การปฏิบัติธรรม ทำให้ชีวิตมันดูเหี่ยวๆแห้งๆเฉาๆไปหรือเปล่า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prichasamart, 10 พฤษภาคม 2009.

  1. Prichasamart

    Prichasamart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +671
    กลัวเหมือนกันว่าจะเป็นการถามมาโดยกิเลสที่ซ่อนอยู่ข้างในเหมือนกัน
    คือว่าบางทีนั่งดูหนังรายการทีวีตลกๆ ครั้นจะมีอารมณ์ตลกขึ้นมาเสียหน่อย ก็มีตัวสติมาคอยดูคอยรู้ว่า มีความอารมณ์ขันนะ แล้วก็หยุดไป
    มองผู้หญิงสวยๆ จะคิดเรื่องกุ๊กๆกิ๊กๆ หรือ ถ้าถึงขั้นว่าถ้าเป็นแฟนกัน พอจะคิดโรแมนติกซะนิดนึง ก็มีตัวสติมาคอยตามดู แล้วรู้อารมณ์แล้วก็ให้มันดับไปอย่างนั้น
    ชีวิตมันก็เลยดูเฉาๆ เหี่ยวแห้งๆไปไหมครับ
    มันเหมือนกับว่าถ้าจะเลือกก็ให้เลือกเอาทางใดทางหนึ่ง อยากจะสนุกแบบชาวโลกก็สนุกไป แต่ถ้าจะเอาทางธรรมก็ให้เพ่งดูอารมณ์ ความคิดอะไรประมาณนี้ ดูความเกิดดับ ดูความไม่แน่นอน
    มันเหมือนกับชีวิตมันมาถึงจุดที่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่ก็ยังโหยหาอารมณ์ทางโลกแบบเดิมๆที่เคยสนุกสนานมาอะไรประมาณนี้มังครับ
     
  2. ผีมังคุด

    ผีมังคุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +350
    การปฏิบัติธรรมคือการทวนกระแส (แห่งกิเลส) แน่นอนครับ มันไม่ใช่เรื่องสนุก
    ถ้าคุณจะเอาสนุกตอนนี้แล้วไปทุกข์แสนสาหัสใน อบายภูมิ เป็นกัปป์ๆ คุณจะเลือกแบบไหน

    การปฏิบัติธรรมแท้จริงไม่ได้เหี่ยวแห้ง แต่ผู้ปฏิบัติธรรม เค้ามีปัญญาในการดำรงชีวิต เพราะเค้ามีสติอยู่ตลอดเวลา
    ไม่หลงไปกับกิเลส คนที่มีสติ จืตจะไม่ไปเกาะเกี่ยวกับ โลภะ โทสะ โมหะ เค้าจะปล่อยวาง นักปฏิบัติที่มีความเพียร สภาวะจิตเค้าจะวางเฉย เป็นความสุขเหนือสุข คือ โลกุตระ
    แตกต่างกับคนที่ไม่ปฏิบัติ ซึ่งดำเนินชีวิตแบบโง่ๆ หลงๆ หลงไปกับ แสง สี ฯลฯ สุดท้าย ก็ลงอบายภูมิ

    ท่านครับ จะสนุกแบบทางโลกแล้วไปอบายภูมิ
    หรือท่านจะเลือกมีสติ เพื่อไป นิพพาน ท่านก็เลือกเอานะครับ

    โลกียะ กับ โลกุตระ มันไปด้วยกันไม่ได้ ท่านต้องเลือกเอาซักทาง
    ไม่งั้นทำไมพระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสรู้ในพระราชวัง 3 ฤดู ซะเลยละครับ

    ประโยคหนึ่งที่ หลวงปู่ทวด เคยพูดไว้เรื่องนี้คือ

    โลกิยะหรือโลกุตระ
    คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ? ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และ
    โลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหา
    จักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ? แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยว
    และกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง


    อนุโมทนาครับท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2009
  3. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ถ้าปฏิบัติถูก จิตคุณจะสบาย เบาจากกิเลส จิตเป็นสุข

