☆*~บารมีหลวงตามหาบัว ~*☆

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 20 มิถุนายน 2009.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    726
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวันท่านเคยกล่าวไว้ว่า “มีพระ 3 องค์ที่หลวงพ่อเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นพระอรหันต์ คือหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทศก์ และหลวงตามหาบัว” ทุกวันนี้อัฐิบางส่วนของหลวงพ่อพุธที่ตอนแรกได้มาก็เป็นกระดูกดีๆแต่ตอนนี้ ก็ได้เปลี
    ่ยนสภาพเป็นเหมือนเอาหินอ่อนมาทุบ ไม่ทราบจะเรียกพระธาตุได้รึเปล่า ใครที่ปรามาทหลวงตามหาบัวไว้คงได้หนาวๆร้อนๆ แต่ยังทันครับท่านยังทรงสังขารอยู่รีบไปขอขมาซะ

    ท้าวสักกะเทวราช
    เมื่อครั้งหลวงตาท่านเทศน์ว่าฟันท่านโยกแล้วฝันว่าท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์มาขอ
    เอา ไปบูชาท่านก็ได้ให้ไป ผมกับเพื่อนๆก็คิดกันไปเองว่า “สงสัยจะเอาไปไว้ที่เกศแก้วจุฬามณี แต่นั่นมันน่าจะเป็นที่ของพระพุทธเจ้า แม้หลวงตาท่านมีบารมีและทำประโยชน์เพื่อศาสนามากแต่ก็ไม่น่าจะอยู่นั่น” นั่งมั่วกันอยู่หลายวัน สุดท้ายลูกศิษย์หลวงพ่อประสิทธิ์โทรมาหาด้วยความตื่นเต้นเล่าว่า หลวงพ่อประสิทธิ์ บอกว่า “พระอินทร์เอาฟันหลวงตาไปบรรจุในเจดีย์ทองคำที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์” นั้นไงคำตอบมาแล้วครับ

    ห้ามฝน
    ที่ ประจักกับตาอีกครั้งก็คราวหลวงตาท่านไปเทศน์เนื่องในโอกาส งานมีผ้าป่าช่วยชาติและเปิดเจดีย์หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อุดรธานี วันนั้นเมฆมามืดครึ้มจากประสบการณ์อันน้อยนิดก็พยากรณ์อากาศเองว่าตกชัวร์ และแล้วก่อนหลวงตาออกเทศน์ไม่กี่นาทีฝนก็ลงเม็ดจริงๆแม้ไม่แรงแต่ก็สร้าง ความลำบากไม่น้อย พอหลวงตาท่านออกมา ท่านก็พูดออกไมค์เสียงดังฟังชัดว่า “เทวดาคนเขาจะมา



    ทำบุญทำกุศล ฝนนะยังไม่ต้องตกนะ” นับหนึ่งไม่ถึงสิบฝนก็ขาดเม็ดพอเทศน์เสร็จงานจบตอนนั้นผมบังเอิญอยูแถวเต๊น หลวงตาพอดี หูคงไม่ฝาดผมได้ยิน หลวงตาท่านเอยขึ้นมาเบาๆว่า “เสร็จงานแล้วจะตกก็ตก” คงไม่ต้องให้เล่านะครับว่าเกิดอะไรขึ้น หนักสมกับที่อั้นมา2ชั่วโมง



    เรื่องของโน๊ต
    เมื่อปี48 เพื่อนผมชื่อ "ไอ้โน๊ต" ไปถอนฟันคุด ที่คลีนิคแห่งหนึ่งแต่ขณะถอนฟัน หมอลงมีดพลาดไปตัดเส้นเลือดใหญ่เข้า เลือดสดๆทลักออกจากปาก รวมแล้วมีปริมาณมากถึง1200 ซีซี หรือ 4 ถุง หมอจึงรีบนำโน๊ต ไปโรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลรีบทำการรักษา โน๊ตเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นน้ำออกจากร่างกาย(หรือที่เราเรียกว่ายางตายออก) วัดชีพจรไม่ได้ ความรู้สึกมันค่อยๆดับวูบลง โดยค่อยๆดับจากทางหัวก่อน และแล้วโน๊ตก็หมดสติ(หรือหลับก็ไม่รู้) แม้ร่างกายจะอ่อนแอแต่ในฝันชัดเจนมาก โน๊ตเห็พระ 3 องค์ หลวงตาบัวนั่งเทศน์สอนพระเณรอยู่ไกลออกไป หลวงปู่เพียร วัดหนองกอง อยู่ขวามือของโน๊ต และหลวงปู่ลี วัดภูผาแดง อยู่ซ้ายมือ
    ในฝันหลวงปู่ เพียรท่านยิ้มให้ ส่วน หลวงปู่ลีได้คุยกับโน๊ต ในฝันหลวงปู่ท่านเมตตามาก โน๊ตได้คุยกับหลวงปู่ว่า “ผมเกือบตาย ดีนะหมอเขาช่วยไว้” พร้อมกับเปิดเสื้อโรงพยาบาลให้หลวงปู่ดู สายเครื่องวัดหัวใจที่ยังคงแปะติดกับตัว หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ไหนเอามือมา
    พอโน๊ต ยื่นมือขวาไปหลวงปู่ท่านก็เป่าลงไปที่มือ พร้อมสำทับว่า “ไม่ตายหรอก” และก็ไม่ตายจริงๆ พอโน๊ตฟื้นก็เล่าแต่ความฝันนี้ให้ทุกคนฟัง พอถามว่าใส่พระอะไร โน๊ต บอกพยาบาลถอดพระออกตั้งแต่เข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว เหลือแต่สายสิญจ์นงานประทายข้าวหลวงตาบัวผูกแขนขวาอยู่ และ ในฝันสายสิญจน์งานประทายข้าวหลวงตายังผูกที่แขนขวาอยู่เลย ผมจึงเกิดอาการสงสัยว่าทำไมเป็นหลวงปู่ลีที่ช่วยไม่ใช่หลวงตาบัวที่ช่วยทั้งๆที่เป็นสายสิญจ์นของหลวงตา และโน้ตเองก็เคยกราบหลวงปู่ลีแค่ครั้งเดี๋ยว โน๊ต ก็ตอบอย่างมั่นใจว่า ต้องเป็นเพราะหลายปีก่อนตอนหลวงปู่ลีมาชลบุรี พระวัดเขาพระ รวบรวมทองถวายหลวงปู่ลี เพื่อให้หลวงปู่ลีนำไปถวายหลวงตาบัว และนั่นเป็นครั้งเดียวที่โน๊ตได้ถวายทองหลวงตาบัวโดยผ่านทางหลวงปู่ลี โน๊ตบอก “นั่นเป็นแค่ห่วงทองเล็กๆ ตอนถวายยังกลัวชาวบ้านดูแคลนด้วยซ้ำไป แต่นึกถึงบุญถวายทองครั้งนั้นทีไรต้องปลืมปิติทุกครั้ง”
    แม้ โน๊ตจะใส่สายสิญจ์นหลวงตาบัว แต่ผมเชื่อว่าหลวงปู่ลีเป็นคนช่วยชีวิตโน๊ต และที่ท่านช่วยได้เพราะบุญของโน๊ตเอง บุญที่เคยถวายทองหลวงตาบัวผ่านทางหลวงปู่ลี นี้แค่ห่วงทองเล็กๆยังมีอานิสงส์ ขนาดนี้



