เราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ustharos, 25 เมษายน 2009.

  1. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ในกาลอันไม่มาแล้ว เราจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง องค์ที่ ๑๓ นับแต่พระศรีอริเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "ปทุมุตตระ"

    เพราะเหตุว่า มีความชื่นชมยินดีในดอกบัว ได้ถวายดอกบัวแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ได้นำสัตว์โลกทั้งหลาย พ้นจากความทุกข์ทั้งมวล ไปสู่พระนิพพาน เฉกเช่นเดียวกับพระองค์ เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย และขอให้มีชื่อในกาลอันไม่มาแล้ว ว่า "ปทุมุตตระ" "ผู้มีดอกบัวอันยิ่ง"

    เราจะอุบัติในสมัยที่มนุษย์มีอายุเฉลี่ย ๑๐๐,๐๐๐ ปี เมื่อเราหยั่งลงสู่พระครรค์มารดา ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน จักมีดอกบัวผุดเกิดขึ้นทั่วหมื่นโลกธาตุ ด้วยอานิสงส์แห่งการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดอกบัวนั้น

    ความปรารถนาของเราใกล้แล้ว เราจะเป็นผู้มีความปรารถนาสำเร็จแล้ว
     
  2. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    อนุโมทนา สาธุ ครับ

    แต่ช่วยขยายความได้ไหมครับ ว่าทำไมถึงคิดว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 13 ครับ อยากทราบ
     
  3. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ฯ
     
  4. onlyli

    onlyli เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +535
    ก็ขออมุโมทนาด้วยนะครับท่าเป็นจริง

    แต่พระองค์ท่านทำนายไปแค่ 10พระองค์เองมิใช่เหรอครับ?

    ของอย่างนี้เป็นปัจจัตตังจริงๆครับอย่างที่คุณบอก แต่รู้เเล้วเขามักจะไม่บอกกันหลอกครับ

    เหตุเพราะพระโพธิสัตย์ ย่อมพิจารณาว่าหากนำมาเผยแผ่ให้บุคคลรู้จะถูกปรามาสเอาได้ง่ายจะทำให้ผู้นั้นมีบาป และยิ่งนำมาเผยแผ่ให้ในเวบซึ่งมีบุคคลมากหน้าหลายตา ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร การนำมาบอกแบบนี้และมีคนปรามาส บาปนั้นย่อมตกแก่ผู้ปรามาสและคนนำมาเผยแผ่

    ถ้าจริงถึงอย่างไรในอนาคตมันก็ย่อมเกิดก็ขอโมทนาด้วย แต่ท่าไม่จริงก็เท่ากับมุสานะครับ
    ได้ไม่คุ้มเสียเอาเลย มีเเต่เสมอกับเสีย สู้เก็บเอาไว้เองไม่ดีกว่าหรอครับของอย่างนี้นะครับ
     
  5. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ

    อนุโมทนา กับ วิริยธิกะโพธิสัตว์ นะครับ

    แต่ ธรรม สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกับ พระอรหันต์ และ พระปัจเจก ตรงที่ พระอรหันต์ และ พระปัจเจก จะมี
    ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ.

    คือ รู้ได้เฉพาะ ตน ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่ผิดนะครับ ไม่เถียง
    แต่ธรรม สำหรับพระพุทธเจ้าต่างออกไป ต้องเป็นธรรมที่อธิบายได้ มิฉะนั้น แล้ว พระพุทธเจ้า จะเอาสิ่งที่พระองค์ ค้นพบไปสอนผู้อื่นได้อย่างไร มิฉะนั้นจะเป็นครูได้อย่างไร ถ้าอธิบายไม่ได้

    จึงไม่แปลกที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระองค์ไม่สามารถสั่งสอนผู้อื่นได้ แม้ตัวเองจะเข้าใจแค่ไหนก็ตาม

    แต่สำหรับ นิยตโพธิสัตว์ ที่บารมีครบ พร้อมที่จะเป็นอนาคตวงศ์ ในเวลาอันใกล้ จริงอย่างท่านแล้ว บารมีเหล่านี้ย่อมพร้อมบริบูรณ์ จึงไม่ใช่เรื่องยาก หาก จะอธิบาย คำถามที่ผมถาม มากกว่าจะตอบ คำว่า ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ว่า รู้ได้เฉพาะตนนะครับ
    เพราะนั่นแสดงว่าเป็น ภุมิธรรมของ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ สาวกภูมิเท่านั้นนะครับ
    จึงขอกราบนมัสการ อนาคตวงศ์ นิยตโพธิสัตว์ เผยแพร่ความรู้แก่หน่อพุทธางกูร เพื่อ เป็นธรรมทาน ด้วยเทอญ.
    เพื่อเผยแพร่ พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องต่อไป ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2009
  6. ดั่งมายา