    ไม่ใช่ ว่างๆ เฉยๆ เหี่ยวแห้ง ลองทบทวนดูแล้วกันครับ
     
  4. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    ทำไมคิดอย่างนั้นหละครับ การปฎิบัติธรรมก็เป็นการเรียนรู้สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่รับรู้ตามความเป็นจริง การปฎิบัติธรรมแบบมีความเข้าใจดีกว่า ไม่เข้าใจแล้วนำไปปฎิบัติแบบไม่เข้าใจผลที่ได้ คือทุกข์ เช่นไม่เคยนั้งสมาธิเลยไม่รู้ว่าทำไมต้องนั่งทำไมต้อง กำหนดลมหายใจ นั่งไป ก็เกิดทุกขที่ใจคือคิดฟุ้งซ่าน ไปเรื่อย เกิดทุกข์ที่กายคือเมื่อยเหน็บชา ไม่เห็นจะดีเลย อันที่จริงเขาต้องการฝึกจิต ให้มีจุดเกาะคือลมหายใจ ไม่ให้คิดเรื่องอื่น เพราะเรื่องทุกเรื่องเริ่มต้นที่จิต สำหรับเวทนามีไว้เพื่อกำหนดสติ
    ลองทำใหม่ ๆ ก็ไม่ต้องไปคิดมากครับชีวิตไม่เหี่ยวเฉาหรอก ไม่ฝึกสิ ลำบากเวลาพบกับเวทนาแรง ๆ เช่นเศร้ามาก ๆ โกรธมาก ๆ เจ็บมาก ๆ ก็จะทนไม่ได้ ขาดสติทำอะไรไม่ถูกหรือทำอะไรต่ออะไรที่แย่ไปกว่าเดิมอีก ลองฝึกดูครับ เมื่อเห็นสัจธรรมหรือเข้าใจแล้ว ท่านก็จะมีความสุข อยู่ที่ไหนก็ได้สภาพใดก็ได้ เพราะมีธรรมอยู่ในใจ ลองสังเกตพระสงฆ์ หรือ แม่ชื หรือผู้ปฎิบัติธรรมมานาน ๆ ที่ท่านปฎิบัติดีปฎิบัติชอบสิครับหน้าตาท่านจะผ่องใสมาก
    ไม่เห็นว่าชีวิตท่านเหล่านั้นจะเหี่ยวเฉาเลยครับ
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ทําอะไรกลางๆครับ เราปรารถนาอยากได้ธรรมขั้นไหนก็ทําให้ได้ระดับนั้นครับ ไม่ต้องไปซีเรียสกับเขา ทําตัวสบายๆเเล้วทุกอย่างจะดีเองครับ อนุโมทนา
     
  6. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    นี่แหละคือความลังเลสงสัยครับ -- แก้ด้วยการมีศรัทธาไว้ก่อน วิปัสสนาได้จะรู้เอง

    จุดนี้ผมผ่านไปแล้ว สาธุ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    รู้ตัว ว่าทำอะไร เพื่ออะไร ผลคืออะไร
    ก็จะช่วยให้ทำได้ถูกจังหวะ ถูกเวลา ถูกสถานะการณ์ ถูกวัตถุประสงค์
    การดูหนังฟังเพลง ของฆราวาส ดูเพื่อผ่อนคลาย ดูเพื่อละโลก ดูเพื่อหลงโลก
    ก็ให้มันรู้ไปทางเดียวกัน ถ้ารู้ไปคนละทางในเวลาเดียวกัน มันก็ตีกันเองอยู่ภายใน
    ดูละครจนจบแล้วย้อนดูตัว ก็ได้รู้โลกแบบหนึ่ง
    ดูละครไปดูตัวเองไป ก็ได้รู้ตัวเองอีกแบบหนึ่ง
    (เอาละครเป็นวิหารธรรม แทนการบริกรรม ได้ไหมก็ไม่รู้นะ มั่วถูกไหมก็ไม่รู้ ก็ว่ากันไปเนาะ)
    วันหนึ่งมี 24 ชม. ก็ลองจัดสรรเวลาว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เข้าทางสายกลาง
    ทำแล้วไม่สร้างทุกข์ แต่ทำแล้วได้รู้ทุกข์ ก็น่าจะดีนะ เราก็ยังเป็นฆราวาสที่ยังไม่บรรลุธรรม
    ก็ทำอย่างหนึ่งให้พอเหมาะพอสม แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นอุกฤติแล้วทนได้ไม่พังพาบซะก่อน
    เราก็ขออนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2009
  8. Shio_Ri

    Shio_Ri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +122
    ตอนแรกเราก็หลงทางโลกอย่างมาก ไม่สนใจธรรมะ ทุกครั้งที่หลงในแสง สี เสียง เรารู้สึกว่ามันสุดยอดมากๆ สนุกมากๆ ไม่อยากถอนตัวออกจากแสง สี เสียงเลย

