โมทนาบาปย่อม...ได้บาป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะปรมัติ, 31 พฤษภาคม 2009.

  1. ธรรมะปรมัติ

    ธรรมะปรมัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +114
    [​IMG]


    สนทนาสายลม 7



    วันจันทร์ที่10 มีนาคม 2523







    ญาติโยมถามว่าเดือนเมษาจะมาเมื่อไหร่ ก็ตอบว่า เฮ้ย วันเกิดท่านเจ้ากรมก็ควรจะแจกเหรียญวันเกิด ก็ควรจะแจกเหรียญวันเกิดด้วย ก็เลยยอมรับว่าเขาว่า แจกเท่าที่มีนะ มี 1เหรียญคนมาแสนคนก็แจกพอ ก็ถือเอาไว้เฉย (หัวเราะ) ใช่ไหม เป็นอันว่าวันนั้นเหนื่อยมาก เอ้ ญาติโยมพุทธบริษัทนั่งนิ่งสงบก็อยากจะนอนสักหน่อยก็ไม่ได้ไป ปรากฏท่านมากันเต็ม เอ้ คุยกันไปคุยกันมาท่านก็บอกว่า เออ วันนี้ จิตใจของเขาดีมาก แต่ความจริงละเอียดมีมาก ก็มีท่านที่มาใหม่ท่าน บางทีท่านก็ตั้งอารมณ์ไม่ถูกอยู่บ้างไม่กี่คน แค่คนสองคน ไม่ใช่ว่าทำถูกหรือทำผิดหรอกแต่ว่าอารมณ์นั้นยังไม่ทรงตัว นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่คุยกันเป็นพิเศษ พอญาติโยมสงบปั๊บก็มีแขกพิเศษมาสองท่าน นั้นคือ ท่านพระยายมกับท่านนายบัญชีใหญ่ งัดบัญชีเล่มเบ้อเร่อเลย<O:p</O:p
    ถาม ทำไมจะทวงหนี้หรือไง<O:p</O:p
    ก็บอก เอ้าก็คุณบอกว่าเขามีก็บัญชีกัน ผมก็แบกบัญชีมา<O:p</O:p
    แล้วถามท่านว่า ความจริงบัญชีมันมีไหม<O:p</O:p
    ท่านบอก เทวดาไม่เจ๊กขายกระดาษ แหม พ่อค้าระยำจริงๆ ถ้าไปขายที่นั้นไม่รู้รวยก็ไม่รู้จักไปขาย<O:p</O:p
    แล้วถามว่ารู้ได้ไง กฎแห่งกรรมของคน ท่านบอกว่าสภาพมันเป็นทิพย์เลยไม่ต้องไปนั่งจด ไม่ต้องไปนั่งทำบัญชี ทำไปผมก็ทำไม่ไหว ในเมื่อสภาพจิตมันเป็นทิพย์ มันก็รู้อะไรได้ทุกอย่าง เวลาคนตาย ไปผ่านสำนักท่าน ท่านก็รู้ได้ทันทีว่า คนนี้ทำอะไรมาบ้าง เวลาเท่าไร หนักเบาเท่าไร หนักเบาเพียงใด สบายไม ก็เลยถามบัญชีว่า โดยฐานะครั้งหนึ่งหรือหลายๆ ครั้ง ท่านเคยเป็นลุง แล้วก็เป็นพยายม ในวาระหนึ่ง หรือหลายๆ วาระท่านเคยเป็นพี่ เมื่อพบเข้าก็ถือว่าทั้งสองท่านเป็นผู้มีพระคุณ พี่ก็เคยเลี้ยงน้อง ถ้าหากว่าพ่อแม่ไม่อยู่ พี่ก็เหมือนพ่อแม่ใช่ไหม<O:p</O:p
