เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    ทำบุญบ้านที่อังกฤษค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณอ้องและทุกๆคน วันนี้ได้นิมนต์พระสงฆ์ 3 รูปมาทำบุญที่บ้านค่ะ และมี
    เืพื่อนๆพี่ๆกัลยานิมิตรหลายคนมาร่วมกันทำบุญอีกด้วยค่ะ ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ
    [​IMG]



     
  2. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    ผมอยากจะรบกวนคุณอ้อง ช่วยแนะนำเกียวกับ กามราคะด้วยครับ

    สาธุครับ
     
  3. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    ทำบุญบ้านที่อังกฤษค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณอ้องและทุกๆคน วันนี้ดิฉันได้นิมนต์พระสงฆ์ 3 รูปมาทำบุญบ้าน ร่วมกับเพื่อนๆ
    พี่ๆกัลยานิมิตรอีกหลายคนค่ะ ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ :)
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อธิษฐานและราคะ

    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CJ3998%7E1.SUT%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapedefaults v:ext="edit" spidmax="1026"/> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapelayout v:ext="edit"> <o:idmap v:ext="edit" data="1"/> </o:shapelayout></xml><![endif]--> [FONT=&quot]ช่วงเช้าวันนี้เป็นวันที่สดใส สวยงามอีกวันหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=&quot]ท้องฟ้าที่บ้านสะอาดสดใส อากาศที่เย็นสบายๆในยามเช้าอุณหภูมิ[/FONT]23[FONT=&quot]องศา[/FONT]
    [FONT=&quot]ในช่วงเช้า เมฆหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่แถวบริเวณสันเขาให้เห็นแต่ไกลตา[/FONT]

    [FONT=&quot]วันนี้ช่วงเช้าจริงๆก็ต้องตื่นตั้งแต่[/FONT]8[FONT=&quot]โมงเช้าอันเป็นเวลาปกติ[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่วันนี้ไม่รู้ผู้ใดมาเคาะประตูหน้าต่างตั้งแต่[/FONT]6[FONT=&quot]โมง[/FONT]
    [FONT=&quot]เดินออกไปดูก็เห็นนกตัวน้อยๆ...[/FONT]

    [FONT=&quot]ที่อยากจะเข้ามาอยู่ในบ้านพยายามจิกกระจกป๊กๆๆๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]แสบแต่เช้าแฮะ...[/FONT]

    [FONT=&quot]กลางคืนอ้องจะนอนลำบากหน่อย[/FONT] [FONT=&quot]คือบางครั้งก็นอนเอามือเท้าศีรษะและก็นอนดูจิตที่มันไหลไปหาโมหะ[/FONT] [FONT=&quot]เหมือนมันเป็นกลุ่มก้อนๆให้เราเข้าไปยึดภพ[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตที่ฝึกอบรมทำให้จิตอยู่กับอารมณ์หนึ่ง จิตจึงมีสภาพเข้มแข็งอดทน[/FONT]

    [FONT=&quot]ด้วยการสละอารมณ์...[/FONT]

    [FONT=&quot]การที่อ้องต้องย้อนทวนกระแสโลก สละอารมณ์ในสิ่งต่างๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]ช่วงแรกๆอึดอัดพอสมควร เพราะจิตมันรักสุขวิปลาส มันชอบสบายๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ชอบเข้าไปรู้ทุกข์[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้องจึงรู้สึกว่า การภาวนาเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้กับอำนาจจิตตนเองล้วนๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย[/FONT] [FONT=&quot]อ้องต้องสู้กับใจที่ดิ้นรนไม่อยากทำ[/FONT]
    [FONT=&quot]เช่นเวลามีราคะจิต ถ้าอ้องไม่เรียนรู้ ไม่ขัดเกลากิเลส[/FONT] [FONT=&quot]อ้องก็จะแพ้ใจตนเองอยู่ร่ำไป[/FONT] [FONT=&quot]อ้องต้องเริ่มจากการสละอารมณ์เพื่อสลัดคืนสิ่งที่เข้าไปยึดอารมณ์ชนิดต่างๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]เนื่องจากกายและจิต มีความสัมพันธ์ต่อกัน บางครั้งราคะก็เกิดมาจากกาย บางครั้งก็เกิดมาจากจิต เหมือนเวลาที่อ้องหิวข้าว[/FONT]

    [FONT=&quot]กายมันฟ้องออกมาด้วยการหย่อนเป็นก้อนๆภายในโหวงๆ อ่อนและอึดอัด[/FONT]
    [FONT=&quot]ความทุกข์เริ่มทวีขึ้นไปเรื่อยๆ กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิตอย่างรวดเร็ว[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตจึงเห็นรูปนามชนิดหย่อนเป็นก้อนๆอยู่ภายในเป็นสภาวธรรมที่ปรากฏ[/FONT]

    [FONT=&quot]ยามที่อ้องทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ภายในจะมีสภาพที่เปลี่ยนไปคือตึงและแข็ง[/FONT]
    [FONT=&quot]แน่นๆแต่สบายท้องนี่ก็เป็นสภาวธรรมอีกแบบหนึ่งเช่นกัน[/FONT]

    [FONT=&quot]ราคะแห่งกายที่ปรากฏจะมีสภาพเหมือนถูกเรียกร้องถูกเชื้อเชิญเพราะกายจะมี[/FONT] [FONT=&quot]สภาวธรรม ที่อยู่ๆก็อบอุ่น ซ่าวาบๆหวิวๆ ราคะจึงเป็นสิ่งที่ผูกมัดสัตว์[/FONT]
    [FONT=&quot]ให้ดำรงค์ชีวิตด้วยการสืบเผ่าพันธุ์เพราะมีสภาพแห่งการเรียกร้องการเชื้อเชิญ[/FONT]

    [FONT=&quot]กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิต [/FONT]<o:p></o:p>
    84,000[FONT=&quot]พระธรรมขันธ์ออกมาจากจิตล้วนๆ[/FONT] [FONT=&quot]จบกิจก็ที่จิตล้วนๆ เหตุเกิดที่จิตก็ต้องแก้ที่จิต รู้ที่จิต ละที่จิต[/FONT]

    [FONT=&quot]จิตเห็นจิตจึงเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ...[/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อจิตมันเกิดดับรวดเร็ว อ้องก็ต้องเร็วเท่ากับมัน ด้วยการฝึกจิต จับจิต[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะการจะเห็นจิต พบจิต จิตต้องเป็นหนึ่ง[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] อ้องต้องมีเครื่องมือคือสมาธิจิตที่มีคุณภาพ....[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่เครื่องมือก็มักจะมีของเล่นมาให้หลงทางเช่น ปิติ สุข นิมิต เล่นเอาจิตไปหลงแช่กับความสนุกสนานของเครื่องมืออันแสนสนุกจนลืมไปว่า[/FONT]

    [FONT=&quot]เครื่องมือชนิดนี้หลงไม่ได้[/FONT] [FONT=&quot]ทำให้ลืมกายและจิตเข้าไปจมแช่กับพลังงานที่เคลิบเคลิ้มลืมตนแทนที่จะนำ[/FONT] [FONT=&quot]พลังงาน อำนาจของจิตมาจับจิตเพื่อให้มรรคปรากฏ[/FONT]

    [FONT=&quot]ความเร็วของจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา หู กาย ใจ[/FONT] [FONT=&quot]นี่เป็นส่วนมากในเวลาที่ตื่นอยู่ [/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]จมูก ลิ้นจะมีมากในเวลาดื่มน้ำ ทานข้าว[/FONT] [FONT=&quot]ได้กลิ่นอาหาร[/FONT]

