۩۞۩ ★บุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมปิดทองประดับเพชร★ ۩ วิหารแก้ว☆ณ.วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม.

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย Nar, 17 พฤษภาคม 2008.

  1. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    เพิ่มเติมความสบูรณ์วิหาร
    หลังคา(*)ผนัง(*)ประตู(*)หน้าต่าง(*)พื้นวิหาร(*)ประดับแก้ว
    บัญชีร่วมบุญ
    พระตุดี โฆสิตธัมโม
    ธ.กสิกรไทย สาขา อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ล.บ. 347-2-31364-8<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  2. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG]


    จุดหมายปลายทางของการสร้างวิหารแก้ว สมเด็จองค์ปฐมพระทศพล
     
  3. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ร่วมสร้างวิหาร ต่อเติมความสมบูรณ์ให้กับวิหารแก้วอันเนื่อง สมเด็จองปฐมครับ
    ผมนำพระที่เคยร่วมทำบุญกับที่ต่างๆมาต่อบุญกุศล ณ ที่แห่งนี้ เพื่อช่วยให้วิหารแก้วได้มีความคืบหน้าต่อไป
    ท่านที่มีกำลังทรัพย์ร่วมบุญ เงินปัจจัย 1,000 บาท ผมยินดีมอบพระให้ 1 องค์ครับ

    เป็นราคาร่วมบุญครับ ไม่ใช่ราคาให้บูชาพระ





    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    พระในรูปภาพกับที่ส่งให้ท่านที่ร่วมบุญเป็นองค์เดียวทุกองค์ครับ ไม่มีการเปลี่ยน ลงไว้อย่างไรก็ส่งให้อย่างนั้น<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  4. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    คัดลอกมาจากข้อความ ของพระที่ 12

    หลวงปู่แหวน แนะวิธีแผ่เมตตาให้บังเกิดผล โดยให้ทำตนและจิตใจเหมือนมารดาที่เลี้ยงลูก ให้ความรัก ความเอ็นดูสงสาร มุ่งหวังจะให้ลูกสุขกายสบายใจ มีอาชีพการงาน มีวิชาเลี้ยงตนเอง ได้ ความรักที่แม่ให้กับลูกเป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย และไม่ต้องการผลตอบแทนจากลูก มีแต่ให้อย่างเดียว

    ถ้าเราแผ่เมตตาเหมือนกับพระอาทิตย์ส่องแสง เมตตานั้นจะมีพลังสูงยิ่ง เพราะธรรมชาติของพระอาทิตย์ขณะที่ส่องแสงไม่ได้เลือกชุมชน สรรพสัตว์ยากดีมีจน อยู่ที่สูงหรือที่ต่ำ จะใกล้หรือไกล ก็ได้รับความร้อนเท่ากัน
    เมตตาธรรมก็เช่นกัน ขอให้แผ่ไปให้แก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะรับได้มากน้อย สุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น
     
  5. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG]

    วันอาสาฬหบูชา
    วันอาสาฬหบูชา ตรงกับ วันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนปุริมพรรษา (ปุริมพรรษาเริ่ม ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ในปีที่ไม่มีอธิกมาสเป็นต้นไป ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ เทศน์กัณฑ์แรก ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดพระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมือง พาราณสี ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้และเพราะผลของพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เป็นเหตุให้ท่าน พระโกณฑัญญะในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณที่ทำให้สำเร็จเป็นโสดาบัน) ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไป เป็นธรรมดา แล้วขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระองค์ เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกของ พระพุทธศาสนา และทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ในเมื่อวันนี้ของทุก ๆ ปี เวียนมาถึงพุทธศาสนิกชน จึงนิยมทำการบูชาเป็นพิเศษ และ พุทธศาสนิกชนในที่บางแห่ง ยังตั้งชื่อวันอาสาฬหบูชานี้ว่า "วันพระสงฆ์" ก็มี อาสาฬหะ คือ เดือน ๘ อาสาฬหบูชา คือ การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๘ ความสำคัญ ของวันเพ็ญเดือน ๘ นี้ มีอยู่อย่างไร จะได้นำพุทธประวัติตอนหนึ่งมาเล่าต่อไปนี้ นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระองค์ประทับเสวยวิ มุตติสุขในบริเวณโพธิมัณฑ์นั้น ตลอด ๗ สัปดาห์ คือ
    - สัปดาห์ที่ ๑ คงประทับอยู่ที่ควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหาโพธิ์ เพราะเป็นที่ตรัสรู้ ทรงใช้ เวลาพิจรณาปฏิจจสมุปปาทธรรมทบทวนอยู่ตลอด ๗ วัน

    - สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จไปทางทิศอีสานของต้นโพธิ์ ประทับยืนกลางแจ้งเพ่งดูไม้มหาโพธิ์โดย ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด ๗ วัน ที่ที่ประทับยืนนั้นปรากฎเรียกในภายหลังว่า "อนิสิมสสเจดีย์"

    - สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กับต้นมหาโพธิ์แล้วทรง จงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอด ๗ วัน ซึ่งต่อมาเรียกที่ตรงนั้นว่า "จงกรมเจดีย์"

    - สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จไปทางทิศพายัพของต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิ ธรรมอยู่ตลอด ๗ วัน ที่ประทับขัดสมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่า"รัตนฆรเจดีย์"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2009
  6. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="64%">- สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นมหาโพธิ์ประทับ ที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธ อยู่ ตลอด ๗ วัน ในระหว่างนั้น ทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถามในเรื่องความเป็นพราหมณ์
    - สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จไปทางทิศอาคเนย์ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ ตลอด ๗ วัน ฝนตกพรำตลอดเวลา พญานาคมาวงขดล้อมพระองค์ และแผ่พังพานบังฝนให้พระองค์ ทรงเปล่งพระอุทานสรรเสริญความสงัด และความไม่เบียดเบียนกันว่าเป็นสุบในโลก
    - สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จย้ายสถานที่ไปทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้เกดเสวยวิมุตติ สุขตลอด ๗ วัน มีพาณิช ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ จึงนำข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวายพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว สองพาณิชก็ประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่แรกในประวัติกาล ทรงพิจารณาสัตว์โลกเมื่อล่วงสัปดาห์ที่ ๗ แล้ว พระองค์เสด็จกลับมาประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธอีก ทรงคำนึงว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จีงท้อพระทัยที่สอนสัตว์ แต่อาศัยพระกรุณาเป็นที่ตั้ง ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็คงมี ตอนนี้แสดงถึงบุคคล ๔ เหล่า เปรียบกับดอกบัว ๔ ประเภท คือ

    ๑. อุคฆติตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใดในขณะที่มีผู้สอนสั่ง สอนเปรียบเทียบ เหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะบานในเมื่อได้รับแสงพระอาทิตย์ในวันนั้น

    ๒. วิปัจจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่านขยายความย่อให้พิสดารออกไปเปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอระดับน้ำ จักบานในวันรุ่งขี้น

    ๓. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พากเพียรพยายาม ฟัง คิด ถาม ท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรม วิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจากน้ำ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากน้ำ แต่จะโผล่แล้วบานขี้นในวันต่อๆ ไป

    ๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถาม ท่อง แล้วก็ไม่สามารถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม รังแต่จะเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอน ทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ท่านเหล่านี้ก็หาบุญไม่เสียแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ปัญจวัคคีย์ จีงทรงตัดสินพระทัยว่า ควรโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็เสด็จออกเดินไปจากควงไม้ไทรนั้น มุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี การที่เสด็จเดินทางจากตำบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทั่งถึงกรุงพาราณสีเช่นนี้ แสดงให้เห็น เพระวิริยอุตสาหะอันแรงกล้าเป็นการตั้งพระทัยแน่วแน่ ที่จะประทานปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่างแทัจริง หนทางระหว่างตำบลพระศรีมหาโพธิ์ถึงพาราณสีนั้น ในปัจจุบัน ถ้าไปทางรถไฟก็เป็นเวลา ๗-๘ชั่วโมง การเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า อาจใช้เวลาตั้งหลายวัน แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็นขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอาสาฬหะนั้นเอง



