ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าววันสิ้นโลก.... ปี ค.ศ. ๒๐๑๒

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 21 กรกฎาคม 2009.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ... ขอออกตัวก่อนว่าได้รับเมล์ฉบับนี้ี้มาจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง อ่านแล้วเห็นว่าีเป็นการแสดงเนื้อหามุมมองประกอบข้อมูลที่น่าสนใจและคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่สนใจติดตามข่าวสารเกี่ยวกับวันสิ้นโลกปี ค.ศ. ๒๐๑๒ อีกมุมหนึ่ง ไม่ได้ต้องการให้อ่านแล้วเกิดความตื่นตะหนกตกใจแต่ประการใด ทุก ๆ คคห.และผลบุญใดที่ได้รับจากการตั้งบทความนี้ี้ขออุทิศให้กับท่านเจ้าของเมล์และกัลยาณมิตรทุกท่าน ทุกผู้ ทุกนามค่ะ


    [FONT=Default Sans Serif,Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif]ด้วยความสงสัยของผมว่าทำไมปี ค.ศ.๒๐๑๒ จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้<wbr>นโลกมากมายเหลือเกิน

    บางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจากเหตุ<wbr>โลกร้อน

    บางแหล่งก็อ้างไบเบิ้<wbr>ลเพราะพระเจ้ากำหนดมา

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีทั้งหลั<wbr>กฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมเกี่<wbr>ยวปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าเกิดขึ้นก็จบ... ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่<wbr>าเท่านั้น

    เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศนาดวงที่ ๑๒ ของระบบสุริยะจักรวาล
    ถ้าใครได้พอดูความปี ๒๐๐๒ จะได้ทราบว่า
    นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบดาวดวงที่ ๑๒ ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อ ๆ
    แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู<wbr>้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี ๑๙๘๒ แล้ว
    ซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือนพฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน
    มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิ<wbr>ทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)
    [FONT=Default Serif,Times New Roman,Times,serif]

    [/FONT][​IMG]

    และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนั<wbr>กโบราณคดีได้กล่าวไว้เนือง ๆ ว่า...
    สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้<wbr>วยวิทยาศาสตร์ได้เกิ<wbr>ดจากดาวดวงนี้

    แต่สิ่งที่เรารับรู้คื<wbr>อเจอดาวเคราห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ...
    ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?
    สิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้<wbr>ครับ....

    ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่<wbr>ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผื<wbr>อกมาแต่เนิ่น ๆ อยู่แล้ว
    แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้

    แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่<wbr>มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้<wbr>ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ


    ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้<wbr>งแถบเลย
    [FONT=Default Serif,Times New Roman,Times,serif]

    [/FONT][​IMG][FONT=Default Serif,Times New Roman,Times,serif]

    [/FONT][​IMG]

    (ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้<wbr>ของดาวนิบิรุครับ)
    [FONT=Default Serif,Times New Roman,Times,serif]

    [/FONT][​IMG]

    อันนี้ใช้เทคโนโลยี้ขั้นสู<wbr>งในการถ่ายซูมครับ ทำให้รู้ได้ว่า ดาวนี้เป็น ดาวฤกษ์ครับและทับเข้ามาแค่ไหน

    เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาวนิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลกเลยครั<wbr>บ
    แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกเราอย่างแน่นอน !<wbr>!!
    [FONT=Default Serif,Times New Roman,Times,serif]

    [/FONT][​IMG]

    รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิ<wbr>รุครับ

    มันเข้าใกล้มาจริงหรือ?


    เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าถ้าเราส่<wbr>องกล้องมองดูดาวบริเวณทิศใต้สุ<wbr>ดของดาวโลกเราจะเห็น

    แต่ปัจจุบันนี้

    ในปีนี้.....เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้<wbr>
    [FONT=Default Serif,Times New Roman,Times,serif]

    [/FONT][​IMG]

    (เส้นขาว ๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครั<wbr>บ)

    และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีเงินบินไปดูถึงประเทศออสเตรเลียหรื<wbr>อประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้<wbr>ของโลกนะครับ แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดง ๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ...

    แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวั<wbr>ตถุในอดีตล่ะ
    นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึ<wbr>งแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน

    แต่มารอบนี้ มาเทียบและทาบวงโคจรของดาวนิบิ<wbr>รุ
    คาดว่ามีโอกาสที่จะชนกันสูง
    หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตราย

    เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็<wbr>กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่าง ๆ นานา
    และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี ๒๐๑๒ เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว

    ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ยังปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายทฤษฎีเรื่องความเป็นไปได้กันอย่<wbr>างจ้าละหวั่น

    ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหั<wbr>ส 2 เท่า!!!
    (ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่<wbr>ที่สุดในระบบนี้)

    ปล. งานนี้ก็ถึงเวลาที่ธรรมชาติเอาคืนเราของแท้แล้วล่ะนะครับ
    [/FONT]
     
  2. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +369
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
    โดยความเห็นส่วนตัว เรื่องแบบนี้ ใหญ่เกินที่นาซ่า จะตามปิดได้ครับ
    องค์กรเพียงองค์กรเดียว แต่นักดาราศาสตร์ มีทุกประเทศทั่วโลก
    เป็นเรื่องใหญ่เกินที่จะปิดชาวโลกได้จริงๆ
     
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    แต่ก็มีหลายเรื่องเหลือเกินนะคะที่นาซ่ารู้แล้วปกปิดข้อมูล หรือบอกแต่บอกไม่หมด โดยส่วนตัวเองเมื่อได้อ่านแล้วก็เฉยๆ ค่ะ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นกัน ไม่ได้กลัวเกรงอะไรเลย กลับรู้สึกดีเสียอีกที่เมื่อรู้แล้วจะได้ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท เวลาที่เหลือหลังจากนี้จะได้หมั่นรักษาศีล ทาน ภาวนาและเอาจิตเกาะพระนิพพานมิให้ขาด เผื่อปุบปุ๊บตายไปจะได้ไปอยู่ที่โน้นเลยค่ะ <label for="rb_iconid_30">[​IMG]</label>
     
  4. para007

    para007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +317
    ผมเห็นด้วยครับคนเราเกิดมาก็ต้องตายด้วยกันทุกคนอยู่แล้วมัวแต่น้งกลัวนอนกลัวไม่มีประโยชเอาจิตเกาะพระนิพพานดีที่สุดครับ มีเวลาก็หมันทำบุญ รักษาศีลให้ได้อย่างน้อยศิลห้าแล้วก็หม้นภาวนาตั้งใจขอเกิดเป็นชาติสุดท้าย ถ้าตายขอไปพระนิพพานโน่นเลย พวกเราถึงเวลาช่วยตัวของเราเองเล้วไม่มีใครช่วยได้แล้วมีแต่ทางนี้เท่านั้น หรือว่าคนที่รอดคือคนที่ได้ไปพระนิพาน 555rabbit_scary
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    [​IMG]Bee <DL class=stats><DT class=member>Member since: <DD class=member>October 08, 2007 <DT class=total>Total points: <DD class=total>1798 (Level 3) </DD></DL>
    • <LI class=best>Best answer 30%
    • 346 answers
    <DL class=stats><DT>Member Since: <DD>October 08, 2007 <DT>Total Points: <DD>1798 (Level 3) <DT class=last>Points earned this week: <DD class=last>0</DD></DL>

    Resolved Question

    Show me another »
    What did NASA say about Nibiru and 2012?

    • <ABBR title="2008-08-12 20:23:03">11 months ago</ABBR>
    Additional Details

    i wonder why all these calendars are talking about nibiru and **** like that.
    <ABBR title="2008-08-12 20:31:38">11 months ago</ABBR>
    i wonder why all these calendars are talking about nibiru and **** like that.
    <ABBR title="2008-08-12 20:31:57">11 months ago</ABBR>
    Report Abuse



    [​IMG]by Stardust... <DL class=stats><DT class=member>Member since: <DD class=member>March 12, 2008 <DT class=total>Total points: <DD class=total>15142 (Level 6) </DD></DL>
    Best Answer - Chosen by Asker

    Here is one NASA page which says that it's all a hoax:
    http://astrobiology.nasa.gov/ask-an-astr…

    I'm an astrophysicist with NASA and National Science Foundation funding and here's my take on it:
    Nothing spectacular will happen in 2012 (unless you count the Olympics in London).
    It is just a myth which mysteriously propagates (mostly because of the History Channel and YouTube)

    The Mayan culture/society/way of life is long since dead
    Therefore as an end to "the world" 2012 was a wildly optimistic estimate for them!
    And anyway – that is the wrong interpretation of the whole calander thing – it’s just the end of a cycle. And since calendars are based on astronomical motions of one kind or another, they are inherently cyclic. Our western calendar ends on December 31st every year!

