มรณสติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 11 เมษายน 2009.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    การพบกันครั้งสุดท้าย ก่อนตายจากไปนั้น..........ไม่มีเครื่องหมาย

    ไม่มีสิ่งใดเลย ที่จะแสดงให้รู้ว่า เมื่อเห็นกันแล้ว จะไม่ได้เห็นกันอีก.


    เมื่อเห็นตอนเช้า ก็อาจไม่ได้เห็นตอนเย็น

    หรือ เห็นตอนเย็น ก็อาจไม่ได้เห็นตอนเช้า.



    .



    ทุกคน เห็นตามความเป็นจริง ว่า

    ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยง หรือ ต่อรองความตายได้

    จะขอเวลาต่ออีก แม้เล็กน้อย ก็ไม่ได้.



    .



    ฉะนั้น การกล่าวถึง "ชีวิตของแต่ละคน"

    ก็ไม่พ้นไปจาก การพิจารณาสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และ เป็นไป

    ของแต่ละบุคคล

    ซึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย.



    .



    เมื่อพูดกันถึง "ผู้ตาย"

    ก็ควรจะได้ระลึกถึงสภาพจิตในขณะนั้น ว่า...แยบคายหรือยัง.!


    แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์

    ก็ควรจะเป็นความเบิกบาน ในพระธรรม

    ที่ได้เข้าใจความจริง อันเป็นสัจจธรรม

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรั้สรู้ และ ทรงแสดงถึง

    "ความธรรมดาของการเกิดซึ่งต้องมีการตาย"

    เมื่อเกิดแล้ว ที่จะไม่ตายนั้น...ไม่มี.!


    และการตายนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้เลย

    เมื่อเข้าใจความจริง ก็รู้ว่าความจริง เป็น สัจจธรรม.



    .



    ชีวิตเรา เป็น กระแสจิต

    ที่เกิดดับ สืบต่อกันทีละ ๑ ขณะจิต เรื่อยไปตั้งแต่เกิดจนตาย

    จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง.


    กิเลสทุกชนิด เกิดขึ้นเพราะได้สะสมมาแล้วในอดีต

    เมื่อ " ปัญญา" ยังไม่เจริญถึงขั้น "ดับกิเลส"

    กิเลส ก็เกิดต่อไปในอนาคต.



    .


    การระลึกถึง "ความตาย" เนืองๆ บ่อยๆ

    ย่อมมีประโยชน์ แก่การเจริญสติปัฏฐาน.


    เมื่อระลึกได้ ว่า อาจจะตายเย็นนี้ หรือพรุ่งนี้ ก็ได้

    ก็จะเป็นปัจจัย เกื้อกูลให้ "สติ" ระลึกรู้ "ลักษณะ"

    ของ นามธรรม และ รูปธรรม........ที่กำลังปรากฏ.


    เพราะว่า ผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    เป็น พระอริยบุคคล นั้น

    เมื่อจุติแล้ว ก็ไม่แน่นอนว่าจะปฏิสนธิในสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิ

    จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม และ เจริญสติปัฏฐาน อีกหรือไม่....



    .



    "การตาย"

    พรากทุกสิ่งทุกอย่าง จากชาตินี้ไป จนหมดสิ้น

    ไม่มีอะไรเหลืออีกเลย แม้แต่ ความทรงจำ.


    เหมือนเมื่อเกิดมาชาตินี้

    ก็จำไม่ได้ว่า...ชาติก่อน เป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร

    หมดความเป็นบุคคลในชาติก่อน โดยสิ้นเชิง ฉันใด.


    ชาตินี้ทั้งหมด

    ไม่ว่าจะเคยทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรมอะไรมาแล้ว

    เป็นบุคคลที่มีมานะในชาติตระกูล

    ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง...อะไรๆ ก็ตาม ก็จะต้องหมดสิ้น

    ไม่มีเยื่อใย หลงเหลือ เกี่ยวข้องกับภพนี้ ชาตินี้ อีกเลย.