    [FONT=&quot]ผัสสะที่กระทบมีทุกช่องทวารและเกิดถี่ยิบเหมือนสายน้ำไหล[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]อยู่ที่จิตมันจะไหล[/FONT]
    [FONT=&quot]ไปหาเพื่อเกาะกุมกับอารมณ์ชนิดใด ตรงช่องวิญญาณใด นี่เป็นหลักของจิต[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่รับรู้ทีละอารมณ์[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้องเปรียบเทียบดนตรีหนึ่งเพลงที่บรรเลง ไม่ว่าจะกลอง กีตาร์ ออร์แกน[/FONT]
    [FONT=&quot]เบส แซ๊ก ไวโอลีน เครื่องดนตรีชุดใหญ่ จริงๆมันมีอย่างละอันแต่พอมันบรรเลง[/FONT]
    [FONT=&quot]พร้อมกัน เราจะฟังเหมือนเป็นแค่เพลงเดียว ทั้งๆที่มีเสียงร้องประกอบร่วมด้วย[/FONT]

    [FONT=&quot]ความรวดเร็วที่เกิดดับ มันหลอกลวงความจริงที่มีที่เป็น[/FONT]
    [FONT=&quot]ในชีวิตประจำวัน จิตวิ่งซัดส่ายหาอารมณ์ใหม่มาแทนอารมณ์เก่า ชดเชยกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อแค่ดับทุกข์แค่นั้น...[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้องเห็นคำว่าจิตเห็นจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็วจนรวมมาเป็นกายและไปยึดเอาว่า[/FONT]…<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]จิตก็เป็นเราอีกด้วย อ้องกำลังทำลายวิปลาส เพราะอ้องเห็นคำว่า เงา....(รูปนาม)[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้องกำลังสะสมอินทรีย์เพื่อทำลายอวิชชา ตัณหา อุปทาน แต่...[/FONT]
    [FONT=&quot]ทั้งๆที่เข้าใจโลก เข้าใจความจริง แต่เหมือนลึกๆในใจ มีหน้าที่...[/FONT]

    [FONT=&quot]ถ้าถามอ้องว่ากลัวทุกข์ กลัวการเกิดไม๊ เบื่อหน่ายอยากหนีโลกไม๊ ..[/FONT]
    [FONT=&quot]กลัวมาก แต่มันมีหน้าที่ๆยังวางไม่ได้[/FONT] [FONT=&quot]อ้องคิดไปถึงเตี่ยแม่ พี่น้อง ญาติมิตร[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]และเพื่อนๆที่ร่วมทุกข์ด้วยกัน[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้องคิดเสมอว่า....[/FONT]

    [FONT=&quot]คนที่เกิดมาย่อมมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป[/FONT]
    [FONT=&quot]ความรัก แห่งพรหมวิหารธรรมที่ฝึกมา มันจับจิตอยู่ภายใน[/FONT] [FONT=&quot]รู้สึกถึงความกตัญญู[/FONT]
    [FONT=&quot]รู้คุณ รู้สึกถึงใจภายในที่ยิ่งใหญ่กล้าที่จะต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อ แม้กาลเวลาจะยาวนานขนาดไหน[/FONT] [FONT=&quot]อ้องยังไม่คิดที่จะวางภาระหน้าที่ของตน [/FONT]
    [FONT=&quot]อ้องยังทิ้งไม่ลง วางหน้าที่ไม่ลง ยามที่สำรวจใจ มันยังจะสู้อีกต่อไป[/FONT]

    [FONT=&quot]ถึงแม้ภพนี้จะผิดพลาดทำสิ่งไม่ดีมาไม่น้อย แต่ก็ได้รับความรัก ความอบอุ่น[/FONT]
    [FONT=&quot]มาไม่น้อยเช่นกัน อ้องจะก้าวต่อไป...[/FONT]

    [FONT=&quot]เช้านี้ท่านมหาสุขุมนิมนต์พระมาทำสังฆ์ทานเพื่อถวายไม้เพื่อนำไปทำกุฏิแล้ว...[/FONT]
    [FONT=&quot]บริเวณบ้านดูร่มเย็น สว่างไสว สดชื่นเป็นเช้าที่อบอุ่นสบายๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อท่านให้พรอ้องกรวดน้ำถวายแทนการยกและก็อดไม่ได้ที่จะขออธิษฐาน...[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]อ้องสำรวจใจ ในสิ่งที่จะเริ่ม คือ คำขอ บารมี และสิ่งที่ขออธิษฐานว่าเหมาะสม[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]ในสิ่งที่จะอธิษฐานหรือไม่ เมื่อสำรวจใจที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ [/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]ปราศจากโลภะจิต จึงตั้งสัจจะในคำขอออกไปว่า[/FONT]
    "
    [FONT=&quot]ภพนี้... ข้าพเจ้าเข้าใจในพระธรรมของพระพุทธองค์[/FONT]
    [FONT=&quot]เมตตาอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ช่างยิ่งใหญ่ต่อมวลชน[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อจิตของลูกยังพึงปรารถนาต่อสู้กับหน้าที่แห่งใจอันยิ่งนี้แล้ว[/FONT]

    [FONT=&quot]ข้าพเจ้าขอเปล่งสัจจะอธิษฐานเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]นี่จะเป็นภพแรกหรือไม่แต่ข้าพเจ้าจะขอเปล่งออกมาแม้มาจากใจก็[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอถึงซึ้งปัญญาคุณอันบริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแห่งมหาชน[/FONT]
    [FONT=&quot]ในกาลเวลาข้างหน้าด้วยเทอญ..."[/FONT]

    [FONT=&quot]สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือแสงแห่งดวงอาทิตย์สว่างจ้าอย่างร่มเย็นใจ[/FONT] [FONT=&quot]ในขณะที่พระคุณเจ้าต่างก็ให้พร เหมือนกับเป็นพยานให้ทั้งที่เห็นก็ดี[/FONT] [FONT=&quot]ไม่เห็นก็ดี[/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าพเจ้าจะทำให้ลุล่วงไปในอนาคตกาลแม้เวลาจะยาวนานขนาดไหนก็ตาม"[/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]สิ่งนี้อ้องเขียนมาสองวันแล้วและพอดีแทรกเรื่องราคะของอ้องด้วย[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]และคุณ กองกอยก็สอบถามมาพอดี อ้องจึงคิดว่า ความดีถ้ามาจากใจ[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]ที่ไม่ได้อวดตนเอง เป็นความดีเพื่อประโยชน์ต่อมวลชน[/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]ความดีที่ทุกคนก็มีอยู่ในใจ เพียงแต่ว่าจะสู้ต่อ หรือจะทำให้จบกิจก็แค่นั้น[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]อ้องเพียงแต่ยังจะสู้ต่อ ก็เลยตั้งสัจจะภายในอีก[/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot] ก็ไม่รู้จะถอยในภพชาติใดต่ออีกหรือไม่ แต่ภพนี้ก็ขอสร้างใจชนิดนี้ให้ยิ่งใหญ่[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]เพิ่มมากขึ้น[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]ขอเพื่อนๆมาอนุโมทนาในสิ่งที่อ้องอธิษฐานเช่นนี้ด้วย เพื่อส่งเสริม เพื่อให้เกิดกำลัง[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]ในยามที่ท้อแท้ สิ้นหวังในเหตุใดๆก็ตามในอนาคต[/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]อ้องจะได้บุญแห่งการอธิษฐานด้วยการอนุโมทนาของพ้องเพื่อน เพราะบุญชนิดนี้จะตามอ้องไปจนกว่าจะสิ้นภพด้วยเหตุแห่งการอธิษฐานและกำลังใจที่ส่งแรงของเพื่อนๆ[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot]ทั้งหลายด้วยการอนุโมทนาด้วยเทอญ[/FONT]….<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]ขออนุโมทนา[/FONT]