    แต่พอได้มาศึกษาทางธรรมะ มันอาจไม่ได้ทำให้รู้สึกสนุกมากๆเหมือนทางโลก แต่สิ่งที่รู้ได้รับ คือ ความรู้สึกว่านี่คือ ของแท้ เลยหล่ะ
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เก่งนะนี่ หากภาวนา เห็นสภาวะธรรมขณะที่ หน้าซิ่วหน้าขวาน ก็ยังอุตสาห์เห็นได้

    ทำไมถึงเรียกว่า น่าสิ่วหน้าขวาน ก็เช่น กำลังกระหนุ่งกระหนิง ซึ่งสถานการณ์
    ตรงนี้แบบนี้นะ มีแต่มันจะลากไปจนลืมรู้ ลืมดู จะเห็นก็บอกว่าอย่าพึ่งน่า...
    แต่ดูคุณ จขกท สิ สามารถแหวกอาสวะจนผู้รู้ ผู้ดู ปรากฏ

    แล้วเวลาดูละคร นี่หากเป็นเมื่อก่อน หรือ เป็นแม่ค้า ชาวบ้านที่ไม่เคสสดับ ก็
    คงมีน้ำหม่งน้ำหมากกระจาย หัวล่อ งอปลอมกระเด็นหาย ยากมากที่จะระลึก
    ย้อนกลับมาดูตัวละครอีกตัวที่นั่นดูทีวีอยู่

    "ใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละครับ" [ Bull_Psi ]

    "ดูละครจนจบแล้วย้อนดูตัว ก็ได้รู้โลกแบบหนึ่ง" [ k.kwan ]

    "การปฏิบัติธรรมคือการทวนกระแส (แห่งกิเลส)" [ โอปาติกะ มังคุด ]

    * * * * *

    จริงๆ แล้ว สิ่งที่คุณเห็นนั้นไม่ใช่ข้อปัญหา แต่มันเป็นกังขาทัศนวิสุทธิที่จะนำ
    ไปสู่คำถามต่อไป คำถามที่จะถามว่า "แล้วอะไรคือสภาวะพ้นทุกข์"

    คุณก็ลองพิจารณาดูใหม่ ดูอย่างเป็นกลาง จริงแล้วหรือ ที่มันดับไป มันดับ
    จริงๆ ละหรือ เมื่อคุณ ดูทีวีใหม่ หรือ เจอแฟน ความสนุก ความขบขัน อยาก
    หัวเราะมันผุดขึ้นมาอีกไหม อะไรที่ทำเพื่อโรแมนติกนั้นเกิดขึ้นอีกไหม แล้ว
    มันเกิดขึ้นไปในทิศทางใด ลวงให้เขาหลงมาเอออวย หรือ เป็นไปเพื่อให้โดย
    แท้จริง มันไปทางไหน ต้องระลึกดูให้ถี่ถ้วน ไม่ใช่เห็นแต่ส่วนมันดับไป ต้อง
    เห็นด้วยว่า มันดับไปเพื่ออะไร ทำไมมันจึงดับ แล้วทำอย่างไรมันถึงน้อมไปสู่
    การดับ แต่บางอันไม่ดับ กลับกำเนินต่อได้อย่างไม่ติดขัดหมายเอา แต่เป็นไป
    เพื่อสละออก ผลักออก เป็น จาคะ

    ใบ้ให้นิดนึง หาก อาการใดก็ตามมันปรุงจากส่วนที่เป็นอกุศล เมื่อสติไปรู้เข้า
    สติ ซึ่งเป็น มหากุศลจิต จะไม่เกิดร่วมกับ อกุศลมูลจิต เมื่อนั้น อกุศลมูลจิต
    จะเกิดไม่ได้ ทำให้ความสืบเนื่องของอกุศลมูลจิตดับไป

    จังหวะที่มันดับไป สติ จะหายไปแล้ว หลังจากนั้นจะเกิดการทบทวนว่า มีบาง
    อย่างหายไป ตรงนี้หากมียินดี ยินร้ายกับการเห็นสภาวะธรรมที่พึ่งดับไปสดๆ
    ร้อนๆ มารจะสบช่อง เรียกมารตัวนี้ว่า อภิสังขารมาร หรือ ตัวความคิด มันจะ
    หลอกให้เราขบปัญหา แทนการระลึกรู้อยู่ที่กังขาเพื่อให้เห็นสิ่งที่ตรงตามจริง
    เราจะเผลอเติมรู้ตามอภิสังขารมาร ทำให้มันซ่อนความจริงที่จ่ออยู่ปลายจมูก
    ไว้ได้สำเร็จ

