เนิร์ดไปไหน? เมื่อ ‘เด็กแนว’ กลายเป็น ‘เด็กเนิร์ด’

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 4 พฤษภาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 พฤษภาคม 2552 08:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นโปเลียน ไดนาไมต์ เนิร์ดตัวพ่อ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>แมททีเรียล ซึ่งบ่งบอกความเป็นเนิร์ด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ต้องยอมรับว่านิยามของ ‘เด็กเนิร์ด’ เวลานี้ทำเอา ’เด็กแนว’ เอาต์ไปจากสาระบบ

    ปัจจุบันเนิร์ดจริง เนิร์ดปลอม (แต่งตัวตามแฟชั่น) กำลังสร้างบทบาทสู่สังคมมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มเด่นชัดเมื่อต้นยุค 90’ ที่อินเตอร์เนตกำลังเบิกทางโลกแห่งการสื่อสาร จนนำไปสู่การก่อเกิด ‘เนิร์ดระดับโลก’ ซึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานอย่าง บิลล์ เกตต์ อัจฉริยะแห่งไมโครซอฟต์


    นอกจากนั้น เจฟ เบซอส เจ้าของ Amazon.com แลร์รี่ เพจ และ เซอจี้ บริน ผู้นำทางแห่ง Google.com สตีฟ จ็อบส์ บิดาแห่งแอปเปิล กระทั่ง คลาร์ก เคนต์ (ซูเปอร์แมน) และ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ (สไปเดอร์แมน) ก็ยังถูกจัดในทำเนียบ ‘เนิร์ดฮีโร่’

    กำเนิดชาวเนิร์ด
    ‘เนิร์ด’ (Nerd)
    เป็นคำเรียกสั้นๆ ที่กำลังฮิตฮอตอยู่ในยุคสมัย ตามพจนานุกรมฉบับ Oxford Advanced Learners’ ได้แปลความหมายของคำว่า ‘เนิร์ด’ เอาไว้ 2 รูปแบบด้วยกัน ความหมายแรกเนิร์ดคือบุคคลที่แสนจะน่าเบื่อ งี่เง่า และเชยแหลก ความหมายต่อมาคือ บุคคลที่บ้าคลั่งในคอมพิวเตอร์อย่างรุนแรง

    หากแต่ว่าความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘เนิร์ด’ ในชีวิตประจำวันแล้ว มันคืออะไรที่กว้างกว่านั้น

    ‘เนิร์ด’ คือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง ที่มีอาการบ้าคลั่งวิชาความรู้ยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านใดก็ตาม ทั้งเลข ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่ได้จากห้องเรียน หรือคอมพิวเตอร์ที่ได้จากหน้าจอสี่เหลี่ยม แม้กระทั่งภาษาไทย สังคม อังกฤษ ก็ยังสามารถจัดในหมวดหมู่ในชาวเนิร์ดได้

    อาการบ้าคลั่งวิชาความรู้นี้จะแสดงออกมาได้หลายทางอันส่งผลให้เกิดอาการในหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของความเนิร์ด

    ถึงแม้ว่าโลกนี้จะแบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยย่อยตามหลักภูมิศาสตร์ และประชากรศาสตร์ของกลุ่มมนุษย์ที่หลอมรวมกัน เกิดขบวนการขัดเกลางทางสังคมและมีจุดร่วมเช่น ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันแล้วนั้น เหล่านั้นก็ย่อมเต็มไปด้วยความหลากหลายของสังคม เต็มไปด้วยผู้คนหลายแบบที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งต้นกำเนิดของเนิร์ดก็มาจากจุดเดียวกันนั่นก็คือความพยายามในการแบ่งแยก

    นิยามของเนิร์ดมีมาตั้งแต่ยุค 40’ จากการที่ Rensselaer Polytechnic Institute สถาบันการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอเมริกา แบ่งนิยามของนักศึกษาออกเป็นสองกลุ่มคือ ‘Drunk’ กลุ่มที่ไม่ชอบเรียน ตกกลางคืนเอาแต่ปาร์ตี้ กินเหล้าเมาหัวราน้ำ ส่วนอีกกลุ่มตกเย็นกลับที่พัก ทำการบ้านอ่านหนังสือ เรียกว่า ’Knurd’ (สะกดตัวอักษรกลับหลังจาก Drunk) ต่อมาก็ได้ตัด k และเปลี่ยนมาเป็น ‘Nerd’ ในปัจจุบัน หากสนใจเรื่องราวประมาณนี้ก็หาดูได้จากภาพยนตร์ปี 1984 เรื่อง Revenge of Nerds

    สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเนิร์ด
    ภาพลักษณ์ของเนิร์ดในสื่อมวลชนและการ์ตูน มักจะเป็นชายใส่แว่นตาหนาๆ ที่มักเป็นคนคงแก่เรียน เลือกเรียนในสาขาวิชายากๆ แต่งตัวเชยเหมือนได้รับสมบัติเป็นเสื้อผ้าที่ตกทอดมาจากลุงและพ่อ เฉื่อยชา แต่เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งในสายตาของชาวอเมริกันนั้นต่างจากคนไทยมาก เพราะบ้านเราอาจมองว่าบรรดาเนิร์ดทั้งหลายคือปราชญ์ หรือผู้รู้ที่ควรยกย่องนับถือ

    จริงๆ แล้วที่พวกเรามีเทคโนโลยี ให้ใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ 90 เปอร์เซ็นต์ พวกเด็กเนิร์ดเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา และเมื่อผู้ยิ่งใหญ่อย่าง บิลล์ เกตต์ รวมถึงการที่บรรดาเนิร์ดก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจไอทีระดับโลกแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้สึกเคอะเขินกับการถูกเรียกว่า ‘เนิร์ด’ อีกต่อไป

    ไผ่-สุกฤษฏิ์ บูรณสรรค์ ชายหนุ่มร่างผอมบาง สวมแว่นกรอบดำ ผมยาวประบ่า เป็นเนิร์ดที่เก็บตัว ชอบอยู่บ้าน กลัวสังคม และมักจะคบหากับเนิร์ดด้วยกัน

    ย้อนเวลาไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ภาพในวัยเด็กของไผ่กำลังกรอกลับมาอีกครั้ง เขายอมรับกับเราว่าสมัยเรียนระดับมัธยมศึกษา เขาคือเด็กเนิร์ดๆ ที่ซึมเศร้า และจมตัวเองอยู่ในโลกของเกมเป็นประจำทุกวัน