    ( วันนี้ พอดีอ้องเดินทางมาเชียงใหม่นะครับ พึ่งเข้าบ้านที่สันกำแพง มาดูเพื่อนๆถามกันมา อดหัวเราะคุณกองกอยไม่ได้ รู้ได้อย่างไรหนอ ว่าอ้องเขียนเรื่องราคะ
    จริงๆ ข้อความข้างบนนี้ บอกตรงๆไม่อยากจะลงกระทู้นะครับ
    อายแหะๆ... แต่มาคิดอีกที เหมือนจันทร์สว่างอยู่กลางฟ้า ปราศจากเมฆหมอกมาบดบังจันทร์ เมื่อใจเราเปิดเผย ใยต้องกลัวไปด้วยเล่า
    แลยขออำนาจบุญอนุโมทนาเพื่อนๆซะด้วยเลยครับ)
    <o:p></o:p>
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณrinchang

    ขึ้นชื่อว่าคนทำดีแล้วหวังในผลแห่งความดี ความดีชนิดนี้เป็นความดีของนักการค้า
    นักเก็งกำไร ความดีในพุทธศาสนาทำออกมาจากใจ สละออก ดำเนินตลอดเส้นทางเพื่อความบริสุทธิ์

    การ ทำความดีจึงมีสภาพสะอาด สดใส อ่อนโยน ร่มเย็น บริสุทธิ์เพราะออกมาจากใจ ที่อนุเคราะห์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขอย่างแท้จริง

    ถ้าคนทำดีแล้วท้อแท้ คงต้องสำรวจใจตนเองเสมอว่า จิตมีโลภะหรือไม่
    ทำดีต้องการให้คนเห็นหรือไม่ ทำดีเพื่อต้องการคำชมหรือไม่
    ทำดีแล้วต้องมีสิ่งตอบแทนหรือไม่ ถ้าจิตมีโลภะ อำนาจแห่งความดีชนิดนี้มีน้อย

    เป็นความดีที่ไม่ได้ฝึกตนเพื่อสละออก เพื่อสลัดคืน แต่เป็นการ หวังผลต่างตอบแทน เสร็จกิเลสทุกราย

    คนที่บ่นกับตนเองว่า..
    ทำดีไม่ได้ดี คนทำชั่วเห็นมีแต่ได้ดี คงต้องดูว่า
    คนที่ทำชั่วแล้วได้ดีนั้น เค้าได้ วัตถุรูปเอาไปยึด แต่ใจนั้นมืดบอด คับแคบ เห็นแก่ตน มีแต่ความสกปรกของใจ
    คนชั่วดูเหมือนได้ดี มีอำนาจ ชื่อเสียง ลาภยศ ทุกสิ่ง แต่มีคนสาบส่ง
    มีคนไม่จริงใจรอบข้าง พร้อมที่จะกดทับเหยียบข้ามเมื่อล้ม

    ผิดกับคนดี ที่แม้จะอยู่อย่างเสมอภาคกับฐานะแห่งตน แต่ใจ ไม่เศร้าหมอง
    ไม่มืดบอด จิตใจร่มเย็น ภายในร่มรื่น

    ถ้าให้อ้องเลือกกอดชื่อเสียงลาภยศแต่ใจสกปรก เศร้าหมอง คิดแต่จะเบียดเบียน จิตที่มีแต่อกุศลเช่นนี้ ขออย่าให้มีปรากฏเสียดีกว่าครับ

    ส่วนเรื่องกรรม ผู้กระทำย่อมอึดอัด เมื่อเอาแต่พูดเพ้อเจ้อ เหลวงเหลว ส่อเสียด
    เพราะอกุศลที่ออกมาจาก กาย วาจา ใจนั้น ก็คือเจ้ากรรมนายเวรของตนเอง
    แม้ตัวเค้าจะมองไม่เห็นเพราะไม่ได้อบรมศีล สมาธิ ปัญญา

    ขึ้นชื่อว่ากรรมย่อมส่งผล ให้ความอึดอัด คับแคบ เศร้าหมองแก่ผู้ใด
    ยิ่งมีจำนวนมาก หรือเอาแต่คิดทั้งวัน อ้องบอกได้ว่า น่ากลัวทั้งภพนี้ ภพหน้า
    ไม่ต้องไปสาบแช่งอันใด
    มีเหตุก็มีผลครับ

    อย่า ท้อแท้ต่อความดีนะครับ รักษาใจเราให้ผ่องใสเป็นพอ ให้เค้ากอดวัตถุรูป ชื่อเสียง ลาภยศ ที่เป็นแต่ของร้อนเถิดครับ สอนแทบตายพวกนี้ก็ไม่รู้สึกหรอกครับ น่ามืดซะแล้ว ปิดบังใจตน และไม่มีปัญญาครับ

    อนุโมทนานะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ต่อสู้กับใจตนเองนะครับ...
     
  6. อิสสริยะ

    อิสสริยะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +22
    กุศลใดที่ได้ทำมาทั้งในชาตินี้และชาติก่อนขอจงส่งผลให้คุณอ้องบรรลุในสิ่งที่ได้อธิฐานค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนาคุณ อิสสริยะ

    กรณีของน้อง...

    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CJ3998%7E1.SUT%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapedefaults v:ext="edit" spidmax="1026"/> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapelayout v:ext="edit"> <o:idmap v:ext="edit" data="1"/> </o:shapelayout></xml><![endif]-->[FONT=&quot]สมาธิที่น้องเค้าทำอยู่เป็นอำนาจวาสนาเก่านะครับ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การที่จะเข้าได้ลึกและละเอียดทำได้ง่ายๆนี่เกิดมาจากความเคยชินที่เคยฝึกพรากเพียรมาด้วยความลำบาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำมาเมื่อภพใด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]จึงมีจริตนิสัยที่ติดความเคยชินในสมาธิ พอทำก็เข้าได้เลย[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นอภิญญาที่ปรากฏ สมาธิที่ละเอียดก็ดี นี่ก็คืออำนาจเก่าทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อมาในภพนี้เจอพระสัจธรรมพระศาสนาและเกิดความเข้าใจก็ให้นำกำลัง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ดังกล่าวเอามาพิจารณาลงที่กายและจิตนี่ละจึงจะพ้นไป[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]การที่เอาจิตเข้าไปติดสุข นิมิต สภาวะของกายย่อมหายไปอยู่เพราะเสวยแต่ปิติ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]สุขแห่งความละเอียดของจิตนะครับ สุข ปิติ ที่ละเอียดนี่เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ใครที่ไม่เคยสัมผัสยากที่จะเข้าใจ[/FONT][FONT=&quot]