    ดั่งมายา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +51
    ใครเหรอจะได้เป็นพระพุทธ้เจ้าองค์ที่ 13
    พยากรณ์เองเหรอ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ในอดีตก็ต้องได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งก่อน แม้จะเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน แต่ท่านก็ไม่เปิดเผยหรอกว่าจะได้เป็นเมื่อไร นอกจากจะได้รับการพยากรณ์ ความแตกต่างของ
    พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระพุทธเจ้า
    1.พระอรหันต์นั้นเปรียบเหมือน บุคคลที่ไม่เคยเห็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ก็กลัวที่จะข้าม เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรับรู้ ไม่่มีสติปัญญาว่าจะทำเช่นไร จนบังเกิดมีพระทุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครูสั่งสอนชี้แนะให้ข้ามได้ด้วยความปลอดภัย แต่ก็สามารถนำความรุ้นั้นถ่ายทอดแก่ผู้อื่นได้ ตามปัญญาและบารมี แม้ว่าจะเป็นความรู้เฉพาะตนแต่ก็มีความรู้ความเข้าใจในแต่ละแขนงวิชาเป็นอย่างดี ดังมีพระมหาสาวกที่เป็นเลิศในด้านต่างๆปรากฏอยู่
    2 สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีครู ข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ได้ด้วยตนเองมีความรู้มากมายมายกว่าพระอรหันต์ แต่ก็จนปัญญาเมื่อเจอมหาสมุทรอันกว้างใหญ่หาประมาณไม่ได้ ก็เปรียบกับบุคคลที่มีความรุ้มากมาย เช่นเห็นแม่น้ำก็ข้ามได้โดยง่ายตามกำลังปัญญาแห่งตน แต่เมื่อเจอมหาสมุทรก็จนปัญญาหมดหนทาง เพราะได้สั่งสมบารมีมาเท่านั้
    3.สำหรับพระพุทธเจ้านั้นการที่จะได้มาเป็นมหาบุรุษนั้นต้องสั่งสมบารมีมามากมายมหาศาลมากกว่า ทุกบุคคลที่กล่าวมาเป็นล้านล้านล้านล้านเท่านับคณามิได้ อีกทั้งยังต้องตั้งสัจจะอธิฐานเพื่อที่จะได้เป็น อีกทั้งต้องได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ต้องสะสมบารมีอีกมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าพระองค์ใดถนัดด้านใด เช่น เมตตาบารมี วิริยะบารมี ศีลบารมีฯลฯ จึงจะได้เป็น ไม่ง่ายเลยเน้อ เมื่อบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็เปรียบเสมือนผู้มีปัญญามาก เมื่อเจอแม่น้ำก็ดี ทะเลก็ดี มหาสมุทรก็ดี หรือว่าจะเป็นที่ใดก็ตามก็สามารถก้าวข้ามได้โดยง่าย และชี้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามได้โดยง่ายเช่นกันเช่นกัน ( ก็เลยอยากถามว่าใครเหรอจะตรัสรู้เป็นองค์ที่13)<TABLE id=post2060033 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>[​IMG] เมื่อวานนี้, 11:17 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ustharos<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2060033", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. ดั่งมายา

    ดั่งมายา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +51
    ไม่ได้ปรามาสใครนะคะแต่ว่าอธิบายตามคำสั่งสอนและสัทธาในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
     
  8. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ขออนุโมทนากับ สติ ของท่านด้วย

    คำภีร์ ที่พุทธศาสนิกชน ได้อ่านได้ศึกษาในปัจจุบันนี้ ก็มีเท่าที่เห็น เท่าที่ได้อ่าน คัดกันมา แปลกันมาเป็นทอดๆ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว แต่หลังพุทธกาลมีมากมาย ถ้ามหาวิทยาลัยนาลันทา ไม่ถูกเผา พุทธศาสนิกชน จะได้อ่าน ได้ศึกษาพระไตรปิฎก มากกว่า ๔๕ เล่ม