    “ผมเรียนมัธยมสายวิทยาศาสตร์ ช่วงเวลานั้นผมแทบไม่มีเพื่อนเลย ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับเพื่อนๆ ในห้องเรียน เพราะไม่มีใครเล่นเกมเหมือนผมสักคน มีเพื่อนที่เล่นเกมและคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่เรียนอยู่คนละห้อง กว่าจะได้มาเจอกันก็ตอนพักเที่ยง มองย้อนกลับไปเวลานั้นรู้สึกเป็นคนแปลกที่ต้องอยู่กับตัวเองคนเดียว ผมสับสนมาก ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน” ชายหนุ่มเล่าถึงอดีตที่น่าหดหู่ของตนเอง

    "ก่อนเอนทรานซ์พ่อพาผมไปลงเรียนพิเศษวิชาฟิสิกส์แบบเต็มคอร์สติวเข้มให้ผม ผมจำได้ว่าตัวเองตั้งใจเรียนทุกวันไม่เคยขาด จนถึงวันสุดท้าย รู้สึกว่าชีวิตการเรียนแบบนี้ไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย ผมเลยเดินออกจากห้องเรียนด้วยความเคว้งคว้าง ไม่รู้จะเดินไปทางไหน แต่ก็ไม่อยากกลับไปเรียน เลยเดินเข้าไปในร้านอินเตอร์เน็ทคาเฟ่

    "นี่แหละคือปัญหา เอาเข้าจริงๆ แล้วผมกลับรู้สึกว่าเด็กทุกคนมีพลัง ไม่ว่าจะเนิร์ด หรือไม่เนิร์ด แต่เขาไม่รู้จะทำอะไรในสภาพสังคมแบบนี้ นี่ผมพูดจากประสบการณ์ของตัวเองเลย”

    แต่จากการโลดแล่น ท่องเที่ยว อยู่ในโลกของเกมออนไลน์ และอินเตอร์เน็ตเป็นประจำทุกวันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเด็กเนิร์ดอย่างไผ่เดินทางไปเจอกับเว็บไซต์เกมเว็บไซต์หนึ่งของเมืองไทย ที่ถือเป็นแหล่งรวมทั้งขาประจำและขาจรที่ชื่นชอบการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งขณะนั้นทางเว็บไซต์ดังกล่าวกำลังรับสมัครทีมงาน ไผ่จึงไม่รีรอที่จะสมัครเข้าไปเป็นหนึ่งในทีมงาน

    จากเด็กชายที่ขี้อายและขลาดกลัวการเข้าสังคมในวัยเยาว์ ถึงวันนี้ไผ่กลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบการแสดงความคิดเห็น (เกี่ยวกับเกม) ผ่านตัวอักษรซึ่งตีพิมพ์ลงในหนังสือฟิวเจอร์ เกมเมอร์ มาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว

    "ขณะที่ผมชอบเล่นเกมผมก็ชอบอ่านหนังสือด้วย ผมอ่านทั้งนวนิยายและบทความ จึงอยากหัดเขียนบ้าง การที่ผมได้มาเขียนหนังสือเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส ผมจึงทดลองเขียนเรื่องสั้นและนิยายผ่านอินเตอร์เน็ตต่อเนื่องมาโดยตลอด” เจ้าตัวเล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ

    “ผมอยากให้มองว่า เด็กเนิร์ดก็คือคนธรรมดานะ ก็เหมือนกับกลุ่มเด็กแนวฟังเพลงอินดี้ เด็กที่แต่งตัวแปลกๆ พวกคอร์สเพลย์ ซึ่งเขาอาจเป็นคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ก็เป็นได้”

    เนิร์ดคือแฟชั่นใหม่
    ตั้งแต่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ 1990 มีเนิร์ดจำนวนมากบนโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งเอาคำนี้มาใช้ด้วยความภาคภูมิใจ และใช้ในความหมายที่เป็นแง่บวก เพื่ออธิบายถึงบุคคลที่มีความสามารถทางด้านเทคนิค

    โดยดั้งเดิมนั้น เนิร์ดใช้กับผู้ชายเท่านั้น แต่ตอนนี้ผู้หญิงก็เริ่มหันมาสนใจเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่นๆ ที่ปกติมีแต่ผู้ชายสนใจ ดังนั้น เนิร์ดจึงใช้ได้ทั้งชายและหญิง

    ตัวอย่างเด็กเนิร์ด-เวลม่า ดิงเลย์ ในเรื่อง สกูปิดู, โคจิโร่ อิซึมิ และมิยาโกะ อิโนอุเอะ ในเรื่อง ดิจิมอน, เด็กซ์เตอร์ ในเรื่อง ห้องทดลองของเด็กซ์เตอร์, เดคิสุงิคุง ในโดราเอมอน, เอ็มม่า วัตสัน (เฮอร์ไมโอนี่) ในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์

    ไผ่เนิร์ด-จิตนารถ พิชัยยา ฟรีแลนซ์ คอสตูม หญิงสาวที่มีสองบุคลิกอยู่ในตัวตน เธอสามารถเนิร์ดได้และไม่เนิร์ดก็ได้ เพราะเธอต้องเข้าสังคมเพื่อการทำงานที่ต้องใช้การติดต่อสื่อสาร แต่พอกลับมาถึงบ้าน ไผ่เนิร์ดจะดูซีรีส์ ฟังเพลง และนั่งอัปเดตชีวิตในโลกอินเตอร์เน็ต

    ไผ่เนิร์ดบอกว่า ปัจจุบันเนิร์ดกลายเป็นรสนิยมและกำลังกลายเป็นแฟชั่นสไตล์หนึ่ง โดยมีที่มาจากฝรั่ง ซึ่งถ้าเป็นผู้ชายจะมีลักษณ์ที่เห็นได้ชัดคือดัดฟัน แว่นหนาๆ เอาเสื้อเข้าในกางเกง ใส่รองเท้าเชยๆ และชอบโดนแกล้งอยู่เสมอๆ และถ้าเป็นเด็กผู้หญิงมักจะผูกผมเรียบร้อย ตัดหน้าม้า ใส่แว่น ดัดฟัน หน้าเป็นกระ ชอบทำตัวแปลกๆ เฉิ่มๆ และดูไม่มีอะไรน่าสนใจ

    “ของฝรั่งจะมีเนิร์ดอีกจำพวกหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘เทคโนเนิร์ด’ อารมณ์เนิร์ดแบบเด็กแนวหน่อยๆ เนิร์ดแบบฉลาดๆ และสุขุมมากกว่าเด็กเนิร์ดโดยทั่วไป เพราะส่วนใหญ่เนิร์ดในคำจำกัดความเก่าๆ จะเป็นผู้ที่สนใจแต่เรียน อ่านแต่หนังสือ และไม่เข้าสังคม แต่พวกเทคโนเนิร์ดจะเป็นพวกแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นสิ่งที่น่าสนใจในช่วงเวลานั้นๆ จนรู้สึกว่าตนเองฉลาดล้ำ