    </TD></TR><TR><TD>


    </TD><TD>




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2009
  7. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    <TABLE borderColor=#cccccc width="75%" border=0><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่แห่งปัจจวัคคีย์พอเสด็จ เข้าราวป่าพวกปัญจจวัคคีย์นั้นได้เห็นจึงนัดหมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ และไม่รับบาตรจีวรจะตั้งไว้ให้เพียงอาสนะเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าพระองค์ กลายเป็นคนมีความมักมากหมดความเพียรเสียแล้ว พอพระองค์เสด็จถึง ต่างก็พูดกับพระองค์โดยไม่เคารพ พระองค์ตรัสห้าม และทรงบอกว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วจะแสดงธรรมสั่งสอนให้ ฟังพราหมณ์ทั้ง ๕ ก็พากันคัดค้านลำเลิกด้วยถ้อยคำต่างๆ ที่สุดพระองค์จึงทรงแจงเตือนให้รำลึกว่า พระองค์เคยกล่าวเช่นนี้มาในหนหลังบ้างหรือ ? พราหมณ์ทั้ง๕ ระลึกได้ ต่างก็สงบตั้งใจฟังธรรมทันที ค่ำวันนั้น พระองค์ประทับแรมอยู่กับพราหมณ์ทั้ง ๕ รุ่งขี้นวันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหะ พระองค์ทรงเริ่มแสดงธัมมะ-จักกัปปวัตตนสูตร นับเป็นเทศนากัณฑ์แรกโปรดปัญจวัคคีย์นั้น โดยใจความคือทรงยกที่สุด ๒ ฝ่าย ได้แก่ การประกอบตนให้ลำบากด้วยการทรมานกาย และการไม่ประกอบตนให้เพลิดเพลินในกามสุข ทั้ง ๒ นี้นับว่า เป็นของเลวทรามไม่ควรเสพ เฉพาะทางสายกลางเท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติที่สมควร แล้วทรงแสดงทางสายกลางคือ อริยมรรค ๘ ประการ ได้แก่

    ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ
    ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
    ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
    ๔. สัมมากัมมัตนะ ทำการงานชอบ
    ๕. สัมมอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
    ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ
    ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ
    ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ

    สรุปด้วยอริยสัจ ๔ ได้แก่
    ๑. ทุกข์>>ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
    ๒. สมุทัย>>เหตุให้เกิดทุกข์
    ๓. นิโรธ>>ความดับทุกข์
    ๔. มรรค>>ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

    ชี้ให้เห็นโดยปริวรรตและอาการต่างๆ ว่า เมื่อรู้แล้วอาจยืนยันได้ว่า ตรัสรู้โดยชอบถึงความ หลุดพ้นและสุดชาติสุดภพแน่นอน ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมนี้อยู่ ท่านโกณฑัญญะได้ส่องญาณไปตามจนเกิด "ธรรมจักษุ" คือดวงตาเห็นธรรมขึ้นทางปัญญาพระองค์ทรงทราบจึงเปล่งพระอุทานว่า "อัญญสิๆ""อัญญสิๆ"(โกณฑัญญะรู้แล้วๆ)เพราะพระองค์ทรงอุทานนี้ภายหลังท่านโกณฑัญญะจึงได้นามใหม่ว่า "อัญญาโกณฑัญญะ" แต่นั้นก็ทูลขอบรรพชาพระองค์ประทานอนุญาตด้วยเอหิภิขุอุปสัมปทาน นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระศาสนาที่บวชตามพระพุทธองค์ ตามพุทธประวัติที่เล่ามานี้ จะเห็นว่า วันอาสาฬหบูชามีความสำคัญ คือ

    ๑. เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา
    ๒.เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ประกาศสัจจธรรมอันเป็นองค์แห่งสัมมาสัมโพธิญาณ
    ๓.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับประทานเอหิภิขุอุปสัมปทาในวันนั้น
    ๔. เป็นวันแรกที่บังเกิดพระสังฆรัตนะสมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

    คัดมาจาก>> เว็บธรรมจักร

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2009
  8. anko

    anko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    972
    ค่าพลัง:
    +8,252
    ;welcome3

    มาร่วมกันทำบุญนะคะ

    ;20
     
  9. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    วันเข้าพรรษา

    จากที่เกิดวันเข้าพรรษา เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา เหตุเพราะสมัยก่อนฝนตกชุก การเดินทางสัญจรไปมาก็ไม่สะดวก อีกทั้งไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้าน ในสมัยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ให้พระภิกษุสงฆ์ออกไปตามเขตต่าง ๆ เพื่อประกาศพระศาสนา จนมีผู้ขออุปสมบทมากขึ้น จึงทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ออกไปเผยแพร่พระศาสนากันมากขึ้น แม้ในฤดูฝนก็มิได้หยุดพัก การเดินทางก็ไม่สะดวก ทั้งยังเหยียบข้าวกล้าให้เกิดความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย ประชาชนจึงพากันติเตียนว่า "ไฉนเล่า พระสมณศากยบุตรจึงเที่ยวไปมาอยู่ทุกฤดูกาล เหยียบข้าวกล้าและติณชาติให้ได้รับความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย พวกเดียรถีย์และปริพพาชกเสียอีกยังพากันหยุดพักในฤดูฝน ถึงนกยังรู้จักทำรังที่กำบังฝนของตน"

