้ว่า

    ทำดีได้ดีมีที่ไหน
    ทำชั่วได้มีมีถมไป

    หลวงปู่บอกว่า

    อ้ายนั่นน่ะ !
    มันไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเอาแต่ข้อวัตรของมัน มันเอากิเลสมาอวด ปุทโธ่ ! พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น

    แย่งกระดูกกัน

    หลวงปู่ท่านเปรย ๆ ขึ้นในวันหนึ่งถึงพวกญาติโยมที่ไปเผาศพพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ก็ชอบที่จะขอพระธาตุกันมาเก็บเอาไว้ มากน้อยแล้วแต่ที่จะหาได้ หลวงปู่ท่านพูดว่า

    ธรรมะมันไม่เอา มันจะเอาแต่กระดูก จะรบราฆ่าฟันกันก็เพราะกระดูก น่าสังเวช !

     
  2. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    [​IMG]

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี


    "เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าล่วงศีล 5 ก็เป็นอบายภูมิเหมือนกัน ไม่ต่างจาก สัตว์เดรัจฉาน เพราะยังเบียดเบียนกัน สร้างกรรมเรื่อยไป มนุษย์ ถ้าเบียดเบียนกันก็เป็นอมนุษย์ทันที ขาดจากศีลธรรมไม่ได้หรอก เป็นเปรต อสุรกายทันที เดี๋ยวนั้นเลย "

    นามเดิม บุดดา มงคลทอง กำเนิด 5 ม.ค. 2437 สถานที่เกิด อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดเนินยาว อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2465 โดยมี พระครูธรรมขันธสุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ มรณภาพ 12 ม.ค. 2537 อายุ 101 ปี 73 พรรษา

    ขณะที่ยังเป็นเด็กมีอายุได้ 5 ขวบ หลวงปู่เคยขอโยมบิดา มารดา บวชเณร แต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากอายุยังน้อย กระทั่งหลวงปู่อายุ 28 ปี โยมบิดา มารดา จึงอนุญาตให้บวช ได้รับฉายาว่า "ถาวโรภิกขุ"หลวงปู่นับเป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดยิ่ง ถือธุดงควัตร ครองผ้าสามผืนเป็นวัตร ชีวิตเป็นอยู่เรียบง่ายทุกอย่างพอดีหมด หลวงปู่ได้ทุ่มเทชีวิตให้แก่การปฏิบัติธรรมชนิด เอาชีวิตเป็นประกัน เดิมพันด้วยความตาย และความสำเร็จ โดยเฉพาะยามประเทศชาติมีภัยสงคราม ปัจจัยสี่ทุกอย่างขัดสน ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ ช่วงนั้นหลวงปู่ต้องอดทนกับความทุกข์ยากอย่างยิ่ง แต่ด้วยความมุ่งมั่นมานะอย่างเด็ดเดี่ยว ในการประพฤติปฏิบัติธรรม หลวงปู่ก็สามารถต่อสู้กับความทุกข์ยากนั้นได้อย่างกล้าหาญยิ่ง หลวงปู่นับเป็นพระเถระที่มีคุณธรรม และมีพรรษามาก

    ท่านได้มีโอกาสพบ และสนทนาธรรมกับพระสุปฏิบัติหลายรูป อาทิเช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูบาศรีวิชัย ธัมมวิตักโฏ ภิกขุ เป็นต้น นอกจากนั้น ท่านยังได้รับความนับถือจากพระเถราจารย์ ผู้ทรงคุณธรรมหลายรูป เช่น ครูบาพรหมา พรหมจักโก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น ซึ่งย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ ภูมิธรรม และคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงปู่ได้เป็นอย่างดี
     
  3. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    หลวงปู่สอนศิษย์

    ไม่ข้ามหมา

    หลวงปู่ท่านได้ไปจำพรรษาที่จังหวัดระยอง วันหนึ่งท่านมีธุระที่จะต้องเดินไปกุฏิอีกหลังหนึ่งทาง ที่จะไปนั้น ต้องข้ามสะพานไม้ที่ทอดไป แต่บนสะพานนั้นมีสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่ ท่านก็ไม่ข้ามกลับเดินลงไปลุยโคลนแทนที่จะข้ามสุนัขตัวนั้น ท่านว่า ไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความ ขุ่นเคือง และเป็นการเบียดเบียน โดยเห็นแก่ความสะดวกของตนเองแม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ยังไม่ข้าม แสดงถึงคุณธรรมอันสูงส่งในจิตใจของท่าน

    [​IMG]