    วัตถุมงคล
    รูปของพระสุปฏิบันโนย่อมมีเทวดารักษา หากผู้เป็นเจ้าของใส่ด้วยความเคารพศรัทธาจริงเทวดาที่รักษาย่อมไม่ทิ้ง พระ เครื่องหลวงตาบัว ส่วนใหญ่90% จะผ่านการอธิษฐานจากหลวงปู่ลี วัดภูผาแดง (ลูกศิษย์ที่ทรงฤทธิ์ของหลวงตาบัว โดยหลวงตากล่าวรับรองหลวงปู่ลีว่าเป็นผ้าขี้ริ้วทองคำ) หรือไม่ก็นำไปซุกซ่อนไว้ในศาลาตอนหลวงตาท่านทำวัตรสวดมนต์
    เมื่อหลายปี ก่อนหลวงตาท่านเดินทางไปภาคเหนือ มีคณะลูกศิษย์หลวงตากลุ่มหนึ่งต้องการติดตามขบวนไปด้วย หลวงตาท่านก็กล่าวในเชิงห้ามปรามให้อยู่ภาวนาที่วัดดีกว่า แต่คณะก็เห็นว่าไม่ใช่คำสั่งเด็ดขาดจึงตัดสินใจไป ในตอนกลับต่างคนต่างก็แยกกันกลับ ในขณะที่รถกะบะของคณะนี้ขับในเขตเขาค้อเพชรบูรณ์ รถได้เสียหลักตกเขา รถกะบะพังยับไม่สามารถซ่อมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ ทุกคนปลอดภัย มีแค่รอยฟกช้ำดำเขียว! พอถามดูไม่มีใครใส่พระซักคนเดียว ทั้งรถมีเพียงล็อกเก็ตกระดาษของหลวงตาบัว(ที่ไล่แจกกันที่บ้านตาดก็ไม่มีคน เอาเพราะแค่เอาไปซุกไว้ตอนหลวงตาท่านทำวัตรสวดมนต์)เพียงอันเดียว! และ เคย มีเพื่อนผมคนหนึ่งได้พระสิวลีโครงการณ์ช่วยชาติ ของหลวงตาไป1องค์เป็นพระที่ซุกไว้เช่นกัน แต่เขาเอาไปกราบไหว้ด้วยความเคารพเขาโทรมาบอกผมว่า "ถูกหวยมา7งวดติดแล้ว เดี๋ยวจะเอาพระไปเลี่ยมทอง แล้วก็ฝากเงินไปทำบุญด้วย"

    หวย
    พอพูดถึงหวยก็พลอยทำให้นึกถึงญาติผมท่านหนึ่ง เขา เคยไปกราบหลวงตาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ด้วยความที่เคยไปกราบครั้งแรกไม่ทราบถึงความ ดุ ของท่านจึงได้ ขอคำหมากจากหลวงตา แล้วก็โดนเอ็ดชุดใหญ่ พอเอ็ดเสร็จหลวงตาท่านก็กล่าวต่อว่า "ศีลห้า รักษาได้ซักสองสามข้อรึเปล่า" ไม่ต้องกลับครับงวดนั้น 523 และก็เป็นประจำที่ผมฟังเทศน์ท่านตอนเช้า(วิทยุ) ถ้าวันไหนมีคนโดนเอ็ดต้องมีตัวเลขตามมาด้วยทุกครั้ง เท่าที่ผมฟังอย่างน้อย 5 ครั้ง(ปรกติไม่ได้ฟังทุกวัน) ออก 3ตัว 2ตัว ไม่ต้องกลับ และระหว่างโครงการช่วยชาติมีครั้งหนึ่งตอนท่านมากรุงเทพฯ ท่าน เพิ่งได้ทอง300กว่ากิโล แต่ท่านกลับประกาศว่าจะเอาทองเข้าคลังหลวงวันที่....(หลังวันประกาศไม่ถึง 2 อาทิตย์) จำนวน525กิโล จึงเป็นที่แปลกใจของผมว่าท่านจะเอามาจากไหนอีกตั้งเกือบ200กิโล และท่านก็หามาได้จริงตามกำหนดท่านและงวดนั้นก็ออก 525 ไม่ต้องกลับอีกแล้วครับพี่น้อง และ มีครั้งหนึ่งมีงานนิมนต์พระมาทำพิธีที่สวนอัมพร ท่านก็สั่งเองอีกว่าให้นิมนต์พระมา15รูป ผมก็งงอีกปรกติการนิมนต์พระมักจะใช้เลขมงคลเช่น 9รูป แต่ไม่เคยเห็นใครนิมนต์15รูป และแล้วก็หายงง ออก51(แต่คราวนี้ต้องกลับ)
    ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมเคยสัมผัสและได้ยินมา แต่ผมไม่ได้แนะนำชักชวนใครเล่นหวยนะครับและถึงผมรู้แต่ก็ไม่เคยซื้อเลย
    ฟังแค่ขำขำแล้วกัน



    ปรามาสพระ
    ค่ำวันหนึ่งขณะประชุมสภาได้มีส.ส.คนหนึ่งได้กล่าววาจาเสียดสีหลวงตาอย่างแรง พอผมได้ข่าวก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนตามฐานะของคนมีกิเลสทั่วไป แต่พอตกบ่ายวันรุ่งขึ้นตอนฉันน้ำปานะ หลวงตาท่านก็ปรารภขึ้นมากับเหล่าพระเณรว่า " เมื่อคืน มียมบาลมากราบ เขาบอกว่ามีส.ส.ชื่อ...เขา ด่าเรา ยมบาลบอกว่าเขาได้จดชื่อไว้แล้ว ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่ เขาจะเป็นคนลากคอมันลงนรกเอง"
    พอผมถามว่ามีใครไปรายงานหลวงตารึเปล่าว่ามีส.ส.ว่าท่าน คำตอบก็คือ ทุกคนรู้แต่ไม่มีใครกล้ากราบเรียนเพราะมันไม่เหมาะสม
    หรือมี คนคนหนึ่งเขาไปกราบขอขมาหลวงตาที่เขาได้ว่าท่านอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ปากเบี้ยว พอขอขมาที่รูปท่านอาการจึงดีขึ้นแต่ไม่หายขาดจึงได้มากราบขอขมาท่านเองที่วัด แต่ท่านก็บอกว่า "ถ้าขอขมาแล้วไปพูดเหมือนเดิมก็จะเป็นเหมือนเดิม" เขาจึงกราบเรียนไปว่า "ไม่กล้าแล้วครับ"

    ปลดปล่อยวิญญาณ
    หลายสิบปี ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทางผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี
    ได้กราบเรียนหลวงปู่ ถึงความคิดที่จะทำสังฆทานอุทิศให้กับทหารทั้งไทยและพม่าที่ได้เสียชีวิต ณ.บริเวณที่ทางผู้ว่าฯเชื่อว่าพม่าและไทยได้เคยทำการรบกันในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี ทางหลวงปู่สังวาลย์ก็เห็นด้วยเพียงแต่ท่านกล่าวว่าการ ที่จะปลดปล่อยวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้ให้เป็นไปสู่สุขติ ต้องให้พระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากมีบารมีมากมาเป็นประธานในการรับมหาสังฆทานใน ครั้งนี้ ซึ่งหลวงปู่สังวาลย์ เห็นว่าทั้งเมืองไทยตอนนี้ มีเพียงหลวงตามหาบัวเท่านั้นที่ทำได้ ทางผู้ว่าฯจึงได้นิมนต์หลวงตามารับมหาสังฆทานในครั้งนี้
    หลังจากหลวงตาบัวท่านมาเป็นประธาน ใน เย็นวันนั้นเองก็เกิดเหตุอัศจรรย์ คือมีไส้เดือนมุดดินขึ้นมาตายในบริเวณที่ทำพิธี(ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นสนามรบ) จำนวนมหาศาลคนทำความสะอาดกวาดซากไส้เดือนลงเข่งได้นับสิบๆเข่ง นี้คงเป็นการปลดปล่อยวิญญาณครั้งมโหฬารจริงๆ
    อีกครั้งเมื่อคราวปิดโครงการช่วยชาติ เพื่อนผมคนหนึ่งมีวาสนาได้ไปร่วมงานหลังจากพิธีการทั้งหลายเสร็จสิ้นหลวงตาท่านก็ให้พร
    ซึ่งท่านได้กล่าวว่า วันนี้จะให้พรเป็นพิเศษให้ตั้งใจรับให้ดี แล้วท่านก็สวด ยถาฯ นั่นก็ยถาธรรมดาไม่ได้มีบทอี่นเป็นพิเศษไปกว่าทุกครั้ง
    แต่เพื่อนผมคนที่ไปได้ยินเสียงอะไรซักอย่างแตกจากตัวของเขาเอง พอ สำรวจดูก็ถึงบางอ้อพร้อมน้ำตาเพราะพระที่ทำจากผงกระดูกราคาหลายหมื่นแตก แตกทั้งที่กรอบทองยังปรกติ สงสัยวิญญาณกุมารคงไปสู่สุคติแล้ว



