ความลับของรูปถ่ายพญานาค (Dragons of The Deep)

​

ความลับของรูปถ่ายพญานาค(Dragons of The Deep)<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O></O>​

<O></O>
คุณเคยเห็นภาพนี้หรือเปล่า?<O></O>

<O></O>
มีผู้อ้างว่า รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 27 มิ.ย. 2511 เมื่อทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว จับสัตว์ชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ชาวลาวเรียกกันว่า "นางพยานาก" หรือนางพญานาค หรือ นางพยานาก ในภาษาลาว (Queen of Nagas) วัดความยาวได้ ประมาณ <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:METRICCONVERTER w:st="on" productid="7.80 เมตร">7.80 เมตร</ST1:METRICCONVERTER><O></O>
<O></O>
นับเป็นเวลานานมาแล้ว..
<O></O>
ที่มนุษย์มีความเคลือบแคลง-สงสัย เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่มีชื่อว่า "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) <O></O>
มีนิยายเก่าแก่..ที่บรรยายถึงมังกรทะเลกล่าวไว้ว่า "มังกรทะเล มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง"

<O></O>
แต่สำหรับของไทย ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี

<O></O>


ชาวประมงต่างประเทศเคยพบสัตว์ประหลาดชนิดนี้ ขณะที่แล่นเรือหาปลาอยู่ในทะเล ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย<O></O>
ปัญหาของปลาลึกลับ ดังกล่าวนี้ นักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง ในที่สุด..ก็พบความจริงว่า<O></O>
"มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น
<O></O>
ที่แท้แล้วก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง.ที่เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH) นั่นเอง <O></O>
ปลาชนิดนี้มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต คลีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีคลีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน ปลาประหลาดชนิดนี้ หาดูได้ยากที่สุดในโลก <O></O>


เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง <ST1:METRICCONVERTER w:st="on" productid="3,000 ฟุต">3,000 ฟุต</ST1:METRICCONVERTER> และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง <ST1:METRICCONVERTER w:st="on" productid="200 ฟุต">200 ฟุต</ST1:METRICCONVERTER> <O></O>
แม้ว่า สัตว์ประหลาดชนิดนี้ จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร <O></O>
แต่ก็ไม่เป็นพิษ เป็นภัย กับมนุษย์ เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร และเป็นสัตว์โลกที่แสนสวยน่าดูมาก ไม่เพียงแต่ประเทศไทยหรือประเทศเพื่อนบ้านมันมีอยู่ทั่วโลก จึงไม่แปลกอะไรที่มีรายงานพบมังกระทะเลเกือบทุกมุมโลก
<O></O>
แต่ส่วนใหญ่น่าเสียดาย...เพราะส่วนมากจะพบในสภาพที่ตายแล้ว เพราะเมื่อมันพัดหลงมาน้ำตื่นเมื่อไหร่ มันก็จะตายทันที..... เวลาจะดองมันมักจะดองส่วนหัวเท่านั้นเพราะตัวมันยาวมากๆ เรื่องราวของปลาชนิดนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่น่าติดตาม และหากเกี่ยวพันกับเรื่องเล่าขาน หรือความเชื่อต่างๆ จริง ก็ยิ่งเป็นสิ่งพิศวงยิ่งนัก ที่ปลาลักษณะพิเศษนี้ มีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์มากจริง
<O></O>


แต่เราไม่ทราบว่า... <O></O>
ปลาที่มีลักษณะคล้ายพญานาคตามความเชื่อนี้ จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่? <O></O>
<O>
</O>ข้อมูลจาก http://www.saranair.com/article.php?sid=8002+ <STYLE type=text/css> BODY{ background:url(http://image.dek-d.com/4/604393/5036338.jpg); background-attachment:fixed; } </STYLE>+
<SCRIPT type=text/javascript><!--playSound();//--></SCRIPT>

 

รูปถ่าย หรือ การพบเห็นใดๆในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียง อยู่ในมิติเดียวกันกับมนุษย์เรา ซึ่งไม่ใช่พญานาคแน่นอน
เพราะเขาอยู่คนละภพภูมิกับเรา
มีโอกาสน้อยมากที่เขาจะมาปรากฏ"กายหยาบ"ในภพภูมิเรา เช่น มาฟังเทศน์จากพระอริยะสงฆ์พระป่า เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเป็นต้น
ดังนั้น รูปถ่ายต่างๆ การพบเห็นต่างๆนั้น 99.99% คือ ธรรมชาติหรือมนุษย์ทำขึ้น ไม่ใช่ของจริง
มีเพียง.01% ที่เป็นของจริง เช่น พระป่า ท่านเป็นผู้พบเห็น เป็นต้น นอกนั้น"ลวง"

 

รูปหายไปไหน

 

มองได้2ประเด็น

1.ปลาเนื้ออ่อนชนิดหนึ่งแต่มีขนาดใหญ่เท่านั้น

2.พญานาคร่างเล็ก หรือลูกพญานาค

ผมสันนิษฐานว่า ชาวบ้านสมัยเก่าเหนปลาแบบนี้ เลยเอามาอุปโลกเป็นพญานาครึเปล่า อะ

แต่ตัวจริง น่ากลัวกว่านี้เยอะ

 

ปลาออร์ฟิชคือในรูปที่ฝรั่งอุ้มค่ะ

ซึ้งจะไม่เกี่ยวกะพญานาค
เพราะปลาชนิดนี้
อยู่ในแม่น้ำโขงมิได้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องปลาออร์ฟิชค่ะ^^
ค่ะNARKA น่าจะพูดถูกค่ะเพราะ
พญานาคอยู่อีกพบนึงคนละภพกันค่ะ
แต่ก็นานาจิตตังนะคะ
ความเชื่อเหล่านี้ดึงดูดให้คนทำความดีเป็นพอ
ทำให้หันมาสู่พระพุทธศาสนาที่พญานาคท่านบำรุงอยู่
ถ้าพญานาคทำให้คนเห็นเป็นปกตินะคะ
โลกนี้ความลับคงหายากค่ะ^^
ข้อความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ
โปรดใช้วิจารณญาณค่าเอิ๊ก
สาธุ

 

เรื่องพญานาคนั้นเป็นที่ร่ำลือกันมาตลอด ไม่มีผู้ใดเห็นกับตาจริงๆ จะมีก็แต่จากคำบอกเล่าของพระธูดงค์ที่ได้พบเจอในสถานที่เร้นลับ จึงยังคงเป็นปริศนาของชาวโลกต่อไป