    ตัวโกรธ


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร จัดว่าเป็น "รัตตัญญู" (ผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มาก) รูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย ด้วยท่านมีอายุยืนนานถึง ๑๐๑ ปีก่อนที่จะมรณภาพเมื่อปี ๒๕๓๗

    สมัยที่ยังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ที่สำคัญหลายรูปเช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท) และครูบาศรีวิชัย ท่านหลังนี้เคยทักหลวงปู่บุดดาเนื่องจากเห็นท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า "เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็นนายฮ้อย ไม่ใช่นายสิบ" นับแต่นั้นมาหลวงปู่จึงพาดสังฆาฏิติดตัวตลอดเวลา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของท่าน

    หลวงปู่บุดดา เป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลักแหล่ง จนเมื่ออายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี กระทั่งมรณภาพ

    แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก แต่ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ มีคราวหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๘ ประโยค ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอกจึงอยากลองภูมิหลวงปู่ ได้ถามหลวงปู่ว่า "จะเทศน์เรื่องอะไร"

    หลวงปู่ตอบว่า "เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา"

    ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า "ตัวโกรธเป็นอย่างไร"

    หลวงปู่ตอบสั้นๆ ว่า "ส้นตีน ไงล่ะ"

    เท่านั้นเองท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่ยอมเทศน์กับหลวงปู่ วันนั้นหลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว เมื่อเทศน์จบแล้ว ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น พร้อมกับอธิบายว่า

    "ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ มันหน้าแดงๆ นี้แหละ มันเทศน์ไม่ได้ คอแข็ง ตัวโกรธสู้เขาไม่ได้ ขึ้นธรรมาสน์ก็แพ้เขา ใครจะเป็นนักเทศน์ต่อไปจดจำเอาไว้นะ ตัวโกรธน่ะ นักเทศน์ไปขัดคอกันเอง มันจะเอาคอไปให้เขาขัด"

    หลวงปู่บุดดารู้จักตัวโกรธดี ท่านรู้ว่าตัวโกรธกลัวคนกราบ ท่านเล่าว่าตั้งแต่เริ่มบวช ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วยการกราบ เวลาโกรธท่านจะลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง โกรธ ๒ ครั้งก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง ทำเช่นนี้หลายครั้ง ความโกรธก็ครอบงำท่านไม่ได้

    เมื่อความโกรธเป็นใหญ่เหนือใจไม่ได้ ความเมตตาและอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตามมา หลวงปู่บุดดาขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาก คราวหนึ่งท่านกำลังจะเดินข้ามสะพาน ก็เห็นสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่บนสะพาน แทนที่ท่านจะเดินข้ามสุนัขตัวนั้น หรือไล่มันให้พ้นทาง กลับเดินลงไปลุยโคลนข้างล่าง

    ท่านว่าไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความขุ่นเคือง เพียงเพื่อเห็นแก่ความสะดวกของตนเอง แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียน.




    http://board.agalico.com/showthread.php?t=15606

    http://www.pantip.com/cafe/religious.../Y5897122.html
     
  4. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    [​IMG]

    หลวงปู่บุดดา ตอบเรื่อง นิพพาน และจิต

    ศิษย์
    หลวงปู่ครับ นิพพานโลกุตระ เป็นอย่างไร

    หลวงปู่
    มันก็หมดอาสวะซิ อวิชชาไม่เหลือ

    ศิษย์
    จิตยังอยู่ไหมครับ

    หลวงปู่
    จิตปรมัตถ์ไป เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์จิตยังอยู่ มันเกิด-ดับ มันเป็นสังคตะไป ไม่ใช่สัตว์ คน เป็นสังคตธรรมสังคตธรรมมีอยู่ อสังคตะธรรมมีอยู่ วิราคะธรรมมีอยู่ แต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน เท่านั้น

    ศิษย์
    หมดสมมุติ หมดความยึดถือใช่ไหมครับ

    หลวงปู่
    .ฮื้อ! มันไม่มีอาสวะ ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย ล่ะก็ กิเลส กรรม วิบาก มันก็ไม่มี จิตไม่มีนาม-รูปของขันธ์แล้ว มันเหนือนาม-รูปของขันธ์แล้ว สังคตะมันเหนือขันธ์ ๕ วิราคะธรรมมันเหนือขันธ์ ๕ (เหนือ คือ ไม่ถูกครอบงำ ไม่มีอุปาทานขันธ์ ย่อมไม่กลับกำเริบอีก)ขันธ์ ๕ ยังมีนามรูปติดต่อกันทางอายตนะธาตุนี่ ส่วนนิพพาน ปรมัตถ์นี้ไม่เกิดไม่ดับเป็นอสังคตะธรรม แต่ จิต เจตสิก รูป ปรมัตถ์นี้ยังเกิดดับเป็นสังคตะธรรม วิราคะธรรม ไม่มีราคะ หมดราคะถึงโลกุตระแล้วนั่น ไม่มีราคะโทสะ โมหะ เผาลนแล้ว

    ศิษย์
    เมื่อดับจิต แล้ว นิพพาน สูญ ไม่เหลืออะไรเลยหรือปล่าวครับ..