    เมื่อหลวงตามหาบัวฉุดพ่อขึ้นจากนรก
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริงของคุณนุ่นที่หลายคนอาจจะไม่เชื่อ แต่อ่านให้จบท่านอาจได้ข้อคิด อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้

    เล่าที่มาของนุ่น
    บ้านของนุ่นอยู่ในกรุงเทพฯ ครอบครัวนุ่นจัดได้ว่าครอบครัวนุ่นมีฐานะครอบครัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ แม่และน้าของนุ่นเป็นพวกชอบเข้าวัดทำบุญมาก โดยเฉพาะวัดป่าบ้านตาด และสวนแสงธรรม ตั้งแต่มีโครงการณ์ช่วยชาติ ของหลวงตาบัว เข้าไปช่วยงานจนแทบจะเรียกว่าเป็นกิจกรรมหลักของชีวิตทีเดียว ส่วนตัวพ่อและนุ่น แทบไม่เคยเข้าวัดเลย พ่อเป็นพวกติดเหล้า แต่ก็รักลูกมากจึงไม่ได้ไปกินเหล้านอกบ้าน แต่กินในบ้านเพื่อจะได้อยู่กับลูกและด้วยความสุดขั้วมาเจอกันทำให้พ่อ และแม่นุ่นมีปากเสียงกันเป็นประจำ โดยพ่อก็จะต่อว่าแม่และลามไปถึงหลวงตาบัวถึงขนาดเรียกหลวงตาบัวว่า อีตาบัว นุ่นเองนอกจากจะสนิทกับพ่อมากกว่าแม่แล้วยังเห็นว่า แม่เอาแต่ทำบุญไม่สนใจพ่อและนุ่นเลย จึงเข้ากับพ่อเป็นปี่เป็นขลุ่ย

    ทุกข์สุดในชีวิต
    และด้วยการใช้ชีวิตอย่างที่กินเหล้า-สูบบุหรี่จัด ทำให้มะเร็งคร่าชีวิตพ่อไปก่อนเวลาอันควรนั่นเป็นเหตุให้นุ่นเป็นทุกข์ ทุกข์ที่สุดในชีวิตของนุ่น แม่พยายามหาเวลามาอยู่กับนุ่นมากขึ้น แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ด้วยความคิดถึงพ่อทุกวันนุ่นต้องตื่นมาใสบาตรพระหน้าบ้าน เพื่ออุทิศให้พ่อ จนมาวันหนึ่งแม่จึงเอ่ยปากชวน นุ่นไปทำบุญ ประทายข้าว ที่วัดป่าบ้านตาด กับหลวงตาบัว ด้วยความอคติที่พ่อพร่ำสอนนุ่น ทำให้นุ่นปฏิเสธในฉับพลัน แม่จึงพยายามชี้แจงเหตุผลว่า ทำกับหลวงตาบัวได้บุญมาก พ่อเขาจะได้บุญมากไปด้วย หลังจากมีการทุ่มเถียงอยู่นาน แม่จึงใช้ไม้เด็ดว่า ถ้าทำกับหลวงตาแล้ว ถ้าพ่อไม่ได้รับบุญครั้งนี้ ก็เลิกไป แม่ก็จะเลิกไปเหมือนกันนุ่นจึงไปด้วยเพราะเหมือนรับคำท้า
    พอไปในงานนุ่นก็ไปช่วยในกลุ่ม กองเรือป้าป้อม และด้วยความที่มาเพราะคำท้าทำให้นุ่น หงุดหงิดกับการมาครั้งนี้ตลอดงาน

    พ่อมาหา
    หลังจากเสร็จงานก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯ และคืนนั้นเองระหว่างที่นุ่นหลับอยู่ แม่ก็เข้ามาปลุกนุ่นด้วยอาการตกใจอย่างมาก นุ่นตื่นเร็วพ่อมา
    และแม่ก็พาไปห้องแม่ซึ่งตอนนี้นามานอนด้วย เมื่อเข้าไปน้าพูดขึ้นว่า นุ่นมาหาพ่อหน่อย นุ่นจึงตวาดกลับไป เล่นบ้าอะไร เอาพ่อมาเล่นบ้าอะไร พ่อในร่างน้าก็พยายามพูดให้นุ่นเชื่อว่าเป็นพ่อจริงๆ ไม่ใช่น้า จนมีการนำเรื่องที่มีเฉพาะนุ่นกับพ่อที่รู้กันแค่สองคนมาถาม ซึ่งพ่อก็ตอบได้ นุ่นจึงลงใจวิ่งเข้าไปกอดพ่อในร่างของน้า หลังจากแสดงความรักและคิดถึงกันอยู่นานพ่อจึงเล่าเรื่องหลังความตายของพ่อให้ฟัง



    เรื่องหลังความตาย
    พ่อเล่าว่า พ่อเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า จึงถูกนำลงไปนรกไปกรอกน้ำทองแดง ระหว่างที่พ่อเข้าแถว พ่อเหลือบไปเห็นพระรูปหนึ่งเข้ามาอยู่ในบริเวณนั้น แล้วก็มีเสียงเรียก นายอำนวย...ออกมาพ่อไม่กล้าออกนอกแถว เพราะจะมีคนคอยเอาหอกแหลมแทงทะลุคนที่แตกแถว มันน่ากลัวมาก พอถึงคิวพ่อถูกกรอกน้ำทองแดง ก็มีแรงมหาศาลฉุดพ่อออกจากแถว พร้อมพูดว่า
    นายอำนวย... ออกมาถ้าเราสั่งแล้วไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก
    จำเราได้รึเปล่า
    จำไม่ได้ครับ

    เราอีตาบัวไง อีตาบัวที่อ๊อดชอบไปทำบุญบ่อยๆนะหรอกหรือครับ
    เอ่อนั่นแหละ เท่านั้นพ่อเข่าอ่อนเลย หลวงตาท่านทราบแต่ท่านไม่โกรธแต่ท่านกลับมาช่วย

    ต่อรองเจ้ากรรมนายเวร
    หลวงตาพาพ่อไปหาคนที่มีหน้าที่ดูแลบัญชีบุญบาปของมนุษย์ แต่พ่อไม่ค่อยทำบุญบุญน้อย จึงไม่พอให้เจ้ากรรมนายเวร หลวงตาจึงให้เปิดบัญชีบุญของแม่ ซึ่งมีมากแต่ยังไม่พอ หลวงตาจึงว่า ให้ดูใหม่ มีบุญประทายข้าวด้วย เขาจึงเปิดอีกจึงพบและ หลวงตาให้เอาบุญนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งทางโน้นก็พอใจจึงปล่อยตัวพ่ออกมาได้

