ทำไงดีไม่มีสมาธิเลย มันลุกลี้ลุกลนไม่อยู่นิ่งเลย ใครก็ได้ช่วยที

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย micstudio, 11 มีนาคม 2005.

  1. นิรมิต

    นิรมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +171
    เอาใจช่วยนะ...
    ขอให้มีสมาธิไว ๆ
     
  2. jayzaza01

    jayzaza01 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
  3. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    อนุโมธนา ค่ะ

    ดีแล้ว ดีแล้ว ... แต่พี่จ้า เขียนติดกันมันอ่านยากจัง
    หนูปวดตาไปหมด

    ใจเย็นๆ น่ะจ๊ะ ขนาดเล่นกีฬาจะเอาให้เก่งยังใช้เวลา
    ฝึกกรรมฐานก็เช่นกัน ...

    ยังเดินไม่แข็ง พี่จ้าอย่าใจร้อน วิ่งตีลัง หมุนเกลียว 2 ตลบซิคะ
    ค่อยๆปล่อยวาง การปรุงแต่งของจิต ความคิดมันวิ่งเร็วยังกะจรวด

    ลุกลี้ลุกลน ก็หยุดมันซิค่ะ ใช้สติหยุด

    สติ สติ ต้องมั่น ใจเย็นๆ ค่อยๆ ตามดู .... หากสติเราตามดูรู้อาการรู้
    อารมณ์ทุกอย่างทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

    แนะนำแนวทางการเจริญสติค่ะ สติปัฏฐาน4 น่าจะเหมาะน่ะคะ

    เป็นกำลังใจให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปจ๊ะ ...
     
  4. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ไปอ่านห้องตามหาคุณยายที่รักคะ ให้จบทุกหน้าดดยไม่ลุกไปไหน ไม่อ๊วก ไม่ประสาทกิน ก็ถือว่าผ่านการคุมสมาธิขั้นเบื้องต้น อาการลุกลี้ลุกรนก็จะหายไป จะเกิดอาการใหม่ขึ้นมา

    เออ...ว่าแต่ว่าเจ้าของห้องนี้ตั้งคำถามแล้วหายไป แสดงว่าสมาธิกระเจิง

    เออ...งั้นถ้ากลับมาอีกที ไปอ่านที่ลิ้งค์ข้างล่างต่อนะ

    เห็นสวรรค์รำไรๆเชียวล่ะ
     
  5. ab

    ab เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2004
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +185
    เคยเป็นแบบนี้อยู่หลายปีเหมือนกันนะ ช่วงอายุประมาณ 18-21 อยากไปบวชมากเกือบจะเลิกเรียนไปเลย เพราะเรารู้สึกว่าไม่ได้แล้วนะไม่มีเวลาแล้ว ไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ตายไปจะทำยังไง ยังไม่พร้อมเลย ไม่อยากเกิดด้วย ต้องมาเริ่มเป็นใหม่เด็กอีกกว่าจะโต ต้องมาร้องไห้อีกกี่ครั้งเนี่ย ใจคิดอยากจะเร่งๆๆๆให้หาทางปฎิบัติธรรมที่ดีที่สุดให้ได้ คิดอยากจะไปอยู่ป่าคนเดียวปฎิบัติธรรมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยแต่ก็โดนห้าม แล้วก็ห่วงพ่อห่วงแม่มากอยากจะดึงเค้าให้มาทางนี้หาทางหลุดพ้นด้วยกัน พยายามพูดพยายามดึงจนเค้าก็มองว่าเราเพี้ยน แล้วอีกอย่างพ่อแม่ช่วงนั้นก็ไม่มีเวลางานเขายุ่งมากเกินไป......

    แล้วมาตอนนี้ล่ะเราเองก็ดันมาเป็นซะเอง เราเองก็หยุดการปฏิบัติธรรมไปช่วงนึงเลย ตอนนี้ก็มัวแต่มายุ่งเรื่องงานเฮ้อออ... ยุ่งมาจนทุกวันนี้การปฎิบัติธรรมก็ยังไม่คืบหน้าไปไหนเล้ยย....เซ็งตัวเอง.......
     