    พระสูตร พระวินัย พระอภิธรรมจะพิศดารมากกว่านี้
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ในสมัยพุทธกาลเมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมอันวิเศษแล้ว ได้นำเอาธรรมะออกเผยแผ่แก่ชาวชนบทน้อยใหญ่ในชมพูทวีปจนได้มีผู้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมเป็นจำนวนมาก ในกาลนั้นแล พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์มาปรากฏกายทิพย์ ณ บนดอยแห่งนี้ ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรไปทางทิศใต้ ได้พบหนองบัวอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดอกบัวมากมาย ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาลูกเดียว ซึ่งในหนองน้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่ของพญานาคสองสามีภรรยา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับอยู่บนภูเขาลูกนั้น และทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีให้พญานาคสองสามีภรรยา ซึ่งกำลังหากินอยู่ในบริเวณหนองน้ำแห่งนั้นได้เห็น พญานาคทั้งสองได้เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ เก็บดอกบัวในหนองน้ำนำไปถวายแด่พระพุทธองค์เป็นพุทธบูชา พระองค์ทรงรับเอาดอกบัวแล้วจึงทรงแสดงธรรมโปรด และประทานพระเกศาธาตุแก่พญานาคคู่นั้น พญานาคจึงได้อธิษฐานสร้างเจดีย์หิน แล้วนำเอาพระเกศาธาตุบรรจุประดิษฐานไว้บนดอยแห่งนี้ ต่อมาได้มีนายพรานผู้แสวงหาของป่าได้มาพบเห็นเจดีย์มีลักษณะสวยงาม จึงเกิดอัศจรรย์ใจ แล้วได้นำเอาก้อนหินมาก่อเป็นรูปเจดีย์ขึ้นอีก ตกกลางคืนได้นิมิตฝันว่า เจดีย์ที่ตนพบนั้นเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้บอกกล่าวชักชวนประชาชนในแถบนั้นให้ขึ้นไปสักการบูชา และเรียกชื่อภูเขาแห่งนี้ว่า “ดอยเส้นเกศ” บ้าง ทั้งนี้เพราะ คำว่า “ภูเขา” หรือ”เขา” ในภาษาพื้นเมืองนั้นเรียกว่า “ดอย” ต่อมามีผู้สันนิษฐานว่า คำว่าดอยเส้นเกศได้เพี้ยนมาเป็น “ดอยสะเก็ด” หรืออีกนัยหนึ่ง พญานาคได้สละเกล็ด จำแลงกายเป็นมนุษย์ จึงเรียกว่า “ดอยสละเกล็ด” และได้เพี้ยนมาเป็น “ดอยสะเก็ด” ดอยแห่งนี้ได้มีพุทธศาสนิกชนขึ้นมานมัสการเจดีย์หินอันเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุมากขึ้น จึงได้ก่อเจดีย์ปูนเสริมให้ใหญ่ และมั่นคงกว่าเดิม ต่อมาได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า “ครูบาเก๋” จากอำเภอเมืองน่าน มาสร้างวิหารและบูรณะเจดีย์พร้อมทั้งสถาปนาขึ้นเป็นวัด เรียกว่า “วัดพระธาตุดอยสะเก็ด” ต่อมาได้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ในเขตเชิงดอย และใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก ทางราชการจึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอ โดยใช้ชื่อว่า “อำเภอดอยสะเก็ด” ตามภาษาเรียกของชาวบ้าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ เป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
     
  10. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70

    ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า และธรรมของพระอรหันต์ เหมือนกันไม่ได้แตกต่างกันเลย
    เป็นธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทานห่อหุ้ม

    ส่วนธรรมของสัตว์โลกในภพ ๓ มนุษย์ ทิพย์ พรหม มีอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ห่อหุ้ม ไม่รู้ ไม่เห็นอดีต อนาคต ทางเจริญ ทางเลื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริง ไม่รู้ทางบุญ ทางบาป ไม่รู้อริยสัจ แล้วก็ประกอบกรรมชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ได้คิดผิด พูดผิด ทำผิด นำผู้อื่นผิดๆ ตามคนอื่นผิดๆ


    ถ้าจะตอบว่า ทำอย่างไรถึงรู้ได้ ?
    ปฏิบัติตามธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ฯลฯ จนแก่กล้าขึ้นเป็น บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี

    ชำระกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ด้วยบุญกุศล ด้วยคุณความดี
    ถ้าตั้งใจปฏิบัติดีจริงแล้ว ย่อมรู้ได้ เห็นได้ ตามธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

    สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปตฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ฯ

    มนุษย์โดยมากที่ไม่รู้ ไม่เห็น เพราะทำไม่จริง ไม่เอาจริง
    จริงแค่ไหน ? ดูอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมครูของเราทั้งหลาย ก่อนจะได้ธรรมนี้มา ทรงปฏิบัติอย่างไร จึงทรงได้มา ?

    ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย มีแต่คนจริงเท่านั้น ที่จะได้รู้ ได้เห็น จริงแค่ไหน ? จริงแค่ชีวิต.
     
  11. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ท่านจะเป็นหรือไม่เป็น ก็มิใช่กิจหรือภาระหน้าที่ของข้าพเจ้า
    มิได้ด้วยว่าจะปรามาส เพียงแต่ขอกล่าวด้วยธรรมของกัลญาณมิตร ด้วยภาษิตวาจา
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
    ข้าพเจ้า ขออนุโมทนาด้วยใจเคารพ

    แต่ก็มิอาจ คลายความสงสัยด้วยวิสัยของปุถุชนว่า
    ท่านผู้ประกาศ มิได้พยาการณ์ตนด้วยตนเอง แต่ได้พิจารณาตนโดยแยบคายด้วยปัญญาแล้วว่า มิใช่วิปัสสนูกิเลส เเน่แท้ มิใช่จิตสังขารหรือการปรุงแต่งของจิตแน่แท้แล้ว
    แต่เห็นด้วยญาณทัศนะ เห็นด้วยปัญญา จริงว่าได้รับการพยากรณ์แต่เฉพาะพระพักตร์แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแล้ว
    ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา ด้วย สาธุ
     
  12. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    จะเป็นอะไร ก็ไม่สำคัญหรอก.........ขอให้เป็น คนดี ก็พอ...........ถ้าเป็น คนดี ได้แล้ว.......จะเป็นอะไร ก็ ดี ไปหมด นั่นแหละ............จะดี ก็ดีด้วย พระธรรม ด้วย ทาน ศีล ภาวนา.......ไม่ใช่ดี ด้วยอย่างอื่นเลย....


    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์........ก็มาจาก การบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา บารมีธรรม ทั้ง 10 ประการ ทั้งระดับ ปกติบารมี อุปบารมี และ ปรมัตถบารมี นั้นเอง......


    ไม่ใช่มาจาก ก ไก่ ข ไข่ อะไรเลย.......(ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่ การบำเพ็ญ.....)


    หาก บารมีสูงแล้ว ย่อมช่วยเหลือสรรพสัตว์ ได้อย่างมากมาย..........ดู ในหลวง เป็นตัวอย่าง.........ดู หลวงปู่ทวด เป็นตัวอย่าง......ดู พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นตัวอย่าง.......


    ดูที่ การช่วยเหลือคน และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นประมาณ......ที่ต้อง บำเพ็ญบารมีนานๆ ก็เพื่อ สั่งสมบารมีไปด้วย ช่วยเหลือสรรพสัตว์ไปด้วย นั้นแล....


    ส่วน คำพยากรณ์ นั้น......ย่อมเป็น ปัจจัตตัง.......สำคัญที่ การปฏิบัติธรรม ตามธรรมอันสมควรแก่ตน มากกว่า.......ว่าเป็นไปตาม โพธิสัตว์ธรรม ปัจเจกโพธิสัตว์ธรรม หรือ อริยธรรม หรือไม่ ต่างหาก......


    โมทนา สาธุการ แด่ พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ทุกๆ พระองค์.......นั้นเทอญฯ
     
  13. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    เราไม่เห็นบรรลุอะไรเลย เราไม่มีเหตุให้บรรลุ เพราะหมดสิ้นเหตุ ผลจึงไม่มี
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ก็ให้หยุดการแสวงหาถ้าผลไม่มี

    คืออย่างเก่านิพพานธาตุ
     
  15. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    สรรเสริญในความปรารถนาของ่ทาน

    อุเบกขาถ้าท่านคิดเอาเองว่าได้เป็น

    พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพยากรณ์พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปได้

    โมทนาครับ
     
  16. แพ้สะกดยังงัย

    แพ้สะกดยังงัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +69
    อ้าว ได้เป็นก็ได้เป็นนะ ยินดีด้วย ในเมื่อท่านประกาศว่าจะได้เป็นก็ยินดีด้วย จะไปขัดค้านก็