    ท่านลุงก็เหมือนกันท่านก็เป็นญาติผู้ใหญ่ เราก็ไหว้ท่านเป็นเรื่องธรรมดา เคารพในท่าน พอคุยกันก็ถามท่านว่า ไอ้เรื่องวาระจิตของคนน่ะ มันมีวาระจิตต่างกันต่างกรรม ต่างวาระ หากว่าเค้าจะคิดชั่วนี่ เธอรู้ไหม ท่านบอกว่าไม่ต้องไปตามเวลาตามความคิดหรอก เขาจะนึกทำความชั่ว จะมาจากภาคอีสาน ภาคกลาง มันจะอยากรู้เมื่อไหร่ มันก็รู้เหมือนกันนั่นแหละ ซวยเลย หลบไม่ได้ซิ ไม่มีทางหลบเลยนะ คุยกับท่านอยู่เดี๋ยวหนึ่ง เดี๋ยวก็ท่านผู้ใหญ่ก็มา วันนี้มากันเต็ม มาเต็มจัดก็มีแสงสว่างจัด แต่ว่าจิตใจของญาติโยมพุทธบริษัทก็ใสสว่างก็ขึ้นมาประสานกัน ถ้ามีจิตละเอียดมาก รู้สึกว่าทุกท่านดีใจมาก ท่านบอกว่าถ้าจิตละเอียดอย่างนี้ก็มีหวังทุกราย ถามว่ามีหวังอะไรเพราะท่านเป็นฝ่ายนรก พอถามเข้าก็มีหวังบอก อย่า อย่า อย่าคิดให้มันเป๋ไปซิ ท่านหาว่ารวนท่านรึไง ก็อย่าคิดให้มันเป็นไป ถ้าไม่มีหวังข้างบน ข้างล่างน่ะผมไม่เก็บไว้ที่นรกให้มันเปลืองบัญชีผมหรอก นี่ก็ชักจะดีใจกันหน่อยนะ นี่กลับไปนี่อย่าแอบไปขโมยก๋วยเตี๋ยวเขานะ ไอ้อ้วนนี่สำคัญ<O:p</O:p
    เป็นอันว่าวาระจิตของคนเรานี่มันไม่พ้นความเป็นทิพย์ การที่เราไปทำชั่วที่บอกว่ากายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี นี่มันเป็นผลจริง คือว่าเราจะมีอารมณ์ชั่วเพียงแค่จิตนึก มันก็มีผลขั้นอบายภูมิเหมือนกัน แต่ว่าอบายภูมินี่ ทุกคนเกิดมาแล้ว ถ้าหากว่าเรามีความดี ก็ไม่มีใครพ้น เพราะว่าสร้างความดีเพียงใด ทุกคนเกิดมาก็ต้องผ่านความชั่ว ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรานี่ถึงแม้ว่าจะละเลิศไม่ครบ 5 ละเมิดอย่างใดอย่างหนึ่งโดนเฉพาะมันเป็สาเหตุของอบายภูมิ ในเมื่อเราจะพ้นได้ก็ต้องอาศัยกำลังใจดี รู้จักหลีก จัดอารมณ์หลีกจากอบายภูมิเสียในเมื่อเรารู้ตัว นั้นหมายความว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมดที่ผ่านมาแล้ว จงอย่าตามนึกถึงให้นึกถึงความดีแต่อย่างเดียว ที่ท่านเรียกว่า อนุสสติ<O:p</O:p
