สนทนาภาษาดูจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 21 มิถุนายน 2009.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ทีละอารมณ์นะแต่ไวมาก แต่ก็รู้ได้เท่าที่รู้ ทันได้เท่าที่ทัน
     
  2. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ระวังชงจน 6 จะเสียดาย...ที่ไม่ได้ชิม
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    [​IMG] นะจ๊ะ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    หก แล้วก็ 7 ไง ท่านพ่อครัว
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ขอร่วมสนุกด้วยคน

    ก่อนหน้าจะมาหัดดูจิต ก็มีฝึกนับลมหายใจ
    ฝึกรักษาศีล ฝึกให้ทาน ที่ใช้คำว่าฝึก เพราะได้ยินมาว่าจะทำให้จิตสงบ ได้บุญ
    ก็ทำไปด้วยความไม่รู้ ให้ขอทานทุกวัน ให้เท่าที่มีเศษสตางค์ ให้ไม่เลือกหน้า
    ไปทำบุญที่วัด ตักบาตรพระบ้างตามโอกาส ก็ทำไปเรื่อย ทำเพราะอยากรู้ว่า
    ถ้าตั้งใจทำจริงๆ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวเราบ้างไหม ทำไปนานเหมือนกัน
    ทำแบบตั้งใจอยู่เป็นปี ได้สบายใจ ได้ความสงบ ได้ความรู้สึกว่าเราเป็นคนดี
    แต่ก็เหมือนรู้ว่า ไม่รู้อะไรซักอย่างหนึ่ง เหมืิอนขาดอะไรไปแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
    เราก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านคำสอน ฟังพระเทศน์ อ่านทุกอย่างที่สนใจ เหมือนคนกำลัง
    ความหาอะไรซักอย่าง อ่านธรรมะแล้วก็คิดว่ารู้คิดว่าเข้าใจ แต่ลึกๆในใจก็รู้ว่าไม่รู้
    จนมาเจอ เรื่องการปฏิบัติดูจิต ฟังหลวงพ่อเทศน์แล้วก็แปลกดี ก็พยายามศึกษาแล้วหัด
    ทำเอง คิดว่าเข้าใจยังไง ก็ทำไปอย่างนั้น คิดว่าเข้าใจแล้ว ก็เลยตั้งใจไปกราบหลวงพ่อ
    ที่สวนสันติธรรม (สค.ปี51) ก็ถามหลวงพ่อว่าที่ทำอยู่ใช้ได้ไหม หลวงพ่อเมตตาตอบ
    (แบบรักษาน้ำใจ) ว่าพอใช้ได้ แต่ท่านให้ดูใจตัวเอง โดยบอกให้ดูสิ่งที่เกิดตรงหน้า ดูใจ
    ที่มันวิ่งไปวิ่งมา ดูใจที่ีวิ่งไปหาลูก ดูใจที่วิ่งไปหาหลวงพ่อ ดูใจที่วิ่งไปที่มือที่ลูกชายยื้อ
    มือเรา(ลูกชายเรา4ขวบ เขาเรียกร้องความสนใจ) หลวงพ่อก็สอนให้ดูไปตรงนั้นเลย
    ตอนที่ฟัง ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ก็จำไว้มาทำเองต่อ เพราะรับปากหลวงพ่อไว้ว่าจะทำ
    ก็ต้องลองทำดู แล้วก็ทำเรื่อยๆ ดูใจตัวเอง อย่างอื่นก็ยังทำอยู่ ทำบุญทำทาน รักษาศีล5
    ฟังซีดีหลวงพ่อ ฟังเพลงสวดมนต์ พอทำไปซักพัก ก็เห็นตัวเอง ที่เคยเห็นว่าตนเองเป็น
    คนดี ก็เริ่มเห็นว่ายังไม่ดีจริง เห็นยายแม่มด เห็นโทสะ เห็นความอยากได้ เห็นตัวเองทำ
    ตลก เห็นตัวเองมีกิเลสเต็มไปหมด แถมโดนครอบจนดิ้นไม่หยุดหย่อน สรุปว่า ได้เห็น
    ตัวเองในแบบที่ไม่เคยเห็น อย่างเวลาโกรธจะตัวสั่น มือสั่น ชาไปทั้งหน้าทั้งหัว มีแรง
    ผลักอยู่ที่หน้าอก รู้สึกไม่สบายกายและใจอย่างแรง ไม่ชอบใจตัวเองอย่างมาก ทำให้
    พาลไม่ชอบคนที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนี้ เวลาเจอคนนี้ก็อยากหนีไปให้พ้น แต่ก็ได้แค่คิด
    เพราะตัวเรามันทำอีกอย่าง มันวิ่งเข้าใส่เลยนะ ไม่รู้ทำไม เหมือนตัวเรามันชอบหาทุกข์
    ใส่ตัว แต่เราก็อดทนดูมันไปเรื่อยๆ ก็เป็นมาปีนึงแระ ตัวเรามันก็มีการเปลี่ยนแปลงนะ
    ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า เดี๋ยวนี้ เป็นน้อยลง ตัวเราเองไม่ค่อยหวือหวา ไม่ค่อยเหวี่ยง
    ไปเหวี่ยงมา แล้วรู้สึกว่า ใจมันปกติ ดีขึ้น พอมีอาการแปลกผิดปกติที่ใจ จะรู้สึกตัวเร็ว
    ก็รู้ว่าตัวเองผิดปกติ มีกิเลสแทรกครอบงำตัวเรา ก็จะรู้ตัวเองระวังตนเอง ไม่ก่อกรรม
    ให้มาก ระวังไม่ให้ศีล5 ทะลุ อย่างอื่นก็ปล่อยมั่ง วางมั่ง ไหลมั่ง เพื่อดูตัวเอง