    ไม่ได้เดี่ยวจิตใจจะหม่นหมองไม่สบายใจทั้งผู้ตั้งกระทู้และตอบกระทู้ ขอให้สำเร็จ ตาม

    ความปารถนาตั้งใจนะคุณ เอวัง โหตุ
     
  17. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ในกาลอันเป็นไปล่วงแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก เพื่อขจัดอวิชชา คือความมืดของโลกทั้ง ๓ ให้หมดสิ้นไป พระนามว่า "ทีปังกร"

    ทรงยังธรรมมาภิสมัยให้เกิดแล้วแก่สัตว์ในภพ ๓

    ครั้งนั้น พระองค์ทรงเสด็จไป ณ เมืองพาราณสี พุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อทราบข่าวการเสด็จของพระองค์ต่างยินดีปรีดา ผู้คนต่างมีความศรัทธา เลื่อมใส เตรียมปัจจัย ๔ และวัตถุทานเพื่อพระพุทธองค์และพระสาวกที่เสด็จตามมา

    เมื่อพระองค์ทรงกระทำอนุโมทนา และทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่จริตอัธยาศัย มี ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น แก่บริษัททั้งหลายแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงเป็นผู้นิ่ง มิได้ตรัสวจนะใดๆ
    พุทธบริษัททั้งหลายที่มาเข้าเฝ้า ก็ทรงนิ่งเช่นเดียวกัน ไม่มีเสียงคุยกัน ไม่มีแม้แต่เสียงไอ เสียงจาม

    เวลาแห่งความนิ่งเงียบนั้น ได้ล่วงเลยไปนาน ในขณะนั้น ก็ได้มีพุทธบริษัทจากเมืองใกล้ ทูลเชิญพระองค์ให้เสด็จเพื่อไปโปรด และเป็นเนื้อนาบุญแก่เมืองของตนทั้งหลายเหล่านั้น

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    "เราจะยังไม่เสด็จไป เราจะรอบุคคลคนหนึ่งก่อน"

    เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง พระสุรเสียงของพระพุทธองค์ แม้คนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ และบุคคลผู้ท้ายสุดของบริษัท กลับได้ยินพระสุรเสียงเสมอเหมือนกันหมด

    ณ ที่ไกลประมาณ ๔๐๐ เส้น พระสุรเสียงนี้ ได้ยินถึงกุมารน้อยคนหนึ่ง ว่า

    "เราจะยังไม่เสด็จไป เราจะรอบุคคลคนหนึ่งก่อน"

    พระสุรเสียงนั้น ยังความปีติให้เกิดขึ้นแล้ว ได้เเผ่ส่านไปทั่วทุกรอขุมขน คำว่า "พระพุทธเจ้า ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก" ได้เกิดขึ้นแล้วในใจของเด็กกุมารนั้นเอง

    พระสุรเสียงนั้น ทำให้เด็กกุมารนั้นรู้ว่า พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ที่ใด
    ความคิดนี้ได้เกิดขึ้นแล้วว่า
    "เราจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อเข้าเฝ้าแล้ว เราจะเอาอะไรถวายพุทธองค์เล่า"

    ด้วยความเป็นเด็ก เด็กกุมารน้อยนั้น จึงคิดได้ว่า
    "เรามีจอกน้ำน้อยของเราอันหนึ่ง เราจะเอาน้ำใส่จอกน้อยของเรานี้ ถวายแด่พระพุทธองค์"
     
  18. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +457
    ตรัสรู้เมื่อไหร่จะไปฟังธรรมนะ แต่ตอนนี้ยังก็รอไปก่อน แต่ระวังหน่อยนะ มีคนรอแทรงคิวเยอะแยะเลย หุหุ ขึ้นกะว่าใจใครจะพาให้ไปถึงได้ก่อน
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852


    <CENTER>[​IMG]
    ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก


    "ตายแล้วจิตยังติดต่อกันได้"</CENTER>
     
  20. ustharos

    ustharos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ไม่ได้คิดว่า "จะเป็นก่อนใคร หรือ จะเป็นหลังใคร" อย่างที่ท่านคิด

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยสัตว์โลก ไม่ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อแข่งกันว่า "ข้าจะไปก่อนใคร หรือ ใครต้องไปหลังฉัน"

    เชาบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยสัตว์โลก ถึงเวลาบารมีเต็ม ก็ได้ช่วยตามที่ตนปรารถนา เท่านั้นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...