    [/FONT]
    [FONT=&quot]นี่ถ้าสิ้นอายุขัยทั้งน้องเค้าคงเข้าสู่ชั้นพรหมเสวย ปิติสุขประณีตเป็นอาหารหลายกัลป์ ตามคุณของสมาธิที่ติดสุข ปิติชนิดนี้นะครับ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ตรงนี้อ้องมีน้องคนนึงรักกันมากชื่อ น้องนกนะครับ...[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]น้องเค้าก็ติดสุขละเอียดประณีตเช่นกัน หลวงพ่อปราโมทย์ยังบอกว่า[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]จิตเช่นนี้เสวย ปิติ สุข จะดิ่งเข้าไปพรหมโลกหลังจากสิ้นอายุขัยนี่ก็เพราะเป็นกรรมในฝ่ายกุศลที่มีอำนาจมาก ถ้าไม่เผลอหลงไปเสียอย่างอื่น ไปดีแน่แต่ยังไม่พ้นทุกข์...[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็ต้องเลือกระหว่างจะทำลายภพหรือเข้าไปพรหมโลกเสวย ปิติสุขหมดแล้วก็มาเริ่มใหม่อีกหมุนวนไม่รู้จบนะครับ...[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]จิตที่ติดดี คือจิตที่เคลิ้มกับสุข ประณีตอันละเอียด แต่พอถอนกำลังมาที่ภพของ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]กายหยาบปรากฏ จิตชนิดนี้หายไปหมด และไม่ทำให้มีปัญญาปรากฏ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คือยังเห็นว่ากายนี้เป็นเราอยู่ (คนทำสมาธิละเอียด หรือนิมิตละเอียด พิจารณาที่กายหยาบปรากฏ ถ้ายังยึดติดที่กายและจิตก็ยังไม่พ้นขันธ์
    สังเกตุจิตตรงตัณหา อุปทานได้ถ้าไม่ลำเอียงย่มอพบความจริง)
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ถ้าจะถอนอุปทานเสียได้มีแต่สติอย่างเดียวคือ เห็นไปที่กายและจิตที่มีว่าไม่ใช่ตัวตนเค้าเรา จึงจะถอนอุปทานเสียได้[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ถ้าไปอยู่ที่ความละเอียดของจิต มันก็จะลึกเข้าไปตามลำดับของวงจิต[/FONT][FONT=&quot]ถึงขั้นเรียกว่าดับจิตชั่วคราวดั่งกับพรหมลูกฟักก็มี[/FONT][FONT=&quot]หนีอารมณ์ดับสัญญาแต่ได้เท่าที่กำลังส่งให้พอหมดก็ต้องเกิดใหม่[/FONT][FONT=&quot]ไม่พ้นเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]การจะพ้นโลกต้องหยั่งพิจารณามาที่กายและจิต ไม่ใช่นิมิต หรือที่ สุขประณีต[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เราสามารถสำรวจใจภายในเวลาที่จิตหยาบปรากฏ มีขันธ์ปรากฏ มีโลกปรากฏ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ว่าใจมันยังมีอุปทานในขันธ์ได้หรือไม่ นั่นก็คือ ใจยังมีราคะ โทสะ โมหะปรากฏ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ใจยังติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อีกหรือไม่ พิจารณาได้ ตรงแรงผลักของตัณหา ความหิวอารมณ์[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ตรงน้องที่เข้าสมาธิลึกติดที่สุขประณีต[/FONT][FONT=&quot]นี่ก็เพราะอำนาจเดิมที่มีปัญญาเข้าไปแยกแยะ ว่ายังไม่ใช่[/FONT][FONT=&quot]มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาด เพราะทุกข์ยังปรากฏ กิเลสยังปรากฏ

    [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แม้อุปทานในขันธ์ก็ยังปรากฏ[/FONT][FONT=&quot]ตรงนี้น้องเค้ามีปัญญาพิจารณาไตร่ตรองซึ่งเป็นคุณของบัณฑิต[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งที่น้องเค้าลืมคือ อริยสัจ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมอันเป็นเครื่องลื้อถอนภพ....[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คือต้องรู้ทุกข์เสียก่อน ไม่ใช่ละเอียดแล้วจะพ้น เพราะสภาพสันติสุขแท้จริงคือพ้นจากกิเลส พ้นจากอุปทานที่ไปยึดขันธ์...[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อน้องเค้ามาศึกษาพรากเพียรด้วยตนเองก็เริ่มเข้าใจว่า มีแต่มหาสติ เมื่อ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]นำเอากำลังสมาธิที่ทำมาดีแล้วมาใช้ จึงพบจิตตน...[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]และสามารถแยกกายและจิตอย่างเด็กขาด แยกรูปแยกนามได้อย่างถูกต้อง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]และเริ่มเห็นว่ากายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ นี่ทำได้ง่ายก็วาสนาเดิมอีกที่เคยเดินมรรคมาแล้วจึงทำได้ง่าย[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็ขอส่งแรงใจให้สู้ต่ออีกไม่นานบัวอาจจะบานอีกช่อหนึ่งในเว็บพลังจิตก็ได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อน้องเค้าพบคำว่า อิสรของจิต มองเห็นกิเลสแล้วอดหัวเราะมันไม่ได้ว่าเข้าใจและมันทำอะไรไม่ได้...จิตยิ้ม
    ความเสรีเป็นไทจิตที่แหวกอาสวะในชั้นแรกจะมีสภาพที่ทำให้โกราหล
    ไปทั่วทุกภพเพราะอำนาจที่สะสมมาหลายกัลป์พอบรรลุธรรม
    เข้าใจธรรมชาติตรงแวบเดียว ไม่กี่ขณะก็พ้นอำนาจของกิเลสมารได้

    คุณ อิสสสริย ก็ทำมาดีแล้ว อย่าติดตรงละเอียด สุข ปราณีตนะครับ
    แต่ตรงที่รู้ว่าละเอียด รู้ว่าปราณีตนี่ละจะเห็นความจริงของสัจจ
    เห็นรูปนามความละเอียดมันเกิดดับถี่ยิบและเห็นรูปนามจากละเอียดมาเป็นความหยาบของจิต
    ช่วงที่ถอนจิตที่เห็นจิตจะรู้แจ้งตรงนาทีทองที่ถอนมาอยู่กับโลกปกติ
    นี่คือนาทีทองของสมถยานิกจากละเอียดมาหยาบครับ
    ขออนุโมทนในกุศล
    ผิดพลาดขออภัยครับ อ้องก็อ่านมามากไปหน่อยแค่นั่นอาจจะผิดพลาดได้เสมอครับ...

    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2009
  8. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    "อิสรของจิต มองเห็นกิเลสแล้วอดหัวเราะมันไม่ได้ว่าเข้าใจและมันทำอะไรไม่ได้...จิตยิ้ม
    ความเสรีเป็นไทจิตที่แหวกอาสวะในชั้นแรกจะมีสภาพที่ทำให้โกราหล
    ไปทั่วทุกภพเพราะอำนาจที่สะสมมาหลายกัลป์พอบรรลุธรรม
    เข้าใจธรรมชาติตรงแวบเดียว ไม่กี่ขณะก็พ้นอำนาจของกิเลสมารได้ "


    อยากสัมผัสความรู้สึกนี้จังครับ ถ้าคนเราไม่เคยมีของเก่าแต่ชาติก่อน พึ่งมาเริ่มต้นชาตินี้เป็นชาติแรก มีโอกาสที่เดินทางไปสู่นิพพานหรือไม่ครับคุณอ้อง
     
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    วาสนาเดิม(คุณกองกอย)

    ณ จุดที่เริ่มต้น ...
    เราไม่รู้ว่าเราเริ่มมาศึกษาพระธรรมตั้งแต่พุทธศาสนาพระองค์ใด
    เพราะกว่าที่เราจะเข้ามาถึงซึ้งความเข้าใจในพระธรรมอันบริสุทธิ์ก็ยากพอควรอยู่

    ในเรื่องของการทำสมาธินั้น อ้องเชื่อว่าพวกเราต่างก็เคยทำมากันไม่น้อยละครับ
    แต่ความเข้าถึง เข้าใจในอริยสัจ๔นั้น น้อยมาก

    เราสามารถสำรวจใจเราว่าในภพนี้ เราเชื่อมั่นในพระศาสนาและเริ่มเดินทาง
    ในสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่งมงายอีกต่อไปหรือไม่
    เราเริ่มเดินทางถูกหรือไม่

    ถ้าใจเรายังติดโลกและยังปล่อยเวลาไปอย่างประมาทก็เป็นจริตนิสัยที่ยังลอยไปเรื่อยๆ
    ค่อยๆทำ ทำเมื่ออยากจะทำ เบื่อแล้วทิ้ง ตรงนี้กว่าจะสะสมขันติในใจและปัญญาก็
    คงจะนานและคงไปพบพระพุทธเจ้าอีกหลายพันหลายหมื่นพระองค์