    ใบ้ให้อีกนิด อย่าพึ่งเติมยินดี ยินร้ายในสิ่งที่ได้เห็น หรือ อย่าพึ่งเติมความรู้
    ว่าตะกี้ไปรู้อะไร ให้ยอมๆ เห็นไปอย่างธรรมดาๆ ก่อน หากเราเห็นอะไรแล้ว
    เผลอจะเติมความรู้ ด้วยที่เรายังเป็นปุถุชน ยังมีมิจฉาทิฏฐือยู่ ความคิดที่กลั่น
    กลองออกมาจะถูกเคลือบแฝงให้ห่างจากการเห็นตามจริงทันที

    ฝึกไปเรื่อยๆ ครับ แล้วก็ไม่ต้องกังวล หากมันจะออกมาถามอีกว่า มันจะทำ
    ให้ชีวิตคุณจืดๆ ไป คุณก็แค่เห็นมันกำลังคิด หลงไปคิด แล้ว

    คิดดูสิครับ หากเราต้องมีสัมพันธภาพกับใครบางคน แล้วมันเป็นไปเพื่อให้
    อย่างแท้จริง คุณจะมีความสุขหรือทุกข์จากคนที่เขาได้รับสิ่งที่คุณให้ด้วยใจ
    จริง ไม่ได้แฝงความมุ่งหมายจะเอาถ่ายเดียว

    คิดดูสิครับ หากเรากำลังดูหนังแล้วเราขำ เราโกรธ เราหลง ก็ยังมีจิตที่แยก
    ออกมาจากจิตที่ทำกริยาขำ โกรธ หลง ดวงจิตที่แยกออกมานั้นไม่ตกอยู่ใน
    สภาวะของกิเลสทั้งสาม ดวงจิตชนิดนั้นคือ สภาวะจิตที่เสวยอบายหรือเสวย
    สุคติภพกันแน่ หากมันเป็นจิตที่คุณศรัทธาว่า เป็นไปเพื่อสุคติภพ คุณจะมี
    ความสุขหรือทุกข์ (ตรงนี้อย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะจิตที่แยกออกมาเขาก็
    ไม่ได้เที่ยง มันไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป )

    แล้วหากสังเกตดีๆ จะพบว่า จิตที่แยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู นั้นเขาไม่ได้เกี่ยวอะไร
    กับ ที่กริยาอาการเราหยุดหรอก เราไปเติมอะไรบางอย่างต่างหาก ตกจาก
    ความเป็น ผู้รู้ ผู้ดู ไปเสียแล้ว หากจิตสามารถเจริญได้เป็นเพียงผู้รู้ ผู้ดู ที่แท้
    จะไม่มีทางไปขัดขวางอะไร เพราะเขาเป็นเพียง ผู้รู้ ผู้ดู ไม่ใช่ผู้ทำ หาก
    ปฏิบัติไปแล้วไปเห็นเป็น ผู้ทำ ให้ระลึกรู้ว่า มีบางอย่างภาวนาไม่ถูกต้อง

    และเมื่อเห็นความไม่ถูกต้องนั้นๆ เมื่อนั้น ความดับ กับ ความพ้น คุณจะพบ
    ว่ามันไม่เหมือนกัน จิตที่พ้นอากัปกริยาอกุศล เสวยสุคติภพอยู่นั่นมีอีกอย่าง
    หนึ่ง... และเหนือไปกว่านั้น จิตที่ไม่เสวยทั้งทุคติภพ และ สุคติภพ พ้นธาตุ
    การปรุงแต่งหรือภพทั้งปวง ก็มีอีก "หนึ่ง"

    ไปเรื่อยๆ ครับ
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870


    สติ เเท้ที่จริงเเล้วเเปลว่า การระลึกรู้

    เเต่เวลาที่คุณระลึกรู้ คุณไม่รู้ว่า จิตของคุณกำลังเพ่งตนเอง

    เพ่งจิต ความอยาก ความสนใจ และ บังคับให้ จิตหยุดคิด

    จิตตัวนั้น ไม่ใช่สติ เเต่เป็น วิจารณญาณ เเละ ตัดสินใจว่า สิ่งนี้ควรจะคิดต่อหรือไม่

