นักเรียนนอก..๕แผ่นดิน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 3 มิถุนายน 2009.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    นักเรียนนอก 5 แผ่นดิน

    โดย : นิรันศักดิ์ บุญจันทร์

    [​IMG]
    บัณฑิตนักเรียนนอก

    ย้อนอดีตกับคน 5 แผ่นดิน ที่บินไปคว้าปริญญาจากฮาร์วาร์ดเป็นรายแรกๆ ของไทย ปัจจุบัน หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ ใช้ชีวิตสงบในสำนักสงฆ์เล็กๆแห่งหนึ่ง

    ถ้าดูในหลักฐานที่เกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดแล้ว หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ จะมีอายุย่าง 108 ปี เพราะเกิดวันที่ 22 เมษายน ปีพุทธศักราช 2445 ซึ่งเมื่อนับดูวันเวลาที่ล่วงเลยมา หมายความว่าชีวิตได้ผ่านมาถึง 5 แผ่นดินด้วยกัน นับตั้งแต่รัชกาลที่ 5 มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง


    หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ มีนามจริงว่า พิชัย รัตนพันธ์ เป็นบุตรของนายเพชรโอภาส และนางทองดี เกิดที่ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร โดยในวัย 9 ขวบนั้น เป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตพอดี

    ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กจึงอยู่ในช่วงของปลายรัชกาลที่ 5 และจากวันนั้นถึงวันนี้เวลาของชีวิตเกือบ 108 ปีของหลวงปู่ จึงมีความทรงจำหลายอย่าง ทั้งเรื่องราวที่ยังแจ่มชัดในความทรงจำ ทั้งบางเรื่องซึ่งลืมเลือนจนไม่แตกต่างจากภาพที่พร่าเบลอเท่าใดนัก

    [​IMG]
    หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ หรือ พิชัย รัตนพันธ์ ในวัยย่าง 108​


    นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่คนเคยพบเจอกับหลวงปู่รู้สึกทึ่งเป็นอันมากก็คือ ความแตกต่างระหว่างวัยกับสังขารร่างกาย เพราะแม้วัยจะมากร่วม 108 ปีแล้ว แต่ผิวพรรณ หน้าตา รวมทั้งพละกำลังต่างๆ ดูไม่ร่วงโรยตามอายุขัยแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับมีสายตาดี พูดคุยชัดเจน สามารถพูดคุยได้หลายภาษา และเดินขึ้น-ลงวัดที่สร้างเอาไว้บนเนินเขาได้อย่างสบาย ขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ และถ่ายทอดให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

    โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ อย่างฉะฉานและเผ็ดร้อน บ่งบอกให้เห็นถึงปูมหลังว่าเป็นคนที่ไม่ยอมคน พูดตรง และไม่แคร์สังคมที่สกปรกแต่อย่างใดเลย

    หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ ย้อนรำลึกให้ฟังว่า ตัวเองเดิมทีเดียวนั้นเป็นคนโคกอีแร้ง คนเดี๋ยวนี้อาจจะไม่รู้จัก โดยโคกอีแร้งเดิมขึ้นอยู่ในเขตบางเขน ซึ่งก็คือ ดอนเมือง ในทุกวันนี้นั่นเอง


    "สมัยก่อนไม่เหมือนกับทุกวันนี้ ยุคนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล อย่าง ดอนเมือง นี่เรียก โคกอีแร้ง มีแต่ทุ่งแล้วก็มีคลองด้วย และเพราะคลองมันเล็กจนเวลาเรือแล่นสวนกันไปมาถึงเสียดสีกันนั่นแหละ.....จึงเป็นที่มาของชื่อตำบล ‘ทุ่งสีกัน’ ในทุกวันนี้ รวมทั้งวัดโรงหีบหรือวัดนาวง หรือซอยสวนฝรั่ง เมื่อก่อนเป็นสถานที่ปลูกอ้อย ปลูกฝรั่งกันทั้งนั้น...นี่คือความเป็นของชื่อสถานที่เหล่านี้"