    เพราะจริตนิสัยที่หวังเอาน้ำบ่อหน้า เอาแบบง่ายๆเผื่อฟลุ๊คฟังธรรมบทเดียวปิ๊งๆ
    อ้องบอกได้เลยว่ายากมั๊กๆ
    เพราะคนที่ฟังธรรมบทเดียวปิ๊ง อ้องสำรวจใจในธรรมบทเดียว
    ที่อ้องเพียรอบรมมาตั้งหลายสิบปี ยิ่งทำก็ยิ่งเข้าใจแต่ก็ยังไม่ปิ๊ง

    นั่นก็คือ ธรรมที่ไหลไปหาเหตุ เป็นเรื่องธรรมดา แค่นี้ต้องเพียรดูมาไม่รู้เท่าไหร่

    กรณีของคุณกองกอย อ้องรับรองเลย รวมทั้งเพื่อนๆที่เข้าใจในเรื่องการอบรมสตินั้น

    อ้องเชื่อว่าทำมาหลายภพชาติมากแล้ว
    เพราะการที่ใจจะยอมรับอะไรซักอย่างหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ
    การยอมรับและลงมือกระทำยิ่งยาก และลงมือแล้วเริ่มเข้าใจยิ่งยาก และยากที่สุดคือ รู้สึกว่าเดินทางถูกแน่

    ส่วนวาสนาแห่งการหลุดพ้นก็เหมือนธรรมชาติที่รอวันสุกงอม
    อวิชชาเราทำลายไม่ได้ เราต้องรู้อวิชชาและสิ่งที่เข้าไปรู้ก็คือ วิชชา(ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง)
    เอาแสงสว่างมาขับไล่ความมืดบอดออกไปจากใจ
    พระโสดาจึงเห็นคำว่ากลวงๆ ไม่ใช่ีกายเราปรากฏ เป็นแต่สิ่งที่ถูกรู้นี่ก็เพราะละสักกายะทิฎฐิได้เด็ดขาดแล้ว

    สติที่อบรมมาดีแล้วเท่านั้น ที่จะทำลายความมืดบอดเสียได้
    ดังนั้นพวกเราในการที่ต่อสู้กับกิเลสนั้น

    อ้องบอกได้ว่า ต้องอดทน ในสิ่งที่เบื่อหน่าย ฝืนอารมณ์ตนเอง
    เซ็งและไม่อยากทำ ที่ต้องสละอารมณ์ ที่ต้องเข้าไปรู้ ทั้งๆที่เราทำตัวสบายๆมาก่อน
    พอมาภาวนา ทุกอย่างมันน่าเบื่อไปหมด ต้องต่อสู้กับใจตนเองในเบื้องต้น

    ดังนั้น ในเบื้องต้นก็ปราบเซียนที่จะฝืนย้อนทวนกิเลสได้หมื่นคนนับได้ซักกี่คน
    โดยมากจึงไปหลงเครื่องมือ ชอบสบายๆ ชอบฟังครั้งเดียวปิ๊ง รับลองปิ๊งแน่
    หลายอสงขัย อีกเศษแสนมหากัลป์ แหะๆ

    การอบรมสติ ในช่วงแรกเริ่มจึงต้องอดทน ที่ต้องรู้เพื่อสละอารมณ์
    เพราะ จิต สติ อารมณ์ ที่ปรากฏเสมอภาค สิ่งที่สบายๆเหมือนดั่งใจจะไม่มี
    เรามีงานตัวเดียว คืองานรู้ทุกข์ ดังนั้น งานตัวนี้ สรรพสัตว์ที่หนีทุกข์
    พอให้มารู้ทุกข์ก็บ๊ายบาย หายหัว...

    การเข้าไปรู้ทุกข์ช่วงแรกลำบาก ยากพอดู เพราะไม่ชิน แต่พอชินแล้ว
    ไม่ยากอย่างที่คิด และจะสบายๆ เสรี ทุกข์ สุุขก็สั้นลง มีความรู้สึกถึงความอิสร
    พ้นอำนาจการปรุงแต่ง แม้จะชั่วขณะก็ดี แต่เราจะเข้าใจคำว่า

    การขัดเกลากิเลสที่อารมณ์มาปรากฏ และเราจะวางอารมณ์ได้อย่างไร

    สิ่งเหล่านี้ คือวาสนาเดิมของพวกเราที่พรากเพียรศึกษามาทั้งสิ้น
    และคนที่จะเข้ามาทางธรรม อ้องบอกได้ว่า

    ในยุคที่เต็มไปด้วยกิเลสที่มีอำนาจมาก ตัณหาละเอียด รูปนามในสิ่งล่อหลอก
    ที่ละเอียดแต่ พวกเรายังปลีกหนีมาได้ นี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

    คุณกองกอยเองการเลิกเหล้าก็ทำแบบเห็นทุกข์เห็นโทษ และเลิกเสียได้นี่ก็ต้อง
    มีขันติในใจมากโขอยู่

    ขอให้เดินทางกันอย่างถูกต้องนะครับ พระธรรมไม่ยากแค่รู้สึกตัวธรรมดาไปเรื่อยๆ สรุปตรงรู้ รู้แล้วจบไป นับหนึ่งใหม่ นี่เป็นหลักของหลวงพ่อเลยนะครับ
    ทำตัวสบายๆ ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติแบบอิสรเสรี รู้สึกตัวจนชินเมื่อไหร่

    สมาธิจะปรากฏมากขึ้น สติตื่นจะปรากฏ ความรู้ชัดจะรู้เอง
    อนุโมทนาครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2009
  10. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +372
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับการอธิษฐานของคุณอ้อง


    ขอส่งกำลังใจ ด้วยคุณงามความดีที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ทั้งหมด ให้คุณอ้องสมประสงค์ดังคำอธิษฐาน เทอญ

    chearrchearrchearrchearrchearr
     
  11. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อนุโมทนา สาธุครับ คุณอ้อง เหมือนเส้นผมบังภูเขา การที่ได้มาสนใจธรรมได้นี่ก็ไม่

    ธรรมดาแล้ว คน 1 ล้านคนจะมีสนใจธรรมสักกี่คน........