    การมีสติ คือ การรู้ว่า ตนเองกำลังคิดอะไร เเละ ทำอะไร โดยไม่ได้ห้าม

    คิดได้ ต่อไปเรื่อยๆ เเต่รู้ว่า คิด สุดท้าย ถ้าตัวคุณเบื่อหน่าย จิตจะทำให้คุณเกิดเป็นปัญญา

    เมื่อคุณ หลง ให้รู้ว่า หลง นั้น คือ การเจริญสติ

    เมื่อคุณ ชอบ ให้รู้ว่า ชอบ นั้น คือ การเจริญสติ

    เมื่อระลึกรู้เเละ อยู่กับความคิดจนพอใจ จิตดวงนั้นจะดับลงเองโดยไม่ได้บังคับ

    เมื่อคุณบังคับจิตตนเองให้ หยุดคิดในสิ่งที่คุณกำลัง คิดและหลงใหล

    ชีวิตของคุณ จึงถูกตีกรอบ ด้วยความคิด ของ จิตอีกดวงซ้ำเเล้วซ้ำเล่า

    สุดท้าย การเจริญสติของคุณจึงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย

    เพราะไม่ว่าจะคิดอะไรคุณก็มองว่าผิด เเละ ควรจะหยุด

    เเต่เมื่อคุณเข้าใจ ว่า สัจธรรมของ จิตมนุษย์นั้นห้ามไม่ได้ คุณเองจะสนุกกับการเจริญสติ ณ ปัจจุบัน

    รู้ว่า สิ่งนี้ คือ มโนกรรม วจีกรรม หรือ กายกรรม ก็เเล้วเเต่ว่า คุณ เจริญสติครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่

    ถ้ายังเจริญสติด้วยการเพ่ง เเน่นอนว่า จิตของคุณเองที่จะทุกข์เพราะ ไม่ว่าจะทำอะไร

    คุณก็ดักจิตตนเอง ตั้งเเต่ยังไม่ได้เริ่ม รู้ให้ทัน คิดอะไร ศึกษาจิตตนเอง

    เเล้ว ความเบื่อหน่ายจะกลายเป็น ปัญญาในที่สุด


    จำไว้ว่า สติ คือ เพื่อนสนิทที่รู้ความลับของเราทุกอย่าง

    แต่ สติ ไม่เคยห้ามเราสักอย่างทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราในการตัดสินใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2009
  11. Prichasamart

    Prichasamart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +671
    ต้องอ่านทวนที่แต่ละท่านตอบมาซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เรื่อยๆ
    โดยเฉพาะของคุณเอกวีร์ และ คุณสันโดษ
    สุดยอดเลยครับ ขอไปหาทางทบทวนตัวเองก่อนครับ ไว้จะมาสอบถามใหม่(ถ้าเลื่อนขั้นขึ้นไปได้)หนะครับ
    (สุดยอดทุกท่านเลยครับ)
     
  12. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    สุขในกามยังไม่เท่า 1 ใน 16 ส่วน ของสุขที่เกิตจากสมาธิ ลองหาอีก 15 ส่วนมาเปรียบเทียบเนาะ...15 ส่วนนี้ยังเป็นสุขในสมาธิ และความเบิกบานจากวิปัสสนาหล่ะรสชาดมันเป็นยังไงหว่า อืม..น่าลงทุนเนาะ...........ว่าแมะ...ของอย่างนี้มันต้องพิสูจน์
     
  13. เฒ่าหนังเหนียว

    เฒ่าหนังเหนียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +102
    มันไม่เฉาหรอครับ ถ้าทำได้มันจะสุขมากกว่า แรกๆๆก็เป็นแบบนี้และ ผมตอนแรกตอนฝึกไหมๆๆ ไม่พูดกับใครเลย ต้องทำไปเลยๆๆ แล้วจะผมกับความสุขที่แท้จริง ที่แรกจะสุข นิดเดียว แต่ถ้าทำไปเลื่อย มันจะมากขึ้น แล้วมันจะว่าง เย็นสบาย เบาจิต กายเบา ทำไปครับ เดี่ยวเห็นเอง เป็นปัจตังครับ
     