    Planet X/Nibiru does not exist. If it did we would have found it by now. We have mapped the sky in the infrared several times in the last 25 years (including WMAP, IRAS etc), and it would show up. It is not there. We would have found it if it existed. So all the nonsense about the return of Nibiru/Planet X is just that – nonsense
    There is no scientific evidence for the existence of Nibiru

    Furthermore, at the distance it must be to hit us in a little over 4 years, it would be reflecting enough light from the sun to be detectable.
    Thanx to previous question from Brant and answer from bikenbeer2000, we know how bright it should be by now – it would have a apparent magnitude of 7.4 – which would not be visible with the naked eye – but easily visible in a modest telescope and would have been spotted by amateur. If there was a conspiracy to keep it quiet – it would be out of the bag by now.
    Ask someone where it is supposed to be, get a pair of binoculars and look for it.

    The videos on YouTube that purport to have evidence are disingenuous to say the least. They put together pictures of other objects (e.g. Jupiter, comets even a dust shell around a distant red giant star) and try to scare people. There is no validity to their claims. They present NO EVIDENCE at all.

    As for the predicted catastrophes – the most popular one seems to be the Pole Shift!
    The sun will have a pole reversal that year – it has one every 11 years – it is not a problem.

    The earth’s magnetic field is less predictable –
    but is still nothing to worry about: we know that the magnetic field does not collapse in the process of reversing polarity- if it did, there would be major extinctions that correlate with the geologic record for pole reversals - there is no correlation.


    Source(s):

    Me - I'm an astrophysicist

    แปลเอาเองแต่ ไม่มีอะไรต้องตกใจครับพอเข้าไปอ่านใน เวปนาซ่า ยิ่งไม่กังวลใหญ่เลยครับ มีสติและตั้งใจทำความดี รู้จักให้ทาน รักษาศีล และ บำเพ็ญภาวนาบ้าง จิตใจจะได้ปรอดโปร่ง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2009
  6. coolice

    coolice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +238
    เรื่องดาวนิบิรุ ความจริงนาซ่าเผยแล้วครับว่าเป็นเรื่องโกหก ไม่มีมูลทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
     
  7. adubis

    adubis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +81
    อยากให้ Obama มายืนยัน
     
  8. mint2546

    mint2546 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +46
    ทุกวันนี้ ก็หมั่นทำความดี ตั้งใจไว้ว่าจะ ต้องทำให้ได้ทุกวัน และตั้งอยู่ บนความไม่ประมาท และ หมั่นทำความดี กับ พระในบ้าน
    ทั้ง 2 พระองค์ คือ พ่อ กับ แม่ ครับ
    -----------------------------------------------------------------------------
    ขออนุโมทนาบุญ นะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. mint2546

    mint2546 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +46
    ทุกวันนี้ ก็หมั่นทำความดี ตั้งใจไว้ว่าจะ ต้องทำให้ได้ทุกวัน และตั้งอยู่ บนความไม่ประมาท และ หมั่นทำความดี กับ พระในบ้าน
    ทั้ง 2 พระองค์ คือ พ่อ กับ แม่ ครับ
    -----------------------------------------------------------------------------
    ขออนุโมทนาบุญ นะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. nattapong0925

    nattapong0925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +165
    อะไรจะเกิดก้อให้มันเกิดไปเลยครับ อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น (จะเกิดจริงหรือเปล่าก้อไม่รู้ เพราะข่าวลือแบบมั่วๆ มีมากเหลือเกิน) ทำวันนี้ให้ดีที่สุดละกัน อย่าเครียด สำหรับตัวเราเองก้ออยากให้เกิดเหมือนกัน กะลังเบื่อๆอยู่พอดี อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะรุนแรงเหมือนที่ออกมาพูดกันจริงหรือเปล่า
     
  11. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    ต้องเร่งทำบุญไว้ดีที่สุดนะคะคราวนี้

    สาธุกับ จขกท.ค่า^3^
     
  12. battosai

    battosai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +345
    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (Planet X)
    <SUP>(เขียนโดย J.yuttana,Sonic )</SUP>

    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk

    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?

    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้าง

    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย

    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง

    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่

    คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ
    ทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา


    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!!

    [​IMG]


    ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน


    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก

    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย

    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)

    Planet X และพระผู้สร้าง

    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ

    [​IMG]
    Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์

    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย

    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง


    มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า


    หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?

    ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?