    “สำหรับเนิร์ดในเมืองไทยเวลานี้กำลังเป็นแฟชั่น เหมือนกับเมื่อก่อนที่มีเด็กแนว เด็กอินดี้ ซึ่งทุกคนพยายามที่จะแต่งตัว หรือสร้างอัตลักษณ์ให้โดดเด่น และแตกต่างกันออกไป การแต่งตัวแบบเด็กเนิร์ดจึงหาทางออกหนึ่ง มันเริ่มต้นมาจากการที่เด็กเนิร์ดสวมแว่นเปลี่ยนกรอบแว่นจากโลหะธรรมดาๆ เชยๆ มาใส่เป็นกรอบพลาสติกสีสันสดใส จนทำให้คนที่ไม่ได้สายตาสั้นเห็นแล้วอยากใส่แว่นบ้าง แว่นตาจึงเป็นแมททีเรียลที่เห็นแล้วให้ความรู้สึกชัดเจนถึงความเป็นเด็กเนิร์ดที่สุด เวลานี้เด็กสยาม หรือเด็กแนว ทั่วไปก็สามารถกลายเป็นเด็กเนิร์ดได้

    “ตอนนี้ถ้าพูดถึงเด็กแนวก็ดูตลาดๆ ไปแล้ว แต่เด็กเนิร์ดก็พัฒนามาจากเด็กแนว ชอบแต่งตัวเชยๆ เก่าๆ แต่ไม่ใช่วินเทจหรือแต่งตัวโบราณไฮโซ อารมณ์เดียวกับหนังเรื่องแหย๋มยโสธร นำมาล้อเลียน ทำให้ตลก ทำให้ขำ

    “เนิร์ดจึงกลายมาเป็นประเด็นที่วัยรุ่นนำมาล้อเลียนและประชดประชัน จนคำว่า เนิร์ด กลายเป็นคำพูดที่อยู่ในกระแสพอสมควร พูดกันเวลานี้แล้วทุกคนรู้จักแล้วเข้าใจ เรียกว่ามันเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น ติดท็อปแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าหลังจากนี้ไปมีคนสนใจกันมากๆ อาจเป็นช่วงขาลง เพราะวัยรุ่นแทบทุกคนเวลานี้มองหาแต่สิ่งที่แตกต่าง” ไผ่เนิร์ดอธิบายถึงแฟชั่นเด็กเนิร์ด

    “ส่วนตัวเราที่เรียกตัวเองว่า ไผ่เนิร์ด เพราะใส่แว่น คือพูดมาแล้วฮามากกว่า แต่เพื่อนๆ จะรู้ว่าความจริงแล้วเราเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งที่โดนเรียกว่าไผ่เนิร์ดอาจจะเป็นเพราะว่า นิสัยส่วนตัวที่เนิบๆ ด้วย”

    หากเป็นเด็กแนวพวกพังค์ อีโม ฮิปฮอป พวกนี้จะมีความภูมิใจในการแสดงอัตลักษณ์และตัวตนในแบบของเขา ซึ่งเมื่อเราถามไผ่เนิร์ดว่าเธอมีความภูมิใจในการเป็นเนิร์ดมากแค่ไหนเธอตอบว่า

    “ไม่รู้ว่าภูมิใจในความเป็นเนิร์ดมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อายที่เป็นแบบนี้” ไผ่เนิร์ดกล่าว

    เผ่าพันธุ์ชาวเนิร์ด
    นอกจากคำว่า 'เนิร์ด' แล้ว ยังมีศัพท์ที่ใกล้เคียงที่บ่งบอกลักษณะการใช้ชีวิตของเด็กเนิร์ดทั้งหลาย เช่น คำว่า กี๊ก (Geek) ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ระหว่างคำนี้กับเนิร์ด เพราะทั้งสองคำมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่สรุปแล้วกี๊กนั้นดูเป็นเฉพาะกลุ่มมากว่าเนิร์ด เพราะว่าเขาสนใจในสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้ เช่น พวกบ้าเกม บ้าคอมพิวเตอร์ บ้าวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจเรื่องแฟชั่น จึงออกแนวเชยๆ ไม่ทันสมัย

    ดอร์ก (Dork) เด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างแตกต่างกับสองกลุ่มข้างบน เพราะมีลักษณะที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะดอร์กจะออกแนวเป็นคนที่ซุ่มซ่าม เป๋อ กะเปิ๊บกะป๊าบ ไปที่ไหนก็จะสร้างเสียงหัวเราะอยู่เสมอ ด้วยความเฉิ่มและตลกของพวกเขานี้เองเลยดูเป็นผู้ชายที่ไม่ห่วงลุค

    แอ๊ป-พงศธร สิงห์น้อย นักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิยาลัยของรัฐ ขั้นเทพในการเล่นเกมทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ลักษณะภายนอกของแอ๊ปดูไม่ต่างไปจากเด็กเนิร์ดทั่วๆ ไป แต่เขากลับบอกให้เราเรียกเขาว่า ‘โอตาคุ’

    แอ๊ปเล่าให้ฟังว่า 'เนิร์ด' กับ 'โอตาคุ' ในญี่ปุ่น มีลักษณะภายนอกคล้ายๆ กัน แต่โอตาคุจะหมกมุ่นกับ anime' (หนังการ์ตูน) หรือ manga (การ์ตูนเล่ม)

    “จะว่าไปแล้ว เอาง่ายๆ ตามความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ โอตาคุน่าจะไม่ต่างจากเนิร์ดเท่าไหร เพียงแต่เนิร์ดนั้นเน้นหนักไปที่พวกบ้าเรียน บ้าตำรา ส่วนโอตาคุหลงใหลในเรื่องราวที่หลากหลายมากกว่า”

    โอตาคุเป็นทั้งคำในแง่บวกและคำในแง่ลบขึ้นอยู่กับทัศนคติของคนที่ใช้และคนที่ถูกพาดพิงถึงในแง่บวกคือใช้เรียกคนหรือกลุ่มคน ที่มีความสามารถและความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจมากมายเป็นพิเศษ