    ผมเองคงจะใจร้อนเกินไปครับ อ่านของคนอื่นสำเร็จโน้นสำเร็จนี่ ของเราเงียบยังกะ

    ป่าช้า สงสัยจะไม่มีบุญเก่า 5 5 5 5 เลยทำให้ท้อในบางครั้งครับ

    เคยสบายมานานพอมาปฏิบัติแล้วรู้สึกลำบาก แล้วไม่เห็นผลก็เลยทำให้ไม่มีกำลังใจฝึก

    เรื่องของจิตนี่มันไม่เหมือนการทำอย่างอื่นเลย ต้องสู้ด้วยตัวคนเดียวโดด ๆ ตามลำพัง

    ผมทึ่งคนที่เขาฝึกสำเร็จจัง ไม่ใช่ของง่ายเลย แล้วยิ่งสามารถตัดกิเลสทั้งหลายได้หมด

    สุดยอดครับ สาธุครับทุกคน ยังไงผมก็ปักธงลงใจไปแล้ว ชาตินี้ถ้าไม่สิ้นลมหายใจ

    แม้ลำบากแค่ไหนก็จะเดินต่อไปครับ ขอให้สหายธรรมทุกท่านสมหวังในนิพพานทุกท่าน
     
  12. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอนุโมทนาบุญในการทำบุญบ้านที่ผ่านมา และต้องขอโทษที่ส่งข้อความมา2ครั้งเพราะคิดว่าคลิกครั้งแรกไม่เข้าค่ะ วันที่ทำบุญบ้านนั้นผ่านไปด้วยดี ด้วยใจที่อิ่มไปด้วยบุญกุศล เพราะไม่คิดว่าการที่มาอยู่ที่อังกฤษ จะได้มีโอกาสทำบุญบ้านครบสูตรเหมือนที่ได้ทำที่เมืองไทย วันนั้นท่านพระอาจารย์อุทัย ฌานุตตโม ประธานสงฆ์แห่งวัดป่าห้วยลาด พระสุนทร กตสาโร เจ้าอาวาสวัดป่าด่านแก้ว จ.เพชรบูรณ์ และ พระถนอม
    เขมโก แห่งวัดสันติธรรม จ.เชียงใหม่ ได้ร่วมกันสวดมนต์ ทำน้ำมนต์ ประพรมให้ทั่วทั้งบ้าน
    และท่านยังได้เจิมบ้าน เจิมรถให้อีกด้วยค่ะ เพื่อนๆพี่ๆที่มาร่วมกันทำบุญในวันนั้นต่างมีความสุขปลื้มปิติกันทุกคนค่ะ ดิฉันและครอบครัวได้ร่วมทำบุญสร้างวัดป่าเทสรังสี ประเทศอังกฤษอีกด้วย ซึ่งการสร้างวัดป่าแห่งใหม่นี้ นับเป็นวัดป่าสายธรรมยุตแห่งแรกของประเทศอังกฤษ ซึ่งได้กำลังริเริ่มโครงการร่วมกันระหว่างท่านพระอาจารย์อุทัย และคนไทยในอังกฤษ ขอให้ทุกคนได้ร่วมอนุโมทนาให้การสร้างวัดป่าแห่งใหม่นี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีนะคะ

    ภาพพระพุทธรูปที่อยู่ทางซ้ายมือ ที่ดิฉันได้นำมาเปลี่ยนแทนรูปเดิมนั้น เป็นพระพุทธรูปที่เพิ่งได้มาในวันทำบุญบ้านค่ะ เรียกว่าพระสัพญญู รู้แจ้ง สามแดนโลกธาตุ ค่ะ ซึ่ง ท่านพระอาจารย์อุทัย ฌานุตตโม ได้นำข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองไทย ให้คนไทยที่อังกฤษได้เคารพบูชาค่ะ

    บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาิติจนถึงปัจจุบันชาติ ตลอดจนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้ตั้งใจร่วมสร้างวัดในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญให้กับทุกๆท่าน ให้ทุกๆท่านมีความสุข สงบ มีความเจริญในพระธรรมมากยิ่งขึ้นในชาตินี้และเข้าสู่แดนพระนิพพานสมดังใจปรารถนาด้วยเทอญ....
    [​IMG]
     
  13. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ก่อนอื่นต้องขอโมทนากับคุณอ้องก่อนนะคับที่นำแต่สิ่งที่ดีๆมาแนะนำผมชื่อเบนซ์คับถ้างัยขอติต่างเรียกคุณอ้องว่าอาอ้องเหมือนกะตั้มนะคับ

    เพราะดูๆแล้วจะยังพอเรียกได้ฮ่าๆเบนซ์เองตั้งกะเด็กก็ชอบการนั่งสมาธิและทำบุญมาจนติดเป็นนิสัยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะรัยแต่คุณพ่อที่บ้านจะ

    บอกว่าเบนซ์เป็นลูกพระธุดงค์เหตุเพราะว่าตอนที่คุณแม่ตั้งท้องนั้นมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดอยู่ในสวนของคุณตา คุณแม่กับคุณยายท่านก็

    เลยนำของไปถวายท่าน พอท่านรับของที่ถวายก็พูดกับคุณยายว่ามีกล้วยน้ำว้ารึเปล่าจะมนต์กล้วยให้ทาน(ทางเหนือการเสกคาถาเรียกว่าเป่า

    มนต์อะคับ) คุณยายจึงไปนำกล้วยน้ำว้ามาให้ท่าน จากนั้นท่านก้มนต์กล้วยให้แม่เบนซ์ทานแล้ว บอกกับคุณแม่ว่าถ้าลูกที่เกิดมาเป็นชายจะมี

    ตัวอักขระติดตัวมาอยู่ที่หางคิ้วขวา แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่มีอะรัยติดตัวมาเลย หลังจากนั้นคุณแม่ก้จะมีอาการปวดท้องและหมดแรงไม่สบาย

    และแพ้ท้องทุกๆ7วัน(ประมาณนี้อะคับจำวันที่แน่นอนม่ายค่อยจะได้) หลังจากนั้นไม่นานพอคุณแม่ท่านคลอดเบนซ์ออกมาทุกคนจึงได้เห็น

    กันแบบจะๆตาว่าบนหางคิ้วขวาของเบนซ์มีตัวอักขระติดมาจริง...ที่ทางพระท่านเรียกตัวนี้ว่าตัว (อุลุณาโลมหรือตัวเลขเก้ากลับหัวอะคับ) ดัง

    นั้นผมจึงเป็นคนที่ถุกคุณพ่อล้อมาตลอดว่าผมม่ายช่ายลูกท่านแต่เป็นลูกของพระธุดงค์ (เสียน้ำตาไปหลายปี๊บแล้วเหมือนกานแฮ่ๆ) พอเริ่ม

    โตขึ้นมาเบนซ์ก็เริ่มสนจัยการนั่งสมาธิโดยใช่หลักของการ บริกรรมพุทโธของหลวงปู่มั้น แล้วกำหนดรู้ตามดูลมหายจัยเข้าออก จนมีอยู่ครั้ง

    หนึ่ง เบนซ์จำได้ว่าช่วงนั้นโกรธกันกับคุณแม่อยู่ จึงประท้วงด้วยการไม่ทานข้าวเย็น จึงตั้งหน้าตั้งตานั่งแต่สมาธิ แต่ก็รู้สึกว่าการที่เราไม่ทาน

    ข้าวเย็นนั้นมันทำให้เราตัวเบา กายเบาจริงๆคับ ใจไม่ฟุ้งซ่านจริงๆ จนมาถึงตอนที่เบนซ์เริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดดูลม และ

    ตามลมอยู่นั้น ซึ่งตามปกติแล้วจะทำอยู่แบบนี้บ่อย ๆ ไม่ว่าจะตอนตื่นเช้า นั่งรถนักเรียนไปเรียนยิ่งถ้าช่วงหน้าหนาวแล้วจะสนุกและมีสติกับการ

    กำหนดลมหายใจเป็นอย่างมาก เพราะรู้สึกว่าถ้าเราสามารถควบคุมลมได้แล้วมันทำให้ไม่รู้สึกหนาวเลย หรือถึงหนาวก้จะไม่หนาวมากก็แค่อุ่นๆ

    อะคับ มาต่อกันถึงตอนที่เบนซ์เริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกนะคับ พอจิดเริ่มนิ่ง สมาธิเริ่มจะมีกำลัง ทันใดนั้นเบนซ์กลับรู้สึกว่า ตัวเองมันหาย

    ไปใหน ความรู้สึกมันเหลือแต่หัว มันเหลือแต่ห้วจิงๆนะคับจนน่าตกจัย แต่ด้วยความที่เป็นคนสนจัยเรื่องแบบนี้และอ่านมาเยอะจึงรีบตั้งสติ

    กำหนดรู้ที่ลมหายใจต่อ ตามดูว่ามันเข้าแล้วกระทบตรงใหน แล้วมันไหลไปสิ้นสุดที่ตรงใหน ทำไปทำมาซักพัก ทีนีหัวก็ม่ายมีแย้วคับ มันเหลือ

    แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนมากขึ้นมากขึ้นจนสามารถตามดูรู้ว่ามันเข้าออก และมันสิ้นสุดลงตรงไหน มันชัดจนกลัวว่าจะไม่สามารถกลับออกมาได้