    เรื่องของพ่อหลังพ้นจากนรก
    หลัง จากที่หลวงตาท่านช่วยพ่อของนุ่น วิญญาณเร่ร่อนของพ่อน่นจึงได้ไปอย่วัดป่าบ้านตาด ดังเช่นวิญญาณอีกจำนวนมหาศาลที่หลวงตาบัวช่วยให้พ้นจากนรก เหตุที่มา วัดป่าบ้านตาดเพราะจะได้คอยอนุโมทนากับคนที่มาทำบุญที่วัด รวมไปถึงมีการพัฒนาคุณภาพวิญญาณ ให้มีมีบุญกุศลและความดีพอที่จะยกชั้นภูมิได้ หากวิญญาณไหนโชคดีมีญาติมาปฏิบัติธรรมก็จะเปลี่ยนภพภูมิได้เร็ว พ่อนุ่นยังเล่าต่ออีกว่าผ้าบังสุกุล ที่แม่กับนุ่นทำไปทอดทิ้งไว้ พ่อได้รับแล้ว เวลาร้อนก็อาศัยกันร้อนได้ เวลาหนาวก็อาศัยห่มได้



    นั่งสมาธิให้พ่อด้วย
    เนื่องจากภพภูมิที่พ่ออยู่ไม่เหมือนภพภูมิมนุษย์ เป็นภพที่ยังทุกข์อยู่มาก หากวันไหนนุ่นนั่งสมาธิแล้วอุทิศบุญให้พ่อ พ่อก็จะรู้สึกสบาย
    นุ่นจึงรับปากพ่อว่าจะนั่งสมาธิให้ทุกวัน ซึ่งหลังจากรับปากพ่อแล้ว นุ่นก็จะนั่งทุกวันซึ่งเป็นเวลาเดิมทุกวัน แต่มีอยู่วันหนึ่งนุ่นได้ไปช่วยงานหลวงตา เมื่อเลยเวลานั่งสมาธินุ่นก็รู้สึกถึงอาการคันและเจ็บยิบๆเหมือนใครเอาเข็มมาจิ้ม พอนึกขึ้นได้ว่าเลยเวลานั่งสมาธิแล้วจึงพูดออกไปว่า เสร็จงาน กลับบ้านแล้วจะไปนั่งสมาธิให้พ่อ เท่านั้นแหละอาการก็หายไป หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็มาแฝงน้าอีก นุ่นจึงถามพ่อว่าเรื่องที่คันยิบๆนั่นฝีมือพ่อรึเปล่า ซึ่งพ่อก็รับว่าใช่

    หลวงตาเลื่อนงานประทายข้าว
    มีอยู่ปีหนึ่งหลวงตาท่านเลื่อนงานประทายข้าวให้มาเร็วขึ้น ราว1อาทิตย์ โดยท่านให้เหตุผลว่า อาทิตย์ที่เลื่อนไปท่านจะไปทำธุระ นุ่นเองก้ได้ถามกับพ่อที่แฝงมาที่ร่างของน้า ถึงสาเหตุที่แท้จริงพ่อ จึงตอบว่า ที่หลวงตาเลื่อนเพราะกำหนดการงานประทายข้าวเดิมตรงกับวันตัดสินของทางนรก หลวงตาจึงเลื่อนให้เร็วขึ้นเผื่อจะมีญาติของใคร ทำบุญให้คนที่ตกนรก หลวงตาจะได้ใช้บุญที่ญาติอุทิศไปให้ ใช้ในการต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร

    พ่อบุญพอแล้ว
    หลัง จากที่พ่อมาแฝงร่างน้าครั้งแรก นุ่นและแม่ได้เพียร ทำบุญกับหลวงตา รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่ออุทิศบุญให้พ่อ ซึ่งระหว่างนั้นพ่อก็เข้ามาแฝงน้าเป็นระยะๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อมาบอกนุ่นว่า หลวงตาบอกพ่อมีบุญพอแล้วที่จะเปลี่ยนภพภูมิไปเมืองสวรรค์ ให้ไปตัดอาลัยทั้งหมดให้ได้จะพาไปภพภูมิที่ดีกว่า ตอนนี้พ่อเหลือห่วงคือลูกคนเดียวแต่ยังไงก็จะมาลาลูก นุ่นได้ยินดังนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ แล้วพูดว่า นุ่นไม่ยอม นุ่นไม่ยอมให้พ่อไปไหน พ่ออยู่อย่างนี้นุ่นยังได้เจอเวลาพ่อมาแฝงน้า พ่อก็พูดทั้งน้ำตาว่า น้ำตาของลูกในโลกวิญญาณมันท่วมเป็นทะเลมหาสมุทรแล้ว แล้วพ่อก็เงียบไป นุ่นเล่าเรื่องนี้ให้แม่และน้าฟัง ทั้งสองจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ นุ่น ทำใจเพื่อไม่ให้ขวางทางพ่อ ที่จะไปดีและพ่อก็มาอีก แต่คราวนี้นุ่น ทำใจได้แล้วและหลังจากนั้น พ่อก็ไม่เคยมาแฝงน้าอีกเลย

    เรื่องราวหลังจากนั้นและบทสรุป
    หลังจากนั้นนานมากแล้ว นุ่นก็ยังทำใจไม่ได้ ยังแอบร้องไห้คิดถึงพ่อเป็นประจำ ซึ่งมีวันหนึ่ง นุ่นไปกราบหลวงตาที่สวนแสงธรรม
    นุ่นนั่งอยู่ด้านล่างกุฏิหลวงตาขณะฟังเทศน์หลวงตา ด้วยความทุกข์ใจที่ยังตัดอาลัยไม่ขาดนุ่นจึงก้มหน้าและร้องไห้ออกมา แต่เป็นการร้องแบบเงียบๆไม่ได้รบกวนใคร ซักพักก็มีแม่ชีคนหนึ่งเดินเข้ามาลูบหลัง แล้วพูดขึ้นว่า พ่อหนูให้ฉันมาบอกว่า ตอนนี้พ่ออยู่สวรรค์แล้ว สบายดีไม่ต้องเป็นห่วงนุ่น ถึงกับสะดุ้ง เพราะที่ร้องไห้เป็น การก้มหน้าแล้วน้ำตาไหล ซึ่งถ้าไม่มีใครมานั่งจ้องหน้าจริงๆก็จะไม่เห็น อีกทั้งเป็นเวลาค่ำแล้ว และต่อให้เห็นก็ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่า นุ่นร้องไห้เรื่องอะไร แต่แม่ชีที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้พูดตรงกับเรื่องของนุ่น ซึ่งมันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ หลังจากคราวนั้นนุ่นก็ทำใจได้ และตั้งใจทำบุญเหมือนเดิม เพราะนุ่นเชื่อแล้ว
    เชื่อในบุญในบาป เชื่อในหลวงตามหาบัว แล้ววันนี้ท่านเชื่อรึยัง..????





    ในสมัยปัจจุบัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ในปี ๒๕๔๐ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ท่านป่วยหนัก ผลที่หมอตรวจที่วัดป่าบ้านตาด ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ เป็นที่แน่นอนว่าท่านป่วยเป็น “โรคมะเร็งลำไส้” ขั้นสุดท้าย
    หมอบอกว่า ท่านจะต้องตายก่อนเข้าพรรษาปีนั้นอย่างแน่นอน ท่านได้นิมิตภาวนาในเรื่องนี้ก่อนแล้ว แล้วต่อมาในปีเดียวกัน มีคนนิมนต์ให้ท่านอยู่ช่วยชาติบ้านเมือง ท่านจึงประกาศตั้งโครงการช่วยชาติ.. โรคได้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะอานิสงส์นั้นเท่าทุกวันนี้ แล้วท่านได้ยาดีอะไรมารักษา? ก็ตอบได้ว่า เป็นยาวิเศษที่เทวดานำมาถวายโดยบันดาลผ่านทางมนุษย์เป็นผู้ประกอบ ยาเทวดาเป็นยาแบบไหนหนอ
    ผู้เขียนขอไขปริศนาที่หลวงตาได้เล่าเฉพาะที่โรงน้ำร้อนวัดปาบ้านตาด ต้นปี ๒๕๕o นี้เอง
    คือ ตามปกติท่านจะไม่เล่าเรื่องลึกลับลี้เร้นเหล่านี้ เพราะท่านว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตน การนำออกมาเผยแผ่บางคนอาจไม่เข้าใจ เกิดการตำหนิลบหลู่เป็นการก่อกรรมแก่เขาได้ ท่านเล่าว่า คราวหนึ่งท่านอยู่ในป่าลึกเพียงรูปเดียว เร่งความเพียรภาวนาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายซูบซีดผอมเหลือง เรี่ยวแรงหดหาย เหลือแต่ใจอันดวงเด่น มีพลังมหาศาลข้างใน หมุนไปด้วยธรรมจักรตลอดวันคืน แต่พลังกายเหนื่อยล้าเต็มที ขณะที่ ท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมบางประการในยามค่ำคืน เทพธิดาตนหนึ่งได้ปรากฏกายเข้ามานั่งกราบไหว้ข้างบริเวณทางจงกรม เฝ้ารักษาอยู่โดยตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แล้วนางเทพธิดาจึงกราบเรียนท่านว่า
    “... เขาเคยเป็นแม่ของท่านในอดีตชาติ เกี่ยวข้องกันมานาน บัดนี้ได้มาเจอกัน ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นท่านซูบผอมซีดเซียวก็อยากมาช่วยเหลือด้วยการถวายอาหารทิพย์ อันจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น ขอให้ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นแม่เป็นลูก โปรดเมตตารับอาหารทิพย์เถิด”
    หลวงตาท่านตอบว่า “...เวลานี้เป็นเวลาวิกาลโภชน์ (เลยเที่ยง) รับภัตตาหารไม่ได้”
    “อาหาร นี้ไม่มีสี ไม่มีรส เป็นอาหารวิเศษไม่ต้องกินด้วยปาก เพียงไล้ไปตามร่างกาย การไล้นั้นก็ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว..ก็ถือว่าได้ดื่มด่ำรสของทิพย์แล้ว” นางเทพธิดากล่าวสาธยาย
    “แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเจตนานั้นแหละเป็นตัวกรรมคือการกระทำ.... แม้ เป็นอาหารทิพย์ก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถึงไม่มีใครเห็นเราก็รู้อยู่แก่ใจ ใจนี่แหละเป็นตัวพาสร้างเวรสร้างกรรม มิใช่อวัยวะอื่นใด”

    เมื่อหลวงตาท่านพูดจบ ก็ก้าวเดินจงกรมต่อไป ท่ามกลางความเงียบในไพรสณฑ์ นางเทพธิดาก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเคลื่อนร่างที่เบาเหมือนปุยนุ่นไปไหน เพ่งมองท่านด้วยความห่วงใยและภูมิใจที่มีพระลูกชายเป็นพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อความพ้นทุกข์ แล้วนางจึงกราบเรียนท่านว่า “พรุ่งนี้เช้าจะนำอาหารทิพย์มาถวายใหม่”
    พอ รุ่งเช้านางเทพธิดาได้มานั่งรออยู่หน้ากุฏิหลังน้อยมุงด้วยหญ้า กิริยาแช่มช้อยงดงาม หาสตรีใดในโลกเหมือนหรือเพียงเทียบเทียมมิมีได้
    สตรีที่เขาว่าสวยที่สุดในโลกเป็นนางงามจักรวาลเมื่อเทียบกับนางเทพธิดาแล้ว ก็เหมือนลิงโก๊กตัวหนึ่งเท่านั้น น่าขำจริงๆ โลกมนุษย์เอย..
    เมื่อพระหลวงตาเห็นดังนั้นจึงถามนางว่า...การ ที่เธอมานั่งอยู่หน้ากุฏิเราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาได้ ว่าพระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ข้อครหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ นางตอบว่า“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น ไม่มีใครสามารถเห็นฉันได้..นอกจากท่านเท่านั้น นี่เป็นเทพเนรมิตเพื่อมาถวายอาหารทิพย์แก่ท่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
    “ถวาย ก็ถวายมาสิ” หลวงตาตวาดนางเทพธิดาหน่อยๆ นางจึงบอกให้ท่านนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง การถวายอาหารทิพย์ก็เป็นอันเริ่มขึ้นและจบลง
    ร่างกายของท่านกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด เหมือนปลาขาดน้ำแล้วพลันได้น้ำ เหมือนคนหิวกระหายมานานวัน พลันมาเจอบ่อน้ำอันใสสะอาด ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณที่ซีดเซียวกลับผุดผ่อง หายเมื่อย หายหิว ปฏิบัติภาวนาต่อไปได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องมีอาหารตกท้อง.. อยู่เย็นสบายคลายความทุกข์กังวล

    นี่คืออาหารเทวดา ยาเทวดาก็คงทำนองนี้เหมือนกัน เพราะนั่นเป็นของวิเศษ ที่มนุษย์ผู้ศีลน้อย ธรรมน้อยจะไม่มีวันได้พบพานเป็นอันขาด เว้นแต่ในนิทานหลอกเด็กเท่านั้น!!
    ท่านพ่อลีเองก็เคยรับอาหารบิณฑบาตจากเทวดาที่ดอยขะม้อ จังหวัดลำพูน ท่านผู้สนใจโปรดติดตามจากหนังสือเล่มใหญ่ในวาระฉลองพระธุตังคเจดีย์ ที่วัดอโศการาม ก็แล้วกัน นี่ แหละท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเป็นที่อัศจรรย์อย่างหาที่สุดมิได้ ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณและชีวิตจิตใจของเราผู้ศรัทธาทั้งหลาย เหมือน โคนำจ่าฝูงที่นำพวกเราผู้พยายามเพื่อธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ ว่ายตัดกระแสน้ำคือกิเลสอันเชี่ยวกราก อันเป็นห้วงน้ำใหญ่มีอันตรายมาก ข้ามขึ้นถึงฝั่งอันราบเรียบเป็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์ เกษมสำราญไม่มีเวรภัย ถึงเมือง “อุดมบุรี” (อุดมธรรม) และ “นิพพานนคร” โดยปลอดภัยฯ
    จากหนังสือธรรมะทะลุโลกของท่านพ่อลี ธัมมธโร
    โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร
    วัดป่าภูผาสูง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา





    หลายปีก่อนผมเคยสนธนากับอ.เบิ้ม ในช่วงหนึ่งของการสนทนามีว่า...บอลสมัยก่อนเวลาเราจะไปกราบพระเราจะต้องดูพระเจ้าอยู่หัว
    ดูยังไงครับอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัวเราท่านเป็นพรหม ฉะนั้นหากพระองค์ไหนที่ท่านไปกราบด้วยความประสงค์ของท่านเองนั่นแหละพระดีให้รีบไปกราบ นั่นไงอาจารย์(ผมพูดพลางชี้ไปที่รูปที่พระเจ้าอยู่หัวท่านไปกราบหลวงปู่เกษม) เอ่อ หลวงปู่เกษมหนึ่งหละ แต่เวลาท่านไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นธุรกันดานจะมีบางพระบางรูปที่เป็นที่เคารพ ของชาวบ้านในแถบนั้นท่านก็ต้องเข้าไป แต่เข้าไปกราบแบบนี้ไม่แน่
    อ้าวงั้นผมจะรู้ได้ยังไงหละอาจารย์ว่าพระองค์ไหนนายหลวงท่านทรงไปกราบด้วยความประสงค์ของท่านเอง.....
    และผมก็ได้นำบทสนทนานี้ไปเล่าต่อยังรุ่นน้องคนหนึ่ง พี่บอลได้ดูภาพที่พระเจ้าอยู่หัวท่านไปกราบหลวงตาบัวรึเปล่า
    ทำไมเหรอ หลวงตานะพี่บอลเชื่อ100%ตั้งนานแล้ว เอ่อ รู้น่า ได้สังเกตรึเปล่า ตอนพระเจ้าอยู่หัวกราบท่านเอาผ้ารองกราบออก เห็นเขาพูดกันว่า พระเจ้าอยู่หัวท่านบอกว่า พระระดับนี้ไม่ต้องใช้ผ้ารองกราบ อะไรเหรอผ้ารองกราบ อ้าวไม่ รู้เหรอ เวลาเจ้านาย(เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง) ท่านไปกราบพระจะต้องมีผ้ารองสำหรับกราบเพราะไม่ต้องการให้ไปกราบบนพื้นที่ ปรกติคนทั่วไปเดินไปมา อ้าวเหรอไม่เคยสังเกตเลย
    และผมก็ไม่ได้ไปหาภาพนั้นมาดูเพรารูปที่พิมพ์แจกส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่พระเจ้าอยูหัวท่านพนมมือสนทนากับหลวงตา
    จน เมื่อวานมีคนเอาไฟล์รูปหลวงตากับพระเจ้าอยู่หัวมาให้เพราะผมขอไว้จะเอาไป เข้ากรอบบูชา แต่เขาใจดีเอามาทุกไฟล์เลย ผมเลยได้เห็นภาพประวัติศาสตร์ และ หลักฐานที่ผมรอ(รึเปล่า)มานาน





    หลวงปู่ดู่กล่าวถึงหลวงตามหาบัว
    ที่มา : ร่มเงาพุทธฉัตร
    เขียนโดย : อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริฑัตตะเถระ ทำให้ผู้เขียนปรารถนาที่จะได้กราบนมัสการท่านอาจารย์มหาบัว เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็หาโอกาสยาก ได้แต่ส่งเงินไปร่วมทำบุญกับท่าน พร้อมกับเรียนถามข้อข้องใจของเรา ท่านมีเมตตาเขียนตอบเป็นลายมือขององค์ท่านเอง มีใจความว่า

    "มรรคผลนิพพาน ยังคงมีอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน
    ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรม"

    เพื่อนผู้เขียนทำงานอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมเยือน ได้ถือโอกาสไปนมัสการได้ฟังธรรมจากท่าน ครั้งหนึ่ง ทางวิทยาเขตมีการทัศนศึกษา โดยพาคณะอาจารย์ที่บรรจุใหม่ไปดูงานตามที่ต่างๆ ทางภาคอีสาน เมื่อมาถึงจังหวัดอุดรธานี ผู้เขียนได้เรียนปรึกษากับผู้อำนวยการ ถึงการพาคณะอาจารย์ไปนมัสการ ทางท่านผู้อำนวยการไม่ขัดข้อง มีอาจารย์บางท่านไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะทำให้เสียโปรแกรมอื่นๆ แต่ผู้อำนวยการยืนยันจะไป

    คณะอาจารย์ไปถึงวัดหลังจากท่านฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้วเห็นท่านนั่งบนศาลา หลังจาก ผ.อ.นำคณะอาจารย์กราบเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า

    "วันนี้เราก็มีธุระที่ต้องไปทำ แต่เห็นเป็นคณะใหญ่จะมากราบ
    อันที่จริงเราก็มีโปรแกรมเหมือนกันกับพวกท่าน
    ดังนั้น ถ้าโปรแกรมบางอันที่ไม่เหมาะสมก็ตัดไปเสียบ้าง"

    พวกอาจารย์นั่งเงียบ นึกถึงคำพูดที่ปรึกษากันก่อนจะมาวัดสุดท้ายท่านอาจารย์ได้มอบหนังสือให้ไปศึกษา โดยท่านพูดว่า

    "เอาหนังสือธรรมะไปอ่าน คือให้ศึกษาหรืออ่านใจของเรานะ"

    ครั้งหนึ่ง ไปพบท่านในช่วงบ่าย พระในวัดบอกว่า ท่านอาจารย์เข้าไปในกุฏิแล้ว ต้องไปกราบเรียนท่านก่อนว่า จะอนุญาตหรือไม่ ยังไม่ทันที่พระจะลุกออกไป ได้ยินเสียงกริ่งดัง พระบอกว่า เข้าไปได้ ท่านอนุญาตแล้ว
    พวกเรามองดูรอบๆ บริเวณ คิดว่าท่านคงมองมาจากช่องหน้าต่าง แต่ไม่น่าจะมองเห็น เพราะกุฏิของท่านห่างออกไป มีป่าไม้บดบังครั้งนี้ ท่านปรารภธรรมให้ฟังหลายอย่าง

    ตอนหนึ่งของการสนทนาท่านถามว่า เคยไปกราบหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่วัดถ้ำผาปู่นิมิต หรือไม่ ผู้เขียนเรียนท่านว่าเคยไป เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือที่จังหวัดเลย ท่านอาจารย์พูดขึ้นว่า

    "เราว่าหลวงปู่คำดี เป็นพระพิเศษ เคยตั้งใจจะไปหาท่านที่จังหวัดเลย
    พอไปถึง มีเณรมารอ บอกว่าหลวงปู่ให้มารอรับเรา"

    เอ๊ะ..ไม่ได้บอกท่านนะพอขึ้นไปถึงกุฏิท่านพูดว่า "ท่านมหามาก่อนที่ผมคิดไว้ ๒ ชั่วโมง"



    ผู้เขียนเคยนำภาพอาจารย์มหาบัว ไปให้หลวงปู่ดู่ อธิษฐานจิตท่านบอกว่า
    "ท่านเป็นพระอรหันต์นะองค์นี้"
    ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่เคยได้ยินชื่อท่านหรือไม่หลวงปู่ตอบว่า
    "ได้ยินมานานแล้ว หลายสิบปี มีคนเขาเอารูปมาให้ดู ข้ารู้มานานแล้ว"

    ลูกศิษย์ของผู้เขียน มาขอพระพุทธรูปทรงเครื่องประดับด้วยพลอย เพื่อจะนำไปถวายท่าน ผู้เขียนไม่ขัดข้องบอกแต่เพียงว่า

    "เห็นว่าท่าน ไม่นิยมรับพระ เพราะท่านบอกว่ารก ไม่รู้จะไว้ที่ไหนเสี่ยงดูแล้วกัน ถ้าท่านไม่รับก็ไปถวายที่อื่นท่านมีเหตุผลของท่าน"
    ผู้เขียนได้แต่นำพระบรมสารีริกธาตุและดวงแก้วมหาจักรพรรดิ บรรจุในส่วนของพระเศียรมอบให้ลูกศิษย์กลับมาบอกว่า

    "วันที่ไปหา คนเยอะมาก ไม่มีโอกาสจะเข้าไปกราบนมัสการได้แต่นั่งรอตรงทางเดินสักพักหนึ่งหลวงตาท่านเดินมาหาแล้วบอกว่านำพระมาให้เราหรือ เลยได้ถวายท่านบอกให้ไปไว้ที่ศาลา" พระที่ติดตามคงสงสัยในใจว่าพระอะไร หลวงตาท่านตอบขึ้นว่า
    "เขาเรียกว่าพระทรงเทวดา ท่านไม่รู้เหรอ"
    เมื่อไม่นานมานี้ รศ.นรีทิพย์ ทุ่งกาวี ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำภาพของท่านอาจารย์มหาบัวมามอบให้ผู้เขียน
    ซึ่งมีลายเซ็นของท่าน เขียนวาทะได้จับใจ ความว่า