    แน่นอนถ้ามองในมุมองแง่ลบหรือจากคนที่มีอคติ โอตาคุอาจจะโดนหาว่าเป็นพวกคลั่ง พวกมาเนีย โดนตั้งแง่รังเกียจต่างๆ ซึ่งบางอย่างอาจมีสาเหตุมาจากการที่คน คนนั้นเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ยกตัวอย่างเช่น ไม่สนใจความเป็นไปของโลกภายนอก สนใจแค่สิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้เท่านั้น ทำตัวแปลกแยกออกห่างจากสังคมส่วนใหญ่ (เพราะสังคมส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญอยู่) ปิดกั้นตัวเองออกห่างจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่เคยสนิทกันในอดีตเพียงเพราะไม่เข้าใจและไม่ได้มีความสนใจกับสิ่งเดียวกันที่ตัวเองเชี่ยวชาญอยู่

    “ในความคิดของผมโอตาคุคือคนที่รักและชื่นชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ หรืออาจจะคลั่งไคล้มาก โดยส่วนตัวแล้ว ซึ่งมุมมองคนไทยหลายๆ คนที่ไม่รู้ มักจะมองว่า โอตาคุ คือพวกที่คลั่งไคล้ บ้าๆ บอๆ เนื่องจากเห็นเราชื่นชอบเพียงแค่ อนิเม เกม และการ์ตูนญี่ปุ่น

    “ถ้าคนที่เรียกเข้าใจคำว่าโอตาคุมากพอสมควร มาเรียกผมแบบนี้ ผมก็โอเค ไม่คิดมาก ถึงจะไม่ได้ชื่นชอบ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น

    “ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นความชอบส่วนบุคคล และความชอบนั้นไม่ได้ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ไม่มีคนเดือดร้อน ก็ไม่น่าที่เราจะต้องรู้สึกผิดหรือกลัว แม้คนอื่นจะไม่ได้ชื่นชอบตามเรา มองเราเป็นพวกประหลาด ก็ช่างเขา ทีพวกเขายังชอบอะไรที่เราไม่ชอบได้เลย และผมก็ไม่ดึงดันที่จะยัดเยียดสิ่งที่ผมชอบนี้ให้แก่ทุกคน”

    คิดอยากจะเป็นเนิร์ด
    99.99 เปอร์เซ็น ของเด็กเนิร์ดจะใส่แว่น ทำผมถูกระเบียบ ปลา บลา บลา ล่า เจ้าของห้องเสื้อ และเครื่องประดับวัยรุ่น บอกว่า แฟชั่นเด็กเนิร์ดกำลังมาแรง ที่เห็นส่วนใหญ่เลยคือต้องสวมแว่นตา ที่สำคัญต้องเป็นแว่นที่มีแต่กรอบไม่มีเลนส์

    “แว่นตาตอนนี้วัยรุ่นชอบใส่ให้ดูเป็นเด็กเนิร์ดใสซื่อ ไม่มีพิษมีภัย และต้องเป็นแว่นที่ใหญ่พอๆ กับใบหน้า หรือไม่ก็ใหญ่กว่าหน้าเลย ถ้าแว่นเล็กๆ พอดิบพอดีเวลานี้เอาต์ไปแล้ว และต้องเป็นทรงโบราณแบบเก่าสุดๆ หรือไม่ก็ต้องทรงสมัยใหม่สุดๆ ไปเลย และอย่าลืมว่าต้องไม่มีเลนส์!!!

    “หากใครงบน้อยลองไปค้นห้องเก็บของที่บ้าน อาจจะเจอแว่นเก๋ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ยังหนุ่มยังสาวก็ได้ แต่ควรขออนุญาตก่อนกระชากเลนส์ออก หรือหากใครสะดวกซื้อมากกว่า แนะนำที่ตลาดนัดสวนจตุจักร วังหลัง คลองถม รับรองได้ราคาถูกใจ ไม่เกิน 200 บาท

    “บางคนอาจอยากตามกระแสเด็กเนิร์ด ต้องตัดผมทรงหัวเห็ด (รองทรงสูง) ถูกระเบียบ เอาแบบ ถ้ายังเด็กอยู่ก็เกรียนๆ ห้ามใส่เจลแต่งผมทุกชนิด แว่นตาหนาๆ มีกรอบ กรอบห้ามสีฉูดฉาดด้วย เสื้อเชิ้ตแบบผู้จัดการ ลายแก่ๆ หรือสีเรียบๆ

    “ถ้าเป็นนิสิตอยู่ขอให้ถูกระเบียบ กางเกงสแลกตัวใหญ่ๆ ใส่มาถึงพุง คาดเข็มขัด รองเท้าบาส หรือรองเท้าวิ่ง ใหญ่ๆ ใส่สบาย ไม่ก็รองเท้าหนังขัดมันไปเลย ห้ามใช้คอนเวิร์สเด็ดขาด และกระเป๋าเป๋สะพายหลังใหญ่ๆ หรือกระเป๋าถือแบบใส่โน้ตบุ๊กได้ ต้องใส่ของให้ตุงตลอด“

    โลกของเนิร์ดกับโลกของคนส่วนที่เหลือนั้น อาจแบ่งแยกกันได้อย่างสิ้นเชิงราวกับซ้ายกับขวา สมัยก่อนการเป็นเด็กเนิร์ดอาจจะอับอายและโดนล้อเลียน แต่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปมากวัฒนธรรมก็เปลี่ยนไป ใครๆ ก็หันมาพิงเด็กเนิร์ดทั้งนั้น ตั้งแต่ลอกการบ้าน จนถึงผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ เด็กเนิร์ดทั้งหลายจึงมีความภูมิใจในความเป็นเนิร์ด ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเรียกตัวเองอย่างเต็มปากเช่นทุกวันนี้

    *************
    เรื่อง : เพลงมนตรา บุปผามาศ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>Daily News - Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. Srijun

    Srijun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +71
    นานๆจะโพส ขอตอบคนแรกนะครับ
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    [​IMG]
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เราเอง สงสัยอยู่กลุ่ม โอตาคุ หลงประจำ หลงในเรื่องราวมากมาย
    บ้าอ่าน บ้าฟังธรรม บ้าการ์ตูน บ้าเอนิเมชั่น บ้าวิทยาศาสตร์ บลา บลา บลา ...
    เมื่อก่อนบ้าเกมด้วย พอมีลูก ก็เลิกเล่น มาเล่นกะลูกแทน
    หลงปัญญา โลภปัญญา ชักเยอะแระ อืมๆ โอตาคุ จริงๆ เลยเธอ [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2009
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    รูปห้องโอตาคุที่ญี่ปุ่น