    ก็เพิ่งจะเริ่มต้น ยังทำได้ไม่ถูก ไม่ครบ รู้ว่ายังไม่รู้อีกมาก แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนที่รู้
    ว่าเป้าหมายตัวเองคืออะไร ทำเพื่ออะไร รู้ว่าตัวเองเป็นสมาชิกชมรมบัวขาว
     
  6. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    เวลา ใกล้จะหลับ เป็นช่วงสั้น ๆ ก่อนที่หลับ นั้นแหล่ะ ตามจิต ทัน เราจะทันช่วงนั้น
    เอา เชื่อ ไม่เชื่อ
     
  7. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    นี่คือนิยามคำว่าปัญญาของคุณวิษณุหรอครับ
    สำหรับผมยังไม่ใช่นะ ผมมองว่าเป็นสติ เกิดกุศลหนึ่งขณะ ยังไม่เป็นปัญญานะ
    ปัญญาสำหรับผมแล้ว น่าจะเป็นอะไรที่รู้แจ้งกว่านี้นะครับ
    ยังไม่เห็นในประสบการณ์ดูจิตที่คุณเล่าให้ฟังเลยนะครับ...
     
  8. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    เท่าที่อ่านมา

    คุณวิษณุ ก็เพิ่งเริ่มต้น
    ตอบปัญหาของคุณ ขจรศักดิ์ ก็ไม่ค่อยได้

    คุณขวัญก็เพิ่งเริ่มต้น

    ตกลงพวกดูจิตในที่นี้
    มือใหม่ทั้งนั้นน่ะสิ

    ปฏิเวธธรรม จากการดูจิต ก็ยังไม่มีใครได้
    ยังไม่มีใครบอกว่าได้อะไรยังไง

    แล้วอย่างนี้จะเชื่อได้ยังไง
    ว่าปฏิบัติแบบดูจิต
    จะได้ผล เป็น ปฏิเวธธรรม จริง
     
  9. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    เท่าที่อ่านมา

    คุณวิษณุ ก็เพิ่งเริ่มต้น
    ตอบปัญหาของคุณ ขจรศักดิ์ ก็ไม่ค่อยได้

    คุณขวัญก็เพิ่งเริ่มต้น

    ตกลงพวกดูจิตในที่นี้
    มือใหม่ทั้งนั้นน่ะสิ

    ปฏิเวธธรรม จากการดูจิต ก็ยังไม่มีใครได้
    ยังไม่มีใครบอกว่าได้อะไรยังไง

    แล้วอย่างนี้จะเชื่อได้ยังไง
    ว่าปฏิบัติแบบดูจิต
    จะได้ผล เป็น ปฏิเวธธรรม จริง
     