    อนุสสติ 10 มีพุทธานุสติ ธัมมาสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น และอย่างที่บรรดาญาติโยมทำนี่ก็ถือว่า น้อมจิตไปถึงความดีโดยเฉพาะ ฉะนั้นความอย่างที่บรรดาญาติโยมทำที่นี่ถือว่า ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ทุกองค์ที่เข้านิพพานได้แล้วก็หมดความชั่ว ใช้อาศัยกำลังใจในด้านความดีสูง ท่านถึงได้หลบอบายภูมิไปนิพพาน<O:p</O:p
    ฉะนั้นท่านจึงเตือนบอกว่า ขอให้ทกคนที่มาวันนี้นะ ท่านห่วงแต่ความจริง ท่านไม่ห่วงมาก ท่านคิดว่า เขาจะมีความมั่นใจในต้วเขาน้อยเกินไป ก็เลยสั่งให้มาบอกเค้าว่า ถ้าพยายามทำจิตใจอย่างวันนี้ จะรักษาอารมณ์แบบวันนี้ อย่างนี้ทุกคนไม่พลาดนิพพาน ท่านอย่างนั้นนะ อีกกี่แสนชาติจะไปฉันไม่รับรอง อย่ามาถามฉันว่าชาตินี่ไปนะ คุยอยู่ประเดี่ยวหนึ่งนายโม่งก็โพล่ 1 ตัว แต่งตัวดำทะมึนเชียว เดินเข้ามาได้อย่างไรของมันว่ะ ไอ้ตัวนี้ เลยถามว่า ตัวอะไร ก็บอก ผมคือนายนริยบาล บอก แหมนี่ที่นี่เขาแต่งตัวกันสวยๆ จะเลือกเครื่องแบบแบบนี้ทุกทีแหละ ถามจริงๆ ไอ้เครื่องแบบของแกจริงๆ มันเป็นอย่างไร พอถามว่าหน้าตาสวยไหม บอกว่าหน้าตาดีแฮะ ไม่ใช้ไอ้โม่ง เอ<O:p</O:p
    ฉันก็ถามอยากจะทราบว่า ท่านทำบุญอะไรถึงได้เป็นายนริยบาล แก หันมายิ้มแหย บอกนี่ถ้าถามแบบนี้ต้องไปถามกันหลังบ้าน จะชวนชกให้ได้เลยนักเลง แก่บอกว่า อาศัยอารมณ์ชั่ว ตัวน่ะไม่ได้ทำ แต่เขาไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็พอลักขโมยก็พลอยยินดี ไปกับเขาด้วย เขาเรียกปรับตามแล้วโมทนามัย อาศัยบาปแล้วโมทนายินดีกับเขา เขาไปฆ่าช้าง ฆ่าม้า ฆ่าควาย ฆ่ากระบือ ฆ่าปลา ฆ่าสัตว์ลักขโมยละก็ ฮ้อๆๆๆ (หัวเราะ) เขากินก็กินกับเขาด้วยกินไปกินมาก็เลยได้เป็นนายนริยบาล ถามว่าเหนื่อยไหม เขาบอกเหนื่อยบรรลัย ไม่มีเวลาได้พัก ก็เลยโมทนากับแกด้วย ถามว่าโมทนาจะเป็นอย่างไร ฉันบอกไม่ใช่โมทนาให้แก่อยู่นานๆ (หัวเราะ) แกขยันงานดี อันนี้ได้ความรู้นิดหนึ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตัดมาบางส่วน หน้า445-447<O:p</O:p
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี <O:p</O:p
    หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม 8<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2009
  2. ธรรมะปรมัติ

    ธรรมะปรมัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +114
    พระพุทธเจ้าของเราทรงเผยพระประวัติกรรม และผลของกรรมของพระองค์ กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะประทับเหนือพระศิลาอันน่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาด

    ทรงกล่าวว่า ครั้งหนึ่ง เห็นภิกษุผู้อยู่ป่ารูปหนึ่งจึงได้ถวายผ้าท่อนเก่า โดยตั้งปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลแห่งกรรมอันเนื่องด้วยผ้าท่อนเก่านั้น ได้สำเร็จในความเป็นพระพุทธเจ้า

    ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายโคบาล ต้อนแม่โคไปสู่ที่หากิน เห็นแม่โคดื่มน้ำขุ่นจึงห้ามไว้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นในภพสุดท้ายนี้ พระองค์กระหายน้ำ จึงไม่ได้ดื่มตามต้องการ เพราะเคยให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาถวาย พระอานนท์ไปแล้วไม่ตักมาบอกว่าน้ำขุ่น ต้องตรัสย้ำให้ไปตักใหม่เป็นครั้งที่สอง จึงได้น้ำใสกลับมาเพราะน้ำขุ่นนั้นกลับใส

    ชาติหนึ่งเคยเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า สุรภิ ผู้มิได้ประทุษร้าย ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม ให้ใครต่อใครหลงผิด ทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้าก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนาราม อีกสองสามวันที่มีคนโจษจันกัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านาง ป้ายความผิดว่านางถูกฆ่าปิดปาก คนสงสัยว่าอาจจะจริง ร้อนถึงพระราชาส่งราชบุรุษไปสืบดูตามร้านสุรา ก็จับนักเลงที่ฆ่า กับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่ามาลงโทษหมด

    อีกชาติหนึ่งเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ สอนมนต์แก่มานพ 500 ได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชม เมื่อไปภิกขาจารในสกุล ก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม ผลของกรรมนั้น ภิกษุ 500 เหล่านี้ทั้งหมดก็พลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ที่ถูกนักเลงฆ่าป้ายความผิดให้พระพุทธองค์ ภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกา และถูกด่าว่า กระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านาง จึงสงบ

    อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์

    ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผลักลงในซอกเขา เอาหินทุ่ม ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มที่เขาคิชกูฏ จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย

    อีกชาติหนึ่งเป็นเด็กเล่นอยู่ในทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเผาสิ่งต่างๆ ขวางทางไว้ ผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายจึงถูกพระเทวทัตส่งคนตามล่า

    ชาติหนึ่งเป็นนายควาญช้าง ไสช้างไล่กวดพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ผลแห่งกรรมนั้น ชาติสุดท้ายถูกช้างนาฬาคิรีดุร้ายเมามัน วิ่งเข้ามาเพื่อทำร้ายในนครอันประเสริฐ มีภูเขาเป็นคอกคือ กรุงราชคฤห์ ซึ่งมีภูเขาห้าลูกแวดล้อม

    อีกชาติหนึ่งเป็นพระราชา เป็นหัวหน้าทหารเดินเท้า ฆ่าบุรุษหลายคนด้วยหอก ผลแห่งกรรมนั้น ต้องหมกไหม้อย่างหนักในนรก ด้วยผลที่เหลือแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้าย สะเก็ดแผลที่เท้ากลับกำเริบ กรรมยังไม่หมด

    ชาติหนึ่งเคยเป็นเด็กชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาก็มีความชื่นชม ด้วยผลของกรรมนั้นจึงเกิดเจ็บที่ศรีษะ ในขณะที่วิทูฑภะฆ่าพวกศากยะในกรุงกบิลพัสด์

    อีกชาติหนึ่งเคยเป็นบริภาษพระสาวก ในพระธรรมวินัยของพระผุสสพุทธเจ้า ว่าท่านจงเคี้ยว จงกินข้าวเหนียวเถิด อย่ากินข้าวสาลีเลย ผลแห่งกรรมนั้นในชาติสุดท้ายนี้ ต้องบริโภคข้าวเหนียวอยู่สามเดือน เมื่อพราหมณ์นิมนต์ไปอยู่เมืองเนรัญชา แล้วลืมถวายอาหาร ได้อาศัยพ่อค้ามาถวายข้าวเหนียวแดงที่มีไว้ให้ม้ากิน

    ชาติหนึ่งสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เคยทำร้ายบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงเจ็บที่หลังเรื่อย

    ชาติหนึ่งเคยเป็นหมอ แกล้งให้ยาถ่ายแก่บุตรเศรษฐี เป็นยาถ่ายอย่างแรงถึงแก่ชีวิต ผลแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้ายนี้ จึงเป็นโรคปักขันทิกะลงพระโลหิต

    อีกชาติหนึ่งได้ชื่อว่า โชติปาละ เคยกล่าวกับพระสุคตพระนามกัสสปะ ว่าการตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จากควงไม้โพธิ์ที่ไหนกัน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้ายนี้ต้องบำเพ็ญทุกกรกริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลาถึงหกปี ต่อจากนั้น จึงได้บรรลุการตรัสรู้

    ที่มา http://palungjit.org/threads/พระพุทธองค์ตรัสเล่าเคราะห์กรรมของตัวท่านเอง.74069/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 พฤษภาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...