    เด็กฮาร์วาร์ด ใช่จะโก้

    แต่สิ่งที่น่าสนใจและกลายเป็นคำร่ำลือเกี่ยวกับหลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ คือเมื่อครั้งที่ยังเป็นนายพิชัย รัตนพันธ์ นั่นต่างหาก เพราะมีแง่มุมที่แปลกและสะท้อนให้เห็นภาพสังคมไทยในยุคที่ผ่านมาบางด้าน โดยเฉพาะแง่มุมชีวิตการศึกษา ถ้าจะบอกว่าเป็นนักเรียนนอกยุคแรกๆ ในสังคมไทยก็น่าจะใช่
    อาจจะเพราะเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ และมีแรงผลักดันบางอย่างจากครอบครัว พิชัย รัตนพันธ์จึงอยู่ในอีกชนชั้นหนึ่ง
    "เริ่มเรียนหนังสือระดับชั้นประถมที่โรงเรียนสวนสุนันทา ส่วนมัธยมจบจากโรงเรียนสิริโยธิน ถ้าจะบอกว่าครอบครัวฐานะดีก็ได้ เพราะทางแม่มีที่ดินมาก มีเชื้อสายจากตระกูล ณ ป้อมเพชร สมัยก่อนที่ดินแถวบริษัททอผ้าเท็กซ์ไทล์ (TEXTILE) ย่านรังสิต เป็นของแม่ทั้งนั้น แม่เป็นคนอยุธยา ส่วนพ่อเป็นคนดอนเมืองหรือโคกอีแร้งในสมัยก่อน...เพราะฉะนั้นจึงร่ำรวย"
    เพราะสังคมไทยยุคเก่าก่อนให้เกียรติและยกย่องบรรดาขุนศึกแม่ทัพ รวมทั้งข้าราชการ ซึ่งถือเป็นเจ้าคนนายคน เพราะมียศถาบรรดาศักดิ์ และบ่งบอกถึงชนชั้นที่ไม่ธรรมดานั่นเอง หลังจากจบชั้นมัธยม พิชัย รัตนพันธ์ จึงจำยอมตามใจคุณย่าที่อยากจะให้หลานชายเป็นใหญ่เป็นโต โดยเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อย ใน พ.ศ.2471
    "แต่ใจผมไม่ค่อยชอบหรอกนะ....แต่ก็ไม่อยากจะขัดใจคุณย่า พอจบแล้วก็รับราชการอยู่พักหนึ่งก็ลาออกก่อนจะไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จากนั้นก็เข้าไปเรียนที่จุฬาลงกรณ์ ราวๆ ปี 2475 เข้าไปเรียนด้านภาษาศาสตร์"

    ภายใต้สังคม ‘คุณหนู’ ในชนชั้นผู้มีอันจะกินในยุคโน้น นอกจากจะได้รับการประคบประหงมอย่างดีแล้ว แน่นอนที่สุดย่อมจะรู้เห็นถึงความเป็นไปหลายๆ ด้านของเมืองไทยในยุคโน้น

    "เมืองไทยในยุคที่มีประชากรทั่วประเทศ 18 ล้านคนนั้น สภาพแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง แต่เหตุการณ์ที่ถือว่าสำคัญที่สุดก็คือเหตุการณ์เสด็จสวรรคตของแต่ละพระองค์ นอกจากนี้แล้วเหตุการณ์อีกอย่างก็คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งเมื่อเป็นนักเรียนเวลาเกิดกบฏ หรือเหตุรุนแรงทางการเมือง คนที่อยู่เขตรอบนอกพระนคร เขาจะห้ามไม่ให้เข้าไปในพระนครเลย ถนนทุกเส้นที่เข้าพระนครจะโดนปิดหมด ยกเว้นพวกทหาร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น"
    พิชัย รัตนพันธ์ ในอดีตหรือในปัจจุบันที่ครองสมณเพศเป็น หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ แห่งสำนักสงฆ์วัดเขาหงษ์ ต.นิคม อ.เมือง จ. ลพบุรี มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอีกครั้ง เมื่อญาติคนหนึ่งเป็นโรคมะเร็ง
    "ด้วยความอยากรู้และอยากจะช่วยเหลือญาติให้หายจากโรคนี้นั่นแหละ จึงไปปรึกษาของความรู้จากเพื่อนที่เป็นหมอคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรนัก ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนหมอที่แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน โดยเรียนเกี่ยวกับการทำยารักษาโรค ตอนที่ไปเรียนนั้นก็เพียงอยากจะได้ความรู้เท่านั้น แต่พอกลับเมืองไทยก็ไม่ได้ใช้อะไรนัก เพราะระบบการยอมรับเรื่องเหล่านี้ในบ้านเรามันยาก ไม่เหมือนฝรั่ง แต่ก็ได้ความรู้.....
    จากนั้นก็ใช้ทุนส่วนตัวไปเรียนต่อด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ใช้เวลาเรียน 5 ปี เงินทุนหมดไปนับ 10 ล้านเหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ใช่คนที่ดีสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือ เรียนด้วยเที่ยวไปด้วยตามประสาคนหนุ่ม หลังจากเรียนจบแล้วก็กลับเมืองไทย จากนั้นก็เข้ารับราชการที่กระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันนี้"
    การเดินทางไปต่างประเทศในอดีตไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนสมัยนี้
    "เมื่อก่อนสนามบินดอนเมืองยังไม่มี จะมีก็ที่สนามบินน้ำ เวลาเดินทางโดยเครื่องบินจะต้องไปต่อเป็นทอดๆ แต่ถ้าเดินทางโดยเรือจะใช้เวลานานมาก อย่างจะไปเยอรมนี ต้องไปต่อเครื่องที่อินเดีย"
    นอกจากนี้แล้วหลวงปู่ยังบอกเล่าถึงสภาพการใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนในยุคเก่าก่อนให้ฟังว่า...