    "ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลวงตาก็แก่มากแล้ว
    ห่วงลูกหลานไทยเรามากขึ้นทุกวัน"



    ธรรมเทศนาเรื่อง “อภิญญา” จากหนังสือแก่นพระพุทธศาสนา โดยหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่
    เมื่อได้ฌานแล้วบางครั้งก็จะได้ถึงขั้นอภิญญา ซึ่งเป็นความรู้พิเศษ ผู้ที่เวลาปฎิบัติเกิดนิมิตมากๆมักจะได้อภิญญา เมื่อมีเหตุการณ์ใดๆที่จะเกิดขึ้น ท่านมักจะรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ เช่น จะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้จะมีผู้มาหา เป็นต้น อภิญญาเกิดจากฌานสมาธิ อภิญญานี้ไม่แน่นอนมักจะเสื่อมได้ หรืออาจจะเป็นวิปลาสจะพูดไม่ตรงต่อธรรมวินัย เมื่อผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว ถ้าไม่รู้ทัน ก็จะทำให้เกิดความหลงได้ ในสายของหลวงปู่มั่นนี้ ท่านที่ได้อภิญญาที่สำคัญ คือ ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านสามารถที่จะพูดกันได้กับท่านหลวงปู่มั่นเวลาท่านไปเยี่ยมกัน
    ท่านมักถามเป็นปัญหาว่า “เมื่อคืนรับแขกมากไหม”คำว่า “แขก” ในที่นี้ก็หมายถึงพวกเทพยดาในสวรรค์ชั้นต่างๆตลอดจนถึงพระอินทร์ที่ลงมากราบมาเยี่ยม
    สำหรับท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านประสบเหตุมามาก ท่านเคยเล่าให้อาตมาหลายเรื่อง ถ้าเขียนเป็นหนังสือ ก็จะได้เล่มหนาทีเดียว
    ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม ท่านเคยอยู่กับท่านอาจารย์ฝั้นหลายปี ท่านเคยเล่าให้อาตมาฟังว่า มีนกฮูกตัวหนึ่งมันร้องกุ๊กๆกู้ฮูก จับอยู่ที่ต้นไม้ใกล้กับที่พักของท่าน เมื่อได้เวลาประมาณ 2 ทุ่ม มันก็ร้องอยู่อย่างนั้นทุกคืน ท่านมีฌาน ท่านเลยเพ่งนกฮูก ปรากฏว่าพอท่านเพ่งไปเท่านั้นแหละ ขนของนกฮูกก็หลุดกระจุยเลย และก็มีเสียงตกลงดิน ท่านก็คิดว่ามันจะเป็นหรือตายอย่างไรหนอ ท่านกลัวจะเป็นโทษ ท่านเดินไปค้นหาซากของมัน ก็ไม่ปรากฏเห็น

    หลวงปู่มั่นท่านก็ประสบเหตุทำนองนี้เหมือนกัน คือมีบ่างใหญ่ตัวหนึ่งมาร้องอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆกับท่านทุกวัน พอท่านเพ่งไปที่บ่าง บ่างก็ตกดินเลย แต่ปรากฏว่าไม่ตายหลวงปู่มั่นท่านว่า หลังจากที่ผมเพ่งวันนั้นแล้ว ไม่ปรากฏเห็นบ่างตัวนั้นมาร้องอีก แสดงว่านกหรือบ่างอาจจะกระเทือนจิตใจของมันเหมือนกัน

    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่แตกฉานในธัมมปฏิสัมภิทา แตกฉานในการพูด การแสดงธรรม การแต่งหนังสือ โดย เฉพาะการแต่งหนังสือนั้น ท่านได้เขียนเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไว้ได้อย่างละเอียดมาก ตลอดทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับธรรมปฎิบัติอีกหลายเล่ม

    อย่างท่านเจ้าคุณนิโรธ ฯ (พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี) ก็เคยได้ไปกราบเยี่ยมท่าน พักอยู่กับท่านครั้งละหลายๆวัน ท่านให้เคยให้นโยบายเทศน์ให้ฟัง แต่ท่านไม่ได้เล่าเกี่ยวกับอภิญญา โดยท่านมักจะปกปิด ไม่เล่าให้ฟังทั่วๆไป

    ท่านหลวงปู่มั่น หรือท่านอาจารย์ฝั้นก็เช่นเดียวกัน ท่านก็จะพูดให้ผู้ที่ไว้ใจได้ฟังเท่านั้น ในขณะที่มีพระเณรญาติโยมมากๆ ท่านก็จะไม่พูด เพราะท่านว่าถ้าพูดไปเขาไม่เชื่อ เกรงว่าเขาจะหลบหลู่ดูหมิ่น จะเป็นบาปเป็นกรรมแก่พวกเขา หลวงปู่มั่นท่านจะหลบหลีกหมู่(เพื่อน) ไปธุดงค์องค์เดียวหรือสองสามองค์เป็นอย่างมาก บรรดาหมู่คณะหรือผู้ปฎิบัติเกิดความรู้ต่างๆหรือมีปัญหาที่จะต้องกราบเรียนถาม ก็จะต้องออกตามหาท่านเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามท่านพบเสียด้วย

    บุคคลที่มีปัญญาแก่กล้า ไตรลักษณ์จะเกิดในปฐมฌานหรือทุติยฌาน ส่วนบุคคลที่มีปัญญาขนาดกลาง ไตรลักษณ์จะเกิดเมื่อสำเร็จฌาน 4 แล้ว บุคคลใดที่สามารถสำเร็จฌาน 4 ก็มักจะไม่เกิดความกำหนัดหรือที่เรียกว่า จิตตกกระแสธรรม มันจะเป็นของมันเอง เรียกว่าเป็นผลของฌานสมาธิก็ได้ ไตรลักษณ์ นี้จะเป็นเครื่องตัดสินถูกหรือผิด จะเป็นสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตามหรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิดแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด เมื่อพิจารณาขันธ์ 5 ธาตุ 4 เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว จนเกิดญาณ ความรู้พิเศษ เมื่อเกิดความรู้พิเศษแล้ว วิปัสสนูกิเลสหรือวิปลาส ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสิ่งใดหรือความรู้ใดเกิดขึ้นก็จะเอาไตรลักษณ์เป็นเครื่องตัดสิน

    การพิจารณาให้ถือเอารู้รูปกายตามความเป็นจริง รู้เวทนาตามความเป็นจริง รู้จิตตามความเป็นจริง ให้ยึดถือความรู้นี้เป็นหลัก ความรู้อย่างอื่นไม่สำคัญ ถึงจะเกิดอภิญญารู้ในเหตุผลต่างๆ ครั้งแรก ๆ ก็อาจเป็นจริง แต่ถ้าเรายึดถือในสิ่งเหล่านั้นต่อไป ก็จะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเรา ท่านจึงห้ามไม่ให้ถือเอานิมิตเป็นสิ่งสำคัญ ท่านจึงว่า ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิด ก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิต้องทำการศึกษาและเร่งความเพียรยิ่งขึ้นไป

    พระภิกษุรูปใดเด็ดเดี่ยว ชอบไปบำเพ็ญภาวนารูปเดียว มักจะได้อภิญญารู้เหตุผลต่างๆแม้แต่ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีคุณสมบัติไม่เสมอเหมือนกัน ตัวอย่างเช่นพระอรหันต์ที่สำเร็จอย่างแห้งแล้ง แสดงธรรมสอนผู้อื่นไม่ได้ไม่มีปฎิภาณโวหาร
    แต่ก็สามารถสิ้นอาสวะกิเลส เรียกพระอรหันต์จำพวกนี้ว่า “สุกขวิปัสสโก” ถ้าพูดถึงความสุขของผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสแล้ว ก็เหมือนกันหมด มีความสุขความสบายเท่าเทียมกัน เป็นพระนิพพานเหมือนกันหมด การที่ท่านผู้ใดจะได้วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 นั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละท่านด้วย