    พระพุทธองค์ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นธรรมเนียมให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๑ ห้ามมิให้เที่ยวสัญจรไปมา
    วันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ ๒ วัน คือ
    ๑.ปุริมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑
    ๒.ปัจฉิมมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒
    ภิกษุเข้าพรรษาแล้ว หากมีกิจธุระจำเป็นอันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ แต่จะต้องกลับมา ยังสถานที่เดิมภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด ที่เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" เหตุที่ทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะนั้นมี ๔ อย่างดังต่อไปนี้
    ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าไปเพื่อรักษาพยาบาล
    ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าไปเพื่อห้ามปราม
    ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาะมาปฏิสังขรณ์
    ๔. ทายกต้องการบำเพ็ญบุญกุศลส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขาได้
    แม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็นกิจจลักษณะอนุโลมเข้าในข้อนี้ด้วย
    ในเวลาจำพรรษาเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ และไปเสียจากที่นั้น พรรษาขาด
    แต่ท่านไม่ปรับอาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ) มีดังนี้ คือ
    ๑. ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปีศาจเบียดเบียน
    ๒. เสนาสนะถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
    ๓. ภัยเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำบากด้วยบิณฑบาต ในข้อนี้ชาวบ้านอพยพจะตามเขาไปก็ควร
    ๔. ขัดสนด้วยอาหาร โดยปกติไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสบาย ไม่ได้อุปัฏฐากอันสมควร (ข้อนี้หากพอทนได้ก็ควรอยู่ต่อไป)
    ๕ .มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบกวนล่อด้วยทรัพย์
    ๖. สงฆ์ในอาวาสอื่นจวนจะแตกกันหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีได้อยู่ (ในข้อนี้ ถ้ากลับมาทัน ควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ)
    พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการอยู่จำพรรษาในสถานที่บางแห่ง แก่ภิกษุบางรูปผู้มีความประสงค์ จะอยู่จำพรรษาในสถานที่ต่าง ๆ กัน สถานที่เหล่านั้น คือ
    ๑. ในคอกสัตว์ (อยู่ในสถานที่ของคนเลี้ยงโค)
    ๒. เมื่อคอกสัตว์ย้ายไป ทรอนุญาตให้ย้ายตามไปได้
    ๓. ในหมู่เกวียน
    ๔. ในเรือ
    พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้อยู่จำพรรษาในสถานที่อันไม่สมควร สถานที่เหล่านั้นคือ
    ๑. ในโพรงไม้
    ๒. บนกิ่งหรือคาคบไม้
    ๓. ในที่กลางแจ้ง
    ๔. ในที่ไม่มีเสนาสนะ คือไม่มีที่นอนที่นั่ง
    ๕. ในโลงผี
    ๖. ในกลด
    ๗. ในตุ่ม
    ข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
    ๑. ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่สมควร เช่น การมิให้มีการบวชกันภายในพรรษา
    ๒. ห้ามรับปากว่าจะอยู่พรรษาในที่ใดแล้ว ไม่จำพรรษาในที่นั้น
    อนึ่ง วันเข้าพรรษานี้ ถือกันว่าเป็นกรณียพิเศษสำหรับภิกษุสงฆ์ เมื่อใกล้วันเข้าพรรษาควรปัดกวาด เสนาสนะสำหรับจะอยู่จำพรรษาให้ดี ในวันเข้าพรรษา พึงประชุมกันในโรงอุโบสถไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาต่อกันและกัน หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีอธิษฐานพรรษา ภิกษุควรอธิษฐานใจของตนเองคือตั้งใจเอาไว้ว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า
    "อิมสฺมึ อาวาเส อิมัง เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน"
    หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้ว ก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการบูชาปูชนียวัตถุที่สำคัญในวัดนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูปเทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระเถระผู้ที่ตนเองเคารพนับถือ<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    อานิสงส์แห่งการจำพรรษา
    เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
    ๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
    ๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
    ๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
    ๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
    ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ
    และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย
    ในวันเข้าพรรษานี้ตามประวัติ ชาวไทยเราได้ประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวง และ พิธีราษฎร์ กิจกรรมที่กระทำก็มีการเตรียมเสนาสนะให้อยู่ในสภาพที่ดี สำหรับจะได้จำพรรษาอยู่ตลอด 3 เดือน จัดทำ เทียนจำนำพรรษา เพื่อใช้จุดบูชาพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระปริยัติธรรม ตลอดทั้ง 3 เดือน ถวายธูป เทียน ชวาลา น้ำมันตามไส้ประทีปแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในพระอาราม
    สำหรับเทียนจำนำพรรษาจะมีการ แห่เทียน ไปยังพระอารามทั้งทางบกและทางน้ำตามแต่หนทางที่ไปจะอำนวยให้ เพื่อนำเทียนเข้าไปตั้งในพระอุโบสถหรือพระวิหาร แล้วก็จะจุดเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย สำหรับการปฏิบัติอื่น ๆ ก็จะมีการถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีลห้า ศีลแปด ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเคร่งครัด ตามกำลังศรัทธา และขีดความสามารถของตน นับว่าวันเข้าพรรษาเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชน จะได้ประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของพระพุทธศาสนาได้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    สมเด็จขวานฟ้า ลป.ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา พระพุทธบาทห้วยต้มอำเภาลี้ จ.ลำพูน สมเด็จขวานฟ้าโลกอุดร สร้างจากผง หลวงปู่เทพโลกอุดร (ผสมผงพระธา ตุ 500 อรหันต์ )ผงหลวงปู่ดู่วัดสะแก (ได้รับจาก หลวงตาม้า) เพชรน้ำค้าง ขี้เหล็กไหล (โคตรเหล็กไหล) เพชรหน้าทั่ง โดยได้โรย (ผงขวานฟ้าชนิดที่เป็นหินแล้วนำมาบดให้ละเอียด)ผงขวานฟ้าจะมีอานุภาพ เทียบเท่ากับขวานฟ้าที่เป็นหินเพราะนำเอาขวานฟ้าที่เป็นหินมาบดแล้ว ก็โรยที่องค์พระซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก สามารถสกดอาถรรณ์และ ถอนอาถรรร์ต่างๆได้ดีมาก เหมือนขวานฟ้าทองสำฤทธิ์ แต่เป็นรอง อยู่นิดหน่อย ขวานฟ้าเป็นสิ่งลึกลับที่เกิดจากการกระทำของวิญญาณชั้นสูงที่มีฤทธิ์ อำนาจมาก วิญญาณชั้นสูงหมายถึงเทพยดาที่อยู่ในท้องฟ้าหรือเรียกว่าอากาศเทวดา ซึ่งเดิมที่เป็นมนุษย์ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ที่สำเร็จอภิญญาสมาบัติ บ้างก็เป็นฤาษีที่สำเร็จฌาน ลป.โง่น โสรโย กล่าว ถึงขวานฟ้าว่า "ขวานฟ้าเป็น เทหวัตถุ ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า เป็นต้นว่า เศษของ อุกาบาตมักจะตกลงมาในยามที่เกิดพายุฟ้าคะนองท้องฟ้าปั่นป่วนอย่าง รุนแรงมหาศาล ขวานฟ้าที่แท้จริงมีเทพยดาเข้าสิงอยู่นั้นมีอานุภาพทาง มหาอุด คงกระพันชาตรี ถ้าปกติจะเป็นไปในทางแคล้วคลาด ที่เห็นผล เด็ดขาดทันตาคือ เอาแช่ทำเป็นน้ำมนต์ แก้คุณไสย์แก้พิษไฟลวกไฟไหม้ แก้ พิษงูเห่า คัดเลือดสมานแผลให้สนิทได้เร็ว ผีปอบเข้า หรือผีเข้าเจ้าสิงกลัว ขวานฟ้ามากเข้าป่าลงน้ำสัตว์ร้ายไม่เข้าใกล้ ห้ามเอาไปแช่งชักหักกระดูก คน เพราะจะให้ผลรวดเร็วรุนแรงดังคำสาปแช่ง ห้ามทำเด็จขาด เพราะบาปมากบาปนั้นจะย้อนกลับมาสนองตนเองในภายหลังแบบดาบนั้น คืนสนองมาตัดคอเราให้ขาดสบั้นนั่นเอง