    อีก (ด้วยความเป็นเด้กและพึ่งจะเคยเจอกับสภาวะแบบนี้)จึงออกจากสมาธิ แต่ในขณะที่จะออกก้ยังมีสติรู้ตัวอยู่นะคับ จึงค่อยประคับประคอง

    ลมหายใจแล้วออกจากสมาธิ (เพราะจำได้ว่าถ้าตกใจจากการนั่งสมาธิอย่ารีบออกจงตั้งสติ และกำหนดรู้ดูตามอารมณ์ ณ ขณะนั้นว่ามันเป็น

    อะรัย) อีกอย่างเพราะเคยตกใจจากการตกภวังค์มาก่อนแล้ว....มันน่ากลัวมากพอรีบออกจากสมาธิมันจึงทำให้เราตื่นกลัว ใจสั่น เหงือแตกซิก

    เลยคับ กลับมาที่ตอนจะออกจากสมาธิกันต่อนะคับ พอเบนซ์ออกมาได้ความรู้สึกดังกล่าวมันก็ยังไม่หาย เพราะมันเหลือแต่ลมหายจัยล้วน มัน

    รู้ของมันอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอด มันชัดมาก และละเอียดจนเราไม่คิดว่าเราจะตามรู้ดูได้ชัดขนาดนี้ เบนซ์พยามๆอยู่นานมาก จำได้ว่าจนดึก

    ประมาณจะตี1-2 กว่าจะนอนได้ตามปกติ เพราะกลัวว่าจะตื่นนอนไปโรงเรียนม่ายไหว เพราะในสมัยนั้นเด้กที่เรียนโรงเรียนประจำจังหวัดหรือ

    โรงเรียนในเมืองต้องตื่นตั้งแต่ตี่5 เบนซ์พยามที่จะลืมความรู้สึกแบบนี้จนเหนื่อยแล้วเพลียจนหลับไปตอนไหนก็ม่ายรู้คับ แต่พอตอนหลังมานั่ง

    ทำใหม่ก็ทำไม่ได้อีกแล้วมันเหลือแต่ความนิ่งเพียงอย่างเดียวอะคับ จนมาถึงทุกวันนี้เบนซ์มักจะใช้วิธีการฝึกแบบเดิม แต่จะเพิ่มการเดินลม

    แบบโยคีที่กำหนดเป็นรูปของพลังงานให้ไหลวนไปตามกระดูกสันหลังจนไปทะลุกลางกระหม่อม แล้วจะรู้สึกโปร่งและก็โล่งมากๆเลยคับ สุด

    ท้ายนี้รบกวนคุณอาอ้องช่วยแนะนำการปฏิบัติของเบนซ์ด้วยอะคับว่าผิดถูกยังงัย บ้าง และควรปรับปรุงแก้ไขอะรัยบ้างffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>


    ขอบพระคุณในความเมตตาไว้ล่วงหน้านะคับคุณอา ....จากเด็กน้อยที่ใฝ่ธรรม*-*<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2009
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คุณกองกอย

    สิ่งที่ครูอาจารย์เตือนฆราวาสมากที่สุดคือ
    ฆราวาส หวังมากเกินไป แต่เอาแต่ตั้งความหวัง ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง
    ท่านบอกสิ่งที่ผิดพลาดของฆราวาสคือ การไม่ต่อเนื่อง...

    คือทำเอาตอนที่อยากจะทำก็เร่งซะจนเกินพอดี มันก็แข็งๆ พอทำไป
    งานที่รู้ทุกข์ล้วนๆ พอเริ่มต้นก็ตั้งใจซะเต็มที่ พอทำไม่มีผลงาน ใจก็ฝ่อ
    เบื่อหน่าย เซ็ง ไม่มีผลงาน

    จริงๆงานภาวนานั้น เรามารู้ทุกข์ล้วนๆ ที่ตั้งของทุกข์ก็ที่กายที่ใจ
    เราต้องวางงานให้ถูก และต้องอดทน ต่อสู้มากๆ ในช่วงแรก

    อ้องบอกตรงๆช่วงแรก เบื่อมาก เอาปัญญานำเพียบ อยากตรึม อยากเป็นเหมือน
    ครูอาจารย์ อยากบรรลุธรรมเช่นเดียวกับผู้เข้าถึง มันเป็นสภาวะธรรมชนิดหนึ่ง
    ที่เรียกว่า อวดตน อยากเก่ง อยากดี จะได้สบายๆ

    นี่กิเลสเพียบเลยนะ แล้วเป็นกิเลสชนิดละเอียดที่ไม่รู้ตัวลึกๆอยู่ภายในด้วย
    พอสำรวจจิตตัวเราเอง ...โห อ้องหลงดีซะเพียบเลย

    ทำสมาธิก็อยากให้มันเข้าอัปนาณานบ่อยๆ...
    สัญญาสมาธิตัวที่จะเข้าไปในภพ ก็พยายามจะเข้าก็ยิ่งจบเห่เลย

    หลงเพียบ... ตรงนี้เรื่องกัลยณมิตรจึงสำคัญมากๆนะครับ

    เราทำสมาธิเพื่อเอากำลังเพื่อพบใจ แล้วก็ขัดเกลามันที่กิเลสคือ อวิชชา ตัณหา
    อุปทาน นี่ละ จึงจะหยุดสร้างกรรมได้ เมื่อจิตไม่ไปกระทำให้่มีสังขาร หยุดเสีย ภพน้อยใหญ่ที่ปรากฏตลอดเวลาก็หยุด ...

    อ้องคงบอกว่า ในระหว่างวันเรามาเจริญสติ อบรมสติ จนกำลังของสติเป็นสติบริบูรณ์ เมื่อนั้นเราก็จะเริ่มลื้อถอนภพได้ครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนาคุณ Kcsn

    เราทำบุญเพื่อ อนุเคราะห์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข
    บุญที่สละออก ทำด้วยใจ มีอำนาจมากมีผลที่จิต ที่ใจ มีผลในการภาวนา
    มีผลแห่งสันติสุข เพราะทางแห่งสันติ คือสะอาด บริสุทธิ์ สละออก
    สลัดคืน คลายความยึด

    บุญที่คุณKcsnทำเอาไว้จึงมีผลมาก เพราะจะเกื้อกูล อนุเคราะห์ และเป็นประโยชน์
    ต่อบุคคลอื่นๆที่เข้ามาพึ่งร่มโพธิ์ ร่มไทรของศาสนาแห่งสันติสุขเช่นนี้ครับ

    อนุโมทนาในกุศลที่กระทำเอาไว้ดีแล้ว

    อ้องครับ
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องเบนซ์

    น้องเบนซ์ครับ
    คงไม่ใช่ลูกพระธุดงค์หรอกครับ แต่เป็นพระธุดงค์เลยหล่ะในภพเก่าก่อนแน่ๆ
    เพราะลงถ้าติดสัญญาในการทำสมาธิพุธโธเป็นอารมณ์มาละก็นี่ อำนาจเก่า
    แหะๆ อาอ้องก็เหมือนเบนซ์นี่ละ

    ไปเข้าฝันโยมแม่ แม่บอกมีพระมาขอเกิด แม่ก็ยิ้มๆ ยินดี ไม่นานก็มีครรภ์อ๊ะนะ..