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Otaku2.JPG
      Otaku2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      43.7 KB
      เปิดดู:
      11,946
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2009
  6. anuwats19

    anuwats19 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +16
    ฮาดี เนิร์ดตัวพ่อ ผมว่าเขาก็เป็นตัวของตัวเองดี
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    โอ้ว... โอตาคุ ตัวจริง ของจริง เป็นอย่างรูปข้างบนนี่เอง เห็นภาพนี่รู้แจ้งเลย
    ไม่ต้องบรรยาย
     
  8. Srijun

    Srijun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +71
    คุณ ขวัญ เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงอะ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผู้หญิงจ๊ะ แต่มีหลายคนทักว่านิสัยเหมือนผู้ชาย
    ชอบอิสระเสรี ไม่ชอบถูกบังคับ
    แต่ก็ถูกบังคับได้นะ แต่บังคับกันนานๆ มีวีนแตกบ้างเล็กน้อย พอให้รู้สึกตัว
    ว่าทนไม่ไหวแล้วนะ ดูดิ.. เขาถามนิดเดียว ตอบซะละเอียดเชียว บ้าป่าว... แหะ แหะ

    คุยกะเรา ก็อย่าถือสาเรานะ ก็เพี้ยนๆอย่างนี้แหละ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    บทเรียนชีวิตของ สตีฟ จ๊อบส์.........
    รายงานจากสแตนฟอร์ด วันที่14 มิถุนายน 2005
    “ คุณต้องหาสิ่งที่คุณรัก “

    ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่บรรยายในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาแห่งหนึ่ง โดย สตีฟ จ๊อบส์ ซีอีโอ ของบริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ และพิกซ่า แอนนิเมชั่น สตูดิโอ ซึ่งถูกส่งมาให้เมื่อวันที่ 12 มิย. 2005

    ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ร่วมกับพวกคุณในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ดีทีสุดในโลกแห่งหนึ่ง ตัวผมเองไม่ได้จบการศึกษาจากวิทยาลัยใดๆ นี่คือความจริง และนี่คือวันที่ผมได้อยู่ใกล้กับพิธีรับปริญญามากทีสุดเท่าที่เคยมี วันนี้ ผมอยากจะเล่าให้พวกคุณฟังถึง สามเรื่องราวในชีวิตของผม แต่แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไร มันเป็นแค่เรื่องสามเรื่องแค่นั้นเอง

    เรื่องแรกของผมมันเกี่ยวกับการลากเส้นต่อระหว่างจุดต่างๆ
    ผมดรอปการเรียนที่วิทยาลัยรีด คอลเลจ หลังจากเรียนไปได้ 6 เดือน แต่จากนั้นก็เข้าไปเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แต่ทำไมผมถึงได้ลาออก?

    มันเริ่มต้นมาตั้งแต่ก่อนผมจะเกิดเสียอีก แม่ทางที่แท้จริงของผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เป็นนักเรียนระดับวิทยาลัยที่ยังไม่ได้แต่งงาน และเธอตัดสินใจที่จะให้อื่นรับผมไปเลี้ยง เธอรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าคนที่จะรับผมไปเลี้ยงต้องเป็นคนที่จบการศึกษาจากวิทยาลัย ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกเตรียมการไว้สำหรับการรับผมไปเลี้ยงทันทีเมื่อผมเกิดโดยทนนายคนหนึ่งและภรรยาของเขา ยกเว้นแต่ว่า เมื่อผมออกมาดูโลก พวกเขาก็ได้ติดสินใจในนาทีสุดท้ายว่าพวกเขาอยากได้เด็กผู้หญิงมากกว่า ดังนั้น พ่อแม่ของผม ซึ่งอยู่ในรายชื่อบุคคลที่จะขอบุตรไปเลี้ยงอันดับถัดไป จึงโทรมาในกลางดึกและถามว่า “ เรามีเด็กที่ผู้ชายที่เกิดมาอย่างผิดคาด คุณยังต้องการเขาอยู่หรือเปล่า? “ “อ๋อ แน่นอน “ แม่ทางชีวภาพ(แม่ที่แท้จริง)พบในภายหลังว่าแม่ที่รับผมมาเลี้ยงนั้นไม่ได้จบการศึกษาระดับวิทยาลัย และ พ่อของผมไม่ได้จบระดับไฮสกูล เธอจึงปฏิเสธที่จะเซ็นชื่อในใบรับรองการรับบุตรไปเลี้ยง แต่เธอก็ยอมผ่อนปรนให้ในอีก 2-3 เดือนต่อมา เมื่อพ่อแม่ของผมสัญญาว่าวันหนึ่งผมจะต้องได้เรียนในวิทยาลัย

    และหลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้เข้าเรียนในระดับวิทยาลัย แต่ผมก็ไร้เดียงสาที่เลือกลงเรียนในวิทยาลัยที่ค่าเล่าเรียนแพงพอๆกับวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเงินเก็บทั้งหมดของพ่อแม่ซึ่งเป็นคนทำงานระดับแรงงานก็ถูกใช้จ่ายไปกับค่าเรียนพิเศษของผม หลังจากหกเดือนผ่านไป ผมก็ไม่เห็นคุณค่าของการเรียนอีกต่อไป ผมไม่รู้ว่าผมอยากจะทำอะไรกับชีวิตต่อไป และก็มองไม่เห็นว่าการเรียนในวิทยาลัยจะช่วยให้ผมค้นพบมันได้อย่างไร แต่ที่นี่ผมได้ใช้เงินของพ่อกับแม่ที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิตไปจนหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลาออกและเชื่อมั่นว่า เหตุการณ์จะเรียบร้อยเอง ในตอนนั้นมันค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อมามองย้อนกลับไปดู ณ วันนี้ มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว ในนาทีที่ผมดร็อปการเรียนเอาไว้ ผมเลยไม่ต้องเข้าเรียนวิชาที่ผมไม่เคยสนใจ และเลือกเรียนในวิชาที่ผมสนใจแทน

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกเสมอไป ผมไม่มีหอพัก ดังนั้นผมจึงต้องนอนบนพื้นห้องพักของเพื่อนๆ ผมต้องเก็บกระป๋องโค๊กไปคืนร้านเพื่อจะได้เอาเงินค่ามัดจำกระป๋องไปซื้ออาหาร และทุกๆคืนวันอาทิตย์ ผมจะต้องเดินข้ามเมืองเป็นระยะทาง 7 ไมล์ ไปโบสถ์ Hare Krishna เพื่อที่ในหนึ่งอาทิตย์ผมจะได้มีโอกาสกินอาหารดีๆสักมื้อหนึ่ง ผมรักชีวิตช่วงนั้น และสิ่งที่ผมก้าวถลำลงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาติญาณ ได้กลับกลายมาเป็นสิ่งมีค่าอย่างอะไรเทียบไม่ได้ ให้ผมลองยกตัวอย่างให้ดูก็แล้วกัน