  10. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    พี่จรว่ากล่าวหาผมแบบนี้ได้ไงครับ
    วิ่งจ้งวิ่งแจ้นอะไรกัน
    ผมมีธุระอย่างอื่นต้องไปทำนี่ครับ
    ไม่อาจนั่งเฝ้าได้นานต่อเนื่องกันเป็นหลายชั่วโมงนี่ครับ
    แต่ผมก็คอยกลับเข้ามาเช็คดูนะครับ ตอบช้าหน่อยไม่ได้เชียวหรือครับ
    จะรีบไปไหนหรือเปล่าครับ
    แล้วคุณพี่จรมาห้ามผมสนทนาธรรมกับพี่วิษณุทำไมล่ะครับ
    ในเมื่อการสนทนาธรรมเป็นเรื่องดี ส่งเสริมให้เกิดปัญญาได้
    ผมก็แค่คนที่สนใจในธรรมะ เห็นภัยในสงสาร อยากหลุดพ้นจากพันธนาการทุกข์ที่ร้อยรัดอยู่ มันแย่ตรงไหนหรือเปล่าครับ
    ก็ผมอยากพ้นทุกข์แบบพี่จรบ้างนี่ครับ
    เมตตาผมเถอะนะครับ ขอบคุณครับ...
     
  11. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ประเด็นนี้น่าคิดนะครับ
    เห็นที่คุณวิษณุเล่า ก็เป็นประสบการณ์การเห็นโน่นเห็นนี่ รู้โน่นรู้นี่ ซะส่วนใหญ่
    ยังไม่เห็นอะไรที่บ่งชี้ว่าเป็นปัญญาทางพุทธศาสนาเลย
    ภาวนามยปัญญามิใช่หรือที่เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติพุทธธรรม
    ส่วนคุณขวัญก็มักพูดเสมอว่า อะไรเกิดก็ให้รู้ มีโทสะก็รู้ มีราคะก็รู้
    แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นปัญญาตรงไหน นอกจากรู้ รู้ และ รู้
    สงสัยคงต้องรอคุณพี่เอกวีร์ ที่แตกฉานในสังขารุเบกขาญาณมาช่วยชี้แนะสักหน่อยแล้วนะครับ
    ส่วนผมนี่สิครับ ปฏิบัติอะไรก็ไม่รู้ วิปัสสนาเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
    แต่ที่รู้ๆ วิปัสสนาญาณได้เกิดบ้างแล้ว
    ก็ไม่รู้ว่าจะทำถูกผิดแค่ไหนน่ะ ตราบใดที่ยังแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ผมว่า วิธีแบบผมนี่ก็น่าทำต่อนะครับ...หรือว่ายังไงดีครับ คุณพี่เกสท์...
     
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ก็มีคนคิดว่าผมวิปัสสนาไม่เป็นนี่ครับ อธิบายมากไปเกรงจะถูกกล่าวหาว่าฟุ้งมากนี่ครับ
    ก็เห็นบางท่านใช้วิธีวัดความฟุ้งด้วยปริมาณข้อความ ผมก็ไม่อยากฟุ้งซ่านนี่ครับ
    ก็เลยพูดน้อยๆหน่อยก็ดี
    และยังสอนผมว่าไม่ควรพูดหยาบคาย เป็นการแสดงโทสะออกมา
    ที่นี้คงเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมผมเลี่ยงไม่แสดงธรรมมาก
    แล้วดูตอนนี้สิครับ นิ่งไหมครับ สุภาพพอไหมครับ
    ถ้ายังน้อยไป ก็ขอความกรุณาอย่างสูงสุด ชี้แนะได้นะครับ
    ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2009
  13. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    พี่ฮะ แบบนี้เขาเรียกว่ามากไปนิดนึง
    เอางี้ดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องฝืน เอาตัวตนของพี่ดีกว่านะจ๊ะ เอาเป็นว่าไม่ว่าพี่แล้วนะ เดี๋ยวเรามีเวรต่อกัน ก็เดี๋ยวพี่มุตติอดเข้านิพพานพอดี นะจ๊ะ
    พี่ถามว่านิ่งพอไหม เห็นพี่นั่งมองอย่างเดียวไม่รู้ว่านิ่งหรอก นะจ๊ะพี่มุต
    ตกลงนะ ไม่ว่ากันแล้วนะ
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมขออนุญาตแชร์ความเห็นส่วนตัวสักเล็กน้อยกับท่านวิษณุนะครับ