  14. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +1,936
    คิดว่าภาวนาแล้วโลกนี้ช่างเหี่ยวเฉา มันก็เป็นการหลงเชื่อความคิดไป
    คิดว่าโลกนี้สดใสน่าอยุ่ มันก็หลงเชื่อความคิดไปอีกด้านหนึ่ง
    โลกมันก็เป็นของมันอยู่ตามธรรมดา มีแต่เราที่ไปตีค่าให้มันเอง
    ว่าเรื่องไหนจะให้มันสดใส เรื่องไหนจะให้มันดูเหี่ยวเฉา

    ถ้าภาวนาถูกต้อง มันจะเห็นแต่ทุกข์ แต่ไม่ถุกความทุกข์ครอบงำแบบก่อนๆ
    เพราะได้เห็นมันแล้ว แต่เดิมไม่เห็น จึงถูกมันครอบงำ
    เมื่อความทุกข์ครอบงำใจได้น้อยลง ความสุขมันมากขึ้นเอง( ไม่ใช่ความสุขแบบโลกๆ )


    ยิ่งภาวนา ยิ่งเห็นทุกข์
    ยิ่งเห็นทุกข์ ยิ่งห่างทุกข์
    ยิ่งห่างทุกข์ ยิ่งมีความสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2009
  15. innertruth

    innertruth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +64
    อนุโมทนาครับ ฝึกปฏิบัติอยู่ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกว่า ได้แค่รู้เท่าทันกิเลส รู้ตามอารมณ์แต่ปัญญาไม่เกิด ก็รู้สึกเหนื่อยท้อใจ

    แต่อาศัยฟังธรรมจาก CD บ้าง อ่านในเว็บบอร์ดบ้าง ก็เลยนึกถึงว่า ความเพียร ความอุตสาหะ ก็ต้องมีประกอบด้วย.... ก็จะทำต่อไป จนกว่าปัญญามันจะเกิดของมันเอง

    แต่มีบางครั้ง ที่จิตรวม เหมือนแยกออกมาเป็นผู้รู้ แต่ก็ได้แค่รู้เห็นการเกิดดับไปของจิตอย่างเป็นกลาง ยังไม่เกิดสัมมาฑิฐิเรยยย ....

    สู้เค้าครับ ดีใจ อย่างน้อยมีเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน เห็นมีแต่คนเก่งๆที่นี่ :D
     
  16. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    เมย์กลับมองว่า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ตามดูจิต ปล่อยอารมณ์ไปตามกระแสแห่งกิเลส มีชีวิตที่ล่องลอยไปกับโลกๆ ไปวันๆนึง เป็นคนที่น่าสงสาร
    เมย์กลับมองว่า คนพวกนี้ สักแต่ว่าเกิดมาเป็นคน กินบุญเก่าไปวันๆ ไม่ได้พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นเลย หมดบุญเมื่อไร ก็ไปนรกตามเดิมอ่ะค่ะ


    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ

    [​IMG]

    .
    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2009
  17. runandyaow

    runandyaow Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +65
    ชอบมากครับ ตามดูเผื่อรู้ ปล่อยมันไป จะตลก หรื่อเศร้า แล้วมาคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะอะไร วิปัสนาญาน คือปัญญารู้แห่งจิต ไม่ใช่ให้เราไปบังคับใ้จิตรู้ เดี๊ยวเราดูจิตและตามรู้ไปเรื่อยๆ จิตจะรู้ของมันเอง
    อย่างเมื่อก่อนผมเห็นอะไรที่เป็นกิเลส จิตก็ตามไป
    แต่พอมาฝึกธรรมจิตมันเริ่มเบื่อครับ
     
  18. -_-'

    -_-' สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมเพิ่งเริ่มครับ

    สติยังตามจิตไม่ค่อยทัน เลยไม่รู้เรื่อง
    รู้แต่เด๋วนี้พูดน้อยลง
    รู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องวุ่นวายทางโลกง่ายขึ้น สงสัยจริตมันจะเยอะ
    กำลังพยายามกำจัดอยู่ครับ

    ใครมีอุบายวิธีอะไรจะกรุณาแนะนำมาก็จะขอบพระคุณมากครับ

    อนุโมธนาครับ
     
  19. พิพัฒน

    พิพัฒน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +1
    การปฎิบัตธรรม คือการปล่อยวาง มีสติตลอดเวลา รู้ว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ วางเฉย กับอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบจิต เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงต่างๆทั้งดีและร้าย ก็สักแต่ได้ยิน
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    เอ่อ..ช่างมันเนาะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...