    วิทยาลัยReed College ในตอนนั้น เปิดสอนวิชาการประดิษฐ์ตัวอักษรที่อาจเรียกได้ว่าดีที่สุดในประเทศ ทั่วทั้งวิทยาเขต โปสเตอร์ทุกใบ ฉลากทุกแผ่นบนทุกลิ้นชัก มีการเขียนตัวประดิษฐ์อักษรที่สวยงาม และเพราะว่าผมได้ดรอปการเรียนไว้ และไม่ต้องเรียนในวิชาปกติ ผมเลยตัดสินใจเลือกลงเรียนวิชาการประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อเรียนรู้วิธีทำ ผมเรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษร serif และ san serif , เกี่ยวกับการปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรผสมต่างๆ, เกี่ยวกับว่าสิ่งใดที่ทำให้ตัวอักษรสวยๆดูเยี่ยมยอด มันคือสิ่งสวยงาม มีประวัติศาสตร์ เป็นศิลปะ ยากจะอธิบายในแบบที่เป็นวิทยาศาสตร์ และผมพบว่ามันมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างยิ่ง

    ทั้งหมดนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่ผมหวังได้ว่าจะได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต แต่สิบปีหลังจากนั้น เมื่อผมกำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอช เครื่องแรก มันทั้งหมดได้กลับเข้ามาอยู่ในหัวผม และผมก็ได้ออกแบบมันทั้งหมดให้อยู่ในเครื่องแมคด้วย มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกมีตัวอักษรสวยๆให้ใช้ ถ้าผมไม่ได้เลือกเรียนวิชาดังกล่าว เครื่องแมคก็คงไม่มีตัวอักษรที่หลากหลาย หรือตัวฟอนต์ที่มีสัดส่วนหลายขนาด และตั้งแต่ที่เครื่องระบบวินโดว์ลอกแบบไปจากแมค เครื่องPC ทุกเครื่องก็มีตัวอักษรสวยๆแบบเครื่องแมค นี่ถ้าผมไม่ได้ดร็อป ผมก็จะไม่มีโอกาสไปลงเรียนวิชาการประดิษฐ์อักษร และเครื่อง PC ก็จะไม่ได้มีตัวอักษรสวยๆให้ใช้อย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเชื่อมต่อจุดต่างๆโดยมองออกไปข้างหน้า (ภาพประกอบด้วยจุดมาต่อกัน) ตั้งแต่เมื่อผมยังเรียนอยู่วิทยาลัย แต่สิ่งนี้จะเห็นได้ชัดเจนมาก เมื่อคุณมองย้อนกลับไปอีกทีเมื่อสิบปีผ่านไป

    อีกครั้ง คุณไม่สามารถที่จะเชื่อมต่อจุดต่างๆได้โดยการมองๆไปข้างหน้า(อนาคต) คุณเพียงแต่ต้องเชื่อมต่อมันโดยมองกลับไปยังอดีต ดังนั้น คุณจะต้องเชื่อมั่นว่าจะอย่างไรก็ตาม จุดต่างๆนั้นมันจะเชื่อมต่อกับอนาคตของคุณ สติปัญญาของคุณ โชคชะตา ชีวิต กรรม หรื่ออะไรก็ตามแต่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันได้ทำให้ชีวิตของผมแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

    (สิ่งที่คุณทำในวันนี้ คุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะมีประโยชน์กับชีวิตคุณอย่างไร จนกว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี คุณจึงจะพบว่าสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากต่อปัจจุบันและอนาคตของคุณ)


    เรื่องที่สองของผม เกี่ยวกับความรักและการสูญเสีย

    ผมเป็นคนโชคดี ที่ผมได้พบกับสิ่งที่ผมรักตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต ผมกับวอซ(Woz) เริ่มต้นสร้างบริษัท Apple ในโรงรถของครอบครัวผม ตอนที่ผมมีอายุได้ 20 ปี เราต้องทำงานกันหนักมาก และภายใน 10 ปี บริษัท Apple ก็เติบโตจากเราแค่สองคนในโรงรถ มาเป็นบริษัทระดับพันล้าน กับพนักงานมากกว่า 4,000 คน ตอนนที่ผมเพิ่งมีอายุได้ 30 ปี เราเพิ่งออกสิ่งประดิษฐ์ที่ดีทีสุดของเรา “เครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช” ออกมาก่อนหน้านั้นแค่ 1 ปี และผมถูกไล่ออก คุณจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณสร้างมันขึ้นมาเองได้อย่างไรกัน ? เอาล่ะ ในขณะที่ Apple เติบโต บริษัทได้ว่าจ้างบางคนซึ่งผมคิดว่ามีความสามารถมากมาบริหารบริษัทร่วมกับผม และในปีแรกๆนั้น ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดี แต่หลังจากนั้น วิสัยทัศน์ต่ออนาคตของเราเริ่มแตกแยก และในที่สุดเราก็แตกกัน ขณะนั้นคณะกรรมการบริหารของเราเห็นไปทางด้านเดียวกับเขา ดังนั้น ด้วยวัย 30 ผมจึงออก และเป็นการออกที่เป็นข่าวมาก สิ่งซึ่งเป็นเป้าหมายทั้งหมดในชีวิตผู้ใหญ่ของผมได้จากไปแล้ว และมันถูกทำให้พินาศลง

    ผมไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเป็นเวลาหลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมทำให้ผู้ประกอบการรุ่นก่อนๆต้องผิดหวัง ผมได้รับคทา(หรือไม้สำหรับผู้ควบคุมวงดนตรี)มา แต่กลับวางมันลงเสีย ผมได้พบกับ David Packard(ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ฮิวเล็ท แพคการ์ด) กับBob Noyce และพยายามจะขอโทษที่ทำให้เรื่องจบอย่างไม่ค่อยสวย ผมเป็นคนล้มเหลวอย่างมากในสายตาสาธารณชน และผมถึงกับคิดที่จะหันหลังให้กับธุรกิจประเภทนี้ แต่ก็มีบางสิ่งค่อยๆเปิดเผยขึ้นภายในใจของผม ผมยังคงรักในสิ่งที่ผมเคยทำ เหตุการณ์ที่บริษัทApple มิได้เปลี่ยนมันแม้แต่น้อย ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมยังคงรักมัน ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจจะเริ่มต้นใหม่