    เท่าที่อ่านประสบการณ์ที่ท่านวิษณุโพสต์มา เห็นว่าท่านมีความตั้งใจดีมาก ๆ ขออนุโมทนาในส่วนนี้ครับ

    แต่มีอีกส่วนหนึ่ง ที่ดูเหมือนเจตจำนงค์ในการดับความเกิดของจิตจะไม่มี คงด้วยเหตุที่ท่านมองว่า จิตเป็นธรรมชาติที่บังคับบัญชาไม่ได้ หรือเป็นอนัตตา ทำให้ท่านไม่คิดที่จะทำอะไรกับมัน แต่ใช้วิธีการดูเฉย ๆ เพื่อเข้าใจสภาพสภาวะของเค้า ไม่ทราบเข้าใจถูกรึป่าวนะครับ

    ซึ่งถ้าเป็นในแนวทางที่ผมปฏิบัติอยู่ ผมเลือกที่จะดับความเกิดของจิต ไม่ปล่อยให้จิตเกิดหรือดับเองตามใจชอบ เพราะผมเห็นว่า การที่จิตจะเกิดเป็นอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งขึ้นมานั้น ล้วนอาศัยการเกิดขึ้นตามความเคยชินเดิม ๆ (ในหลาย ๆ แสนชาติที่ผ่านมา) ของเรานั้นเอง และการดับก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่มากระทบให้เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อมันเกิดขึ้นมาจากความเคยชิน เราจึงจำเป็นต้องฝืนความเคยชิน ไม่ให้มันเกิดดับตามอำนาจของกิเลส ถ้าเราไม่ฝืนเขา ก็เหมือนเราติดเหล้า แล้วเราไม่ยอมฝืนใจที่จะเลิก แม้เราจะไปเข้าอบรมเรียนรู้เรื่องโทษของเหล้าอย่างเข้มข้น แต่เราไม่เปลี่ยนพฤติกรรม มันก็เลิกไม่ได้จริง ๆ สักที

    ความจริงเพียงแค่เรายอมฝืนความเคยชิน ไม่ปล่อยให้จิตเกิดดับตามใจชอบ ให้ได้สักหน่อยหนึ่ง ฝืนเขา ดับเขาแล้ว ก็หมั่นสังเกตดูการก่อตัวของเขาให้เข้าใจสักหน่อย ว่าเขาต่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร อะไรทำให้จิตเกิดจิตอินแม้เล็กน้อยเหล่านั้นได้ เราหลงอะไร เราหมั่นสังเกตทำความเข้าใจตรงนี้ให้ได้บ่อย ๆ ไม่ใช่แค่เห็นว่าเขามีลีลาการเกิดอย่างไร เราต้องไปเห็นว่าก่อนที่จะมีลีลาออกมาอย่างนี้นั้น เขาไปหลงอะไร เราน่าจะลองทำความเข้าใจตรงจุดก่อตัว หรือสมุทัยนั้นให้ชัดเจนนะครับ ต่อไปเราก็จะเห็นและเข้าใจได้เองว่า ที่จิตมันวิ่งเกิดได้นั้นเพราะเราหลงอะไร หลงอย่างไร ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้ได้ จิตกับความคิดจะแยกตัวออกจากกันได้เองโดยอัตโนมัติ เราจะรู้จุดปล่อยจุดวาง รู้วิธีที่จะควบคุมตัวจิต คลายความหลงได้ ตรงนี้แหละหลวงปู่เทสก์ท่านเรียกว่า แยกใจจากอารมณ์ เราจะเห็นความปกติ ความเป็นกลางไม่มีอคติก็ตรงที่จิตมันไม่ไปหลงอินกับความคิดใดคิดหนึ่งตอนนี้แหละครับ