    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]





    </FIELDSET>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2009
  12. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณณรงค์ที่กำลังใจ(บารมี)อันสูงยิ่ง ที่ตั้งใจทำงานบุญนี้มาหลายปี ขอเป็นกำลังใจครับ ยังสบายดีนะครับ ไม่ได้เจอกันซะนาน...
     
  13. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    สวัสดีครับ คุณวิเชียร ขอบคุณมากครับที่เข้ามาเยี่ยมเยียน
    คุณวิเชียร ก็ยังไม่เคยลงจากถนนสร้างความดีเลยนะครับ
    ก็ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญ กับคุณวิเชียรทุกประการด้วยเช่นกัน

    เหตุที่ผมยังต้องอยู่ ก็มีด้วยกันสองประการ
    ประการแรก งานบุญที่ตั้งใจทำยังไม่ลุล่วงถึงความสำเร็จ
    ประการที่สอง ผมยังมีลมหายใจอยู่ ลมหายใจที่ใช้สร้างความดี
    แม้จะนานเพียงใด ก็ต้องสู้ไปก่อนล่ะครับ

    อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ
    ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
     
  14. ตระกูลศักดิ์

    ตระกูลศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +1,371
    อนุโมทนาบุญกุศลด้วยครับ

    ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยครับ
    จากส.ต.ท.ตระกูลศักดิ์ ผบ.หมู่ป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองเลย สังกัดตำรวจภูธรจังหวัดเลย
     
  15. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG]
    [​IMG] หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา

    ภาพพระมหาเจดีย์ศรีเวียงชัย ถ่ายจากหลังคา วิหาารแก้ว ปู่แก้วมาเมือง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2009
  16. anko

    anko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    972
    ค่าพลัง:
    +8,252
    ;welcome3
    ;aa4
    :z5:z5:z5
     
  17. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG]

    พระพุทธบาท ของจริงที่พระพุทธองค์ ทรงประทาน ไว้ให้เมื่อครั้งพุทธกาล ณ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
    ปัจจุบันได้มีวิหารครอบไว้อย่างสวยงาม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    หลวงปู่วงศ์ฯ พูดไว้ว่า....
    คนที่มาถึงวัดฯ แต่ไม่ได้มากราบรอบพระพุทธบาท เท่ากับว่า ยังมาไม่ถึงวัดฯ

    ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรอยพระพุทธบาทมากที่สุดในโลก ที่ปรากฎให้ได้พบเห็น
    มีทั่วทุกภาคของไทยก็ว่าได้นะครับ สมเป็นแผ่นดินพุทธ แผ่นดินธรรม รองรับพระรัตนะตรัยได้สมบูรณ์ที่สุด

    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ที่พวกเราร่วมบุญกันอยู่นี้ เป็นวัดที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง
    ก็เหตุเนื่องที่พระพุทธองค์ ได้เคยเสด็จมาที่ตรงนี้นั่นเอง และได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ด้วย
    และบุญกุศลที่เราได้ร่วมกันทำอยู่นี้ โคมไฟดวงเอก สร้างองค์ปฐม สร้างวิหาร สร้างพระเจดีย์
    สร้างพุทธสถาน ขยายอาณาเขตความรุ่งเรือง ของวัดของพระศาสนา ที่ได้อยู่ใกล้รอยพระพุทธบาท ด้วยนะครับ

    เรื่อวราวขององค์หลวงปู่ครูบาวงศ์และวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ที่ระเอียดดีมากครับ


    อ่านได้ที่ลิงค์






    ................
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2009
  18. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    เรื่อวราวขององค์หลวงปู่ครูบาวงศ์และวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ที่ระเอียดดีมากครับ

    อ่านได้ที่ลิงค์

    ประวัติ1 + ประวัติ2

    ................