    ผมมองไม่ออกในตอนนั้น แต่มันกลับกลายเป็นว่า การถูกไล่ออกจากบริษัทApple กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม ภาระหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จถูกแทนที่ด้วย ภาระน้อยๆของการเป็นผู้ริเริ่มอีกครั้ง ซึ่งไม่มีอะไรที่คุณจะมั่นใจได้เลย มันปลดปล่อยให้ผมได้เข้ามาสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ทีสุดในชีวิต

    ห้าปีหลังจากนั้น ผมเริ่มสร้างบริษัทชื่อ NeXT และอีกบริษัทชื่อ Pixar และได้ตกหลุมรักกับผู้หญิงสุดแสนวิเศษที่ได้กลายมาเป็นภรรยาผม บริษัท Pixar ได้สร้างสรรค์ภาพยนต์animationที่สร้างจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลก คือ เรื่อง Toy Story และปัจจุบันได้กลายเป็นสตูดิโอด้านanimationที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก และมาถึงเหตุการณ์พลิกกลับที่ต้องจดจำ บริษัทApple ได้ซื้อบริษัท NeXT และผมได้กลับสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เราพัฒนาที่NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของการฟื้นฟูบริษัทApple และLaurence กับผม ก็ได้มีครอบครัวที่งดงามด้วยกัน

    ผมค่อนข้างแน่ใจว่า จะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจาก Apple มันคือยาที่มีรสขมขนาด แต่ผมคิดว่าคนไข้ต้องการมัน บางครั้ง ชีวิตก็ขว้างหัวคุณด้วยก้อนอิฐ แต่คุณอย่าเสียศรัทธา ผมเรียนรู้ว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงเดินหน้าต่อไปได้คือ การที่ผมรักในสิ่งที่ผมทำ คุณต้องหาให้พบสิ่งที่คุณรัก และสิ่งนี้เป็นจริงทั้งในด้านงานของคุณและคนรักของคุณ การงานจะครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในชีวิตของคุณ และวิธีเดียวที่จะทำคุณพึงพอใจได้อย่างแท้จริงก็คือ การทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันคืองาน(อาชีพ)ที่เยี่ยมยอด และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณได้ทำงานที่เยี่ยมยอดก็คือ คุณจะต้องรักสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณหายังไม่พบ ก็จงมองหาต่อไป อย่ารามือ เช่นเดียวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจ คุณจะรู้เองเมื่อคุณได้พบมัน และเช่นเดียวกับความสัมพันธ์อันเยี่ยมยอด มันจะค่อยๆดีขึ้น ดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นจงมองหามันจนกว่าคุณจะได้พบ อย่ารามือ
    เรื่องที่สามของผมนั้นเกี่ยวกับความตาย

    เมื่อผมอายุได้ 17 ปี ผมได้อ่านประโยคที่กล่าวไว้ว่า " ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วละก็ มั่นใจได้เลยว่าวันหนึ่งมันจะเป็นจริงอย่างที่คุณคิด " มันประทับใจผมอย่างมาก และตั้งแต่นั่นมา เป็นเวลา 33 ปี ทุกเช้าผมต้องมองที่กระจกและถามตัวเองว่า “ ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของผม ผมจะยังคงต้องการที่จะทำสิ่งที่ผมจะทำในวันนี้หรือเปล่า “ และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบคือ “ ไม่ “ หลายวันถัดมา ผมก็รู้ว่าผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว

    จำไว้ว่า ประโยคที่ว่า “ ผมจะต้องตายในไม่ช้า “ นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่พบเคยพบมา ที่จะช่วยผมสร้างทางเลือกที่สำคัญยิ่งในชีวิต เพราะว่าเกือบทุกสิ่งตั้งแต่ ทุกความคาดหวังภายนอก ทุกความภาคภูมิใจ ทุกความกลัวต่ออุปสรรคหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะมลายหายไปเมื่อคุณต้องเผชิญกับความตาย การจากไปเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญอย่างแท้จริง การจำไว้ว่าคุณต้องตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้จัก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการติดในกับดักของความคิดที่ว่าคุณอาจต้องสูญเสียบางสิ่งไป คุณนั้นเกิดมาตัวเปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ทำตามหัวใจของตัวเอง

    เมื่อประมาณหนึ่งปีมาแล้ว ผมถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ผมต้องถูกสแกนตั้งแต่เช้าตอนเจ็ดโมงครึ่ง และผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้องอกในตับอ่อน ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกผมว่าค่อนข้างจะแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้ และคาดว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่เกิน 3-6 เดือน หมอประจำตัวผมแนะนำให้ผมกลับไปบ้านและทำสิ่งที่อยากทำ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณจากหมอว่าให้เตรียมตัวที่จะตายได้ มันหมายถึงให้คุณเอาสิ่งที่คุณคิดว่าจะบอกลูกคุณในสิบปีข้างหน้า มาบอกพวกเขาภายในเวลา 2 - 3 เดือน มันหมายถึงการที่จะแน่ใจได้ว่าทุกสิ่งได้ถูกจัดการให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้ให้ครอบครัวทำใจได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันหมายถึงว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องบอกลา

    ผมต้องอยู่กับเจ้าโรคนั้นตลอดทั้งวัน เวลาผ่านไปจนถึงเย็นวันหนึ่งที่ผมต้องเข้ารับการตรวจ ซึ่งพวกเขาต้องสอดกล้องเอนโดสโคปลงไปในคอของผม ผ่านกระเพาะอาหารและลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ แล้วเอาเข็มทิ่มเข้าไปที่ตับอ่อน และตัดเอาเซลล์เล็กน้อยออกมาจากเนื้องอกก้อนนั้น ผมถูกปลอบให้ทำใจดีๆ แต่ภรรยาของผมซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย บอกว่าเมื่อพวกเขาเอาเซลล์ไปส่องด้วยกล้องไมโครสโคป แล้วอยู่ๆหมอก็เริ่มร้องไห้ เพราะว่าผลออกมากลายเป็น นี่เป็นโรคมะเร็งตับชนิดที่หายากมากๆ และสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด ผมต้องเข้ารับการผ่าตัด และตอนนี้ผมหายดีแล้ว

    นี่เป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ชิดที่สุดที่ผมต้องเผชิญหน้ากับความตาย และผมหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นไปอีก 20-30ปี ด้วยการผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ ตอนนี้ผมจึงสามารถพูดกับคุณได้อย่างมั่นใจว่าความตายนั้นมีคุณค่า มากกว่าเมื่อตอนที่มันยังเป็นแค่ความคิด