  6. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    สิ่งสำคัญที่สุดในสติปัฏฐาน 4 คือ ทรงอารมณ์ปัจจุบันให้ได้
    น้องมักจะจมอยู่กับความคิด หลักง่ายๆ คือ คิด รู้ วาง
    อยู่กับปัจุบัน ขณะ คิด รู้ปุ๊บ หายใจเข้า ออก ยาวๆ 3-5 ครั้งแล้วถึงจิตกลับสู่ปัจจุบันตามอาการกาย
    อันที่ไม่ทันอย่ากลับไปหวนคิด ไม่ต้องไปคิดเรื่อง โลก จักรวาล พระอรหัน หรือหลัก กรรม เพราะ สิ่งนั้นเป็นอจินไตย เมื่อถึงเวลาจะรู้เอง
    สำคัญคือเมื่อคิดให้รู้แล้ววาง อย่าปล่อยมันฟุ้งไปเรื่อยๆ อย่าคิดบังคับให้นิ่งเพราะมันจะยิ่งฟุ้ง (ถ้านั่งสมาธิไม่ได้ก็ยังไม่ต้องนั่งนะให้ สวดมนต์ ออกกำลังกาย ไป ก่อน อย่าฝืนมากเดียวจะปวดหัวแล้วทดท้อ)


    หรือ ถ้าจะลองดูจิตลองสำรวจตัวเองดังนี้

    (อ้างอิง พระอาจารย์ปราโมทย์)
    1. ก่อนจะดู ก็ไม่ต้องอยากดู ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องแสวงหาว่าจะดูอะไรดี และไม่ต้องพยายามจะดูจิต เพียงให้มีความรู้สึกตัวแล้วตามรู้จิตใจไปอย่างธรรมดาๆ คือจิตมีความรู้สึกหรือมีพฤติกรรมอย่างใดก็รู้ไปตามนั้นเลย เพราะความอยากดู การตั้งท่าดู การแสวงหา หรือความพยายามจะดูนั่นแหละ จะเป็นเครื่องปิดกั้นการตามรู้จิตซึ่งเป็นของง่ายทำให้กลายเป็นของยาก
    5.2.2 ระหว่างดู ก็อย่าเติมความปรุงแต่งสิ่งใดลงไปอีก เช่น (1) ไม่ต้องเพ่งแต่ให้รู้ไปอย่างสบายๆ หรือรู้ไปอย่างเบาๆ (2) ไม่ต้องคิดพิจารณา (3) ไม่ต้องกำหนดหรือบริกรรมซ้ำ (4) ไม่ต้องตามพากย์หรือบรรยายหรือวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏการณ์หรือสภาวะที่เกิดขึ้น เพราะเพียงแค่รู้สภาวะที่ถูกต้องของจิตและเจตสิกแล้ว ก็ย่อมเห็นความจริงของจิตใจว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หรือเป็นอนัตตาได้เอง เปรียบเหมือนเราดูฟองน้ำที่ผุดขึ้น ไม่ต้องเพ่งเราก็เห็น และไม่ต้องคิดว่ามันไม่เที่ยง มันก็ต้องแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นคือแตกไปจนได้ ส่วนการบริกรรมและการตามพากย์ก็เป็นการสร้างภาระส่วนเกินให้จิตใจ และอาจทำให้พลาดจากการรู้อารมณ์ปรมัตถ์ไปหลงอารมณ์บัญญัติแทนได้ นอกจากนี้จะต้อง (5) ไม่ตามรู้จนถลำเข้าไปในอารมณ์ต่างๆ คือต้องดูอย่างสบายๆ ดูอยู่ห่างๆ ชำเลืองรู้เข้ามาให้ถึงจิตถึงใจจึงจะเป็นการรู้ที่ถูกต้อง แต่ถ้าหลงมองตามอารมณ์ไป หรือรู้จนถลำตามอารมณ์ก็คือหลงรู้ หรือรู้ จนลืมตัว อย่างนั้นเป็นการรู้ที่ใช้ไม่ได้และไม่ใช่อาการสักว่ารู้
    5.2.3 ดูแล้ว ก็ไม่มีกิจกรรมที่จะต้องทำหลังการดู เช่น (1) ไม่ต้องทำกระทั่งความพยายามจะละอกุศล (2) ไม่ต้องพยายามรักษากุศลที่ทำแล้วเอาไว้ด้วย รวมทั้ง (3) ไม่ต้องช่วยจิตคิดสรุปความรู้ ผู้ปฏิบัติต้องกล้าหาญพอที่จะไม่กลัวโง่ เพราะการรู้นั้นทำให้จิตเกิดความรู้หรือปัญญา แต่การคิดทำให้เราเกิดความรู้ซึ่งที่จริงก็คือความคิดและความจำเท่านั้นเอง ควรปล่อยให้ทุกอย่างเขาดำเนินไปตามที่เขาเป็น ผู้ปฏิบัติมีหน้าที่ตามรู้อย่างซื่อตรงเท่านั้น เพราะเมื่อใดมีสติที่ถูกต้อง เมื่อนั้นอกุศลเป็นอันถูกละไปแล้วโดยไม่ต้องทำอะไรเลย และกุศลก็ได้เจริญขึ้นแล้ว
    5.3 ต้องดูบ่อยๆ หรือตามรู้เนืองๆ ยิ่งรู้ได้ถี่ยิบโดยไม่ตั้งใจจะรู้ได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี สิ่งที่จะช่วยให้ตามรู้จิตได้ดีก็คือการเคลื่อนไหวกาย อย่านั่งนิ่งๆ ยิ่งนั่งหลับตาแล้วเปิดเทปธรรมะคลอไปด้วยก็จะยิ่งถูกโมหะแทรกได้ง่าย ถ้าหมั่นเคลื่อนไหวกายไว้ จิตจะเกิดความตื่นตัวหรือรู้สึกตัวได้ง่าย ทำให้การตามดูจิตง่ายไปด้วย แต่การเคลื่อนไหวกายในอาการซ้ำๆ เช่นการเดินจงกรมหรือการทำจังหวะต่างๆ ก็อาจจะถูกโมหะแทรกได้ เป็นสิ่งที่ต้องคอยระวังสังเกตเช่นกัน