    สมาธิที่ทำอยู่จิตมันทิ้งกายนะ แต่ไปชัดเอาีที่หัวจิตมันรวมที่ตรงหัว ที่เราเพ่งเข้าไปนะ เลยเหลือตรงลูกตาขึ้นมา พอกายสงบต่อ จิตรวมอีก ก็หายหมดละ
    รู้สึกเหมือนอยู่ภายในเงียบๆ นิ่งๆ สงบๆ เบาสบาย มองไม่เห็นกาย นี่คือเหลือแต่จิตละ ก็ต้องดูต่อไป

    สมาธินะทำเพื่อให้มีกำลัง นอกนั้น ก็ให้รู้สึกตัว รู้สึกที่กาย หรือที่จิต ให้มีสติ
    เพื่อให้สติพัฒนาเป็นสัมมาสติ เพื่อพบความเที่ยงธรรมของใจที่จะปรากฏเกิดขึ้น
    สิ่งนอกเหนือจากนั้น ไม่ว่าปิติ สุข นิมิต ให้รู้สึกถึงความมี ความเป็น

    และละวางเสียด้วยการไม่ใส่ใจ อย่าพึ่งไปพิจารณาอันใด ถ้าสมาธิยังไม่ตั้งมั่น
    เมื่อตั้งมั้นจะเข้าใจถึงความเที่ยงธรรม เหมือนพ่อแม่ที่รักลูก
    แต่มีลูกเกเร ลูกดี ก็ต้องมองแบบ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีใจเป็นธรรม

    เพราะบางครั้งไม่ใช่ว่าลูกดีจะถูกเสมอไป ลูกเกเรจะผิดตลอดเวลา
    ทำสมาธิแล้วก็ให้รู้สึกตัวอยู่ภายใน

    อาอ้องเรียกว่า การรักษา จิตแจ่มใส ไม่เอาเคลิ้ม วูบเข้าไป แบบทิ้งกายทั้งหมด
    แล้วไปจมแข่กับจิตที่ละเอียด อาอ้องเรียกว่าเหมือนการเข้าสปา ไปนวดตัวนะ
    มันสบายๆตลอดเวลาเลย ลืมกายลืมใจ แต่ถ้ารักษาจิตแจ่มใส มีสติที่ไม่ทอดทิ้งธุระซะแล้ว

    ไม่ว่าจะละเอียดปานไหน อาอ้องก็จะรู้สึกถึงความจริงของจิตที่เป็นสภาวะธรรมเสมอ เพื่อตื่น เพื่อรู้ เพื่อจดจำ เพื่ออบรมสติ เพื่อให้สติมีกำลังจนเป็นมหาสติบริบูรณ์ จึงทำลายกิเลสทั้งปวงได้ครับ

    ยากสำหรับเบนซ์นะ...
    เอาสมาธิก่อนนะ ทำในเวลาที่เราสบายๆ
    ส่วนระหว่างวัน ให้รู้สึกตัวสบายๆ ยืนเดินนั่งนอน เหลียว เหยียดคู้ ตึงหย่อน
    ทำเหมือนตั๊มอ๊ะนะ

    อนุโมทนาไม่เข้าใจอะไรก็ลองถามมาดู อาเข้าใจนิดหน่อยก็พอจะบอกกันได้ครับ
     
  17. ฟลัฟฟี้

    ฟลัฟฟี้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +132
    มีอะไรคล้าย ๆคุณ rihchang ล่ะค่ะก็อยากถามเหมือนกัน มีญาติคนหนึ่งเค้าเป็นคนก้าวร้าวมาก ชอบพูดประชดประชันแดกดัน แม้แต่ญาติผู้ใหญ่เช่น ยาย ยายทวด ป้า น้า อา ไม่เว้น แม้แต่ผู้เป็นแม่ ยายทวดเกลียดเหลนคนนี้มากเลย ตอนหลังเค้ามีปัญหาหย่ากับสามีก็ปฏิบัติธรรมมาก ๆๆๆๆๆ เลย สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกเช้าเย็นทีละ 2-3-4 ชั่วโมงประจำ จนได้มโนมยิทธิ แต่นิสัยนี้ก็ยังเป็นอยู่ ที่ข้องใจดิฉันนักนั้น มีพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งทำนายว่าเค้าจะมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น ดิฉันและญาติ ๆรอบข้างก็งงพอประมาณ มิได้ปรามาสพระรูปนั้นหรอกนะคะ แต่ทุก ๆคนรอบข้างเห็นความก้าวร้าวของญาติผู้นี้ต่อญาติผู้ใหญ่อยู่มาก แม้แต่เดี๋ยวนี้เมื่อเร็ว ๆนี้ก็เถียงทะเลาะกับผู้เป็นแม่ทั้งวัน ก็เลยข้องใจกันว่าผู้ประพฤติเช่นนี้จะได้มาเกิดอีกเพียงชาติเดียวหรือค่ะ เท่าที่รู้มาแม้เพียงภูมิธรรมของพระโสดาบันนั้น ทั้งศีล 5 ธรรม 5 อกุศลกรรม 10 นั้นท่านบริสุทธิ์นัก อยากได้คำอธิบายที่มีเหตุผลสูงสักหน่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณฟลัฟฟี้

    การที่จะดูว่าบุคคลใดจะบรรลุธรรมได้นั้น โดยมากแล้วครูอาจาย์จะไม่มาพูด
    เพราะจะทำให้บุคคลผู้นั้นประมาท แต่ถ้าบุคคลผู้นั้นสามารถจะพึ่งพาตนเองได้แล้ว
    เพราะท่านสอบอารมณ์ที่ฝึกอบรมมาก็ดี หรือผู้ฝึกได้ถูกการเข้าไปรู้ด้วย

    เมตตาธรรมของครูก็ดี ท่านเห็นจิตภายในก็ดีของผู้สว่าง สะอาดแล้วก็ดี
    ท่านก็จะสามารถที่จะพยากรณ์ได้ว่า บุคคลที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมเช่นนี้
    แม้ได้รับพยากรณ์แล้ววก็จะไม่ทนงตนเพราะเป็นผู้ที่ฝึกอบรมสติมาดีแล้ว

    ท่านก็จะสอนและให้ผู้ที่ถูกพยากรณ์เร่งเพียรชอบให้มากยิ่งขึ้นเพื่อความพ้นไป
    ตรงนี้คงต้องพิจารณาในส่วนของคำว่า

    ผู้ถูกพยากรณ์เป็นบุคคลที่ไม่ประมาทและมีความเพียรชอบและขัดเกลากิเลสตนเองได้มากขนาดไหน

    ถ้ายังสติแตกบ่อยๆ ก็คงต้องพิจารณาด้วยว่าอาจจะเนิ่่ช้าออกไป
    พระโสดานั้นท่านละสักกายะทิฎฐิคือเห็นว่ากายและจิตไม่ใช่เรา เชื่อมั่นในศีล และมั่นคงในพระรัตนตรัยแบบมั่นคง

    ถ้าจิตยังมีโทสะมาก ก็คงต้องขอพิจารณาทบทวนพยากรณ์ใหม่ว่า..
    ให้ผิดคนซะแล้วครับ แต่ถ้าแกล้งโกรธดั่งที่ครูอาจารย์แกล้งก็คงไม่มีกระไร
    แต่ถ้ากระทำหรือแกล้งต่อผู้มีพระคุณก็จะทำให้ ปัญญาเสื่อมถอย ทำลายปัญญาของตน

    พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ก็คงไม่ต้องไปทบทวนว่าการพยากรณ์ผิดหรือถูก
    แต่ดูเอาตอนสติแตกนี่ละ คงจะผิดตัวครับ...
     
  19. ฟลัฟฟี้

    ฟลัฟฟี้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +132
    ขอบคุณค่ะคุณอ้อง ที่กรุณาตอบและอธิบายอย่างแจ่มแจ้งจริง ๆขอบคุณค่ะ
     
  20. ฟลัฟฟี้

    ฟลัฟฟี้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +132
    บ้านสวยและดูสงบร่มเย็น น่าอยู่มากค่ะ ชอบบ้านทำเลคล้าย ๆอย่างนี้แหละ เวลาสวดมนต์ภาวนาสงบดี คือจิตยังไม่เข้มแข้งพอ ยังชอบที่สงบ ๆเงียบ ๆอยู่ค่ะ อิอิ อิอิ ยังติดอยู่น่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...