    ทีนี้ถ้าแยกได้อย่างนี้ เราค่อยตามดูในส่วนของความคิดจร (ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด) หรือก็คือ สังขาร นั้นให้เข้าใจว่าเขาเข้ามาป่วนให้จิตเกิดได้อย่างไร ตามดูตามทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ ให้เห็นความเกิดดับตรงนี้ ไม่ได้ไปเห็นเอาตอนจิตมันเกิดมันอินไปแล้ว อันนั้นเป็นปลายเหตุ เราต้องดับ เรามาดูมาทำความเ้ข้าใจตรงนี้ ว่าเราหลงสัญญา สังขาร หลงในอาการของขันธ์ ๕ ไปได้อย่างไร เมื่อเห็นตามความจริงว่า ขันธ์ ๕ ก็สักว่าอาการ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในที่สุดมันก็จะวางขันธ์ ๕ ได้เอง จิตเราก็จะเป็นอิสระขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ถึงตอนนั้นเราก็ต้องมาไล่ดับกิเลส ดับความเกิดของจิตในส่วนที่ละเอียดต่อไปอีก จนกว่าจิตจะไม่เกิด (อาการ) อีกเลย

    ในขั้นแรกนี้ ถ้าแยกใจกับอารมณ์ได้ ก็จะได้เพียงความเข้าใจในเรื่องอาการของขันธ์ ๕ การหลงขันธ์ ๕ ว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ว่าที่แท้มันเป็นอย่างนี้ ส่วนขันธ์ ๕ ที่เกิดตอนจิตเกิดตอนปลายนั้น ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้สนใจ ท่านให้ดับทิ้งเพราะไม่มีสาระประโยชน์อะไร มีแต่จะถูกจิตนั้นแหละหลอกจิตให้หลงทางอยู่ร่ำไปน่ะครับ...

    ขอบคุณที่ให้แชร์ความเห็นครับ
     
  15. d.ling

    d.ling สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +23
    Hum I don't know how to do !I would like to try do like every one .but when I read it very hard for me ,but I will try to do !
    How can tell me how to learn?
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    จิตเกิด หมายถึงจิตเกิดด้วยอำนาจแห่งความหลงใด ๆ จิตชนิดนี้ จะเที่ยงหรือไม่เที่ยง ก็ต้องดับ เพราะเป็นผลของความหลง เป็นความเคยชินทั้งสิ้น เพื่อลดทอนความเคยชิน เราจำเป็นต้องฝืนทวนกระแสกิเลส เพื่อทำความเข้าใจให้ถึงต้นเหตุที่แท้จริงนั้น

    จิตไม่เกิด หมายถึง จิตไม่เกิดอาการ เป็นจิตปกติ เป็นจิตที่ว่างจากกิเลส กิเลสนั้นมามีภายหลัง บางท่านเรียก จิตเดิมแท้
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    สงสัยจะฝึกกันคนละเรื่อง ก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก
    การดูจิต เน้นฝึกปัญญาที่พ้นความคิด ฝึกสติที่พ้นเจตนา
    ถ้าคุณโดนกิเลสแทรก โดนกิเลสครอบงำ ตรงขณะนั้น แล้วไม่รู้ตัว เรียกว่าขาดสติ
    แต่ถ้าตั้งสติไว้ เพื่อดูกิเลส ด้วยเจตนาตั้งสติ ทรงสติ ถือเป็นคนละแบบ
    หรือใช้ความคิดด้วยเจตนา เพื่อค้นหาต้นเหตุ นี้ก็คนละแบบ

    เพราะ เราฝึกรู้ทันกิเลส แบบไม่จงใจไม่ตั้งเจตนารอดู ถึงเรียกว่า ตามดู ตามรู้
    แล้วที่เราทำนี่มันดียังไง ก็ดีตรงที่ มีกิเลสครอบงำแล้วเรารู้สึกตัวมีสติได้
    มีสติเกิดย้อนกลับมาดูที่ใจตัวเอง โดยไม่ต้องดึงกลับ มันพ้นเจตนา
    ถ้าคุยกับคนที่ฝึกจงใจตั้งสติ ก็คุยให้ตายก็ไม่มีทางรู้เรื่องกัน เพราะสติมันคนละตัว