    ผู้ที่ปฎิบัติเพียง2-3 ครั้ง ก็สามารถที่ทำจิตให้สงบได้ มีความรู้บาป บุญคุณโทษ ทำให้เพิ่มความเชื่อความเลื่อมใส จิตใจเยือกเย็นได้รับความสุข นี่ก็เป็นเพราะอำนาจบารมีเก่าที่ได้สะสมมา สิ่งที่ควรตั้งความปรารถนาให้เป็นอุปนิสัย คือ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าบุคคลใดมีอุปนิสัยครบทั้ง 3 ประการนี้แล้ว หากเกิดภพชาติใดๆได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมพระเทศนาก็มักจะได้บรรลุผลในการฟัง ในครั้งพุทธกาล มีท่านที่สำเร็จจากการฟังเป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง แสดงว่าท่านเหล่านี้เคยบำเพ็ญสร้างสมอบรมมา ตั้งแต่หนึ่งชาติขึ้นไป ส่วนผู้ที่ปรารถนาใหญ่ เช่นปรารถนาเป็นอัครสาวก ต้องเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสร้างสมบารมีถึงแสนชาติ อย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าได้บำเพ็ญติดต่อกัน 1-3 ชาติ ก็จะเป็นอุปนิสัย ถ้าได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ ก็จะทำสมาธิได้ง่าย หรือเจริญฌานได้ง่าย ขอให้พวกท่านจงทำกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถปฎิบัติได้เหมือนกัน เมื่อตั้งใจทำแล้ว จะไร้ผลเสียเลยก็ไม่มี อย่างต่ำก็เป็นการเพิ่มบุญวาสนาบารมีของเราให้แก่กล้าขึ้น พูดมาก็สมควรแก่เวลา........

    ที่มา FWmail

    pity_pig
     
  2. pawang

    pawang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +193
    ขอกราบนอบน้อม พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ครับ

    อนุโมทนาสาธุ ในการเผยแผ่ครั้งนี้ครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    _________________________________________________________________
    http://palungjit.org/threads/เรื่องของส้ม-คนไข้ใน-กองทุนหลวงตา.192974/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2009
  3. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ขอกราบสักการะองค์หลวงตามหาบัว ด้วยเศียรเกล้า ธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ความหลุดพ้นใดที่ท่านพบแล้วขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นได้รู้ด้วยเถิด สาธุ
     
  4. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    อ่านเรื่องของคุณโน๊ต แล้วนึกถึงตนเองค่ะ จะไปกราบองค์หลวงตามหาบัว พยายามแกะทองที่เลี่ยมพระออก เพื่อที่จะได้นำไปถวายแด่องค์ท่าน พยายามอย่างไรก้อไม่ออก กลัวแกะออกมาทองไม่สวยอีก รบกวนน้องญาติธรรมไปช่วยกันแกะ คนแกะก้อได้ร่วมอนุโมทนากันใหญ่เลย แม้ทองชิ้นน้ั้นแกะออกมาแล้วจะเล็กมากมาย ถ้าเราเอาไปเปรียบกับของคนอื่น แต่จิตใจตอนนั้นปลื้มปิติมากมายเลยค่ะ ตอนไปกราบองค์ท่าน เห็นมีผู้หญิง 1 คนกำลังจะถวายทองแด่องค์หลวงตา ใส่พานสวยงามเชียว เราได้แต่แอบไปกระซิบว่าขอฝากทองชิ้นน้อยชิ้นนี้ใส่ถวายแด่องค์หลวงตาด้วยได้มั้ย พี่ผู่้หญิงคนนั้นทำหน้าตายินดีมากเลยค่ะ เรานะอายสะเหมือนกันแหละ คิดเหมือนคุณโน๊ตเลยค่ะ แต่พอเห็นหน้าพี่เค้าแล้ว เราปลื้มปิติใจมากมายเลยค่ะ แม้แต่คิดถึงตอนนี้ ก้อยังปลื้มในบุญนั้นไม่หายเลยหละ

    ขอกราบนมัสการองค์หลวงตามหาบัว ด้วยความเคารพอย่างสูงด้วยนะคะ
    _/\_ _/\_ _/\_
     
  5. lomnow

    lomnow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +353
    ไม่รู้เมื่อไรนะครับ ที่ท่านองค์หลวงตามหาบัว จะมาที่สวนแสงธรรม
    จะได้ไปฟังธรรม ขององค์ท่านอีก

    เป็นบุญ แท้ที่ได้ พบ องค์ท่าน

    บารมีท่าน มากเพียง นี้ ท่านสังสม บำเพ็ญ มาเช่นใด หนอ ในอดีตกาล ถึงได้มากมายปานนี้

    กราบน้อมน้อม ต่อองค์หลวงตา หมดจิตหมดใจ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    อ้อ สมทบด้วย
    ผมเคย นึกในใจตอนฟังเทศว่า หลวงตาน่าจะได้แค่สุขวิปัสสโกนะ เพราะว่าไม่เคยเห็นท่านพูดเรื่องตาทิพย์ หรือ อภิญญาเลย

    พอนึกปั๊บ หลวงตาเทศว่า แม่ชีแก้ว เป็นลูกศิษย์ท่านมีตาทิพย์ มีญาณแม่นยำ
    แล้วอาจารย์จะไม่เหนือกว่าศิษย์ได้หรือ

    ผมกราบหลวงตาตอนนั้น นึกในใจว่าไม่น่าลองของเลย ดังนั้นเรื่อง เจโตปริยญาณนี่ไม่ต้องพูดถึง
     
  7. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ขอบูชา หลวงตาบัว ด้วยเศียรเกล้า

    ปิติมากที่ได้ ถวายเงิน 2000 บาท สมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ จ.อุดรธานี

    มันปิติในใจอย่างสุขแท้ เมื่อทำทานกับหลวงตาบัว คิดเมื่อไรก็ปิติ ขนลุกเมื่อนั้น

    จากจิตใจแท้ที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น สรณะ เป็น ที่พึ่ง จนหมดลมหายใจ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ คุณ yut_kop ผมก็บริจาคไปเหมือนกันครับ

    มีอานิสงค์ คือ ทำให้พระอรหันต์ และ ทำให้พระพุทธเจ้า และ ทำให้หมู่สงค์ในอนาคตที่จะป่วย ทำให้พระศาสนา
     
  9. วรุณบุตร

    วรุณบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +1,018
    เมื่อวันจันทร์ ที่ผ่านมาเป็นวันพระนะครับ ก็สวดมนต์ และนั่งสมาธิตามปรกตินะครับ พอตอนหลับก็ฝันว่าหลวงตามหาบัวท่านมาเทศน์สอนนะครับในฝันนะตั้งใจฟังและปีติมากครับ แต่พอตื่นมาจนถึงเดี๋ยวนี้ผมยังจำหัวข้อที่ท่านเทศน์ไม่ได้เลยครับ
     
  10. karatekung

    karatekung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,624
    ค่าพลัง:
    +2,195
    กราบๆๆๆพระนเรศ
     
  11. HS4OFL

    HS4OFL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +1,382
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ ครอบครัวผมก็ไปได้กราบท่านและถวายทองไปแล้วครับ
    นี้วันที่5-6 จะไปกราบท่านที่อุดรครับ
     
  12. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    อนุโมทนาสาธุกับเรื่องราวดีๆที่นำมาฝากกันนะคะ เคยร่วมทำบุญกับหลวงตาเหมือนกันค่ะ แต่นานมากแล้ว ถ้ามีโอกาสได้ไปอุดรจะไปกราบหลวงตาซักครั้งค่ะ;aa8
     

แชร์หน้านี้

Loading...