    "เราเป็นคนไทยตอนที่ไปเรียนหนังสือเมืองนอกไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอยู่เรื่องกินหรอก เพราะคนจีนมีอยู่ทั่วโลก ซึ่งคนจีนก็เป็นชาวตะวันออกอย่างเรา ดังนั้นอาหารการกินแม้จะไม่มีอาหารไทย แต่เราก็สามารถจะกินอาหารจีนได้ เพราะมีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารไทยเรา อีกอย่างก็พอจะพูดคุยกันได้ หน้าตา หรือสีผมก็ไม่ผิดแผกกันนั่นเอง เราคนไทยจึงกลมกลืนได้อย่างสบาย"
    ในฐานะที่เป็นหนุ่มนักเรียนนอกในยุคนั้น แม้จะมีดีกรีทั้งความรู้และฐานะ แต่การยอมรับก็ยังน้อยกว่าบรรดาขุนศึกหรือนายทหารนายตำรวจ เพราะสังคมสมัยก่อนให้ความนับถือ ให้ความยำเกรงกว่า เพราะฉะนั้นนักเรียนนอกจึงมีสังคมเฉพาะนั่นคือคบหาสมาคมกันในกลุ่มเล็กๆ ตามสโมสรต่างๆ ยังไม่มีการยกย่องหรือเยินยอเป็นปัญญาชนเหมือนในยุคนี้

    "ทำงานที่กระทรวงธรรมการ ได้เงินเดือน 1,800 บาท ถือว่ามากทีเดียวในสมัยนั้น" หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ ย้อนรำลึกถึงความหลัง

    "แต่เป็นเพราะตัวเองเป็นคนขวางโลก และเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามหลายอย่างในระบบข้าราชการ จึงทำให้ชีวิตเส้นทางสายนี้ไม่ค่อยจะรุ่งเรืองมากนัก อีกอย่างเนื่องจากตัวเองเป็นคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร โดยเฉพาะความไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ซึ่งตรงนี้ที่ทำให้ชีวิตข้าราชการต้องขาดสะบั้น และหันหลังให้ในที่สุด"



    [​IMG]


    ปราชญ์ดำปากหมา

    พิชัย รัตนพันธ์ มีตำแหน่งในกระทรวงธรรมการสุดท้ายเป็นศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ และเมื่อถูกคำสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ จึงขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาอย่างรุนแรง จนถึงกับปิดห้องชกกัน
    "ตอนแรกลาออก แต่ถูกยับยั้ง จนต้องหาเหตุโดยโกหกว่าเป็นโรคประสาท ซึ่งการจะลาออกโดยใช้เหตุผลนี้ได้ ต้องรอเวลาถึง 6 เดือน เพื่อเป็นไปตามหลักของราชการ เพราะในเวลา 6 เดือนนี้สามารถจะไปรักษาให้หายได้นั่นแหละ ในที่สุดหลวงปู่จึงจ้างเพื่อนข้าราชการคนหนึ่งในราคา 5 บาท เพื่อเป็นพยานยืนยันว่าหลวงปู่เป็นโรคประสาทจริงๆ...ด้วยเหตุนี้จึงสามารถลาออกได้"
    จากประสบการณ์ในฐานะที่เป็นนักการศึกษา เมื่อเอ่ยถามถึงการศึกษาไทยในยุคนี้แล้ว หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ บอกด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชันว่า