    หมดความผูกพัน ยึดถือทุกขณะในชาตินี้

    ว่า "เป็นเรา" อีกต่อไป ฉันนั้น.



    .



    การประจักษ์แจ้ง "ลักษณะ" ที่แท้จริงของ ปรมัตถธรรม

    จะพรากจาก การยึดถือ "สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย" ว่า

    เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน.


    แม้แต่ "ความทรงจำ" ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปนั้น

    ก็เป็นแต่เพียง "นามธรรม" ประเภทหนึ่งเท่านั้น.


    "สติ" ที่ระลึกรู้ "ลักษณะ" ของนามธรรม และ รูปธรรม

    จน "ปัญญา" ประจักษ์แจ้ง สภาพธรรม (แล้วเท่านั้น)

    จึงจะพรากจากความเป็นตัวตน เป็นบุคคลในชาตินี้ได้

    ...........เมื่อ "ปัญญา" ได้ประจักษ์ "ลักษณะ"

    ที่เป็น "ขณิกมรณะ" ของสภาพธรรมทั้งหลาย.


    "มรณะ" หรือ "ความตาย"

    มี ๓ ประเภท คือ


    ๑. ขณิกมรณะ

    คือ การเกิดขึ้น และ ดับไป ของสังขารธรรมทั้งหลาย.


    ๒. สมมติมรณะ

    คือ ความตายในภพชาติหนึ่ง.


    ๓. สมุจเฉทมรณะ

    คือ การปรินิพพาน เป็นการตายของพระอรหันต์

    ซึ่งไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย.



    .



    โอกาสที่ป็นมนุษย์ในโลกนี้...กำลังหมดไปทุกวันคืน.

    วัย เสื่อมไปทุกขณะ ที่หลับตา และ ลืมตา.



    .



    ถ้าบุคคล ยังเศร้าโศกถึง "สิ่งที่ไม่มี" แก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น

    พึงเศร้าโศกถึง "ตน" ซึ่งยังตกอยู่ในอำนาจของมัจจุราชตลอดเวลา.



    .



    ในอัตภาพ...ซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ

    ต้องมีการพลัดพรากจากกัน โดยไม่ต้องสงสัย

    หมู่สัตว์ที่ยังอยู่...ควรเอ็นดูกัน

    ส่วนที่ตายไปแล้ว...ไม่ควรเศร้าโศกถึง.



    .



    ของหาย...คือตัวอย่างของการพลัดพรากเล็กน้อย

    ส่วนการตาย นั้น...ต้องจากทุกสิ่ง

    เพียงชาติเดียวที่พบกัน.....แล้วไม่ได้พบกันอีก

    ต่างคนต่างไป ตามกรรมของตน ที่ได้สะสมมา.



    .



    ภัยของชีวิต มีทุกขณะ

    เกิดมา เป็นบุคคลหนึ่งๆ เพียงชาติเดียว

    ไม่นาน...แล้วก็จากไป

    พ้นจากความเป็นบุคคลนั้น โดยไม่เหลือเลย.



    .



    โลกก่อน...ชาติก่อน ที่ทุกคนจากมา

    ไม่รู้ว่า ชาติก่อน.......ใครยังร้องไห้ คิดถึงเราอยู่

    ไม่รู้ว่า คนที่เกิดใหม่...เคยเป็นใครที่เราเคยรู้จัก

    จึงควรเมตตาต่อกัน.



    .


    ทำดีกับทุกคน...เพราะไม่รู้ว่า

    เมื่อไรจะจากกันไป จะต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้.

    ที่อยู่อาศัย...คือ ที่พักชั่วคราวในโลกนี้ เท่านั้น

    ไม่ควรกังวลจนเกินไป...แล้วก็จะจากไป.

     
  2. mayl8e

    mayl8e Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +55
    เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
    สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
    บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา
    เย็นอยู่หยอกลูกด้วย ค่ำม้วยดับสูญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...