    [​IMG]<!--Msg=7-->​
    <!-- Signature --><!-- Signature -->
    <!--Msg=5--><!-- Signature -->
     
  13. battosai

    battosai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +345
    ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามา แล้วคุณล่ะครับ ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริง? ถ้ามีเวลาผมจะแกะหนังสือของนักเขียนคนนี้มาให้ดูกันเล่นๆอีก รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากครับแต่หลักฐานก็หนักแน่นน่าเชื่อถือดี หาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆน่าจะพอมีครับ
    [​IMG]<!--Msg=8-->​
    <!-- Signature -->

    The Planet X


    ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

    หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    ขอฝอยเรื่องของ Sitchin สักหน่อยนะครับ จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ

    Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่ กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน

    จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมา ในอวกาศได้ พวกเขา(เพื่อความคล่องปาก ขอเรียกว่า Anunnaki ตามต้นตำรับก็แล้วกันนะครับ)เคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว


    <SUP>วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ </SUP>
    [​IMG]

    ทำไมจึงเป็น 12th Planet?


    หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโตแท้ๆ ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์ เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้างไปเลย พวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปีว่างั้นเถอะครับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็น พื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

    เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ครับ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยายระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียนนี่ก็นับว่าแปลกเอามากๆ ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังว่า แนวคิดด้านนี้ของพวกเขา ก้าวไกลและน่าพิศวงเพียงไร


    มาพูดถึง Nibiru กันต่อ แม้ว่าดาวดาวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งน้องจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายคนปิ๊งไอเดียขึ้นมาล่ะครับว่า เจ้าดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง

    จะมีอยู่หรือไม่ก็คงต้องใช้เวลาค้นกันหน่อยล่ะครับ เพราะดาวฤกษ์ดวงดังกล่าว อยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะของเรามาก คิดดูง่ายๆว่า Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง เกิดหรือตายกันกี่รุ่นล่ะครับมนุษย์เรา ถึงจะมีบุญได้เห็นดาวเคราะห์ยักษ์ Nibiru ดวงนี้ ที่แน่ๆก็คือ คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นคนละดวงกัน อ้อ... สำหรับท่านที่สงสัยว่า ทำไมคนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวหางสีแดง เดี๋ยวผมจะมาเฉลยทีหลังนะครับ ตอนนี้พูดเรื่องวงโคจรให้จบเสียก่อน

    Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar (คูณกันเอาเองนะครับ) มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว


    Why the Anunnaki Came Down?


    ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในสมัยมัธยมได้ไหมครับ? จำเรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหม ว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน

    ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดี ว่า เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำครับ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ (ก็คงสำคัญมากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)

    Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา

    <SUP>ภาพวาดพาหนะของพระเจ้า ซึ่งไม่น่าไปคล้ายกับยานอวกาศโดยบังเอิญขนาดนี้ </SUP>​
    <!--Msg=10-->
    [​IMG]

    ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ

    แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ

    เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนใน ภายหลัง ซึ่งผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกทีครับ

    [​IMG]
    ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ

    แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ

    เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนใน ภายหลัง ซึ่งผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกทีครับ

    [​IMG]


    มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า?

    เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก เพราะดันไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง แถมยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีกแน่ะ

    แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหัวเราะได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบัก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบจังๆ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆกล่าวกันก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์ โอเคครับ... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม เซเปี้ยน มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ ช่วยตอบ Sonic ที

    [​IMG]


    อย่างนั้นคำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับ อย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่ พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหาก เล่า สำหรับท่านที่เพิ่งมาใหม่และยังตามไม่ทัน โปรดอ่านปฐมบทและแนวคิดในทฤษฎีนี้ จากเรื่องไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศนะครับ สำหรับตรงนี้ผมขอสรุปเพียงสั้นๆว่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลักฐานที่ผมจะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆมาก

    หลักฐานอะไรเรอะ? ก็หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆน่ะซีครับ ซึ่งจริงๆแล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนานถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมี วิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง ของมนุษยชาติเลยทีเดียว

    หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าผมกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์


    Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.


    ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA

    ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??


    แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อา ฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย ครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก

    ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท) จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่

    <SUP>ที่มา members.thai.net/enlil/sumer/sumer2_1.htm
    members.thai.net/myth/sumer/sumer_2.htm
    http://scratchpad.wikia.com/wiki/ดาวเคราะห์ดวงที่_12_(Planet_X) </SUP>​
    <!--Msg=13--><!-- Signature --><!--Msg=11--><!-- Signature --><!--Msg=11--><!-- Signature --><!-- Signature --><!-- Signature -->
     
  14. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    อนุโมทนากับทุก คคห. ทั้งที่ร่วมแสดง คคห.และที่่ค้นคว้าข้อมูลและนำมาบอกกล่าวเพื่อเป็นความรู้และเป็นประโยชน์ต่อกัน

    อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมจริง ๆ ค่ะ
     
  15. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    ข้อเท็จจริง คือ....
    ...การโปรโมท ...สร้างกระแส...ๆๆๆ
    ...ภาพยนตร์ เรื่อง... 2012 วันสิ้นโลก
    ที่จะเข้าฉาย ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2009 นี้
    ...โดยทีมการตลาด ที่เข้าใจนิสัยคนไทย นั่นเอง อิ อิๆๆๆๆๆๆ
    รายได้ทะลุ..100 ล้าน.. แน่ๆๆๆๆ ..เสร็จโก๋ ติ๋งๆๆๆ..น้ำลายหก..อิ อิๆๆๆๆ
    (คุณวิชา พูลวรลักษณ์ ปธ.บริหารเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป แอบกระซิบ กับเลขาฯ)
    _Love+U_
    เพราะคนไทย หลอกง่าย มั่กมากกก ขาดสติ เชื่อง่ายๆ ไม่ไตร่ตรอง
    เหมือน แดง-เหลือง ทุกวันนี้ หล่ะครับ น่าอเน็จอนาจ ประเทศชาติ...เอวัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แหมถึงว่า มันทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาสเพียงแต่ว่า เคยได้ยินเรื่องนี้ไหมครับ พลังด้านมืด กับ พลังด้านสว่าง ในจักรวาลนี้ ตอนนี้ใครมากกว่ากัน เอาเฉพาะโลกก็พอคิดว่าไงครับ ดังนั้นก็คือ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความดีและคิดสิ่งดี สร้างสิ่งดี พลังด้านสว่างก็จะยังคงมีพลังมากอยู่ ดังนั้นยังไม่ถึงเวลาครับ สรุป
     
  17. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +369
    เอ่อ ผมขอแก้ต่างเรื่องโปรโมทหนังหน่อยนะครับ ไม่ทราบว่าจะล้อเล่น หรือประการใดก็ตาม
    ไม่อยากให้มีคนเข้าใจผิดๆครับ

    เรื่องนี้รวมถึงตัวบทความเอง มีมานานก่อนหนังจะทำด้วยครับ
    ตัวบทความของคุณบัตโตไซเอง ผมเองก็อ่านมาก่อนหนังจะโปรโมท พอสมควรแล้ว
    แต่ก็ต้องยอมรับ ตัวบทความเองอาจเป็นของคนต่างประเทศแล้วนำมาแปล หรือเป็นของคนไทยก็ตาม
    ให้ข้อมูลและแนวคิดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่ในเรื่องดาวเนบิรูนั้น
    มันก็ยังเป็นคำทำนายที่คนเอามาตีความกันเองแล้วประโคมข่าว + กับวันสิ้นสุดปฏิทินของชาวมายา
    ผมเองก็ศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร มันมีหลายอย่างที่สรุปแล้วเป็นไปไม่ได้ หลายๆอย่าง
    เลยไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ รวมถึงความที่ว่า ดาวเนบิรุ มาเฉี่ยวหรือชนโลก
    มันยิ่งกว่า สิบล้อชนจักรยานอีกนะครับ ดาวขนาดดาวพฤหัส มาเฉี่ยวโลก
    โลกไม่กระเด็นหลุด แกแลคซี่ไปเลยเหรอ

    อ่ะพอดีกว่า
    ถึงยังไงก็อยากบอกว่า เชื่อในสิ่งที่เห็นดีกว่า คิดด้วยสมอง เรื่องบางเรื่องเราคิดเองได้ครับ
    แต่บางคนคิดเองไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
     
  18. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +369
    เอ่อ ผมขอแก้ต่างเรื่องโปรโมทหนังหน่อยนะครับ ไม่ทราบว่าจะล้อเล่น หรือประการใดก็ตาม
    ไม่อยากให้มีคนเข้าใจผิดๆครับ