    "โอ๊ย....การศึกษาไทยดีจะตายไป เอาใจเด็กทุกอย่าง เอาใจจนเกินความพอดี....ไม่เหมือนฝรั่ง พวกครูฝรั่งนี่เป๊ะเลย ไม่มีการมานั่งเอาอกเอาใจเด็กๆ เหมือนในบ้านเราหรอก มีหน้าที่สอนก็สอนอย่างเดียว หมดชั่วโมงก็ออกห้องเลย....แต่บ้านเราสบายมาก เพราะฉะนั้นความแกร่งทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ของเราจึงสู้ฝรั่งไม่ได้"

    ช่วงที่ลาออกจากราชการนั้น พิชัย รัตนพันธ์ อายุได้ 58 ปี ก่อนจะหันหลังให้ทางโลกโดยบวชเมื่อปี 2493 ที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ราชวรมหาวิหาร แต่ก็อีกนั่นแหละ เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างในวงการสงฆ์ขัดความรู้สึกและความคิดของตนเอง จึงต้องกลายเป็นพระที่โดดเดี่ยว และได้รับฉายาว่าเป็น ‘ปราชญ์ดำปากหมา’ แห่งวัดสุทัศน์ เนื่องจากชอบวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง
    หลังจากนั้นจึงแยกตัวออกมาโดยมาสร้างสำนักสงฆ์เล็กๆ ชื่อ วัดเขาหงษ์ ต.นิคม อ.เมือง จ. ลพบุรี มาจนถึงทุกวันนี้ โดยรวมเวลาที่บวชมาแล้วทั้งหมด 58 พรรษา

    แม้ว่าทุกวันนี้ หลวงปู่ฐิติลาโภ ภิกขุ จะปฏิบัติธรรมอย่างสงบ แต่ก็ยังติดตามความเคลื่อนไหวทางสังคม โดยเฉพาะการเมืองไทยนั้น เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว หลวงปู่บอกเอาไว้อย่างน่าคิดทีเดียว
    "การเมืองไทยหรือ....ตั้งแต่เมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 และมีรัฐบาลต่างๆ มาจนถึง 61 ปี การเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย....ส่วนการเมืองในวันนี้ มัวเมา หลงเงาตัวเอง ไม่มีความถูกต้อง เอาแต่ถูกใจ ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นสันดาน และไม่เอากฎหมายมาใช้เป็นกฎหมาย"
    ส่วนความขัดแย้งอันเนื่องจากการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเราในปัจจุบันนี้ หลวงปู่วิเคราะห์สั้นๆ แต่ชวนคิดว่า

    "ปี 2555 เมืองไทยจะพ้นจากวิกฤติการณ์ เพราะหลังจากที่กัดกันจนตายทั้งคู่แล้วนั่นแหละ....จึงจะหันหน้ามาปลูกผักปลูกไม้กินกัน เมื่อไม่มีอะไรเหลือแล้ว"
    <!-- Tags Keyword -->
    -------------
     
  2. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    [​IMG][​IMG]
    ...รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหน ก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณีไม่มีกีดกั้น เกิดใต้ธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย.......

    ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจ สภาวะโลกจะเป็นอย่างไร เพียงแต่คนไทยรักกันไว้ แผ่นดินไทยก็จะคงความเป็นไท ตลอดกาล
     
  3. วิญญูชนจอมปลอม

    วิญญูชนจอมปลอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +1,124
  4. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    ขอบคุณค่ะ
     
  5. สังสารวัฏ

    สังสารวัฏ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +5,382
  6. แมงปอแก้ว

    แมงปอแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +139
    คนไทยนะเก่งเสมอ และรักสงบด้วย
    ขอบคุณกับข้อความดี ๆ ด้านบน สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...