    ไม่มีใครที่ต้องการตาย แม้กระทั่งคนที่ต้องการไปสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องการตายเพื่อไปที่นั่น และความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต้องแบ่งปัน ไม่มีใครหนีรอดไปได้ และมันยังคงเป็นอย่างที่ควร เพราะว่าความตายค่อนนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีทีสุดของชีวิต มันคือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต มันกวาดล้างสิ่งเก่าๆออกไป เพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทน ตอนนี้สิ่งใหม่นั้นก็คือคุณ แต่วันหนึ่ง ไม่นานนักจากวันนี้ คุณจะค่อยๆกลายเป็นคนแก่และถูกกวาดไปเช่นกัน ต้องขอโทษที่เล่าเหมือนเป็นละคร แต่นี่คือความจริง

    เวลาของคุณมีจำกัด ฉะนั้น อย่าเสียเวลาเพื่อเติมเต็มชีวิตผู้อื่น อย่าติดกับดักของกฎเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับผลของความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของความคิดเห็นของคนอื่นมากลบเสียงภายในของคุณเอง และสำคัญที่สุด จงกล้าที่จะทำตามหัวใจและสัญชาติญาณของคุณ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันรู้ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นอย่างแท้จริง สิ่งที่เหลืออื่นจึงสำคัญรองลงมา

    เมื่อผมยังเป็นเด็ก มีสิ่งตีพิมพ์ที่น่ามหัศจรรย์อันหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นผม มันถูกสร้างสรรค์โดยคนกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แถวๆ Menlo Park และมันนำมาซี่งความมีชีวิตชีวา ด้วยสัมผัสแห่งบทกวี นี่คือในช่วงยุค 1960 ก่อนที่คอมพิวเตอร์ PC และ เครื่อง desktop จะมีออกจำหน่าย ดังนั้นมันจึงถูกเขียนขึ้นด้วยมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันเหมือนกับ Google ในรูปแบบกระดาษ 35 ปีก่อนที่ Google จะกำเนิดขึ้น มันเป็นเหมือนสิ่งอุดมคติ ที่ท่วมท้นออกมาโดยอาศัยเครื่องมืออันประณีต และความคิดอันเยี่ยมยอด

    สจ๊วตและทีมของเขา ผลิตThe Whole Earth Catalog ออกมาหลายเล่ม และในขณะที่มันดำเนินไปตามเส้นทางที่วางไว้ พวกเขาก็เลิกทำ นั่นคือตอนกลางยุค 1970 และผมยังมีอายุพอๆกับพวกคุณ บนปกหลังของฉบับสุดท้าย เป็นภาพยามเช้าของถนนในถิ่นกันดาร แบบที่คุณสามารถพบตัวเองกำลังโบกรถอยู่ถ้าคุณเป็นคนประเภทชอบการผจญภัย ภายใต้ภาพนั้นมีคำพูดว่า “ จงเหมือนคนหิว(ความฝัน) จงเหมือนคนเขลา (เพ้อฝัน) “ มันคือข้อความอำลาจากพวกเขา จงเหมือนคนหิว จงเหมือนคนเขลา และผมมักภาวนาให้มันเกิดกับตัวเองเสมอ และวันนี้ เมื่อพวกคุณจบการศึกษาเพื่อที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะภาวนาสิ่งนี้ให้พวกคุณ

    “ จงเหมือนคนหิว จงเหมือนคนเขลา “

    http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/B3636797/B3636797.html
     
  11. Srijun

    Srijun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +71
    ขอบคุณ สำหรับ บทความดีๆ
     
  12. Nirvana1985

    Nirvana1985 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +64
    การแต่งตัวเชย ๆ กลายเป็นแนวสมัยนี้แล้วครับ
    แฟชั่นมันวนไป วนมา
     
  13. wishbone

    wishbone สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +24
    vote 4 pedro

    ฮิ้ววว!!!

    เดี๋ยวนี้มีพวกชอบ"เสพ"อะไรบางอย่าง สิงสถิตย์อยู่ตามร้านกาแฟให้ได้เห็นกันเป็นจุดๆ
    หนีบหนังสือวันหนึ่งหรือสมุดข่อยหน้าปก"ไปปายมาแว้ววววว"ไว้ตรงง่ามรักแร้
    ถือถุงลดโลกร้อนหรือไม่ถืออะไรเลยนอกจากไอโฟนอันเดียว
    นั่งที่ใหนก็ต้องเอาแข้งเอาขามาพาดนู่นพาดนี่เหมือนพวกกายกรรมกวางเจาให้ดูไร้มารยาทนิดๆ
    ทำเป็นแกล้งพูดคุยไม่รู้เรื่องหรือบ่นงึมงำอยู่ตัวคนเดียว
    ใครมาถามทางก็มักจะยกเอาปรัชญาแขกมาจั่วหัวเรื่องก่อนตอบ หรือย้อนถามคนถามด้วยคำถามแบบงงๆ
    "รู้มั๊ย? ว่าทำมัยครั้งนั้นพระเจ้าเปารวะถึงไม่เลี้ยวซ้ายเข้าปัญจาบก่อนที่อเล็กซานเด้อมหาราชจะยกกองทัพเข้าตี....."

    อันนี้เนิร์ดแมนหรืออะไรดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2009
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสตีฟ จอบส์ อีกแระ
    เมื่อวาน สามีเปิดเว็บเกี่ยวกับ mac มีข่าวของสตีฟจอบส์ ข่าววันไหนไม่รู้จำไม่ได้แต่คงเร็วๆนี้แหละ จอบส์เขาโดนพาไปหาหมอ แล้วหมดสติไปประมาณ2นาที พอฟื้นขึ้นมาก็ให้คนโทรหาทีมงานmac จดเรื่องที่เขาจำได้ ไปจดลิขสิทธิ์ มีประมาณ 10 เรื่อง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียด จอบส์เขาบอกว่า ระหว่างที่หมอบอกว่าเขาหมดสติ แต่เขารู้สึกตัวและจำได้ว่า เขาอยู่ในร้าน mac store เหมือนเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่ง แล้วเขาเห็นสินค้าใหม่ๆ ในร้าน เขาก็จำมาแล้วให้ทีมงานไปจดลิขสิทธิ์ ใครได้อ่านข่าวชิ้นนี้บ้าง เราไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ เพราะจะไปหาอ่านอีกที ก็หาไม่เจอ สามีเราก็จำไม่ได้แระ เพราะเว็บ mac มันเยอะจัด ก็จำได้ว่าอ่านมาแบบนี้ ไม่ยืนยันว่าข่าวจริง หรือข่าวปล่อยนะ
     
  15. Srijun

    Srijun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +71
    หาไม่เจอครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...