    เรื่องนี้รวมถึงตัวบทความเอง มีมานานก่อนหนังจะทำด้วยครับ
    ตัวบทความของคุณบัตโตไซเอง ผมเองก็อ่านมาก่อนหนังจะโปรโมท พอสมควรแล้ว
    แต่ก็ต้องยอมรับ ตัวบทความเองอาจเป็นของคนต่างประเทศแล้วนำมาแปล หรือเป็นของคนไทยก็ตาม
    ให้ข้อมูลและแนวคิดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่ในเรื่องดาวเนบิรูนั้น
    มันก็ยังเป็นคำทำนายที่คนเอามาตีความกันเองแล้วประโคมข่าว + กับวันสิ้นสุดปฏิทินของชาวมายา
    ผมเองก็ศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร มันมีหลายอย่างที่สรุปแล้วเป็นไปไม่ได้ หลายๆอย่าง
    เลยไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ รวมถึงความที่ว่า ดาวเนบิรุ มาเฉี่ยวหรือชนโลก
    มันยิ่งกว่า สิบล้อชนจักรยานอีกนะครับ ดาวขนาดดาวพฤหัส มาเฉี่ยวโลก
    โลกไม่กระเด็นหลุด แกแลคซี่ไปเลยเหรอ

    อ่ะพอดีกว่า
    ถึงยังไงก็อยากบอกว่า เชื่อในสิ่งที่เห็นดีกว่า คิดด้วยสมอง เรื่องบางเรื่องเราคิดเองได้ครับ
    แต่บางคนคิดเองไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
     
  19. visagoo

    visagoo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +0
    ถ้าบน[FONT=Default Sans Serif,Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif]ดาวนิบิรุมีคนอาศํย เขาคงเตรียมการยิงโลกอยู่เช่นกัน
    [/FONT]
     
  20. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    หลายๆ คนชอบที่จะส่งข้อความแปลกๆ มาให้อีกหลายๆ คน ตื่นตระหนก

    เหตุการณ์ทำนองนี้มีมา หลายครั้งแล้ว ทั้งปี 1999 2000 และอื่นๆ
    ซึ่งส่วนมากจะหาคำบรรยายมาซะหยาดเยิ้ม มีเอกสารอ้างอิงจากไหนก็ไม่รู้
    มักจะเป็นเขาเล่ามา หรืออ้างอะไรที่เราไม่รู้จัก หรือพอรู้แต่ไม่รู้จะหาหลักฐานได้ที่ไหน

    ตอนล่าสุดก็ ปีก่อนมั้ง ที่บอกว่าดาวเคราะห์จะเรียงตัวกันเป็นกากบาท แล้วโลกจะถูกฉีกออกนั่นก็ืทีแล้ว

    ซึ่งในปี 2012 ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา ก็แค่เรียงตัวกันเป็นแนวระนาบเท่านั้นเอง ซึ่งดาวที่บังเราก็เป็นดาวพุธ และศุกร์
    แล้วมันก็ไม่นานนักในช่วงบังมิด ที่ว่านาน 42 ชม.Up น่ะนับกันตั้งกะเริ่มแหว่งเข้า จนบังมิด แล้วแหว่งออก

    ไม่สามารถบังได้มิดจนทำให้อุณหภูมิ หรือบรรยากาศโลกเปลี่ยนไปได้ เออถ้าดาวพฤหัสล่ะว่าไปอย่าง อันนี้คงติดลบแน่

    แต่ที่สร้างกระแสให้กลัวกันก็เพราะจะมีหนังฉาย และก็ขายหนังสือต่างๆ ตอนนี้ชุด Kid พวกเอาตัวรอดก็เริ่มมีขายแล้วนี่ครับ

    เราเป็นชาวพุทธแท้ๆ กาลามสูตรก็บอกไว้แล้ว อย่าตื่นตระหนกให้มันเกินงามครับ

    รู้ไว้เพื่อไม่ประมาท ที่จะบำเพ็ญตนก็ดีครับ ถึงตอนนั้นถ้าจะเกิดจริง เข้าสมาธิให้ได้สัก ขณิกสมาธิก็พอเพียงจะไปสู่ภูมิที่ดีกว่ามนุษย์แล้ว

    แต่ที่น่ากลัวสำหรับบ้านเราน่ะ วันหยุดยาวๆ ทั้งหลาย โอกาสตายมากกว่าครับ แถมยังไม่มีเวลาเตรียมใจด้วย มีสิทธิลงอบายภูมิง่ายกว่า เพราะมักจะศีลขาดกันถ้วนหน้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...