    สติที่เกิดจากเจตนา จะได้ปัญญาที่เกิดจากเราเจตนาด้วย
    การใช้ความคิด ก็คือใช้เจตนาของเรา ยังไม่พ้นคิดอยู่ดี

    สติที่ไม่ได้เกิดจากเจตนา มันจะพ้นจากความนึกคิด พ้นจากความคิดของเรา
    จะได้ปัญญาที่พ้นจากความคิด ปัญญาที่พ้นจากเจตนา

    ฝึกอะไร ก็ได้แบบนั้น ฝึกคนละแบบก็ได้ผลคนละเรื่อง แล้วจะเข้าใจตรงกันได้อย่างไร
    ศรัทธาอะไร ก็ทำไป เราก็บอกได้เท่าที่รู้ ถ้าไม่เข้าใจก็ถือว่าไม่รู้ซึ่งกันและกัน
    เรื่องประเภทของพระอรหันต์ ยังแบ่งได้ตั้งหลายแบบ จะวิจารณ์คนที่ทำมาไม่เหมือนตน
    ก็วิจารณ์ไป ได้แค่วิจารณ์ คนที่รู้รสธรรมด้วยตนเอง ย่อมรู้ความแตกต่างได้
    ถ้ายังไม่รู้จักตัวเอง แต่คิดว่ารู้จักคนอื่น ก็คงไม่ต่างอะไรจากเรา แต่เราเริ่มทำความรู้จัก
    ตนเองบ้างแล้ว เรื่องสำคัญคือ โดนกิเลสครอบแล้วไม่รู้ตัว มันน่าอายมากในความรู้สึกของเรา เราก็จะหัดรู้สึกในเรื่องนี้ให้มาก
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ครับ

    เป็นเพราะ สมมุติฐานไม่ตรงกัน การปฏิบัติมันจึงไปกันคนละแนวทาง

    แสดงว่า 50 50 หมายถึงมีความเสี่ยง ประกันความเสี่ยงได้ด้วยการเจริญสติให้สม่ำเสมอ น่าจะพอโอเคนะครับ
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    โกรธรึป่าวเนี่ย

    หวังว่าคงไม่โกรธกันนะ มาแชร์ มาให้เป็นทางเลือก เป็นมุมมองอีกด้านน่ะครับ อีกอย่างแนวที่ท่านปฏิบัติมา ไม่ใช่ผมไม่เคยทำ ทำมาแล้วนะ แล้วก็เถียงกับชาวบ้าน เถียงกับครูบาอาจารย์มาแล้วอย่างเต็มที่เสียด้วย เรียกว่าค้านสุด ๆ เหมือนกันครับตอนนั้น หลักฐานก็ยังมีให้ยืนยันอยู่ ผมบอกไม่ให้เขาลบความเห็นเก่า ๆ นั้น บอกขอเอาไว้เป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นต่อไป

    www.managerroom.com


    แลกเปลี่ยนมุมมอง มีแต่ได้ไม่มีเสีย คือ ผมไม่ได้ลบมุมมองของใคร แต่กำลังเพิ่มมุมมองให้กันและกันต่างหาก หากท่านมี อยู่ 100 ผมมีอีก 50 แชร์กันเราได้ 150 นะ แต่นั่นก็เป็นแค่ตัวเลข ความจริงคือ เราต่างก็ไม่ได้เอาอะไร ต้องวางหมดนั่นเอง


    โชคดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2009
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    หลวงพ่อก็มีสอนเรื่องซ้อมฝึกสติในรูปแบบไว้ เหมือนกัน
    เช่น เวลาสวดมนต์ ถ้าใจลอยไปให้รู้ตัว ดูใจตัวเองไว้
    เป็นการฝึกซ้อมให้สติเกิดเองบ่อยๆ ไม่ได้ปล่อยตามเวรตามกรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...