    ลองทำตามนี้ดูก่อนถ้าไม่ดีขึ้นค่อยปรับอีกทีเท่าที่เดา
    น้องติดและหลงอยู่กับสภาวะเดิมๆที่น้องคิดว่าเคยทำได้ดี
    อย่าติดกับอดีต อย่าสงสัยว่าทำไมทำไม่ได้เหมือนเดิม
    เมื่อสงสัย และหลงคิดแล้วรู้ตัวว่าคิดให้วางอุเบกขาซะโดยการปรับลมหายใจอย่างที่บอกหายใจเข้าออกยาวๆ 3-5 ครั้งแล้วทำอะไรก็ทำไปเมื่อรู้ว่าหลงคิดก็หายใจยาวๆใหม่
    ไม่ต้องหวนกลับไปนึกว่าตะกี้คิดอะไรแต่จงเริ่มตั้งจิตปัจจุบันใหม่


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2006
  7. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    ขออนุโมทนา
    ขอโทด นะค่ะ อ่านไม่ไหวว ตาลาย
     
  8. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    ไม่มีสมาธิเลยน่ะดีแล้วครับ เพราะสมาธิเขาทำแค่พอเหมาะพอดี หากมันเลยไปมันก็ไม่มีประโยชน์ เอา....ทำแค่สมาธิพอดีกับจริตของตนนะ ซึ่งมีอยู่ 6 อย่างในกรรมฐานทั้ง 40 เลือกเอากองที่เหมาะสมกับจริตของตนนะ......ไปล่ะ




    สวัสดีมากครับ
    จากคนที่ยังไม่เต็มบาท
    (bb-flower
     
  9. Boton

    Boton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +184
    เข้ามาอ่านค่ะ
    เผื่อจะได้แนวทางกับตัวเองมั่ง
     
  10. จอกแหน

    จอกแหน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +873
    ขอแนะนำอีกหนึ่งวิธีครับ ไปทำบุญไหว้พระหรือขอพรต่อสี่งศักสิทธิ์ในสถานที่ ที่มีความศักสิทธิ์เช่นวัดท่าซุง เขาคิชฌกูฏิ หรือที่อื่นๆก็ได้ ให้ท่านช่วยขะจัดเหล่ามารหรือเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่มาแฝงอยู่ในกายของเราออกไปแล้วจิตของเราก็จะสงบ และถ้าเราไม่เคร่งในศีล สมาธิ ไม่นานเขาเหล่านั้นก็จะกลับมาอีก
     
  11. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    แก้ไขข้อความ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...