    หลวงปู่
    นิพพาน ไม่สูญ เป็นแต่อาสวะกิเลสสูญ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม วิบาก มันสูญ แต่ สังคตะธรรม อสังคะธรรม วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย บารมี ๓๐ ทัศน์ที่พระพุทธเจ้าสร้างเป็นของไม่ตาย แต่ว่าตัวบุญต้องเปลี่ยนแปลงไปจนกว่าพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ เพราะถ้าเป็นตัวบุญอยู่กับพระเวสสันดรก็ไม่ตรัสรู้ซิ ก็ได้เป็นกษัตริย์ ไม่ตรัสรู้ซิ แต่เพราะสละหมดอย่างพระเวสสันดร เที่ยวออกค้นคว้าถึง ๖ ปี(ซึ่งก็ต้องอาศัยบารมี อันเป็นนิสัยที่สั่งสมมา) จึงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าบางองค์ก็อายุไม่เท่ากันมาองค์ปัจจุบันอายุ ๘๐ ปี (แล้วแต่บารมี) (ทัศนะของผมในส่วนนี้คือ เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว ก็นิพพานในปัจจุบันแล้ว ที่ว่าไม่สูญก็ตรงนี้ล่ะ และจิตเกิดดับเป็นปกติ ส่วนเรื่องนิพพานหลังตายผมไม่ออกความเห็น เพราะไม่รู้และก็ไม่มีใครถามหลวงปู่ไว้ตรงๆ)

    ศิษย์
    .ที่เขาว่าไปเที่ยวเมืองนิพพาน น่ะเขาไปกันได้จริงหรือป่าวครับ

    หลวงปู่
    .เที่ยวได้แต่ปริยัติน่ะซิ พูดเอาภาคปริยัติก็เที่ยวได้ ภาคปฏิเวธเที่ยวได้ที่ไหนล่ะ มันมีบอกเมื่อไหร่ล่ะ

    ศิษย์
    แล้วอย่างมโนมยิทธิล่ะครับ

    หลวงปู่
    นั่นมันเรื่อง พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ก็ตามใจซิ ก็นิมิตมันมีอยู่ หลับตาลืมตาก็มี มีของพระอริยะเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงพุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ได้ ให้เห็นกันทั่ว กามโลก รูปโลก อรูปโลก ให้เขาได้เห็นกันเมื่อครั้งเสด็จลงจากดาวดึงส์นี่ ก็จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแล้วจะเอาอะไรไปรับล่ะ กายกับจิตนี่ล่ะมันรองรับพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ารู้นรก ๒ ชั้น นรกชั้นนอก นรกชั้นใน สวรรค์ชั้นนอก สวรรค์ชั้นใน นิพพานชั้นนอก นิพพานชั้นใน มันต้องมีภายนอกภายในพิสูจน์กันดู ดูนิพพานกันอย่างนี้ อ่านพระไตรปิฎกกันอย่างนี้ซินิพพานไม่ใช่รูปขันธ์ ไม่ใช่นามขันธ์ มันเหนือรูปขันธ์ นามขันธ์ สร้างบารมีมาก็เอาเป็นเครื่องมือ สร้างบารมีต่างหากล่ะ นามรูปนี่ตรัสรู้แล้วเอาไปเมื่อไหร่ล่ะ บารมี ๓๐ ทัศน์ ไม่ใช่ตัวขันธ์ ๕ มันเหนือขันธ์ ๕พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เหลือขันธ์ ๕ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ ละสังโยชน์ แล้วก็เหลือยังขันธ์ ๕ เขายังเขียนรูปโลกไว้ให้ดู แต่อยู่เหนือขันธ์ ๕


    [​IMG]
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/p...p-budda-17.htm

     
  5. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ ค่ะ
     
  6. Neo-Freeman

    Neo-Freeman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +50
    สาธุครับ

    ลูกกราบองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...