    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2009
  19. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    เพิ่มเติมความสบูรณ์วิหาร
    หลังคา(*)ผนัง(*)ประตู(*)หน้าต่าง(*)พื้นวิหาร(*)ประดับแก้ว
    บัญชีร่วมบุญ
    พระตุดี โฆสิตธัมโม
    ธ.กสิกรไทย สาขา อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ล.บ. 347-2-31364-8<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  20. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    [​IMG]


    ประวัติวิหารครอบรอยพระพุทธบาท


    ถึงเดือน ๑๐ เหนือ(๘ใต้) ขึ้น ๑๐ ค่ำ วันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ได้บูรณะปฏิสังขรณ์รอยพระพุทธบาท ต่อมาถึงพรรษาที่ ๒ เดือน ๑๒ เหนือ(๑๐ ใต้) ขึ้น ๑ ค่ำ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ปีกุนก็ได้วางศิลาฤกษ์สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทขึ้น มาถึง พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่านครูบาเจ้าก็ได้สร้างต่อมาเรื่อยๆ รวมระยะเวลา ๕๓ ปี ตามคำบอกกล่าวของ ท่านครูบาเจ้าว่าพระวิหารหลังนี้ ตัวของท่านเองจะไม่ได้ฉลองจะมีเจ้าของมาฉลองเอง พอมาเมื่อประมาณเดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่านก็ได้ปรารภว่าอยากจะ ฉลองพระวิหารหลังนี้ก็มีกระเหรี่ยงคนหนึ่งเข้ามากราบท่านครูบาเจ้า ท่านก็บอกกับกระเหรี่ยงชอยผู้นั้นว่า "ให้ไปหาหัวปลีกล้วยที่ต้นเดียวมีหัวปลี ๓ หัว มาเพื่อจะเอามาฉลองพระวิหารหลังนี้" แล้วกระเหรี่ยงชายผู้นั้นก็หายไปประมาณ ๑ อาทิตย์ ก็กลับมาพร้อมหัวปลีมาถวายครูบาเจ้า กระเหรี่ยงผู้นั้นก็พูดขึ้นว่า "ตอนที่ครูบาเจ้าได้บอกกับข้าพเจ้าไปเอานั้น ข้าพเจ้าก็นึกว่า ท่านครูบาเจ้าพูดเล่นพอไปหาก็ได้จริงๆ เสมอเหมือนกับว่าเทวดานำไป"


    หลังจากนั้นท่านครูบาเจ้าก็ได้สั่งพระที่อยู่ใกล้ชิดท่านว่า "ต่อไปภายหน้าถ้าได้ฉลองวิหารหลังนี้ ก็ให้เอาหัวปลีต้นเดียวมี ๓ หัว นี้ไปฉลองพร้อมวิหารหลังนี้ด้วย"


    ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ท่านครูบาเจ้าก็ได้อาพาธด้วยโรคชรา คณะศิษยานุศิษย์ก็ได้นิมนต์ท่านครูมาเจ้าไปรับการรักษาที่ โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ ถึงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๓ อาการอาพาธของท่านก็ไม่ดีขึ้นทางคณะแพทย์ มีความเห็นว่า ควรนิมนต์ให้ท่านครูบาเจ้าไปทำการรักษาต่อที่ ร.พ. มหาราชนครเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อเวลา ๐๑.๐๐ น. ของวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ตรงกับวันวิสาขบูชา ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ได้มรณะภาพด้วยอาการสงบ


    จากนั้นคณะศิษยานุศิษย์ มีท่านพระครูพินิจสารธรรม(ครูบาพรรรณ) เป็นต้น ได้ปรึกษาหารือกันว่าจะฉลองพระวิหาร เพื่อจักทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปหาท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา จึงได้บอกบุญไปยังศิษยานุศิษย์ จะบูรณะซ่อมแซมพระวิหารหลังนี้ เพื่อให้ทันงานทำบุญครบรอบ ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนามรณภาพครบ ๑ ปี ตรงกับวันที่ ๓ - ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
    ข้อมูลจากเว็บแดนพระนิพาน

    ครับจะสังเกตุได้ว่า วิหารครอบรอยพระพุทธบาท ใช้เวลาในการก่อสร้างนานมาก
    บางข้อมูล บอกว่า 34 ปีบ้าง 53 ปีบ้าง แต่ก็ถือว่าใช้เวลาในการสร้างนานพอสมควร

    กับวิหารแก้วสมเด็จองค์ปฐม งานบุญที่ทำกันอยู่นี้ จะใช้เวลานานแค่ไหนหนอ
    ก็ขอให้เดินถึงความสำเร็จโดยเร็ววันด้วยเทอญ เพื่อความสำเร็จในงานบุญกุศลกับทุกท่านครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...